ตกเย็นวันนั้นเสี่ยวเหอกลับมานอนที่ห้องของตัวเอง หลังจากนั้นนางไม่เคยฝันถึงช่วงเวลาที่ชิงถิงและพี่สาวถูกแทงอีกแม้สักครั้งเดียว นางค้นพบว่าทุกครั้งที่นางเดินทางข้ามเวลาคือช่วงเวลาที่ตัวเองหลับ
สถานที่ตอนหลับและตอนตื่นเป็นสถานที่เดียวกัน เพียงแต่เป็นคนละช่วงเวลา หากนางนอนอยู่บนเตียงของตัวเองก็จะตื่นบนเตียงของตัวเอง และย้อนเวลาไปมาตั้งแต่อายุยังน้อยจนถึงอายุช่วงที่ยังอยู่ในบ้านของท่านพ่อ
บางวันก็ข้ามไปช่วงอายุสี่ห้าขวบ บางวันก็ข้ามไปที่ช่วงอายุสิบสอง สิบสามปี แต่ทุกวันจะต้องได้พบชิงถิง ได้เจอทั้งวันบ้าง และได้พบเพียงครู่เดียวบ้าง ทั้งได้พูดคุยและไม่ได้พูดคุย ทั้งได้พบต่อหน้าและยืนดูอยู่ไกลๆ
แต่อย่างไรก็ต้องเห็นเขาทุกวัน ราวกับทุกช่วงเวลาที่นางตื่นก็คือช่วงเวลาที่มีชิงถิงอยู่ที่นั่น แม้จะต้องพบกับสาวใช้ตัวร้ายบ้าง แต่นางไม่คิดจะสนใจ นางรู้สึกมีความสุขมากจนไม่อยากใส่ใจเรื่องร้ายๆ
เสี่ยวเหอพยายามกลับมานอนบนเตียงของตัวเองได้อยู่สองสามเดือน ตามเวลาที่นางรู้สึก ไม่ใช่เวลาที่เดินไปจริง
กระทั่งวันหนึ่ง เสี่ยวเหออายุสิบสามปี นางได้ไปช่วยพี่สาวซื้อของในตัวอำเภอ ระหว่างทางไปเห็นก็ชิงถิงเดินสวนทางผ่านมา ได้ยินพี่สาวบอกว่าช่วงนี้บ้านของต้าจื่อยากจนมาก จนเขาต้องออกไปล่าสัตว์ทุกเช้าทั้งที่ยังเด็ก
นางรู้สึกสงสารจับใจ รีบลงจากเกวียนเทียมวัวเอาอาหารกลางวันของตัวเองให้เขา และรีบกลับมาขึ้นเกวียนรีบไปต่อ ไม่สนใจชิงถิงที่ทำหน้าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น กว่าจะรู้ว่าเสี่ยวเหอเอาข้าวเที่ยงให้ รถเทียมเกวียนก็ไปไกลแล้ว
หลังจากซื้อของเสร็จ ระหว่างทางกลับเสี่ยวเหอง่วงนอนอย่างหนัก เพราะเอาอาหารให้ชิงถิงหมดแล้ว จึงไม่มีส่วนของตัวเอง พี่หลันเหมยแบ่งให้เล็กน้อยเท่านั้น นางจึงยังหิวมาก ยิ่งหิวยิ่งทำให้ง่วงนอน
พี่หลันเหมยนอนหลับไปแล้ว แต่เสี่ยวเหอไม่กล้านอน นางกลัวว่าอาจจะตื่นขึ้นในช่วงเวลาและสถานที่ที่นางไม่รู้จัก แต่สุดท้ายก็สู้ความง่วงนอนไม่ได้ เผลอหลับไปในที่สุด
เสี่ยวเหอฝันเห็นพี่สาวถูกแทงหลังจากที่ไม่ได้ฝันเห็นเรื่องนี้มานาน ด้วยความตกใจจึงสะดุ้งตื่น หญิงสาวเห็นว่าตัวเองนอนอยู่บนเกวียนเก่าๆ ล้อข้างหนึ่งเหมือนหักไปแล้ว
ท้องใกล้มืดแล้ว นางมองบริเวณรอบด้านไม่ชัดเจน ทั้งตกใจและหวาดกลัวมาก ไม่แน่ใจว่าที่นี่คือที่ใด
ท่ามกลางแสงสนธยาที่ริบหรี่ลงทุกที เสี่ยวเหอเห็นก้อนหินขนาดเหมาะมือ นางนึกถึงตัวเองยามโยนก้อนหินใส่หัวทหารผู้นั้นในโลกก่อน จึงเลือกหยิบก้อนหินมาใส่ในแขนเสื้อ ยึดก้อนหินก้อนนั้นเป็นอาวุธ เผื่อว่ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ใช้ป้องกันตัว
หญิงสาวพยายามเพ่งสายตามองดูรอบๆ ที่นี่คล้ายจะอยู่นอกเมือง อยู่บนเนินเขาเตี้ย แม้มีแสงไฟจากบ้านคนอยู่บ้าง แต่ก็ไกลออกไปมาก มีถนนหนทาง แม้จะมืดจนเริ่มมองไม่ชัด แต่เสี่ยวเหอรู้ว่าต้องเป็นเส้นทางระหว่างไปตัวอำเภอ เพราะนางหลับไประหว่างทางกลับจากตัวอำเภอ
นางยังมั่นใจว่าจะต้องได้พบชิงถิง จึงนั่งรอ ผ่านไปไม่นานก็มีคนเดินมา แต่ไม่ใช่ชิงถิง เป็นสาวใช้จื่อรั่ว เดินเข้ามาใกล้ทุกที เสี่ยวเหอเริ่มรู้สึกไม่ดี
‘หรือว่าข้าถูกจับมาขายแล้ว’ หญิงสาวครุ่นคิด แอบกำก้อนหินในแขนเสื้อจนแน่น หัวใจเต้นเร็วเพราะความกลัว จนกระทั่งจื่อรั่วเดินมาถึง
“ข้าไปตามช่างแล้วเจ้าค่ะคุณหนูรอง แต่แถวนี้ไกลจากเมืองมาก แทบจะหาบ้านคนไม่พบ”
เสี่ยวเหอรู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย อย่างน้อยจื่อรั่วก็ยังเรียกตัวเองว่าคุณหนูรองอยู่ นางยังไม่ได้ถูกขาย
“แล้วเป็นอย่างไรบ้าง” แม้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ แต่เสี่ยวเหอก็แสร้งถามไปก่อน
แต่เมื่อสาวใช้เข้ามาใกล้ หากสังเกตดีๆ กระเป๋าหน้าท้องของจื่อรั่วตุงใหญ่เป็นพิเศษ เสี่ยวเหอเริ่มหวาดระแวง ตั้งแต่ข้ามเวลามาที่นี่ นางได้แต่หวังว่าที่โลกนี้จื่อรั่วจะเปลี่ยนไป
“มีจวนของพ่อค้าวาณิชผู้หนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเกินหนึ่งยอดเขา พวกเขายินดีจะช่วยเหลือให้ที่พักสักคืน แล้วพรุ่งนี้จะเรียกช่างซ่อมเกวียนมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
“พ่อค้าวาณิชหรือ เจ้ารู้จักหรือ? อ้วนหรือผอม แต่งงานแล้วหรือยัง” เสี่ยวเหอพยายามถามไม่ให้น้ำเสียงสั่น
“เป็นพ่อค้าวาณิชที่อ้วนมากเจ้าค่ะ เห็นว่าแต่งงานแล้ว ภรรยาตายจากไปแล้วเจ้าค่ะ แต่คุณหนูไม่ต้องกังวล เห็นว่าเขาแก่แล้ว มีลูกแล้วด้วย อยู่กันหลายคนในจวน เราแค่ต้องเดินไปอีกนิดเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเหอรู้สึกหน้าชา แต่ก็พยายามเก็บสีหน้า มือหนึ่งจับก้อนหินไว้แน่น นางไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ก็ต้องทำเพื่อเอาตัวรอด
“เจ้านำทางสิ” เสี่ยวเหอพูด
ทันทีที่จื่อรั่วหันหลังให้ เสี่ยวเหอก็จับก้อนหินทุบใส่หัวจื่อรั่วสุดแรง แต่ก็ยังแรงไม่พอ สาวใช้ล้มลง ยังคงมีสติพยายามหันหน้ามามองคุณหนูรอง นางงงงวยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เสี่ยวเหอลงไปนั่งคร่อมตัวสาวใช้ไว้ ยกก้อนหินในมือขึ้น อยู่ในท่าพร้อมทุบ จื่อรั่วส่งสายตาหวาดกลัวออกมาชัดเจน แม้เสี่ยวเหอจะกลัวมากเช่นกัน เพราะไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้มาก่อน แต่นางจะไม่ยอมให้เรื่องอย่างในโลกก่อนเกิดขึ้นอีก
“ขายข้าไปเท่าไร!” เสี่ยวเหอถามด้วยน้ำเสียงโกรธจัด
จื่อรั่วยังอ้ำๆ อึ้งๆ เสี่ยวเหอจึงจับก้อนหินทุบไปที่หน้าผากอีกครั้ง ถามด้วยเสียงข่มขู่กว่าเดิม
“ข้าถามว่าเจ้าขายข้าไปเท่าไร!!”
“หนึ่ง...หนึ่งตำลึงเจ้าค่ะคุณหนู” สาวใช้เสียงสั่น
“ข้าไม่ใช่คุณหนูของเจ้า!!” เสี่ยวเหอโกรธมาก
เพียงหนึ่งตำลึง จื่อรั่วก็ขายนางเสียแล้ว หญิงสาวจำได้ว่าตอนช่วยสตรีชั่วช้าผู้นี้มาจากพวกพ่อค้าทาส สาวใช้หวาดกลัวมากเพียงใด ขอร้องอ้อนวอนคนที่อยู่ข้างทางให้ช่วยตัวเองซึ่งกำลังถูกมัดมือพาไปขาย
วันนั้นพี่หลันเหมยไปซื้อของที่ตลาดพอดี เห็นแล้วสงสารจึงได้ช่วยซื้อตัวมา ทั้งยังช่วยตั้งชื่อให้เสียไพเราะว่า จื่อรั่ว แต่นางสารเลวนี่ช่างกล้านัก ตัวเองก็ไม่ได้อยากถูกขายแต่กลับขายคนอื่น สารเลวสิ้นดี!
“เจ้านัดกับพวกพ่อค้าวาณิชว่าจะไปพบทางทิศใด” นางถามเสียงสั่น
คราวนี้สาวใช้ตาโตส่ายหัวไม่ยอมพูด จึงถูกทุบที่หัวอีกครั้ง
“หากไม่พูด ข้าจะทุบให้ตาย” เสี่ยวเหอขู่
จื่อรั่วไหนเลยจะเคยเห็นคุณหนูรองโหดร้ายเช่นนี้ ปกติเป็นคนน่ารักใจดีเชื่อคนง่าย ใครพูดอะไรก็เชื่อหมด เหตุใดอยู่ๆ จึงกลายเป็นคนฉลาดไปได้ ทั้งยังกล้าขนาดใช้ก้อนหินทุบหัวคน
แต่ในใจของเสี่ยวเหอ คิดว่าตัวเองเคยผ่านเรื่องเลวร้ายมาตั้งมากมายกว่านี้หลายขุม แค่ปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากอันตราย เหตุใดจะทำไม่ได้ ถึงแม้จะกลัวมาก แต่นางกลัวจะเห็นภาพพี่สาวกับคนรักถูกแทงอีกครั้งมากกว่า
เสี่ยวเหอทุบลงไปตรงแผลเดิมอีกสองสามครั้งบนหน้าผากของสาวใช้ ในที่สุดจื่อรั่วก็จึงชี้นิ้วสั่นๆ ไปทางทิศใต้ด้วยความหวาดกลัว
“เรื่องคืนนี้อย่าให้ท่านพ่อเจ้ารู้เลย เดี๋ยวแม่จะค่อยๆ เกลี้ยกล่อมเขาให้ เจ้าอย่าร้อนใจไป อย่างไรแม่ก็ไม่บังคับเจ้าให้แต่งกับคนที่เจ้าไม่พึงใจ” แม่เลี้ยงบอกเสียงอ่อนโยน“ท่านแม่..” เสี่ยวเหอรู้ดีว่าในใจแม่เลี้ยงไม่ได้รักตัวเองขนาดนั้น แต่แม่เลี้ยงก็เป็นแม่ที่มีเมตตาที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นแม่เลี้ยงของคนอื่นๆ นางร้องไห้วิ่งไปกอดท่านแม่ที่กำลังจะออกจากห้อง“ขอบคุณท่านมาก..ท่านแม่ ขอบคุณที่เลี้ยงดูข้ามาอย่างดี ..ชิงชิง..คือ..ต้าจื่อจะหาทางออกเรื่องนี้เจ้าค่ะ เขาบอกว่าจะไม่ยอมให้บ้านข้าต้องน้อยหน้าเสื่อมเสียศักดิ์ศรี ท่านไม่ต้องกังวล” เสี่ยวเหอพูดแม่เลี้ยงเองก็รู้ดีว่าต้าจื่อเป็นเด็กหนุ่มมีความสามารถ แม้บ้านจะยากจนไปสักหน่อย แต่จะต้องเป็นคนที่มีอนาคตไกล จึงปลอบใจเสี่ยวเหอ“ไม่ต้องคิดมาก ท่านพ่อของเจ้าเป็นคนมีเหตุผล ไม่ได้รังเกียจคนยากจน เด็กดีเช่นต้าจื่อทั้งยังเข้ากองทัพตั้งแต่อายุน้อย ท่านพ่อจะต้องเห็นอนาคตที่ดีของเขาและยอมให้เจ้าแต่งงานแน่”แล้วแม่เลี้ยงก็กลับไป คืนนั้นกว่าเสี่ยวเหอจะนอนหลับได้ก็เกือบเช้า ทั้งที่เหน็ดเหนื่อยกับการกระทำของชิงถิงมากแท้ๆ แต่นางก็มีเรื่องให้ต้องคิดมากเต็มไป
เขาต้องการหาเสื้อตัวที่ดีที่สุดให้เสี่ยวเหอใส่ จึงค้นดูเสื้อผ้าทั้งหมด และเขาก็พบจดหมายน้อยของนางในที่สุด เขาไล่สายตาผ่านตัวอักษรที่เขียนว่าคิดถึง ก่อนจะมองไปทางตัวคนเขียนที่ยังคงนอนสั่นระริก‘ข้ารักนางมาก รักมากเหลือเกิน เสี่ยวเหอของข้า’เขามองคนรักแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ ก่อนจะวางจดหมายไว้ที่เดิม เตรียมเสื้อผ้าให้เสี่ยวเหอใส่ ตัวเขาลงไปจุดกองไฟข้างล่างห้าง เพราะกลัวว่ายิ่งดึกอากาศจะยิ่งหนาว หญิงสาวอาจจะไม่สบายได้เมื่อจุดกองไฟได้แล้ว ชิงถิงก็ไปช่วยเสี่ยวเหอใส่เสื้อผ้า อุ้มนางลงมานั่งผิงไฟด้วยกัน เพียงแต่..เขาไม่ยอมให้นางนั่งพื้น เขาเป็นคนอุ้มนางไว้บนตัก ราวกับนางเป็นเด็กน้อยเสี่ยวเหอไม่ทักท้วงเบียดซุกตัวเองกับอกกว้างของเขาอย่างสบายใจ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับเป็นห่วงเกินไปของเขา“เจ้าหลับได้เลย ข้าจะดูแลเจ้าเอง หากใกล้เช้า ข้าจะปลุก..หรือเจ้าจะให้ข้าอุ้มไปส่งที่บ้านก็ได้” ชิงชิงของเสี่ยวเหอพูดเบาๆ คล้ายอยากจะเอาใจนาง หลังจากที่กระทำรุนแรงกับนางจนพอใจ น้ำเสียงผ่อนคลายและรักใคร่เสี่ยวเหอเงยหน้าขึ้น มองหน้าเขา เห็นว่าชิงถิงอารมณ์ดีมาก จึงตัดสินใจว่าตอนนี้เขาคงจะยอมรับฟังสิ่งที่นางพูดแล้ว“ข้ามี
แรงขยับของเสี่ยวเหอนั้นไม่อาจทำให้ถึงใจของเขา ชิงชิงจึงใช้มือดึงขา สองข้างของนางมากอดไว้ที่เอวตัวเอง กอดเอวบางอุ้มนางขึ้นไปนั่งบนหีบไม้ที่ใส่เสื้อผ้า“โอ๊ย..” นางรู้ว่าเขาเริ่มอ่อนโยนขึ้น อารมณ์ก็ดีขึ้นแล้ว จึงได้แกล้งร้องแผ่วเบาชายบ้าคลั่งรีบกอดนางขึ้นมา นึกว่ามีเสี้ยนตามหีบไม้ที่ยังเอาออกไม่หมด เขาอุ้มนางค้างคาไว้เช่นนั้นไม่ยอมให้แท่งหยกลำใหญ่หลุดออกจากถ้ำดอกไม้ เดินไปหยิบกางเกงที่อยู่ใกล้ที่สุดมาปูบนหีบไม้ เพื่อให้นางนั่งสบายขึ้น และตัวเขาเองจะได้ขยับแรงๆ ได้เท่าที่ใจต้องการเสี่ยวเหอได้แต่อมยิ้มมองความน่ารักของเขา หรือที่แท้แล้ว ชิงถิงรู้จักการรักหยกถนอมบุปผาเป็นอย่างดี เพียงแต่เขาไม่ชอบเช่นนั้น เมื่อชิงถิงเริ่มขยับสะโพก นางจึงฉวยโอกาสรีบกัดริมฝีปากของเขาเอาไว้“อื้ออ” เขาส่งเสียงครางเสี่ยวเหอพึงพอใจ หากเขาไม่ชอบการรักหยกถนอมบุปผา เสี่ยวเหอก็จะทำตามที่เขาต้องการ นางจึงกัดไปอีกหลายครั้ง“โอ๊ย..ซี๊ด” เขาร้องเสียงสุขสม“ข้ารักเจ้า เจ้าช่วยพูดว่ารักข้าบ้างได้หรือไม่ พูดให้ดังๆ ข้าอยากจะฟัง” หญิงสาวออดอ้อนชิงถิงมองตานาง นัยน์ตาสั่นระริกดีใจ ต่อให้นางจะโกหกหรือไม่ เขาก็ยินดีตกนรกขุมน
ชายหนุ่มซุกหน้าลงไปที่หลังคอ พรมจูบไปทั่วบริเวณนั้น เลื่อนไปกัดที่ปลายหู เสี่ยวเหอรู้สึกยากจะควบคุมเขาได้แล้ว จึงเริ่มด่าเขา“เจ้าคนบ้าคลั่ง” นางด่าเสียงดัง ไม่กลัวใครได้ยิน“หยุดนะชิงชิง ข้า..ข้ากลัว โอ๊ย..ข้าเจ็บ สารเลว เจ้าหยุดสิ..อื้อออ”“เจ้าเป็นของข้า ของข้าผู้เดียว ข้าไม่ยอมให้เจ้าไป ทำ กับใครทั้งสิ้น” เขาพร่ำพูดแต่คำซ้ำๆเสื้อที่มัดอยู่รอบตัวเสี่ยวเหอ ทำให้นางขยับแขนไม่ได้ อยากจะทุบตีเขาก็ทำไม่ได้ รู้ตัวอีกทีเขาก็จับสะโพกของนางเชิดขึ้นเล็กน้อย และเริ่มสอดใส่เอ็นมังกรเข้าไปในตัวนางทันที“อึก..โอ๊ย..อื้อ” เสี่ยวเหอร้อง เพราะความคับแน่น แม้ว่าจะเจ็บน้อยกว่าครั้งแรกแล้วก็ตามเมื่อชิงถิงผู้บ้าคลั่งได้เริ่มสอดใส่ก็ขยับสะโพกรัว กระแทกกระทั้นรุนแรง จากที่เสี่ยวเหอด่าเขาอยู่ก็เริ่มส่งเสียงไม่เป็นคำ ได้แต่พูดอื้อๆ อาๆชิงถิงหยุดพักหายใจสักครู่ เสี่ยวเหอยังไม่ทันหายใจทั่วท้องก็ถูกอุ้มขึ้นเหมือนเด็กเล็ก เขาตัวทั้งใหญ่ทั้งสูง อุ้มนางในท่าแปลกประหลาด ทั้งสองคนหันหน้าไปทางเดียวกันเขาจับสองขาของนางยกและแยกออก เขาไม่ยอมให้มังกรตัวเขื่องหลุดออกจากกลีบดอกไม้ของนาง กระแทกกระทุ้งทั้งที่อุ้มนางอยู
เขารักนางอย่างบ้าคลั่ง ตรรกะเหตุผลคล้ายไม่มีความหมาย ต้องยั่วยุให้เขาได้ปลดปล่อยอารมณ์ก่อน เมื่อเขาปลดปล่อยจนใจเย็นลง นางจะค่อยๆ พูดค่อยๆ กล่อมเขา แล้วค่อยเล่าความจริงให้เขาฟังจะดีกว่าเมื่อตัดสินใจเช่นนั้น เสี่ยวเหอจึงพยายามผลักเขา แสดงให้เขารับรู้ว่านางไม่ยินยอม แต่เขาก็ไม่ยินยอม ต่างฝ่ายผลักไปผลักมาจนเล็บของเสี่ยวเหอเผลอไปขูดใส่ต้นคอของชิงถิง มีเลือดซึมออกมาเสี่ยวเหอได้กลิ่นเลือดจางๆ นางก็ตกใจอย่างมาก รีบดึงมือกลับและมองนิ้วตัวเองซึ่งมีคราบเลือดของเขาติดมาด้วย หญิงสาวหน้าซีด“ข้า..ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” นางออดอ้อนแต่เขาไม่สนใจ ชิงถิงจับมือของนางมาเลียตรงรอยเลือด เสร็จแล้วก็ก้มลงไปจุมพิตนางใหม่อีกครั้ง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ในปาก เสี่ยวเหอได้แต่พยายามผลักเขาออก“ต้องรีบดูแผล ข้าไม่ได้ตั้งใจ” นางกลัวว่าเขาจะเจ็บแต่เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บที่แผล ในใจของเขาเจ็บปวดมากกว่ารอยข่วนร้อยเท่าพันเท่า ชิงถิงจับมือนางทั้งสองข้างชูขึ้นไปบนหัวและเริ่มกอดจูบนางอีกครั้ง มือหนึ่งรวบมือทั้งสองข้างของนางเอาไว้ราวกับกรงขัง อีกมือคลึงบีบอกอิ่มของนางอย่างต้องการครอบครองชิงถิงจูบปากเสร็จก็เลื่อนลงมาจู
เสี่ยวเหอเองก็โมโหมาก ทันทีที่เขาปล่อยนางลง นางจึงวิ่งหนี แต่เขาก็รีบจับนางกลับมา ผลักนางติดกับต้นไม้กลางห้างและใช้สองแขนขังนางเอาไว้ เขากักนางเอาไว้เพียงหลวมๆ กลัวว่าเสี่ยวเหอจะเจ็บ แต่เสี่ยวเหอกลับตะโกนโวยวาย“ปล่อยข้า ข้าจะไปแต่งงานกับต้าหลี่ หรือไม่ก็จะเดินทางไปคืนนี้เลย ไปบอกตระกูลหยวนว่าจะแต่งงานด้วย” เสี่ยวเหอไม่ชอบใจเลย เวลาที่ชิงถิงไม่ฟังคำพูดของนางคำว่านางจะแต่งงานให้กับผู้อื่นคล้ายกับน้ำมันที่ราดบนกองไฟแห่งความหึงหวงของเขา ไหน้ำส้มแตกเต็มหัวใจล้นออกมาจนควบคุมไม่ได้ ไฟรักไฟแค้นก็ยิ่งโชติช่วง เขาจูบปิดปากเสี่ยวเหอเพื่อให้นางหยุดพูดเรื่องพวกนี้เสียทีเสี่ยวเหอรู้สึกโมโห ไม่ยินยอม เหตุใดเวลาเขาด่าทอว่านาง นางทำได้เพียงรับฟังและเสียใจ แต่เวลานางด่าทอว่าเขาบ้าง เขากลับทั้งจูบปิดปาก ทั้งยังมาโมโหใส่นางอยากจะพูดความจริงออกไปทั้งหมดแต่เขากลับไม่ยอมฟัง นางผลักเขาเต็มแรง พยายามหนีออกจากอ้อมกอดแกร่ง ชิงถิงที่เลือดขึ้นหน้าจะยอมได้อย่างไรเขากอดนางไว้ ซุกเข้าที่คอของนาง ขบเม้มอย่างจงใจ เบียดนางจนหลังของนางที่ติดกับต้นไม้เริ่มเจ็บ เขาใช้มือหนึ่งดึงเชือกผูกกางเกงของนาง ดึงถอดกางเกงของนาง