เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย มู่เลี่ยงหรงปรับสีหน้าเป็นปกติดุจเดิม พลันสาวเท้าตรงไปหาเยี่ยนเยว่ฉีแล้วดึงมือของนางมากอบกุมเอาไว้ เขาปลอบประโลมคู่หมั้นสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่หลงเหลือความดุดันแม้แต่น้อย อากัปกิริยาที่แสดงออกบ่งบอกถึงความห่วงหาอาทร ทั้งหมดนี้สร้างความเจ็บปวดและริษยาให้สตรีอีกผู้ที่มองมาจากอีกมุมหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้
จ้าวกุ้ยอินเม้มริมฝีปากแน่น เล็บแหลมคมจิกเข้าที่ฝ่ามือเพราะเผลอกำหมัดอย่างแรง แต่ความเจ็บเพียงเท่านี้ก็ไม่เท่าที่ดวงใจถูกบีบรัด นางเองก็เป็นห่วงมู่เลี่ยงหรงไม่แพ้สตรีผู้นั้น เพียงแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้
สุดท้ายก็ปลอบใจตนเองว่าอีกไม่นานไทเฮาจะทรงพระราชทานสมรสให้พวกเขา เมื่อถึงเวลานั้นนางไม่เชื่อว่าชายในดวงใจจะไม่แลเห็นคุณธรรม ความสามารถ และส่วนที่ดีงามภายในจิตใจของตนเอง
แม้เยี่ยนเยว่ฉีมีรูปโฉมสะคราญตา แต่ตนเองก็เป็นหนึ่งในยอดพธู หนำซ้ำศักดิ์ฐานะก็เหนือกว่าหลายขุม อีกทั้งเรื่องเล่ห์กลในเรือนหลังนางล้วนเห็นมาจนชินตา ย่อมไม่มีทางเพลี่ยงพล้ำให้อีกฝ่ายโดยง่าย ขอเพียงนางช่วงชิงความโปรดปรานจากมู่เลี่ยงหรงมาได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกลัวอีกต่อไป
เหตุการณ์สงบลงแล้ว คนร้ายถูกจัดการจนสิ้น แต่หารู้ไม่ว่ายังมีอีกหนึ่งภัยซ่อนอยู่
คนร้ายพร้อมธนูอาบยาพิษเร้นกายอยู่บนขื่อนานแล้ว เมื่อแผนแรกล้มไม่เป็นท่าชายในชุดดำปิดหน้าจึงลอบยิงใส่ฉินอ๋องจากมุมสูง ขณะที่ทุกคนคลายความระแววระวังหมดแล้ว จ้าวกุ้ยอินเกิดได้ยินเสียงผิดปกติจากด้านบนพอดี นางแหงนหน้าขึ้นไปมองก็เห็นคนร้ายกำลังเล็งธนูหมายสังหารฉินอ๋อง
ร่างกายไวกว่าความคิด จ้าวกุ้ยอินวิ่งตรงเข้าหามู่เลี่ยงหรงจากด้านหลัง ใช้ร่างบางต่างโล่กันลูกธนูที่แล่นมา
“กรี๊ด!”
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของจ้าวกุ้ยอินดังไปทั่วห้องโถง มู่เลี่ยงหรงหันกายกลับมา
ทว่าเยี่ยนหยางจงไวกว่าจึงคว้าร่างบางเอาไว้ได้ทัน พร้อมกับปามีดสั้นสังหารมือเกาทัณฑ์บนขื่ออย่างง่ายดาย
รองแม่ทัพหนุ่มยอบกายลงนั่ง แล้วกอดจ้าวกุ้ยอินไว้แนบอก ดวงตาจดจ้องลูกธนูที่ปักอยู่ที่กลางแผ่นหลังของนาง พลางโทษตนเองที่ประมาทจนละเลยไปชั่วขณะ รู้สึกสลดอยู่ลึก ๆ ในชั่วเวลาที่เคลื่อนสายตากลับมาบนใบหน้างดงามที่อิงซบบนอกเขา
บัดซบ!
สุดท้ายแล้ว โชคชะตาก็ต้องเป็นไปใช่หรือไม่ หากปล่อยให้นางรอดไปได้ สตรีผู้นี้ก็จะเป็นเหตุให้เยี่ยนเยว่ฉีถึงความตายก่อนวัยอันควร
“ท่านหญิง เลือกแล้วใช่หรือไม่” เขากระซิบ
แม้จะไม่เข้าใจคำถามเท่าใดนัก แต่นางก็เลือกปกป้องคนที่ตนเองมีใจ นี่ก็ไม่ใช่สิ่งผิดเสียหน่อย “ชะ..ใช่” จ้าวกุ้ยอินตอบเสียงเบา เพราะรู้สึกรวดร้าวจากคมศรที่บาดกระดูกยามหายใจ
“ลูกธนูดอกนี้มีพิษจากแคว้นเป่ย ท่านหญิงจะตายในชั่วครึ่งก้านธูป” เยี่ยนหยางจงตัดสินใจบอกสถานการณ์ที่นางกำลังเผชิญ ถ้าจ้าวกุ้ยอินเกรงกลัวความตายสักนิดล่ะก็ เขาอาจจะยังเปลี่ยนทุกอย่างได้
พอได้ยินดังนั้น ความหวาดกลัวสายหนึ่งก็ถาโถมใส่จ้าวกุ้ยอิน นางยังมีหลายสิ่งที่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย แต่ถ้าหากต้องตาย อย่างน้อยก็ขอให้ได้ยินคำขอบคุณ หรือได้เห็นความเป็นห่วงเป็นใยจากดวงตาของมู่เลี่ยงหรงสักครั้งก็พอ
“ชะ...ช่วยด้วย พะ...พี่เลี่ยงหรง ช่วยอินอินด้วย”
ความรู้สึกเดือดดาลโหมกระพือในใจของเยี่ยนหยางจง ขนาดนี้แล้ว...จ้าวกุ้ยอินก็ยังคิดถึงแต่บุรุษที่ไม่เคยเห็นนางในสายตาอยู่อีก ช่างเป็นสตรีที่โง่งมในรักโดยแท้
“ท่านอ๋องไม่มียาแก้หรอกนะ แต่หากท่านหญิงสาบานว่าจะไม่ใช้เรื่องนี้บังคับแต่งงานกับท่านอ๋อง หยางจงจะถอนพิษให้ท่านทันที”
“ถะ...ถ้าไม่ได้แต่งกับเขา ขะ...ข้ายอมตายเสียดีกว่า”
“เช่นนั้น...จงรอความตายกับข้าตรงนี้เถิด” เยี่ยนหยางจงไม่แปลกใจกับคำตอบเท่าใด ใบหน้าคมคายยกยิ้มอ่อนโยน แต่เสียงกระซิบกลับเยียบเย็น
“จะ...เจ้ามันปีศาจ ปะ...ปล่อยข้านะ หากจะตาย ก็ขอตายในอ้อมกอดของคนที่ข้ารักยัง...ยังดีเสียกว่า” อาการบาดเจ็บของนางหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สุ้มเสียงเบาหวิวเกินกว่าที่ผู้อื่นจะได้ยิน
“สมเป็นท่านหญิงกุ้ยอิน ช่างดื้อดึงนัก”
จ้าวกุ้ยอินสาบานว่าเห็นความเศร้าสลดในดวงตาคู่นั้นแวบหนึ่ง แต่นางไม่มีแรงพูดอีกต่อไปแล้ว ภาพในคลองจักษุเริ่มพร่ามัว นางละสายตาจากเยี่ยนหยางจง แล้วพยายามมองหาบุรุษในชุดปักลายสีดำที่ยืนดูอยู่ไม่ไกล
ทว่ามู่เลี่ยงหรงกลับมองนางอย่างชิงชัง
เสียงร้องเรียกปานขาดใจของบิดาลอยผ่านเข้ามาในโสต หยาดน้ำตาไหลลงอาบแก้ม นางกำลังจะตายในอ้อมแขนของคนใจหินที่พยายามบีบคั้นตนเองเพื่อแลกกับความช่วยเหลือ
แต่ทำไมเขาถึงดูเศร้านักเล่า? ไม่ใช่ว่าอยากให้นางตายหรอกหรือ?
เยี่ยนหยางจงสบนัยน์ตาดุจนางม้าป่าที่ยังคงดื้อดึงแม้กำลังยืนอยู่ต่อหน้าประตูผีของสตรีในอ้อมแขน แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองน้องชายด้วยสีหน้าราวกับต้องการขออภัย
“ใช่ ข้ามันบัดซบ” เขาพึมพำเบา ๆ ที่ข้างหูนาง จากนั้นก็หยิบขวดยาออกมาจากอกเสื้อ แล้วป้อนเข้าปากจิ้มลิ้มที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีม่วง
แม้จะไม่เข้าใจที่ฝ่ายยอมช่วยเหลือทั้งที่นางก็ไม่ได้ยินยอมจะทำตามขอเสนอ แต่ด้วยเหตุนี้จ้าวกุ้ยอินจึงรู้สึกว่าเยี่ยนหยางจงไม่ได้เป็นคนเลวสักเท่าใด
“ขะ...ขอบคุณ”
การตัดสินใจครั้งนี้อาจนำมาซึ่งอันตรายต่อเยี่ยนเยว่ฉีในวันข้างหน้า เขาไม่อาจกระทำผิดต่อน้องสาวได้อีกแล้ว จึงจำเป็นต้องยื่นคำขาด
“หากท่านหญิงยืนยันจะแต่งกับฉินอ๋องให้ได้ นับจากวันนี้ไป ข้าจะไม่ช่วยเหลืออะไรท่านอีกแม้แต่เรื่องเดียว จงจำเอาไว้ วันที่เกี้ยวเจ้าสาวจากตระกูลจ้าวเข้าสู่จวนฉินอ๋อง เราทั้งสองถือเป็นศัตรู”
จ้าวกุ้ยอินได้ยินเช่นนั้นก็ทอยิ้มละมุนสายหนึ่ง ก่อนที่จะหมดแรงสลบไปโดยไม่ทันได้ตอบอันใด
เยี่ยนหยางจงอุ้มร่างไร้สติของนางขึ้นแล้วสาวเท้าเดินไปหาจ้าวจวิ้นอ๋อง “ผู้น้อยถอนพิษให้แล้ว ส่วนลูกธนูนั้นไม่ถูกจุดตาย แต่คงไว้ใจไม่ได้อยู่ดี จวิ้นอ๋องรีบพาท่านหญิงกลับไปรักษาเถิด”
“ขอบคุณรองแม่ทัพเยี่ยน เราจะไม่ลืมบุญคุณในครั้งนี้” จ้าวเฟิงเหลยกล่าวพลางรับร่างของน้องสาวมา
“มิได้ ผู้น้อยเพียงทำตามหน้าที่ ขอให้จวิ้นอ๋องรีบออกไปจากที่นี่เถิด”
จ้าวเฟิงเหลยหันไปส่งสายตาแสดงความห่วงใยให้ถางซือเซียน ก่อนจะรีบพาร่างไร้สติของจ้าวกุ้ยอินออกไปพร้อมกับจ้าวอ๋อง และองครักษ์ที่เหลือ
เห็นมู่เลี่ยงหรงมองตามเงาร่างของจ้าวกุ้ยอินด้วยดวงตาที่ยากจะอ่านออก แต่จากสีหน้าดำทะมึนของเขา ไม่ต้องพูดออกมาเยี่ยนหยางจงก็เดาได้ทันทีว่าผู้เป็นอ๋องคงมิได้ซาบซึ้ง แม้สตรีผู้นั้นจะใช้ชีวิตของตนเองปกป้องเขาเอาไว้ก็ตาม ไม่แน่ว่าฉินอ๋องอาจจะอยากเป็นคนโดนเกาทัณฑ์ดอกนั้นเสียเอง จะได้ไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจ้าวกุ้ยอินจะมาเรียกร้องสิ่งใดในวันข้างหน้า
ขณะเดียวกัน เยี่ยนเยว่ฉีกำหมัดแน่น ด้วยมั่นใจว่าสตรีน่าตายผู้นั้นใช้แผนสาวงามช่วยวีรบุรุษ เห็นทีเรื่องวุ่นวายในวันนี้จ้าวกุ้ยอินต้องมีส่วน แต่จะถามหาผู้บงการได้อย่างไร เพราะพี่ใหญ่ของนางสังหารนักแม่นธนูลึกลับบนขื่อไปแล้ว
สายตากรุ่นโกรธอย่างไม่ปิดบังถูกส่งจากเยี่ยนเยว่ฉีไปยังพี่ชายคนโต เยี่ยนหยางจงจึงเดินเข้ามาใกล้น้องสาวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขายื่นมือออกมาหมายจะลูบศีรษะนั้นปลอบประโลม ทว่าถูกน้องสาวปัดออกไปอย่างไม่ไยดี
เยี่ยนจิ้นหลิงเห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้ามาห้ามปราม ก่อนที่เยี่ยนเยว่ฉีจะโมโหจนขาดสติ
“ขึ้นรถม้า กลับถึงบ้านแล้วค่อยคุยกัน ทางนี้ข้ามอบหมายผู้อื่นให้จัดการแล้ว”
สิ้นคำก็ลากพี่ชายกับน้องสาวออกไปจากโรงละคร โดยไม่สนใจฉินอ๋องที่ยังยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น
ก่อนจะถึงวันครบรอบแต่งงาน เยี่ยนหยางจงก็หว่านล้อมจ้าวกุ้ยอินให้ออกมามาล่องเรือเล่นกับเขาได้สำเร็จทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณทิศใต้ของเมืองหลวง รอบ ๆ เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานา ทำให้ทัศนียภาพแปลเปลี่ยนไปในแต่ละฤดูเนื่องจากยามนี้เป็นปลายฤดูร้อนแล้ว อากาศจึงเย็นสบายกำลังดีจ้าวกุ้ยอินนั่งหันหน้าไปทางหัวเรือ สองสายตามองตรงไปยังท้องน้ำที่เปล่งประกายยามต้องแสงอาทิตย์ แม้จะฉากหลังจะงดงามราวภาพวาด ทว่าดวงหน้างามปานล่มเมืองกลับหม่นเศร้า แววตาที่เคยเด็ดเดี่ยวดังนางม้าป่าดูซึมเซาจนเยี่ยนหยางจงสะท้อนใจโดยปกติ สำหรับผู้สูงศักดิ์ บ่าวไพร่มีค่าไม่ต่างจากมดปลวก เขาไม่คิดว่าการที่ตนเองพรากชิวสุยไปจากจ้าวกุ้ยอิน จะสร้างความกระทบกระเทือนจิตใจให้นางขนาดนี้ตั้งแต่ออกจากจวนจนถึงตอนนี้ จ้าวกุ้ยอินพูดกับเขานับคำได้ หากตนเองยังไม่ทำอะไรสักอย่าง เกรงว่าหยางจงน้อยคงจะไม่ได้เกิดเป็นแน่ครั้นแล้วเยี่ยนหยางจงก็ออกแรงพายเรือให้เร็วขึ้นอีก จนกระทั่งพวกเขาออกมาไกลจากเรือลำอื่น ๆจ้าวกุ้ยอินเหม่อมองเบื้องหน้าอย่างคิดไม่ตก นางเองก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้ แต่ส่วนลึกไม่อาจให้อภัยตนเองได้ เพราะถ้าชิวสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ ป่านนี
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้น เยี่ยนจิ้นหลิงก็ไปบอกกับมารดาว่าจ้าวกุ้ยอินสุขภาพสมบูรณ์ดีแล้ว ขอเพียงเยี่ยนหยางจงขยันหว่านเมล็ดพันธุ์ นางจะต้องตั้งครรภ์อย่างแน่นอน ไป๋หลันได้ยินดังนั้นก็ยินดีอย่างยิ่ง ถึงกับยกเลิกการคารวะยามเช้า และส่งของบำรุงทั้งหลายแหล่มาให้ ยามนี้จ้าวกุ้ยอินจึงดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลยิ่งกว่าที่เคยเนื่องจากสถานการณ์สงบแล้ว จ้าวกุ้ยอินจึงมีใจอยากออกไปพบปะผู้คนบ้าง เยี่ยนหยางจงมิได้มีปัญหา แต่ยังรู้สึกไม่วางใจ จึงสั่งให้ฟางหรู หนิงเหอ จิวซิน และอวิ้นเซียนติดตามไปด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงของจวนใด ภาพที่ผู้อื่นคุ้นชินคือขบวนของฮูหยินซื่อจื่อไคกั๋วกง ยิ่งเห็นจ้าวกุ้ยอินปฏิบัติกับเหล่าอนุอย่างดี อีกทั้งสายตาของพวกนางก็เต็มไปด้วยความเคารพนบนอบยิ่ง ทำให้ชื่อเสียงเรื่องความใจกว้างของจ้าวกุ้ยอินระบือไกล โดยหารู้ไม่ว่าสตรีทั้งสี่เป็นเพียงอนุแค่ในนาม แท้จริงแล้วพวกนางสี่คนคือองครักษ์หญิงที่เยี่ยนหยางจงกับจ้าวอ๋องจัดหามาให้ และทุกครั้งที่เขาไปหาพวกนาง ก็เป็นเพียงฉากบังหน้า แต่แท้ที่จริงลอบออกไปทำภารกิจลับยามราตรีต่างหากสตรีผู้เดียวที่เยี่ยนหยางจงร่วมเรียงเคียงหมอนก็คือจ้า
“นั่นเพราะสวรรค์สร้างให้พี่ชายข้าเกิดมาเป็นคนพิเศษอย่างไรเล่า” เยี่ยนหยางจงเคยได้รับบาดเจ็บบริเวณใกล้เคียงจุดนี้มาก่อน ทำให้รู้ว่าหัวใจของพี่ชายอยู่ทางอกด้านขวา ดังนั้นยามเห็นปิ่นปักอยู่ทางอกซ้ายจึงยังใจเย็นอยู่ได้“หากเจ้ารู้อาการดีก็ควรรีบบอก แกล้งอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เช่นนี้ไม่ได้มีเพียงแต่กุ้ยอินที่ใจเสีย พวกข้าเองก็ไม่ต่างกัน” จ้าวเฟิงเหล่ยถอนใจเบา ๆ“จวิ้นอ๋อง อย่าทำหน้าแบบนั้น นางสิผิดที่ไม่ฟังอะไรเลย จู่ ๆ ก็มาตีโพยตีพายใส่พวกเราโดยไม่นึกถึงความผิดตัวเองสักนิด อย่างไรก็ปล่อยให้ข้าได้ล้างแค้นเสียหน่อยเถิด” เยี่ยนจิ้นหลิงหาเหตุผลให้การกระทำของตนเองได้สำเร็จภายในห้อง“อาจง อาจง” จ้าวกุ้ยอิงนั่งอยู่ข้างเตียงที่มีเยี่ยนหยางจงนอนเหยียดยาวอยู่ ชายหนุ่มเปลือยท่อนบนเผยให้เห็นแผ่นอกกำยำที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ นางพึมพำเสียงเครือขณะที่ลูบใบหน้าคร้ามคมที่ดูเผือดเซียวเล็กน้อย “ท่านเจ็บมากหรือไม่ ขอโทษนะที่ข้า...”“อินเอ๋อร์... พอเถิด ร้องไห้จนตาแดงช้ำไปหมดแล้ว” เยี่ยนหยางจงว่าพลางใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้ “แต่ก็ เพราะเสียงด่าเสียงร้องไห้ของเจ้า ทำให้ยมทูตต่างยอมล่าถอย ไม่ยอมมารับดวงวิญญาณของข้าไป
เยี่ยนจิ้นหลิงสูดลมหายใจลึก รู้ว่าประโยคต่อจากนี้ไม่ต่างจากเอาน้ำเกลือราดรดลงบนแผล แต่ก็ตัดสินใจพูดไป “ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าเป็นเพราะท่านที่รนหาที่ พี่ใหญ่จึงต้องบาดเจ็บเช่นนี้”จ้าวกุ้ยอินเมื่อได้ยินเช่นนั้นประหนึ่งถูกน้ำเย็นราดรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ร่างกายเอนซวนซบเข้ากับเสาอย่างหาที่พึ่งพิง “รนหาที่หรือ? ข้าเพียงแค่อยากรู้เท่านั้นว่าภาพของอู๋หมิงกงจื่อที่นำมาประมูล เป็นภาพเดียวกันกับที่ข้าพบในห้องหนังสือของเขาหรือไม่เท่านั้น... เพียงเท่านั้น”“อู๋หมิงกงจื่อ... อู๋หมิงกงจื่อ ถ้าท่านพอใจในผลงาน ไฉนจึงไม่ขอกับพี่ใหญ่เล่า เขาใช้เวลาไม่นานก็วาดให้ท่านได้ จะเอากี่สิบกี่ร้อยภาพก็ตามแต่ใจท่าน... สวรรค์... ท่านกลับทำให้เขาต้องมาเจ็บตัวเพราะความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเล็กน้อยเท่านี้เองหรือนี่ ไม่น่าเชื่อเลย” เยี่ยนจิ้นหลิงได้ยินเช่นนั้นพลันส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เขาเดินมาใกล้กับจ้าวกุ้ยอิน มองใบหน้างดงามที่เผือดซีดราวกระดาษวาดภาพ“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน” จ้าวกุ้ยอินเงยหน้าขึ้นมาสบตากับน้องเขยของตน ดวงตากลมโตวาววับดังเนื้อทรายนั้นระคนด้วยความสงสัยอย่างไม่ปิดบัง “พี่สะใภ้ ดูท่าพี่ใหญ่คงไม
“อะไรนะ จ้าวกุ้ยอิน เจ้า... เจ้ากล้าหลอกเปิ่นหวาง” เส้นเลือดตรงขมับของมู่เฟยหรงเต้นตุบ ๆ ยามนี้เขารู้สึกเหมือนมีคำว่าโง่ บรมโง่ ติดอยู่กลางหน้าผาก ถ้าไม่เพราะกลัวหนอนกู่จะกัดกินร่าง เขาคงหลบหนีได้ทัน“นี่พวกเจ้าจะยืนเฉยอีกนานไหม ถ้ายังมัวชักช้า อาจง... อาจงอาจจะตายก็ได้นะ” จ้าวกุ้ยอินไม่สนใจท่าทางกระฟัดกระเฟียดของมู่เฟยหรง แต่หันไปมองมู่เลี่ยงหรงกับเยี่ยนจิ้นหลิงแทน“ขออภัย เปิ่นหวางนึกว่าเขาตายแล้ว” ตอนมู่เลี่ยงหรงเข้ามา เห็นปิ่นเงินปักอยู่ตรงอกด้านซ้ายของเยี่ยนหยางจง ก็คิดว่าเขาไม่น่าจะรอดแล้ว จึงละเลยพี่ภรรยาไป แต่พอรู้ว่าเขายังไม่ตาย ก็บังเกิดความละอายใจเล็กน้อยบรรพบุรุษเจ้าสิตาย! จ้าวกุ้ยอินมองมู่เลี่ยงหรงด้วยดวงตาแดงก่ำ สาปแช่งบรรพบุรุษตระกูลมู่ในใจไม่หยุด “เขายังไม่ตายสักหน่อย”“เด็ก ๆ พาแม่ทัพไป๋หู่กลับจวนไคกั๋วกง” สิ้นคำสั่งของฉินอ๋อง เหล่าองครักษ์ก็จัดการนำร่างของเยี่ยนหยางจงออกไปจากที่นั่น โดยมีจ้าวกุ้ยอินร้องไห้วิ่งตามไปบทส่งท้าย ชั่วยามนี้ จวนไคกั๋วกงเต็มไปด้วยความร้อนรนอลหม่าน หลังจากซื่อจื่อของจวนกลับมาพร้อมกับฮูหยินน้อยที่หายตัวไปในสภาพที่มีแผลฉกรรจ์ตรงหน้าอก อาการเ
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” มู่เฟยหรงไม่เข้าใจว่าเยี่ยนจิ้นหลิงตามมาถูกได้อย่างไร ความจริงพวกเขาควรจะตามไปจัดการกับเอี้ยนอ๋องที่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองหลวงสิ ทำไมถึงมาที่นี่ หรือว่าแผนการทั้งหมดล้มเหลว“เรื่องนี้ต้องขอบคุณพี่สะใภ้ จิ้นหลิงเพิ่งรู้ว่าเครื่องประดับมากมายเหล่านั้นก็มีประโยชน์อย่างอื่นด้วย” ระหว่างตามรอยเยี่ยนหยางจง เยี่ยนจิ้นหลิงพบจิงจิงวิ่งอยู่บนพื้นหิมะ จึงได้รับสารขอความช่วยเหลือ“เจ้าพบจิงจิงสินะ” จ้าวกุ้ยอินเข้าใจในทันที“พี่สะใภ้เข้าใจเล่นคำ ‘ตามจิงจิง(อัญมณีแวววาว)มา’ หากเป็นผู้อื่นคงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้กระรอกนำทาง แต่บังเอิญเป็นจิ้นหลิงที่ได้รับสารจึงเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่” ภาพอัญมณีสะท้อนแสงคบไฟในความมืดเป็นระยะผุดขึ้นในความทรงจำ ยามนี้เขายอมรับแล้วว่าพี่สะใภ้มิใช่ที่มีดีแค่ความเป็นหญิงงาม สติปัญญาของนางยังอยู่ในระดับใช้ได้อีกด้วย“ไว้ชมกันทีหลัง รีบพาอาจงไปรักษาเร็วเข้า” จ้าวกุ้ยอินเร่งเร้า“ย่อมได้” เยี่ยนจิ้นหลิงรับคำ แล้วหันไปหามู่เฟยหรง กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง “หานอ๋อง ท่านหนีไม่รอดแล้วล่ะ ยอมกลับวังหลวงดี ๆ เถิด จะได้ไม่ต้องมีใครบาดเจ็บอีก จิ