เมื่อเห็นว่าอาการของธิดาสุดที่รักดีขึ้นจริง ๆ ตามคำรายงาน จ้าวอ๋องก็กล่าวขอบคุณสวรรค์ เขารีบรุดมานั่งลงที่ขอบเตียง จดจ้องใบหน้าของจ้าวกุ้ยอินพลางยกยิ้ม แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความห่วงใย “อินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บมากหรือไม่”
“ยังเจ็บแผลอยู่บ้างเจ้าค่ะ นอกนั้นก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว คาดว่าอีกไม่นานคงจะลุกขึ้นมาร่ายรำให้ท่านพ่อชมได้” นางตอบบิดาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ดี... ดียิ่ง” จ้าวอ๋องหัวเราะเบา ๆ แล้วยื่นมือไปลูบศีรษะของธิดาอย่างทะนุถนอม
แต่แล้วรอยยิ้มของจ้าวอ๋องมีอันต้องจืดจาง เมื่อจ้าวกุ้ยอินไต่ถามถึงฉินอ๋อง แม้ไม่ต้องการให้ธิดาของตนเองเสียใจ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ไม่แน่ว่าสตรีที่โง่งมในรักตรงหน้าจะหูตาสว่างแล้วยอมรับความจริง
“อินเอ๋อร์ ในระหว่างที่เจ้าบาดเจ็บสาหัส มู่เลี่ยงหรงก็ตบแต่งกับบุตรสาวไคกั๋วกงไปเรียบร้อยแล้ว”
“เรื่องนั้นลูกเข้าใจ แม้ต้องแต่งเข้าไปเป็นชายารองก่อนก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไว้ลูกมีบุตรชายให้เขาเมื่อไหร่ ด้วยศักดิ์ฐานะย่อมต้องได้เลื่อนขั้นเป็นผิงซี[1]”
“อินเอ๋อร์ พ่อรู้ว่าเจ้าอดทนได้ แต่เจ้าควรได้เป็นชายาเอก” จ้าวอ๋องเห็นอากัปกิริยาเหล่านั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ว่าแต่...เมื่อไหร่ญาติผู้พี่ถึงจะส่งเกี้ยวมารับลูกเข้าจวนฉินอ๋องเล่าเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยอินยังคงเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น ดวงตาพราวระยับเต็มไปด้วยความหวังอันเปี่ยมล้น
สีหน้าของจ้าวอ๋องดำทะมึนขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ตัดสินใจบอกความจริงออกมา
“เจ้าเด็กมู่เลี่ยงหรงนั่นประกาศกับไทเฮาว่าจะไม่รับเจ้าเข้าจวนเด็ดขาด เพราะสงสัยว่าทั้งหมดคือแผนทุกข์กาย”
“แผนทุกข์กาย?” จ้าวกุ้ยอินเบิกตากว้าง ภายในอกบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก จริงอยู่ที่นางมีใจให้มู่เลี่ยงหรง และเฝ้าคอยวันวิวาห์มาอย่างยาวนาน แต่นั่นเป็นเพราะตนเองคือคู่หมายตั้งแต่วัยเยาว์ หนำซ้ำครานี้ยังช่วยชีวิตของเขาเอาไว้อีกด้วย มิใช่สตรีไร้ยางอายที่ใช้แผนสกปรกเพื่อจับบุรุษเสียหน่อย
นี่มันดูถูกกันชัด ๆ !
“อินเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนเช่นไรไยพ่อจะไม่รู้ หากผู้อื่นอยากตรวจสอบก็ให้ทำไปเถิด เพราะผลลัพธ์ย่อมออกมาเป็นลูกสาวของพ่อคือผู้บริสุทธิ์อย่างแน่แท้ ถึงเวลานั้นพ่อค่อยต่อว่าแล้วทวงความยุติธรรมให้เจ้าก็ได้”
“ท่านพ่อ ลูก... ลูกมีอันใดสู้เยี่ยนเยว่ฉีกับถางซือเซียนมิได้หรือ ญาติผู้พี่ถึงได้...” ยามนี้จ้าวกุ้ยอินทั้งโกรธทั้งอาย แต่ที่มากมายกว่าอะไรทั้งหมดคือความคับข้องใจ
“หึ! เป็นฉินอ๋องต่างหากที่ตาไร้แวว มองไม่เห็นความดีงามของเจ้า อินเอ๋อร์ ล้วนเป็นเขาต่างหากที่ไม่คู่ควรกับลูกสาวของพ่อ ดังนั้นเจ้าเลิกคิดถึงเรื่องแต่งเข้าจวนฉินเถอะ” น้ำเสียงแข็งกร้าวเจือไปด้วยโทสะ ยามนี้จ้าวอ๋องอยากจะชกหน้าหล่อ ๆ ของมู่เลี่ยงหรงยิ่งนัก
“ท่านพ่อกล่าวเช่นนี้หมายความว่า...”
“...” จ้าวอ๋องหลุบตาลง แล้วพยักหน้าเบา ๆ เป็นการตอบว่าธิดาของเขาเข้าใจถูกแล้ว
“ไม่นะเจ้าค่ะ ลูกไม่ยอม” จ้าวกุ้ยอินรู้สึกรับมือไม่ทัน ได้แต่ร้องออกมาอย่างไม่ยินยอม
เจ้าอ๋องรู้ว่าธิดาของเขาปักใจต่อมู่เลี่ยงหรงมากเพียงใด ทว่ายามนี้ในใจโกรธเคืองฉินอ๋องยิ่งนัก ไม่คิดอยากได้บุรุษเช่นนั้นมาเป็นบุตรเขยอีกแล้ว
แต่หากตนเองบังคับให้จ้าวกุ้ยอินแต่งงานกับผู้อื่น เกรงว่าสุดท้ายธิดาผู้ดื้อดึงคงไม่พ้นวิ่งไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย คงมีแต่ต้องใช้ไม้นวมเท่านั้น ให้นางค่อย ๆ ยอมรับความจริง และแต่งกับบุรุษที่คู่ควรสักคน
“อินเอ๋อร์ พ่อไม่คิดบังคับใจเจ้าดอก หากไม่อยากแต่งงานกับผู้อื่นจริง ๆ พ่อกับเหลยเอ๋อร์ย่อมยินดีดูแลเจ้าให้อยู่อย่างสบายไปชั่วชีวิต” จ้าวอ๋องปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน นัยน์ตาไม่มีแววบังขับขู่เข็ญแม้แต่น้อย “แต่พ่ออยากให้เจ้าคิดให้จงหนัก ว่าอยากจะอุทิศตนสวดมนต์ต่อหน้าพระพุทธองค์ไปจวบจนสิ้นชีวิตจริง ๆ หรือจะยอมแต่งงานแล้วใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขกับใครสักคนที่มีใจรักถนอมเจ้า พ่อไม่เชื่อว่าในแคว้นหานจะมีแต่บุรุษโง่เขลาอย่างฉินอ๋อง”
“ละ...แล้วไทเฮาเล่า ไหนพระนาง...” เสียงสั่นเครือขาดห่วง นัยน์ตาพร่างพราวคละคลุ้งด้วยไอหมอก สุดท้ายก็กลั่นตัวลงมาเป็นหยดน้ำ ริมฝีปากขาดสีเลือดสั่นระริกยากที่จะควบคุมให้เปล่งเสียงออกมาได้อีก
“เรื่องนั้นเจ้าคงกระจ่างใจตั้งแต่แรกแล้วกระมัง” จ้าวอ๋องตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จ้าวกุ้ยอินไม่ใช่คนไม่รู้ความ ในเมื่อการเอาชีวิตเข้าปกป้องมู่เลี่ยงหรงของนางถูกมองว่าเป็นแผนร้าย ไทเฮาย่อมไม่อาจกดดันฉินอ๋อง หรือแทรกแซงอันใดได้อีก เท่ากับยามนี้นางไร้กำลังสนับสนุนจากวังหลังแล้ว
เห็นจ้าวกุ้ยอินนั่งร้องไห้เงียบ ๆ หัวใจของจ้าวอ๋องก็เจ็บปวดไม่น้อย หวังเพียงให้เวลาเยียวยาหัวใจที่เจ็บปวดรวดร้าวของนาง ส่วนเขาในฐานะบิดาก็ต้องคิดหาทางให้ธิดาสุดที่รักแต่งออกไปยังตระกูลสูงศักดิ์ที่คู่ควรให้ได้ เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงนางอีกแล้ว
จ้าวอ๋องขยับเข้าไปใกล้จ้าวกุ้ยอินที่กำลังสะอึกสะอื้น จากนั้นจึงค่อย ๆ รั้งร่างบอบบางสู่อ้อมอก แล้วใช้ฝ่ามืออันอบอุ่นลูบไปบนเส้นผมของนางอย่างเบามือ หวังว่าสัมผัสนี้จะช่วยปลอบประโลมหัวใจที่กำลังเจ็บช้ำของบุตรสาวให้ดีขึ้นมาบ้าง
จ้าวกุ้ยอินซุกกายราวนกน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ นางค่อย ๆ ซึมซับความรักและความอบอุ่นจากบิดา แม้ระหว่างนั้นจ้าวอ๋องจะไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดออกมาเลยก็ตาม แต่ผู้เป็นบุตรสาวสามารถรับรู้ถึงความห่วงหาอาทรผ่านอ้อมกอดนั้นได้อย่างชัดเจน
ครั้นเสียงร้องไห้และอาการสั่นสะท้านเบาบางลงแล้ว จ้าวอ๋องก็ค่อย ๆ ผละออกจากบุตรสาว แต่ก็มิวายใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยาดน้ำที่หางตานางอย่างห่วงใย
“พักผ่อนให้มาก ๆ เล่า เอาไว้พรุ่งนี้พ่อจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่”
[1] ผิงซี คือ อนุภรรยาที่มีฐานะเทียบเท่าภรรยาเอก มักใช้แต่งตั้งให้อนุภรรยาที่ศักดิ์ฐานะสูงส่ง
ก่อนจะถึงวันครบรอบแต่งงาน เยี่ยนหยางจงก็หว่านล้อมจ้าวกุ้ยอินให้ออกมามาล่องเรือเล่นกับเขาได้สำเร็จทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณทิศใต้ของเมืองหลวง รอบ ๆ เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานา ทำให้ทัศนียภาพแปลเปลี่ยนไปในแต่ละฤดูเนื่องจากยามนี้เป็นปลายฤดูร้อนแล้ว อากาศจึงเย็นสบายกำลังดีจ้าวกุ้ยอินนั่งหันหน้าไปทางหัวเรือ สองสายตามองตรงไปยังท้องน้ำที่เปล่งประกายยามต้องแสงอาทิตย์ แม้จะฉากหลังจะงดงามราวภาพวาด ทว่าดวงหน้างามปานล่มเมืองกลับหม่นเศร้า แววตาที่เคยเด็ดเดี่ยวดังนางม้าป่าดูซึมเซาจนเยี่ยนหยางจงสะท้อนใจโดยปกติ สำหรับผู้สูงศักดิ์ บ่าวไพร่มีค่าไม่ต่างจากมดปลวก เขาไม่คิดว่าการที่ตนเองพรากชิวสุยไปจากจ้าวกุ้ยอิน จะสร้างความกระทบกระเทือนจิตใจให้นางขนาดนี้ตั้งแต่ออกจากจวนจนถึงตอนนี้ จ้าวกุ้ยอินพูดกับเขานับคำได้ หากตนเองยังไม่ทำอะไรสักอย่าง เกรงว่าหยางจงน้อยคงจะไม่ได้เกิดเป็นแน่ครั้นแล้วเยี่ยนหยางจงก็ออกแรงพายเรือให้เร็วขึ้นอีก จนกระทั่งพวกเขาออกมาไกลจากเรือลำอื่น ๆจ้าวกุ้ยอินเหม่อมองเบื้องหน้าอย่างคิดไม่ตก นางเองก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้ แต่ส่วนลึกไม่อาจให้อภัยตนเองได้ เพราะถ้าชิวสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ ป่านนี
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้น เยี่ยนจิ้นหลิงก็ไปบอกกับมารดาว่าจ้าวกุ้ยอินสุขภาพสมบูรณ์ดีแล้ว ขอเพียงเยี่ยนหยางจงขยันหว่านเมล็ดพันธุ์ นางจะต้องตั้งครรภ์อย่างแน่นอน ไป๋หลันได้ยินดังนั้นก็ยินดีอย่างยิ่ง ถึงกับยกเลิกการคารวะยามเช้า และส่งของบำรุงทั้งหลายแหล่มาให้ ยามนี้จ้าวกุ้ยอินจึงดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลยิ่งกว่าที่เคยเนื่องจากสถานการณ์สงบแล้ว จ้าวกุ้ยอินจึงมีใจอยากออกไปพบปะผู้คนบ้าง เยี่ยนหยางจงมิได้มีปัญหา แต่ยังรู้สึกไม่วางใจ จึงสั่งให้ฟางหรู หนิงเหอ จิวซิน และอวิ้นเซียนติดตามไปด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงของจวนใด ภาพที่ผู้อื่นคุ้นชินคือขบวนของฮูหยินซื่อจื่อไคกั๋วกง ยิ่งเห็นจ้าวกุ้ยอินปฏิบัติกับเหล่าอนุอย่างดี อีกทั้งสายตาของพวกนางก็เต็มไปด้วยความเคารพนบนอบยิ่ง ทำให้ชื่อเสียงเรื่องความใจกว้างของจ้าวกุ้ยอินระบือไกล โดยหารู้ไม่ว่าสตรีทั้งสี่เป็นเพียงอนุแค่ในนาม แท้จริงแล้วพวกนางสี่คนคือองครักษ์หญิงที่เยี่ยนหยางจงกับจ้าวอ๋องจัดหามาให้ และทุกครั้งที่เขาไปหาพวกนาง ก็เป็นเพียงฉากบังหน้า แต่แท้ที่จริงลอบออกไปทำภารกิจลับยามราตรีต่างหากสตรีผู้เดียวที่เยี่ยนหยางจงร่วมเรียงเคียงหมอนก็คือจ้า
“นั่นเพราะสวรรค์สร้างให้พี่ชายข้าเกิดมาเป็นคนพิเศษอย่างไรเล่า” เยี่ยนหยางจงเคยได้รับบาดเจ็บบริเวณใกล้เคียงจุดนี้มาก่อน ทำให้รู้ว่าหัวใจของพี่ชายอยู่ทางอกด้านขวา ดังนั้นยามเห็นปิ่นปักอยู่ทางอกซ้ายจึงยังใจเย็นอยู่ได้“หากเจ้ารู้อาการดีก็ควรรีบบอก แกล้งอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เช่นนี้ไม่ได้มีเพียงแต่กุ้ยอินที่ใจเสีย พวกข้าเองก็ไม่ต่างกัน” จ้าวเฟิงเหล่ยถอนใจเบา ๆ“จวิ้นอ๋อง อย่าทำหน้าแบบนั้น นางสิผิดที่ไม่ฟังอะไรเลย จู่ ๆ ก็มาตีโพยตีพายใส่พวกเราโดยไม่นึกถึงความผิดตัวเองสักนิด อย่างไรก็ปล่อยให้ข้าได้ล้างแค้นเสียหน่อยเถิด” เยี่ยนจิ้นหลิงหาเหตุผลให้การกระทำของตนเองได้สำเร็จภายในห้อง“อาจง อาจง” จ้าวกุ้ยอิงนั่งอยู่ข้างเตียงที่มีเยี่ยนหยางจงนอนเหยียดยาวอยู่ ชายหนุ่มเปลือยท่อนบนเผยให้เห็นแผ่นอกกำยำที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ นางพึมพำเสียงเครือขณะที่ลูบใบหน้าคร้ามคมที่ดูเผือดเซียวเล็กน้อย “ท่านเจ็บมากหรือไม่ ขอโทษนะที่ข้า...”“อินเอ๋อร์... พอเถิด ร้องไห้จนตาแดงช้ำไปหมดแล้ว” เยี่ยนหยางจงว่าพลางใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้ “แต่ก็ เพราะเสียงด่าเสียงร้องไห้ของเจ้า ทำให้ยมทูตต่างยอมล่าถอย ไม่ยอมมารับดวงวิญญาณของข้าไป
เยี่ยนจิ้นหลิงสูดลมหายใจลึก รู้ว่าประโยคต่อจากนี้ไม่ต่างจากเอาน้ำเกลือราดรดลงบนแผล แต่ก็ตัดสินใจพูดไป “ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าเป็นเพราะท่านที่รนหาที่ พี่ใหญ่จึงต้องบาดเจ็บเช่นนี้”จ้าวกุ้ยอินเมื่อได้ยินเช่นนั้นประหนึ่งถูกน้ำเย็นราดรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ร่างกายเอนซวนซบเข้ากับเสาอย่างหาที่พึ่งพิง “รนหาที่หรือ? ข้าเพียงแค่อยากรู้เท่านั้นว่าภาพของอู๋หมิงกงจื่อที่นำมาประมูล เป็นภาพเดียวกันกับที่ข้าพบในห้องหนังสือของเขาหรือไม่เท่านั้น... เพียงเท่านั้น”“อู๋หมิงกงจื่อ... อู๋หมิงกงจื่อ ถ้าท่านพอใจในผลงาน ไฉนจึงไม่ขอกับพี่ใหญ่เล่า เขาใช้เวลาไม่นานก็วาดให้ท่านได้ จะเอากี่สิบกี่ร้อยภาพก็ตามแต่ใจท่าน... สวรรค์... ท่านกลับทำให้เขาต้องมาเจ็บตัวเพราะความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเล็กน้อยเท่านี้เองหรือนี่ ไม่น่าเชื่อเลย” เยี่ยนจิ้นหลิงได้ยินเช่นนั้นพลันส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เขาเดินมาใกล้กับจ้าวกุ้ยอิน มองใบหน้างดงามที่เผือดซีดราวกระดาษวาดภาพ“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน” จ้าวกุ้ยอินเงยหน้าขึ้นมาสบตากับน้องเขยของตน ดวงตากลมโตวาววับดังเนื้อทรายนั้นระคนด้วยความสงสัยอย่างไม่ปิดบัง “พี่สะใภ้ ดูท่าพี่ใหญ่คงไม
“อะไรนะ จ้าวกุ้ยอิน เจ้า... เจ้ากล้าหลอกเปิ่นหวาง” เส้นเลือดตรงขมับของมู่เฟยหรงเต้นตุบ ๆ ยามนี้เขารู้สึกเหมือนมีคำว่าโง่ บรมโง่ ติดอยู่กลางหน้าผาก ถ้าไม่เพราะกลัวหนอนกู่จะกัดกินร่าง เขาคงหลบหนีได้ทัน“นี่พวกเจ้าจะยืนเฉยอีกนานไหม ถ้ายังมัวชักช้า อาจง... อาจงอาจจะตายก็ได้นะ” จ้าวกุ้ยอินไม่สนใจท่าทางกระฟัดกระเฟียดของมู่เฟยหรง แต่หันไปมองมู่เลี่ยงหรงกับเยี่ยนจิ้นหลิงแทน“ขออภัย เปิ่นหวางนึกว่าเขาตายแล้ว” ตอนมู่เลี่ยงหรงเข้ามา เห็นปิ่นเงินปักอยู่ตรงอกด้านซ้ายของเยี่ยนหยางจง ก็คิดว่าเขาไม่น่าจะรอดแล้ว จึงละเลยพี่ภรรยาไป แต่พอรู้ว่าเขายังไม่ตาย ก็บังเกิดความละอายใจเล็กน้อยบรรพบุรุษเจ้าสิตาย! จ้าวกุ้ยอินมองมู่เลี่ยงหรงด้วยดวงตาแดงก่ำ สาปแช่งบรรพบุรุษตระกูลมู่ในใจไม่หยุด “เขายังไม่ตายสักหน่อย”“เด็ก ๆ พาแม่ทัพไป๋หู่กลับจวนไคกั๋วกง” สิ้นคำสั่งของฉินอ๋อง เหล่าองครักษ์ก็จัดการนำร่างของเยี่ยนหยางจงออกไปจากที่นั่น โดยมีจ้าวกุ้ยอินร้องไห้วิ่งตามไปบทส่งท้าย ชั่วยามนี้ จวนไคกั๋วกงเต็มไปด้วยความร้อนรนอลหม่าน หลังจากซื่อจื่อของจวนกลับมาพร้อมกับฮูหยินน้อยที่หายตัวไปในสภาพที่มีแผลฉกรรจ์ตรงหน้าอก อาการเ
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” มู่เฟยหรงไม่เข้าใจว่าเยี่ยนจิ้นหลิงตามมาถูกได้อย่างไร ความจริงพวกเขาควรจะตามไปจัดการกับเอี้ยนอ๋องที่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองหลวงสิ ทำไมถึงมาที่นี่ หรือว่าแผนการทั้งหมดล้มเหลว“เรื่องนี้ต้องขอบคุณพี่สะใภ้ จิ้นหลิงเพิ่งรู้ว่าเครื่องประดับมากมายเหล่านั้นก็มีประโยชน์อย่างอื่นด้วย” ระหว่างตามรอยเยี่ยนหยางจง เยี่ยนจิ้นหลิงพบจิงจิงวิ่งอยู่บนพื้นหิมะ จึงได้รับสารขอความช่วยเหลือ“เจ้าพบจิงจิงสินะ” จ้าวกุ้ยอินเข้าใจในทันที“พี่สะใภ้เข้าใจเล่นคำ ‘ตามจิงจิง(อัญมณีแวววาว)มา’ หากเป็นผู้อื่นคงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้กระรอกนำทาง แต่บังเอิญเป็นจิ้นหลิงที่ได้รับสารจึงเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่” ภาพอัญมณีสะท้อนแสงคบไฟในความมืดเป็นระยะผุดขึ้นในความทรงจำ ยามนี้เขายอมรับแล้วว่าพี่สะใภ้มิใช่ที่มีดีแค่ความเป็นหญิงงาม สติปัญญาของนางยังอยู่ในระดับใช้ได้อีกด้วย“ไว้ชมกันทีหลัง รีบพาอาจงไปรักษาเร็วเข้า” จ้าวกุ้ยอินเร่งเร้า“ย่อมได้” เยี่ยนจิ้นหลิงรับคำ แล้วหันไปหามู่เฟยหรง กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง “หานอ๋อง ท่านหนีไม่รอดแล้วล่ะ ยอมกลับวังหลวงดี ๆ เถิด จะได้ไม่ต้องมีใครบาดเจ็บอีก จิ