เสี่ยวเหอเดินตามเสี่ยวเอ้อออกจากหมู่บ้าน นางหันไปมองหลังคาบ้านของตัวเอง แม้จะมาถึงขั้นนี้แล้ว แต่นางก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ รู้เพียงว่าต้องทำต่อไป เพราะต้องการให้พี่สาวมีความสุข
เมื่อเดินมาถึงทางแยกนอกหมู่บ้าน เสี่ยวเหอเห็นชิงถิงในชุดผ้าฝ้ายยืนรออยู่ หัวใจของนางก็เริ่มเต้นรัว รู้สึกว่าวันนี้เขาดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด แม้ใบหน้าจะไม่มีรอยยิ้ม แต่นัยน์ตากลับเจิดจ้าอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน จับจ้องนางชนิดที่หากเผาไหม้ได้ เสี่ยวเหอคงไม่เหลือแม้ขี้เถ้า
ชิงถิงมีม้ามาด้วย เขายกนางขึ้นหลังม้าและทั้งสองคนก็ออกเดินทางทันที
นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยกันเช่นนี้ เสี่ยวเหอรู้สึกเวียนหัวมาก นางเห็นชิงถิงมาตั้งแต่เด็ก เคยเล่นด้วยกัน เรียกว่าสนิทกันมากกว่าเด็กชายคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน แต่ก็ไม่เคยใกล้ชิดขนาดเนื้อแนบเนื้อ ถึงแม้จะมีเสื้อผ้ากั้นอยู่ก็ตาม
หญิงสาวทำตัวไม่ถูก เพราะยามนี้ความรู้สึกทั้งหมดของเสี่ยวเหอถูกอกแกร่ง กล้ามแขนและมือแข็งแรงของชิงถิงเรียกร้องความสนใจไปจนหมด จำแทบไม่ได้ว่าหนีไปทางใดบ้าง
ระหว่างการเดินทางหนี พวกเขาไม่มีการพูดคุย เพราะปกติชิงถิงก็ไม่ได้เป็นคนช่างพูด ส่วนใหญ่เมื่อพบกัน เสี่ยวเหอจะเป็นคนชวนคุย แต่วันนี้นางไม่รู้จะพูดอะไร ในใจก็เห็นแต่ภาพที่เขาจูบตัวเอง จึงได้แต่เงียบ
ตลอดการเดินทางเสี่ยวเหอรู้สึกว่าทั้งริมฝีปากและหัวใจร้อนผ่าวราวกับถูกเผา ความกังวลใจใดๆ ทั้งเรื่องงานแต่ง ทั้งเรื่องพี่สาว เรื่องที่ตัวเองอกตัญญูและเรื่องที่จะถูกตัดขาดจากสาแหรกตระกูลหากท่านพ่อรู้ความจริงเข้าก็ลืมไปจนหมดสิ้น ได้ยินแต่เสียงหัวใจของตัวเองที่แทบจะหลุดออกมานอกอก
หญิงสาวและชายหนุ่มเดินทางตลอดทั้งคืนทั้งวัน กระทั่งถึงยามค่ำในวันถัดมา ทั้งสองก็มาถึงวัดร้างแห่งหนึ่ง เพราะไม่เคยไปไหนไกลเลย เสี่ยวเหอจึงไม่รู้ว่าการเดินทางไกล ต้องเตรียมสิ่งใดบ้าง ในห่อผ้าของนางมีแต่เสื้อผ้าสองสามชุด ทุกสิ่งมีชิงถิงเป็นผู้จัดการให้ทั้งสิ้น
“มืดแล้วหากเดินทางต่อจะอันตราย ต้องพักก่อน” เขาบอกเพียงเท่านั้น เสี่ยวเหอก็เชื่อตามนั้น ทั้งที่คืนก่อนหน้าพวกเขาก็ควบม้าอยู่ตลอด
ชิงถิงเป็นคนปัดกวาดพื้นที่เล็กน้อย จุดฟืนไฟ และเอาหมั่นโถวออกมาสองลูกให้นางกับตัวเองรองท้อง
ชิงถิงก็ยังคงเงียบ พูดเท่าที่จำเป็น จัดการทุกอย่างให้เสี่ยวเหอนั่งนิ่งๆ หาน้ำมาให้นางล้างหน้าแล้วบอกให้นอนเอาแรง ตัวเขาจะนั่งเฝ้ายาม
เขาปูผ้าผืนบางของเขาลงบนพื้นข้างกองไฟและให้เสี่ยวเหอนอนตรงนั้น ด้วยความเหนื่อยมากจากการเดินทางและอาการหัวใจเต้นแรงผิดปกติ เสี่ยวเหอถึงจะเขินอายมากเพียงใด แต่ก็หลับไปในทันทีที่ได้พัก
ชิงถิงปลุกเสี่ยวเหอตั้งแต่ยังไม่สว่าง และรีบเดินทางต่อ เสี่ยวเหอเริ่มไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องระวังมากเช่นนั้น ทั้งเฝ้าระวัง ทั้งรีบร้อนเดินทาง แต่นางก็ไม่ได้พูด ไม่ได้ถามออกไป จนกระทั่งมืด ทั้งสองก็นอนข้างแม่น้ำ เพราะครั้งนี้ไม่มีวัดร้างหรือบ้านร้างเลย เขาเพียงเอาผ้าผืนบางๆ มารองให้นางนอนเช่นเดิม และรีบออกเดินทางตั้งแต่ยังไม่สว่างอีกครั้ง
ทั้งสองเดินทางมาสี่วันสามคืน พักข้างนอกตลอดเวลา ไม่แวะร้านน้ำชาไหนทั้งสิ้น แม้จะพบหมู่บ้านเล็กๆ ก็ไม่เคยหยุดพัก เมื่ออาหารเริ่มหมดชิงถิงก็จะล่านกหรือไก่ให้เสี่ยวเหอกินแทน บางครั้งก็เป็นกระต่าย
คืนที่สี่ พวกเขาพักอยู่กลางป่าแห่งหนึ่ง เสี่ยวเหอเริ่มใจเต้นน้อยลง จึงสังเกตเห็นว่าเขาเหน็ดเหนื่อยมากจากการที่แทบไม่ได้นอน แล้วยังต้องคอยดูแลนาง คอยคิดว่าจะเดินทางไปทางไหน หุงหาอาหาร กลางวันก็เป็นคนควบม้าอีก
“คืนนี้ให้เจ้านอน เดี๋ยวข้าจะดูทางให้” หลังจากที่เขาเอาน้ำมาให้นางล้างหน้าแล้วเตรียมตัวนอน เสี่ยวเหอจึงบอกไปเช่นนั้น
“เจ้าดูเป็นด้วยหรือ”
“แค่เฝ้ายาม นั่งเฝ้ากองไฟ เหตุใดข้าจะทำไม่เป็น”
“...” เขาเงียบและเริ่มเขี่ยฟืนในกองไฟ
“ข้า..ข้าทำเป็นจริงๆ นะ เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ” นางเริ่มพูดติดขัดอย่างไม่มั่นใจ
“ข้าทำได้จริงๆ” เสี่ยวเหอบอกเขา แต่ก็เพื่อเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง เพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำสิ่งใดไม่เป็นจริงๆ เสียแล้ว เมื่อเขาเอาแต่เงียบ
“เจ้าโง่หรือไง...กำลังคิดว่าตัวเองทำไม่เป็นแล้วใช่หรือไม่” เขาพูดนัยน์ตายิ้มเป็นประกาย แม้ริมฝีปากจะไม่ได้ยกขึ้น
เขาพยายามเก็บรอยยิ้มไม่ให้นางเห็น แต่เสี่ยวเหอรู้จักอาการเช่นนี้ของเขาดี เขามักจะเป็นเช่นนี้เวลาได้กลั่นแกล้งนาง เขามักจะชอบทำให้นางร้อนรนทำตัวไม่ถูก และแอบหัวเราะนาง แอบด่านางว่าเป็นคนโง่เสมอ
“ข้าไม่อยากคุยกับเจ้าแล้ว ข้าจะไม่นอน จนกว่าเจ้าจะนอน” หญิงสาวงอแงเอาแต่ใจอย่างไม่มีเหตุผล
“ข้าอยากนอนกับเจ้า” เขาพูดเบาๆ ขณะกำลังเติมฟืน ไม่ยอมสบตา
คำพูดเขาเบามากแทบจะเหมือนกระซิบ แต่เพราะอยู่กันสองคน และในป่าเช่นนี้ก็เงียบมาก เสี่ยวเหอจึงได้ยินชัดเจน เขาจะพูดทั้งที่ไม่ได้มองนางเลย แต่เสี่ยวเหอกลับรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ทั้งที่อากาศยามค่ำคืนค่อนข้างเย็น
ตั้งแต่จูบครั้งนั้น เขาก็ไม่ได้แตะต้องนางหรือทำให้นางเสื่อมเสีย แม้ในใจเสี่ยวเหอจะแอบหวาดหวั่นเสมอ แต่เขาก็ไม่ได้ทำสิ่งใดเกินเลย ปล่อยให้นางต้องใจเต้นทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ แต่เขาไม่ได้ทำสิ่งใดอีก จนเสี่ยวเหอยังแอบคิดว่าบางทีเขาอาจไม่ได้ต้องการเช่นนั้น
เพียงแต่ไม่นึกว่าจู่ๆ เขาจะพูดออกมา
‘เขาอยากจะให้ข้าตอบกลับเช่นไรกัน บอกว่า ได้ ข้าจะนอนกับเจ้า หรือบอกว่า ไม่ได้ กันแน่’ เสี่ยวเหอว้าวุ่นใจ
แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็หนีมาด้วยกันแล้ว ถือว่า..ได้เป็นสามีภรรยากันแล้วหรือไม่ เสี่ยวเหอคิดวุ่นวายจนทำอะไรไม่ถูก จนสุดท้ายชิงถิงทนมองไม่ไหวต้องเป็นคนเอ่ยปากเสียเอง
“ข้าล้อเจ้าเล่น เจ้าไม่ต้องกลัวมากเช่นนั้น มานอนเถิด เก็บแรงไว้ พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีกไกล”
แต่เสี่ยวเหอรู้สึกว่าถูกเขาแกล้งอีกแล้ว นางจึงไม่ยอมขยับ
“มาเถิด มานอน” เขาเรียก
“...”
“มานอนเถิด ..นี่” เสียงของเขาคล้ายจะออดอ้อนเล็กน้อยทำให้หัวใจของเสี่ยวเหอกระตุกเบาๆ
“ข้าจะเฝ้ายาม” เสี่ยวเหอยังคงดื้อดึง
“ได้ แต่เจ้ามานั่งเฝ้ายามใกล้ๆ ข้า...ใกล้กองไฟตรงนี้ ดีหรือไม่ จะได้ไม่หนาว” เขาเกลี้ยกล่อม
“ข้าแน่ใจ คนผู้นั้นเป็นนายหญิงใหญ่ของตระกูลหยวน ตระกูลหยวนเป็นพ่อค้าขายเกลือที่ได้รับสัมปทานโดยตรงของอำเภอนี้” พี่สาวอธิบาย“ขะ..ข้าไปรู้จักครอบครัวนั้นได้อย่างไรกัน” เสี่ยวเหอกลัดกลุ้ม ไม่ใช่นางเคยบอกท่านแม่ไปแล้วหรือว่าตัวเองมีคนที่อยากแต่งด้วยแล้ว เหตุใดจึงเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นอีก“ก็..เมื่อเดือนที่แล้วเจ้ายังไปเที่ยวดูโคมมังกรในเทศกาลซีซีกับคุณชายตระกูลหยวนอยู่เลยไม่ใช่หรือ จะมาตกใจอะไรตอนนี้” เสียงที่ตอบมาไม่ใช่พี่สาว แต่เป็นเสียงของชิงถิง!!!!!เสี่ยวเหอและหลันเหมยหันไปดูพร้อมกัน ชิงถิงกำลังขนตะกร้าใส่ไข่สองใบใหญ่มา เขาวางตะกร้าไข่ไว้ที่พื้นเบาๆ“ให้เอาไปไว้ทางใด” ชิงถิงถามพี่หลันเหมย โดยไม่หันมามองเสี่ยวเหอเลยสักนิด พี่หลันเหมยหันมามองน้องสาวตัวเองที่แข็งค้างไปแล้วอย่างกังวล“ทางนี้” พี่สาวบอกชิงถิง ก่อนพาไปวางไข่ไว้บนชั้นวางและหยิบเงินให้เขาไปถุงหนึ่ง“ขอบใจเจ้ามากต้าจื่อ ขนมพวกนี้ฝากไปให้ท่านแม่ของเจ้าด้วย ตอบแทนที่คัดไข่ใบใหญ่ๆ มาให้ข้าเสมอ”ในขณะที่เสี่ยวเหอมองชิงถิงและพี่สาวเดินไปเดินมา ตัวเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ในหัวมีแต่คำที่เขาว่านางไปเดินเล่นดูโคมไฟมังกรกับคุณชายตระกูลหย
“ไม่เป็นไร แค่พี่หลันเหมยมีความสุข พบคนดี ข้าก็ดีใจแล้ว อย่างน้อยข้าอีกคนก็ได้เข้าร่วมงานแต่งอวยพรให้นาง แต่ข้าเห็นว่าเจ้าก็คงไม่ได้ไปงานแต่งของพี่หลันเหมยใช่หรือไม่ ข้าจึงไม่ได้ไปที่นั่น เพราะเจ้าคนเดียว ฮึ” เขาหัวเราะเบาๆ กับท่าทางย่นปากน่ารักเช่นนั้น“ข้าเป็นทหารอยู่ในกองทัพ ไม่สามารถลาไปงานแต่งของคนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องได้ แต่ได้ส่งของไปร่วมแสดงความยินดีแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง” “ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้านั่นแหละ” “ได้ๆ เพราะข้าเอง” เขายอมให้ ในใจเสี่ยวเหอเมื่อนึกย้อนถึงโลกก่อน พี่สาวตายทั้งที่อยู่ในชุดแดง การแต่งงานเช่นนี้ ช่างเป็นวาสนาที่ดีกับพี่หลันเหมยมาก นางรู้สึกดีใจมากๆ จากใจจริง คืนวันนั้นชิงถิงก็พร่ำพลอดบอกรักกับนางเช่นเคย แม้จะไม่ได้ส่งเสียงดังเท่ายามแก่ เพราะกลัวท่านพ่อท่านแม่ข้างบ้านได้ยิน ในขณะที่ยามเป็นรองแม่ทัพไม่ต้องสนใจสายตาใครแล้วแต่เขายามนี้ก็ยังคงกระซิบกระซาบบอกรักมากมาย บอกว่าคิดถึงนางมากเพียงใด เสร็จไปศึกหนึ่ง ก็ต่ออีกศึกหนึ่ง เขาทำเช่นนั้นหลายครั้งจนใกล้จะรุ่งเช้า เสี่ยวเหอง่วงนอนใกล้จะหลับเขาก็ไม่ยอม ชิงถิงพยายามปลุกนางให้ตื่นอยู่ตลอดเวลาเพื่อจะได้กรำศึกไปพร้
“ไม่ได้!!!” เสี่ยวเหอปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด“ชิงชิงเป็นของข้าคนเดียว” นางโกรธมากชิงถิงยิ้มมุมปากอย่างไม่อาจควบคุม เขามองเสี่ยวเหออย่างรักใคร่ ตัวเขาคิดเสมอว่าเสี่ยวเหอเป็นคนอ่อนหวาน แต่ไม่เคยรู้เลยยามนางหึงหวงจะกลายเป็นนางเสือน่ากลัวได้ด้วยทางหนึ่งชิงถิงก็รู้สึกพึงพอใจ ให้นางได้ลิ้มรสความทรมานในการหึงหวงบ้างก็ดี นางจะได้รู้ว่าเขาต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้หลายปีมันไม่ใช่เรื่องรื่นรมย์อะไร เขาอยากให้นางหวงแหนเขาจนแทบขาดใจ“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเพียงทดสอบท่านว่าจริงใจหรือไม่ ในเมื่อท่านจริงใจกับข้า ข้าก็จะจริงใจกับท่าน ตัวข้าจะหายไป ขอเวลาไม่นานเกินเดือน” อนุจินยืนขึ้น ด้วยความหยิ่งทะนงในตนเอง“นี่....นี่เจ้า..เจ้าไม่ต้องรับอนุแล้วใช่หรือไม่?” เสี่ยวเหอหันมาถามชิงถิง“นั่นสิ เจ้าคิดว่าอย่างไร ข้ายังต้องรับนางเป็นอนุอีกเดือนหนึ่งหรือไม่นะ แล้วข้าต้องเข้าหอตามธรรมเนียมด้วยหรือไม่ ทำเช่นไรดี” เขายิ้มน้อยๆ ลูบหัวเสี่ยวเหอของเขาอย่างรักใคร่“...” เขาหยอกนางอีกแล้ว เสี่ยวเหอไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดเขามักจะชอบทำให้นางสับสน! เท่านี้นางก็หึงหวงเขาจนเจ็บปวดไปทั้งใจแล้ว เขาชอบให้นางทรมานเพราะหึงหวงเขาหร
นางเดินทางข้ามเวลาทุกวันเช่นนี้ จะเอากำลังที่ใดไปสู้รบกับเหล่าอนุที่ฮ่องเต้ประทานให้สามีของนางอย่างไร นางเคยได้ยินว่า สตรีพวกนั้นล้วนงดงามมีความสามารถ พร้อมทำทุกวิธีเพื่อจะปีนขึ้นเตียงของบุรุษ“เจ้าปฏิเสธไม่รับอนุไม่ได้หรือ ให้คนอื่นๆ รับแทนก็ได้ รองแม่ทัพมีเจ้าเพียงผู้เดียวหรือ” เสี่ยวเหอน้อยใจ“ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะติดหนี้บุญคุณของท่านแม่ทัพอยู่ จำเป็นต้องตอบแทนคุณ แต่ข้ารับรอง ข้ามีแค่เจ้า เชื่อข้าได้หรือไม่” เขาแก้ตัว ดึงนางมากอดปลอบ น้ำเสียงฟังคล้ายอ้อนวอนแปดส่วน หวาดหวั่นอีกสองส่วนเสี่ยวเหอเห็นท่าทางร้อนรนของเขา ท่าทางเอาอกเอาใจนาง แม้จะเป็นชิงถิงที่อายุมากแล้ว มีหนวดเคราเต็มหน้า แต่อย่างไรก็ยังน่ารักในสายตานาง นางกอดเขาตอบ ลูบหลังปลอบโยนราวกับกำลังปลอบเด็กน้อยชิงชิง“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ แต่ข้าไม่ยอมรับ หากเจ้ารับอนุ ข้าจะรับลูกบุญธรรม!!” นางอยากให้เขาเอาใจ“เจ้ามีลูกของตัวเองแล้วนะ” ชิงถิงผลักนางออกเล็กน้อยเพื่อมองหน้าเสี่ยวเหอ ท่าทางตกใจไม่น้อยเสี่ยวเหอยิ่งทำหน้าตกใจไปใหญ่ นางเพิ่งเข้าหอกับเขาไม่กี่ครั้ง ไม่เคยอุ้มท้อง แต่เขากลับบอกว่านางมีลูกกับเขาแล้วเช่นนั้นหรือ!!ชิง
ชิงถิงกอดนางครู่หนึ่งก็ปล่อยนางลงพื้น“ข้ากำลังจะไปเมืองหลวง เจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่?”เสี่ยวเหออยากนอนอยู่ที่จวนของเขาและตื่นขึ้นมาที่จวนของเขา แต่นางก็อยากลองไปเมืองหลวงสักครั้ง“หากพรุ่งนี้ยังไม่ถึงเมืองหลวง แล้วข้าไม่ได้ตื่นขึ้นมาจะทำเช่นไร” นางกังวลเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว“แต่วันนี้ เราสองคนได้อยู่ด้วยกัน สิ่งนี้สำคัญกว่า” เขาปลอบ“..แต่” เสี่ยวเหอไม่ชอบความไม่แน่นอน“พรุ่งนี้เจ้าตื่นมา ไม่ว่าที่ใดก็ต้องพบกับข้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ” เขาเสริม“..ได้ เช่นนั้นข้าไป” นางพยักหน้า นัยน์ตาส่องประกายอย่างมีความสุข แม้จะกังวล แต่หากมีเขา ไม่ว่าที่ใดนางก็ยินดีชิงถิงสั่งให้รีบเตรียมเสื้อผ้าของฮูหยินเล็กน้อยอย่างรวดเร็วและเตรียมรถม้า ก่อนเดินทางเขาเข้าไปนั่งในรถม้ากับฮูหยินของเขาด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาตั้งใจจะขี่ม้าไปเพื่อจะได้ย่นระยะเวลาระหว่างเดินทาง ไม่มีทหารม้าคนใดกล้าเข้าใกล้รถม้าของท่านรองแม่ทัพ มีเพียงคนขับรถม้าที่ต้องทนรับกรรม ต้องทนรับฟังท่านรองแม่ทัพพร่ำเพ้อ พูดมาก ด้วยการบอกรักฮูหยินเสียงแหบพร่า ครั้งแล้วครั้งเล่าจนบางครั้งรถม้าก็สั่นสะเทือนไปหมด คนขับรถม้าได้แต่เก็บความ
เสี่ยวเหอตัดสินใจครั้งสำคัญ คิดว่าถูกผิดอย่างไรก็ช่าง เพราะไม่มีทางเลือก ทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาคลั่งไคล้นางไม่เลิก ไหนๆ ก็เคยจูบมาแล้วตอนอายุสิบเจ็ด ทำอีกสักครั้งคงไม่เป็นไรไป นางคิดแล้วจึงยกมือเกาะคอเขา“อะไร” เขาเลิกคิ้วถาม แต่ก็ไม่ได้ถอยหนีหรือยืดตัวขึ้นเสี่ยวเหอชิงจูบเขาอย่างรวดเร็ว พยายามทำให้เร่าร้อนมากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ดุนดันลิ้นเข้าไปในปากของเขาเพื่อควานหาลิ้นนุ่ม เมื่อเขายอมเปิดปากให้นางสำรวจลิ้นของเขา นางก็รีบโลมเลียลิ้นนั้นเล่น ขบกัดปลายลิ้นไม่ต่างจากที่เขาเคยชอบทำชิงถิงแม้จะตกใจเล็กน้อยกับการกระทำอันอุกอาจของหญิงสาวคนรัก แต่ก็รู้สึกว่านางช่างน่ารัก จึงปล่อยให้นางทำต่อไป ทั้งยังรู้สึกหอมหวานในใจอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวเหอกลืนกินริมฝีปากและลิ้นของเขาอยู่นาน เรียวลิ้นพันกันจนยุ่งเหยิง สุดท้ายนางก็แอบขบริมฝีปากของเขาแรงๆ กัดไม่ปล่อยจนนางมั่นใจว่าสามารถสร้างบาดแผลที่ริมฝีปากล่างเขาได้แน่แล้ว จึงยอมถอนจุมพิตในที่สุด“อือ..เจ็บนะ” เขาตำหนิ แต่น้ำเสียงแล้วรู้ว่าพึงพอใจมาก“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะคิดอย่างไร แต่ชีวิตนี้ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าแต่งกับผู้ใด นอกจากข้าเท่านั้น” เสี่ย