“เจ้าค่ะ อินเอ๋อร์จะไม่ทำให้ท่านพ่อต้องเป็นห่วง” นางตอบพลางยกยิ้ม ทว่าไม่ถึงดวงตา
จ้าวอ๋องตบหลังมือบุตรสาวเบาๆ สองสามครั้ง แล้วค่อยลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
ปกติจ้าวกุ้ยอินเป็นคนที่มีความอดทน ดื้อดึง และใจแข็งยิ่งนัก แม้จะเจ็บปวดหัวใจปานใดก็จะพยายามข่มกลั้นอย่างถึงที่สุด
แต่ยามนี้ร่างกายไม่แข็งแรง หนำซ้ำยังต้องฟังเรื่องที่บีบรัดหัวใจ ความทรมานทางกายผสานกับความรู้สึกทำให้เกินทนรับไหว สุดท้ายก็กระอักโลหิต หมดสติไปอีกครั้ง
ขณะนั้น อวี้หรูเหรินนำน้ำแกงบำรุงมาให้จ้าวกุ้ยอินพอดี ทันทีที่นางกำนัลคนสนิทวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากห้องนอน เอ่ยละล่ำละลักว่าท่านหญิงกระอักโลหิตหมดสติไปอีกแล้ว นางก็ตกใจเป็นลมล้มไปอีกคน ทำให้เรือนอิงฮวาวุ่นวายโกลาหลขึ้นในบัดดล
โชคดีที่หมอหลวงยังไม่ทันก้าวออกจากจวนจ้าวอ๋อง ชิวสุ่ยจึงวิ่งไปรั้งตัวเขากับหมอหญิงกลับมาได้ทัน
หมอหลวงชราเร่งฝีเท้าตามชิวสุ่ยกลับไปเรือนอิงฮวาอย่างว่องไว พอเข้าไปถึงก็พบว่ามีคนป่วยอยู่ถึงสองคน เขาไม่รอช้า สั่งให้หมอหญิงไปดูแลอวี้หรูเหรินที่ตกใจเป็นลม ส่วนตนก็ตามชิวสุ่ยเข้าไปยังห้องนอนด้านใน
ชิวอิงกับชิวเยวี่ยกำลังใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนที่ริมฝีปากและเนื้อตัวของนายหญิง พอเห็นท่านหมอเข้ามาก็รีบถอยออกไปยืนอยู่ข้างเตียง
หมอหลวงรีบวางล่วมยา เปิดลิ้นชักหยิบผ้าผืนเล็ก ๆ ออกมาวางลงบนข้อมือของจ้าวกุ้ยอินแล้วจับชีพจร ในระหว่างนั้นนางกำนัลคนสนิททั้งสามก็ได้แต่ยืนมองด้วยใจระทึก
ผ่านไปเพียงไม่นานหมอหลวงพลันคลายคิ้วที่ขมวดออก เก็บผ้ารองข้อมือ แล้วเดินไปเขียนเทียบยาที่โต๊ะเล็ก ๆ ตรงมุมห้อง จากนั้นก็ส่งเทียบยาให้ชิวสุ่ยที่มายืนรอรับ พร้อมกำชับข้อควรระวังอีกสองสามประโยค แล้วจึงเดินออกไปจากห้องเพื่อรายงานอาการของจ้าวกุ้ยอินให้จ้าวอ๋องทราบ
“ท่านหญิงบาดเจ็บสาหัส อาการเพิ่งจะดีขึ้น แต่ยังไม่แข็งแรงนัก จากที่ผู้น้อยตรวจอาการ ดูเหมือนว่าท่านหญิงจะได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจ เป็นเหตุให้เลือดลมปั่นป่วนจนกระอักลิ่มเลือดออกมา แต่กลับเป็นผลดีต่อการรักษา เพราะลิ่มเลือดที่ออกมานั้นคือเลือดพิษที่ตกค้างอยู่ ขอเพียงดูแลบำรุงร่างกาย และดื่มยาตามเทียบที่เขียนให้ อาการก็จะดีขึ้นตามลำดับเองขอรับ” หมอหลวงอธิบายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง
เสมือนยกภูเขาออกจากอก จ้าวอ๋องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ขณะเดียวกันอวี้หรูเหรินที่ฟื้นคืนสติพอดีได้ยินคำของหมอหลวงสีหน้าก็ดูแช่มชื่นขึ้น ยกมือประนมกล่าวขอบคุณสวรรค์เสียหลายประโยค
ในเมื่อคนไม่เป็นอะไรแล้ว จ้าวอ๋องจึงเชิญหมอหลวงกลับ ส่วนตนเองกับอวี้หรูเหรินก็เข้าไปเยี่ยมเจ้ากุ้ยอิน ทั้งสองอยู่ในห้องนอนของนางราว ๆ หนึ่งก้านธูป[1] จึงกลับออกมา ต่างกำชับกำชาให้เหล่าข้ารับใช้ดูแลท่านหญิงให้ดี
จันทร์กระจ่างส่องแสงสีนวล ลมราตรีโบกโชยผ่านม่านโปร่งสู่ห้องอันสลัวราง แสงจากเทียนไขเพียงไม่กี่ดวงทำให้โดยรอบดูอึมครึม ไม่ต่างอะไรกับนัยน์ตามืดลึกของผู้เป็นเจ้าของห้อง
จ้าวกุ้ยอินนอนทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาอยู่บนเตียงอย่างเงียบเชียบ ที่นางต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องมู่เลี่ยงหรง บุรุษเพียงผู้เดียวที่นางเฝ้าฝันถึงมาโดยตลอด
ฤทธิ์จากบาดแผลกับพิษที่อาบมากับลูกธนูทำให้นางสลบไสล กึ่งหลับกึ่งตื่นเป็นแรมเดือน สุดท้ายพอจะมีสติรับรู้ขึ้นมาจริง ๆ บิดาก็มาแจ้งว่าตำแหน่งฉินหวางเฟยกลายเป็นของเยี่ยนเยว่ฉีไปเสียแล้ว
ในขณะที่เท้าหนึ่งของนางกำลังเหยียบเข้าประตูผี แต่มู่เลี่ยงหรงก็ไม่เคยใส่ใจ ชายผู้นั้นยังคงเลือกแต่งงานและมีความสุขกับเยี่ยนเยว่ฉีอย่างหน้าตาเฉย ลืมเลือนว่ามีสตรีที่เอาตัวแทนโล่เพื่อเขาจนหมดสิ้น
ความเจ็บปวดร้าวรานยังคงหลงเหลือ บาดแผลอยู่บนแผ่นหลัง ทว่ากลับรู้สึกเสียดแทงถึงภายในดวงใจ
จ้าวกุ้ยอินสะอื้นไห้ น้ำตาไหลเป็นสายในขณะที่ความหวังทุกอย่างพังครืน ยามนี้นางตระหนักอย่างถึงที่สุดแล้วว่าความภักดี หรือแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง หาได้มีความหมายกับบุรุษใจหินผู้นั้นไม่
แต่ว่า... ตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้น ทุกคนล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าในอนาคตนางจะได้เป็นชายาฉินอ๋อง ทำให้สองตานี้ไม่เคยเหลือบแลผู้ใด หนำซ้ำยังเพียรพยายามฝึกฝนตนเองอย่างหนัก เพื่อให้คู่ควรกับบุรุษผู้นั้น ถึงแม้จะรับรู้อยู่กลาย ๆ ว่าเขาอคติกับตนเอง เพราะนางปีศาจตัวหอมถางซือเซียน
แต่จ้าวกุ้ยอินก็ยังหวังว่าฉินอ๋องจะให้โอกาสตนเองสักครั้ง
ทว่านางก็ไม่เคยได้รับอะไรกลับมา...
ข้าโง่งมใช่หรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ สรุปว่าที่ผ่านมาเป็นข้าผิดกระนั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้เสียงหัวเราะขื่นก็เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่บัดนี้แห้งแตก มือกำผ้าห่มแน่นราวกับกำลังเคียดแค้นมันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ยิ่งนึกถึงแผลเป็นบนแผ่นหลังกับอายุย่างสิบเก้าปีของตนเอง จ้าวกุ้ยอินยิ่งรู้สึกหมดแรง
สวรรค์ ชั่วชีวิตนี้ข้ายังหวังอะไรอีก...
[1] ชั่วก้านธูป คือ ช่วงเวลาประมาณ 30 นาที
เวลาไหลไปราวสายน้ำ จากวสันต์สู่คิมหันตฤดู แม้ดวงอาทิตย์จะสาดแสงให้ความอบอุ่นไปทั่วแคว้น ทว่าภายในใจของจ้าวกุ้ยอินยังคงหนาวเหน็บไม่ต่างจากฤดูเหมันต์ แม้ว่ายามนี้บาดแผลของนางจะดีขึ้นมาก แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบในบางครั้งแต่เจ็บกาย หรือจะสู้เจ็บในทรวงจ้าวกุ้ยอินทอดถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดยามนี้สตรีที่ผู้ใหญ่เคยสนับสนุนให้แต่งงานกับฉินอ๋องเช่นนางกำลังนอนป่วยอยู่ในห้องอันอ้างว้าง ในขณะที่บุตรีแม่ทัพใหญ่กลายเป็นฉินหวางเฟยนี่กระมังที่โบราณกล่าวไว้ว่า ความแน่นอน คือความไม่แน่นอนไม่ว่าจะเป็นความงดงาม เสียงชื่นชม และสถานะสูงส่งเหนือสตรีคนอื่น ๆ ไม่ได้ช่วยให้นางได้ร่วมชีวิตกับมู่เลี่ยงหรงจ้าวกุ้ยอินไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหากไม่ได้แต่งเข้าจวนฉินตนเองจะเป็นเช่นไร และเมื่อหนทางชีวิตได้เปลี่ยนไปแล้ว นางคงมีแต่ต้องยอมรับใช่หรือไม่ภายในห้องเงียบงัน ไม่มีเสียงตอบจากสวรรค์ หรือนรก...มีเพียงร่างบอบบางที่หัวเราะเยาะหยันในความโง่งมของตนเองในขณะที่จ้าวกุ้ยอินกำลังจมจ่อมกับความรู้สึกเศร้าสร้อย บ่าวอาวุโสผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามาภายในห้องแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างทุกบาน เสร็จแล้วก็จัดการ
สายลมโชยปัดผ่านใบหน้าที่ยังดูซีดเซียว เรือนผมมันเงาพลิ้วไหว ชายอาภรณ์สีขาวปักลายดอกโบตั๋นอันประณีตสะบัดเบา ๆ จ้าวกุ้ยอินหลับตาพริ้ม สูดกลิ่นหอมสดชื่นของบุปผาที่ลอยคละเคล้ามาอยู่เงียบ ๆ ทำให้นางในยามนี้ทั้งงดงามและดูเปราะบางยิ่งสตรีร่างอรชรเอนกายลงนอนบนเก้าอี้กุ้ยเฟยในบรรยากาศอันเงียบสงบ ดูงามพิลาสอ่อนหวานราวกับภาพในจินตนาการของเหล่ากวี หากบุรุษใดได้ยลย่อมตกอยู่ในบ่วงเสน่หาบนต้นไม้ แววตาล้ำลึกคู่หนึ่งจดจ้องสตรีที่กำลังม่อยหลับโดยไม่รู้ตัวครั้นเห็นสีหน้าของจ้าวกุ้ยอินดีขึ้นแล้วผู้มาก็แอบโล่งใจ เพราะก่อนหน้านางเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือน ไม่ยอมพบหน้าผู้ใด ยามนี้ยอมออกมารับสายลมแสงแดด ดูท่าคงทำใจกับเรื่องของฉินอ๋องได้บ้างแล้วกระมังเดิมทีที่ได้ยินข่าวลือว่าธิดาจ้าวอ๋องเคยกระโดดสระบัว เพราะไม่ยอมแต่งงานกับหานอ๋อง สร้างความกังวลให้เขาอย่างมาก กลัวว่านางจะทำอะไรไม่คิดอีก แต่ดูเหมือนว่าตนเองจะประเมินสตรีผู้นี้ผิดไป ครานี้จ้าวกุ้ยอินไม่ได้พยายามฆ่าตัวตาย ไม่แม้จะร้องไห้โวยวาย หรือทำตัวน่าสมเพชในเมื่อนางรู้จักรักตนเองเช่นนี้ เขาก็ควรเลิกห่วงและจากไปเสียทีแม้ว่าจะคิดเช่นนั้น แต่นัยน์ตาเหยี่ยวก
“ว่าแต่...ว่าแต่ หลังของพี่หญิงใหญ่... แบบนี้ จะไม่เป็นปัญหาหรือเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยหลินยกชายแขนเสื้อขึ้นบังริมฝีปาก ทำราวกับกำลังพูดเรื่องที่ไม่น่าฟังอยู่กระนั้น“นั่นสิ ปกติสตรีที่มีรอยแผลเป็น บุรุษที่ไหนจะกล้ามาสู่ขอกันเล่า” จ้าวกุ้ยชิงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าราวกับเด็กสาวใสซื่อ แต่นัยน์ตาสีอ่อนเจือแววเย้ยหยันบาง ๆ“ดูพูดเข้า พี่หญิงใหญ่ช่วยชีวิตฉินอ๋องเอาไว้เชียวนะ อีกไม่นานคงมีข่าวดีเป็นแน่”“ข้าก็หวังว่าฉินอ๋องจะไม่ถือสาเรื่องแผลเป็นของพี่หญิงใหญ่ แล้วรีบส่งเกี้ยวเจ้าสาวมาในเร็ววัน หาไม่แล้ว...” จ้าวกุ้ยชิงสงวนวาจาไม่กล่าวต่อจนจบ แสดงทีท่าคล้ายห่วงใย แต่แววตาเต็มไปด้วยการเยาะหยัน“เจ้าจะห่วงเรื่องนั้นไปไย พี่หญิงใหญ่เป็นถึงธิดาจ้าวอ๋อง ต่อให้ฉินอ๋องถือสาและบ่ายเบี่ยง ก็คงมีขุนนางขั้นสองขั้นสามที่ไม่ถือสาส่งแม่สื่อมาทาบทามบ้างกระมัง”“หากไม่มีเล่า พี่หญิงใหญ่จะทำเช่นไร”สองพี่น้องธิดาชายารองคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ ได้มาเห็นจ้าวกุ้ยอินนั่งนิ่งเถียงไม่ออก ก็แทบจะเก็บรอยยิ้มสาแก่ใจเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งพูดเท่าไหร่ ยิ่งไม่น่าฟังเท่านั้น ลืมสถานะของตนเองไปเสียสนิทดี... ดีมาก ที่แท้พวกนางก็ต้องการ
จวนจ้าวอ๋อง เรือนเหลียนฮวาหลังจากจ้าวกุ้ยอินสั่งลงโทษจ้าวกุ้ยหลินกับจ้าวกุ้ยชิงให้คุกเข่าและคัดบัญญัติสตรีในห้องบูชาบรรพชน ทันทีที่ได้ข่าวเจียงอิ้งซื่อก็รีบแล่นไปขอร้องอวี้หรูเหรินให้ช่วยเหลือ“หลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์มีน้ำใจไปเยี่ยมเยียนพี่สาวที่ได้รับบาดเจ็บแท้ ๆ แต่กลับต้องถูกลงโทษ พี่สาวจะต้องช่วยพวกนางนะเจ้าค่ะ” เจียงอิ้งซื้อสะอึกสะอื้น สีหน้าแววตาดั่งผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอวี้หรูเหรินถอนหายใจเบา ๆ ในส่วนลึกมิได้เห็นใจสตรีที่ทำท่าอ่อนแอตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะรู้นิสัยใจคอของสามแม่ลูกนี้ดี พอเห็นอินเอ๋อร์ของนางกำลังย่ำแย่ จึงคิดเข้าไปซ้ำเติมโดยลืมสถานะของตนเอง เช่นนี้ก็สมควรถูกสั่งสอนแล้วมิใช่หรือ“หากหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์รู้สถานะและวางตัวเหมาะสม ไหนเลยจะถูกลงโทษ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงก็ไม่เคยรังแกบุตรอนุภรรยาในจวน”“พวกนางยังเด็กไม่รู้ความ คงไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านหญิงขุ่นเคือง”“ตั้งใจหรือไม่ไม่สำคัญ ตอนนี้คนก็ถูกสั่งลงโทษไปแล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องจะให้อำนาจการจัดการเรือนหลังแก่ข้า แต่ว่าสถานะก็เป็นเพียงหรูเหริน ไหนเลยจะหาญกล้ายับยั้งคำสั่งของท่านหญิง”“พวกนางสองคนเคยได้รับควา
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ กับน้ำเสียงใสกระจ่างไร้ความขุ่นเคือง อวี้หรูเหรินจึงคว้ามือขาวผ่องของจ้าวกุ้ยอินมากอบกุมเอาไว้ แล้วตบเบา ๆ จากนั้นจึงชวนสนทนาเข้าเรื่องที่ตนรับปากผู้อื่นมาเป็นธุระจัดการ“มิน่าอินเอ๋อร์ถึงได้ดูอารมณ์ดีเยี่ยงนี้ ที่แท้ก็ออกไปรับอากาศบริสุทธิ์มานี่เอง แต่...เหตุไฉนจึงมีคำสั่งลงโทษคนออกไปได้เล่า?”“เจียงอิ่งซื่อไปรบกวนท่าน?” จ้าวกุ้ยอินเลิกคิ้ว เค้นเสียงหึออกมาทีหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เป็นนางไม่รู้จักอบรมบุตรสาวของตนเองให้ดี จนหลินเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์กลายเป็นคนไม่รู้ความเยี่ยงนี้ ยังมีหน้าไปขอให้ท่านช่วยอีก”“อย่างไรนางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมต้องห่วงใยบุตรสาวของตนเป็นธรรมดา เจ้าก็อย่าโมโหไปเลย”จ้าวกุ้ยอินหรี่ตา ใบหน้าพลันบูดบึ้ง “หรูเหรินคิดว่าข้าทำเกินไป?”“มิได้ พวกนางเหิมเกริมถึงเพียงนั้น แค่ให้นั่งคุกเข่ากับคัดบัญญัติสตรีก็นับว่าเป็นโทษสถานเบา แต่...” อวี้หรูเหรินหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงประหนึ่งว่าไม่กล้าเอ่ยจ้าวกุ้ยอินเห็นเช่นนั้นก็อดถามออกไปไม่ได้ “แต่อะไร?”อวี้หรูเหรินเงยหน้าขึ้นพลางบีบมือจ้าวกุ้ยอิน แล้วกล่าวเสียงเบา “ห้องนั้นทั้งมืดทึบ อ
มู่เลี่ยงหรงโหดร้ายถึงเพียงนี้ เหตุใดจ้าวกุ้ยอินจะไม่คับแค้นเล่า แต่รู้ทั้งรู้ก็ยังเกลียดเขาไม่ลง เพราะที่ทุกอย่างออกมาในรูปนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากความหุนหันพลันแล่นของนางในอดีตฉินอ๋องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ของแคว้นหาน เปรียบเสมือนพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ บุรุษผู้นั้นย่อมต้องพิจารณาสตรีที่จะรับเข้ามาอยู่ข้างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน และสตรีขี้หึงก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีจ้าวกุ้ยอินถอนหายใจแผ่วเบาราวกับไร้เรี่ยวแรงหากในวันวานนางรักษากิริยา ไม่อาละวาดทำร้ายถางซือเซียน ตนเองย่อมเป็นสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมในสายตาของบุรุษผู้นั้น หาใช่คนปากคอเราะราย นิสัยร้ายกาจ ไม่เหมาะเป็นพระชายาของจวนฉินอย่างทุกวันนี้“ญาติผู้พี่ต้องการให้อินเอ๋อร์...” รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนดวงหน้า นัยน์ตาประกายหยดน้ำสั่นระริก พยายามยามข่มกลั้นความรู้สึกอัดอั้นอันจุกแน่นอยู่ที่ลำคอ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน “ตัด...ตัดใจ”ครั้นเห็นนัยน์ตาพราวระยับไหววูบ ความผิดหวังฉายชัดจนพาให้ปวดใจตาม อวี้หรูเหรินรีบดึงจ้าวกุ้ยอินมากอดปลอบประโลม นึกเกลียดตนเองที่ยามนั้นเห็นดีเห็นงามไปกับไทเฮาและจ้าวอ๋อง ในอดีตหากทุกคน
ภายในจวนจ้าวอ๋องสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเรื่องใดให้จ้าวกุ้ยอินเคืองใจอีก ยกเว้นเพียงร่างกายที่ไม่แข็งแรงดุจเดิมพิษร้ายส่งผลให้ท่านหญิงป่วยกระเสาะกระแสะ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ย่างเท้าออกจากจวนไปร่วมสังสรรค์กับตระกูลไหนทั้งสิ้น รวมไปถึงงานล่าสัตว์ประจำปีของวังหลวงด้วยก่อนเดินทางไปร่วมงานล่าสัตว์ จ้าวเฟิงเหลยสัญญาว่าจะล่าจิ้งจอกสำหรับทำผ้าพันคอมาให้ จ้าวกุ้ยอินยิ้มแย้มประจบประแจง รู้สึกสดชื่นขึ้นทันที เพียงนึกเสียดายที่ปีนี้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมฝีมือการล่าสัตว์ของฉินอ๋อง และเหล่าขุนนางผู้มีฝีมือคนอื่น ๆ ทำได้เพียงยืนส่งบิดากับพี่ชายจากไปตรงหน้าประตูจวนยามนี้จ้าวกุ้ยอินใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ได้รับรู้ถึงคลื่นลมที่เกิดขึ้นภายนอกแม้แต่น้อยจนกระทั่งจ้าวอ๋องกับจ้าวจวิ้นอ๋องกลับมาจากลานล่าสัตว์ คล้ายกับว่าทุกอย่างรอบกายพวกเขาดูตึงเครียดยิ่งนักทั้งบิดาและพี่ชายทำเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับจ้าวกุ้ยอิน แต่ก็ไม่เอ่ยออกมา สีหน้าท่าทางราวกับคนที่กำลังกังวลใจแต่แล้วความสงสัยก็ถูกคลี่คลาย เมื่อชิวเยวี่ยสืบข่าวได้ว่าพี่ชายใหญ่ของนางทะเลาะเบาะแว้งกับเยี่ยนจิ้นหลิงเรื่องถางซือเซียน เป็นเหตุให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอ
“ลูกไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ นอกเสียจากตอนอากาศเย็นจะรู้สึกปวดแผลเล็กน้อย นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว”“ดี ในเมื่อแข็งแรงแล้วก็ดี” จ้าวอ๋องฝืนยิ้มกล่าว ขณะวางจอกชาลงบนโต๊ะตัวเล็ก“ท่านพ่อ มีสิ่งใดก็เอ่ยกับลูกมาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ” จ้าวกุ้ยอินเอ่ยอย่างรู้ทันจ้าวอ๋องถอนหายใจเฮือกใหญ่ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นที่สุด “ผลจากการสอบสวน ตระกูลจ้าวพ้นทุกข้อกล่าวหา พวกเรามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลอบสังหารผู้แทนพระองค์” พอถึงตรงนี้จ้าวอ๋องแลเห็นประกายความหวังบนดวงตาคู่สวยของธิดา แม้ไม่อยากทำร้ายใจ ก็ต้องพูดความจริงส่วนที่เหลือออกไป “แต่เนื่องจากเหตุวุ่นวายในจวนฉินอ๋อง เขาจึงประกาศไม่รับพระชายารอง หรืออนุเพิ่มอีกแล้ว”ประกายแสงในดวงตาคู่งามดับวูบ เหลือเพียงความอ้างว้างว่างเปล่า “หมายความว่า...”“ฉินอ๋องไม่มีวาสนาได้ครองคู่กับลูกสาวที่แสนดีของพ่ออย่างไรเล่า” สีหน้าของผู้เป็นบิดาไม่ได้ดีไปกว่าธิดาของตนเองเลยจ้าวกุ้ยอินค้นพบว่าถึงจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนเองคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก จ้าวกุ้ยอินที่ไม่อยากเห็นบิดาทุกข์ใจกับเรื่องของนา
เถิด นี่มันบนรถม้านะ” จ้าวกุ้ยอินรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว จึงพยายามไม่มองเขา แล้วเอ่ยปราม“อ่อ ถ้าเป็นที่อื่น สามีไม่ต้อง...”“หยุดเดี๋ยวนี้เลย!”“ก็ได้...ก็ได้ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว” ครั้นสัมผัสได้ถึงโทสะจาง ๆ ในน้ำเสียงภรรยาอีกครั้ง เยี่ยนหยางจงก็รีบออกปาก พลางดึงนางเข้ามาซบในอ้อมอก แล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวน “กว่าจะกลับถึงจวนคงอีกนาน อินเอ๋อร์ก็พักผ่อนเถิด”“ข้า...ข้านอนแบบนี้ไม่ถนัด ท่านก็ขยับไปตรงโน้นสิ ผู้อื่นจะได้นอนลงบนตั่ง”“ตรงนี้ดีแล้ว” พูดพลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีก ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย“...” จ้าวกุ้ยอินไร้วาจา ได้แต่ลอบตำหนิอยู่ในใจ บุรุษผู้นี้เผด็จการเหลือร้าย แม้ปากจะเอ่ยคำหวาน แต่ไม่เคยยินยอมให้นางปฏิเสธเขาแม้แต่หนเดียว จึงจำต้องโอนอ่อน หลับตาลงในอ้อมกอดแต่โดยดีรถม้าเคลื่อนไปบนถนนศิลาอย่างช้า ๆ ทั้งสองไม่ได้สนทนาอะไรกันอีก มีเพียงสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นประทับเบา ๆ ลงบนหน้าผากของจ้าวกุ้ยอินอยู่เป็นระยะ เดิมทีนางคิดว่าอีกฝ่ายแค่แสดงละครฉากใหญ่ให้ผู้อื่นคิดว่าเขาเป็นสามีตัวอย่าง และตนเองเป็นสตรีผู้โชคดีแต่ยามนี้พวกเขาอยู่กันตามลำพัง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสแสร้งหรือว่า...เขามี
“ชู่ว์...อย่าเอ็ดไป เจ้าไม่กลัวคนข้างนอกได้ยิน แล้วสงสัยว่าเรา...กำลัง...ทำอะไรกันอยู่...?” เมื่อเห็นคนปากเก่งแนบตนเองไว้กับผนังรถม้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ถลึงตาใส่ขู่ฟอด ๆ อย่างกับแมวน้อย เยี่ยนหยางจงก็เผยรอยยิ้มลำพองใจ“เจ้า...เจ้า...เจ้ามันชั่วช้าสารเลว กักฬะสิ้นดี”“น้องหญิงเรียกแบบนี้ใช้ไม่ได้นะ นี่สามี...ใช่คนชั่ว คนสารเลวที่ไหนกัน” เยี่ยนหยางจงส่งสายตาหยอกเย้า พลางหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน“คนถ่อย!” ยิ่งเห็นท่าทางยียวนและได้ยินถ้อยคำที่เขาเรียกขานนางอย่างสนิทสนมราวกับคู่สามีภรรยาที่รักกันดูดดื่ม นอกจากจะขนลุกแล้ว ยังรู้สึกโมโหมากขึ้นด้วย คนผู้นี้จงใจยั่วโทสะนางชัด ๆ จึงส่งสรรพนามใหม่ไปให้อีกคำ“อะไรกันเมื่อครู่ตอนอยู่ต่อหน้าท่านพ่อตายังเรียกข้า ‘ท่านพี่’ อยู่แท้ ๆ”“คนน่ารังเกียจ!”“อินเอ๋อร์...จำได้ว่าเราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว สามีให้โอกาสเจ้าเรียกใหม่”“เจ้าจะทำไม ข้าพอใจจะเรียกแบบนี้ คนชั่ว คนสารเลว คนถ่อย คนบ้าอำนาจ...” จ้าวกุ้ยอินไม่ยอมแพ้ ยังคงเอ่ยสรรพนามไม่น่าฟังใส่เขาอย่างต่อเนื่อง“สามีเตือนเจ้าแล้ว”“หึ! คิดว่าผู้อื่นต้องกลัวเจ้าหมดงั้นสิ” จ้าวกุ้ยอินเชิดหน้าใส่อย่
ทันใดนั้นหลิวหยงคนสนิทของเยี่ยนหยางจงก็เดินนำคนสองสามคนเข้ามา ทว่าทุกสายตากลับไปตกอยู่ที่อาชาซึ่งถูกจูงมาทางด้านหลัง ยิ่งเข้ามาใกล้ ทุกคนในที่นั้นก็แทบลืมหายใจขนสีทองที่ปกคลุมตลอดทั้งตัวเปล่งประกายยามต้องแสงอรุณ ทั้งแข็งแรง องอาจปราดเปรียว งามสง่ายากจะหาใดเปรียบปาน“อะ...อะ...อาชาสวรรค์” จ้าวอ๋องอุทานออกมาแทบไม่เป็นคำ นับประสาอะไรกับจ้าวเฟิงเหลยที่ยืนตะลึงอ้าปากตาค้างไปแล้ว“ท่านพ่อตากล่าวได้ถูกต้อง แม้แคว้นหานจะมิได้ขาดแคลนอาชาเหงื่อโลหิต แต่รับรองว่าไม่มีผู้ใดมี ‘อาชาสวรรค์’ ไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน”“จะ...เจ้าให้ข้า”“ไม่ผิด และหวังว่าของขวัญชิ้นนี้จะทำให้ท่านพ่อตากระจ่างในเจตนาของหยางจง” เยี่ยนหยางค้อมกายคารวะอย่างนอบน้อม น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาทั้งมั่นคงและหนักแน่น แววตาคมกล้าเผยความจริงใจใช้อาชาสวรรค์ตอบแทนที่เขายกสตรีแสนวิเศษให้! นี่เยี่ยนหยางจงกำลังจะบอกว่าธิดาของเขามีความสำคัญมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้เชียวจ้าวอ๋องหันไปมองจ้าวกุ้ยอินปราดหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนกลับมาที่เยี่ยนหยางจง แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่ในเมื่อบุตรเขยพยายามแสดงความจริงใจถึงขนาดนี้ ตนเองจะยอมเชื่อใจดูสักครั้ง“เปิ่นหวาง
หลังรับสำรับกลางวันเสร็จ จ้าวอ๋องกำลังอารมณ์ดี จึงชวนบุตรเขยกับบุตรชายไปสนทนาและร่ำสุราต่อในสวน ส่วนจ้าวกุ้ยอินกับอวี้หรูเหรินขอตัวไปเดินเล่น พูดคุยกันตามประสาสตรีขณะที่เหล่าบุรุษกำลังสนทนากันอย่างออกรส บ่าวชายผู้หนึ่งก็เข้ามารายงาน“เรียนท่านอ๋อง มีพ่อค้าจากต่างแดนกลุ่มหนึ่งอ้างว่านำของมาส่งท่านแม่ทัพ บ่าวเห็นว่าไม่มีคำสั่ง จึงให้พวกเขาไปรอที่ประตูหลัง แต่ยังไม่ให้เข้ามาขอรับ”“หากเป็นของเจ้า เหตุใดจึงให้ส่งมาที่นี่เล่า” จ้าวอ๋องหันไปถามบุตรเขย“เรียนท่านพ่อตา สิ่งที่ส่งมาคือของขวัญวันเยี่ยมบ้านภรรยาของข้า” เยี่ยนหยางจงตอบพลางอมยิ้มน้อย ๆ“ไม่ใช่ว่าส่งเข้ามาหมดแล้วหรอกหรือ” จ้าวอ๋องนึกถึงของมีค่าที่ธิดายกเข้ามาให้ก่อนหน้านี้“เพื่อตอบแทนที่ท่านพ่อตายกสตรีที่แสนวิเศษเช่นท่านหญิงให้กับข้า แน่นอนว่าของขวัญชิ้นนี้ย่อมพิเศษกว่า”คำพูดของบุตรเขยเอ่ยเป็นนัย เขาต้องการแสดงออกถึงความจริงใจที่มีต่อจ้าวกุ้ยอิน จ้าวอ๋องจึงรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมา พลันหันไปสั่งบ่าวชายที่ยืนรออยู่ “เร็วเข้า รีบให้พวกเขาเข้ามาส่งของ หลังจากรับไว้แล้วก็เอามาให้ข้าดูที่นี่”“ช้าก่อน ท่านพ่อตา พวกเราคงต้องไปชมที่คอกม้าจึ
“ช้าก่อน” เสียงตะโกนแหบห้าวดังกังวานมาจากหัวมุมถนน ยับยั้งคำสั่งเคลื่อนขบวนรถม้าไว้ทันท่วงทีจ้าวกุ้ยอินอยู่ภายในรถทำให้ไม่เห็นสภาพภายนอก ชิวอิงจึงออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นร่างสูงสง่าบนหลังอาชาสีนิลกำลังออกคำสั่งให้องค์รักษ์ตั้งขบวนอารักขา พลันเลิกม่านกลับเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี “ซื่อจื่อกลับมาแล้ว ตอนนี้กำลังจัดกำลังอารักขาขบวนอยู่เจ้าค่ะ”“จัดกำลัง?” จ้าวกุ้ยอินขมวดคิ้ว ยังรู้สึกรับมือไม่ทัน“ท่านหญิงได้ยินไม่ผิดเจ้าค่ะ” พูดจบชิวอิงก็ขยับเข้ามา เลิกม่านหน้าต่างขึ้นเล็กน้อยจ้าวกุ้ยอินทอดสายตาออกไปภายนอก เห็นทหารองค์รักษ์ประมาณสิบกว่าคนกำลังตั้งขบวนอยู่ด้านหลัง จึงเข้าใจสถานการณ์อย่างแจ่มแจ้ง ความจริงแล้วบุรุษที่หายหน้าไปตั้งแต่เมื่อวาน ไม่ได้คิดจะสร้างความอัปยศให้นางโดยการให้กลับไปเยี่ยมบ้านผู้เดียวสินะรอยยิ้มสายหนึ่งปรากฏบนดวงหน้างามลออโดยไม่รู้ตัวแต่พอเห็นว่าเยี่ยนหยางจงทำท่าเหมือนจะหันมาทางนี้ นางก็รีบเก็บสายตากลับ แล้วพึมพำเสียงเบา “นับว่าเจ้าหมียักษ์ยังรู้ดีชั่ว”เยี่ยนหยางจงมองม่านหน้าต่างที่พะเยิบพะยาบด้วยแววตาล้ำลึก ก่อนบังคับอาชาไปยังหน้าขบวนรถม้าพร้อมกับห
ครั้นตื่นลืมตา จ้าวกุ้ยอินพบว่าที่ตนเองตระหนกอยู่ครึ่งค่อนคืนนั้นเสียเปล่าแล้วเยี่ยนหยางจงไม่ได้กลับมาเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้อง แม่นมจางเดินนำชิวอิงกับชิวเยวี่ยเข้ามาปรนนิบัติยามเช้าทันที เพราะวันนี้คู่แต่งงานใหม่ต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามธรรมเนียมจ้าวกุ้ยอินลุกขึ้นจากเตียงแล้วทำธุระเช้าโดยไม่อิดออด เพราะจะได้กลับจวนไปพบหน้าบิดากับพี่ชายใหญ่ ไหนจะอวี้หรูเหรินอีก เมื่อในหัวใจเกิดความยินดี ยามนี้จึงรู้สึกสดชื่นอย่างยิ่งหลังจากพลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้ท่านหญิงเรียบร้อยแล้ว แม่นมจางก็พาชิวเยวี่ยออกไปจากห้อง เหลือเพียงชิวอิงที่กำลังง่วนกับการแต่งหน้าทำผมให้เจ้านายภายในห้องเงียบสงบ มีเพียงเสียง “กรุ๊งกริ๊ง” ยามชิวอิงหยิบปิ่นทองประดับทับทิมปักลงบนศีรษะ จ้าวกุ้ยอินเหลือบมองเครื่องประดับชุดนั้นด้วยสายตาเย็นชา ก่อนยกมือขึ้นเป็นเชิงรั้ง “ข้าไม่เอาเครื่องประดับชุดนี้”“ทำไมเล่าเจ้าคะ? บ่าวว่าเครื่องประดับปิ่นชุดนี้งดงามอย่างยิ่ง เหมาะกับท่านหญิงเป็นที่สุด” ชิวอิงเลิกคิ้วถาม“ถ้าจำไม่ผิด ปิ่นชุดนี้คือของหมั้นที่เยี่ยนหยางจงส่งมาให้ข้า”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ บ่าวยังนึกแปลกใจไม่หาย ว่าท่
หลังจากได้ชื่ออย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว จิงจิงก็ก้มหน้าลงแทะเปลือกเหอเถาต่อ โดยมีจ้าวกุ้ยอินนั่งเท้าคางมองมันด้วยความเอ็นดูอยู่เงียบ ๆดวงหน้างามพิสุทธิ์อาบย้อมด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาหงส์ฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนดังสายน้ำฤดูสารท สีหน้าเปี่ยมสุขราวบุปผาบานสะพรั่ง ดูงดงามเปล่งประกายจนผู้มองตาพร่ามัวภาพสตรีสะคราญโฉมเริงรื่นดุจความฝัน ทำให้เรือนเจาหยางมีชีวิตชีวาขึ้นในบัดดลยามแสงทองบนท้องนภาถูกแทนที่ด้วยม่านราตรีสีดำ ทั่วทั้งจวนก็เริ่มจุดโคมไฟ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรือนเจาหยาง แสงสีนวลจากโคมเหนือประตูสว่างไสวเสมือนดวงดาวนำทางให้ใครสักคน หลังจากอาบน้ำจนหอมกรุ่นไปทั้งกาย ชิวอิงกับชิวเยวี่ยก็ช่วยกันสวมชุดนอนให้นายหญิง ทั้งบรรจงสางผมจนเรียบลื่น กระทั่งเส้นไหมสีดำมันวาวแผ่สยายเต็มแผ่นหลังเอี้ยมสีชมพูปักลายดอกโบ๋ตั๋นถูกสวมทับด้วยอาภรณ์แพรโปร่งบางสีเดียวกัน ขับเน้นผิวขาวราวหิมะให้กระจ่างสดใส อวดเรือนร่างอรชรภายใต้แสงเทียน ดูเย้ายวนใจอย่างยิ่งจ้าวกุ้ยอินอดขมวดคิ้วมิได้ เมื่อเห็นคนสนิททั้งสองกระตือรือร้นในการแต่งกายให้นางเป็นพิเศษ ราวกับจะเตรียมส่งพระสนมไปยังห้องบรรทมของจักรพรรดิ“พวกเจ้าแน่ใจนะว่ากำลัง
“ขอบคุณฮูหยินชื่อจื่อมากขอรับ หากไม่มีอะไรแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน” ชิงอวี้รับถุงแพรมาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แล้วกล่าวคำอำลา หลังจากได้รับอนุญาตเขาก็รีบจากไปทันทีจ้าวกุ้ยอินมองไปยังตะกร้าที่เจ้ากระรอกน้อยนอนอยู่แล้วหัวเราะเบา ๆ ที่แท้ท่าทางจะเป็นจะตายของมันเมื่อครู่เกิดจากความตะกละ แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกยินดีที่เจ้าก้อนกลมสีน้ำตาลนี้จะไม่เป็นอะไร เพราะถ้ามันตายขึ้นมา คงเพิ่มความหดหู่ให้ชีวิตนางมากขึ้นไปอีก“ถ้าเป็นตามที่ท่านหมอบอก อีกไม่นานเจ้านี่คงจะถ่ายออกมา บ่าวว่าเอามันออกไปดูแลที่อื่นดีกว่าเจ้าค่ะ” ชิวอิงยังคงจดจำกลิ่นราวกับมีอะไรตายเมื่อครู่ได้ดี จึงไม่คิดเสี่ยงให้มันถ่ายของเสียออกมาในห้องอีกแต่ว่าสายเกินไป...ปู๊ด! ปรื๊ด...ปรี๊ด! จ้าวกุ้ยอินเอามือปิดจมูก ลุกขึ้นในฉับพลัน แล้วสาวเท้าถี่ ๆ ออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่ร่างอรชรจะพ้นประตู ยังไม่วายหันมากำชับนางกำนับคนสนิท “ชิวอิง เรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน พอทำความสะอาดเรียบร้อยค่อยไปตามข้า”ชิวอิงรับคำสั่งแล้วร้องไห้อยู่ในใจ พลางมองตะกร้าใบเล็กอย่างผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมฮือ...ท่านหญิง ทำไมเป็นข้าที่ต้องเช็ดอึกระรอกด้วยเล่า?เมื่
“ลำบากท่านหมอแล้ว แต่ ‘คน’ ที่เป็นอะไรนั้นไม่ใช่ข้า” จ้าวกุ้ยอินยิ้มน้อย ๆ กล่าวตอบอย่างนุ่มนวล“ฮูหยินซื่อจื่อเกรงใจไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดในจวนเจ็บไข้ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้น้อยทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าจะให้ตรวจนางกำนัล หรือสาวใช้คนใดของท่านขอรับ”“รบกวนท่านหมอแล้ว” กล่าวจบ จ้าวกุ้ยอินก็ผายมือไปด้านข้างซึ่งไม่มีใครอยู่ทั้งสิ้น“...” ชงอวี้นิ่งอึ้ง“ในตะกร้า” พอเห็นสีหน้างุนงงของผู้เป็นหมอ จ้าวกุ้ยอินจึงเปิดปากอีกประโยคชงอวี้สาวเท้าไปยังโต๊ะข้างตั่งที่มีตะกร้าวางอยู่ใบหนึ่ง พอถึงที่หมายก็ชำเลืองมองลงไป เมื่อเห็นกระรอกน้อยนอนตัวสั่นอยู่ในนั้น พลันรู้สึกเหมือนกำลังถูกทดสอบความอดทนแม้อยากจะตะโกนใส่หน้าสวย ๆ ของฮูหยินซื่อจื่อว่า ท่านเล่นบ้าอะไรอยู่? แต่ก็พยายามตั้งสติ รวมไปถึงทำความเข้าใจสตรีงดงามที่กำลังยกยิ้มน้อย ๆ แล้วมองมาทางนี้อย่างมีความหวัง จึงยังรักษาความสุขุมเอาไว้ได้หากสัตว์เลี้ยงแสนรักเจ็บป่วย ไม่ว่าผู้ใดย่อมรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงส่งคนเชิญตนเองมารักษามันกระมังแต่ว่าเขาเป็นหมอรักษาคน!“ท่านหมอรออะไรอยู่หรือ ยังไม่รีบตรวจอีก” จ้าวกุ้ยอินที่รอฟังอาการของกระรอกน้อยเจ้าปัญหาอยู่เอ่ยเ