ภูริยืนตรงหน้าเดียร์มองดวงตาเขาที่เย็นชาและว่างเปล่า น้ำเสียงเรียบแต่ชัดเจนตอกย้ำราวกับมีดกรีดลงกลางใจ
“เดียร์พี่หมดรักแล้ว พี่คิดว่าควรให้เราทั้งสองคนเลิกกันเถอะ” เขาตัดสินใจพูดออกมาไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่เขาเหนื่อยเกินไป ยิ่งใกล้กันยิ่งทะเลาะกันมากขึ้น
คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจเดียร์ตัวแข็งค้าง รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงตรงหน้า
“เดียร์ไม่ยอม เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย พี่อย่าทิ้งเดียร์นะเราแก้ปัญหาด้วยกันได้” เธอร้องเสียงสั่น พุ่งเข้าไปยึดแขนเขาแน่น
“พี่บอกแล้วไง ว่าความรักของพี่มันเปลี่ยนไปแล้วเดียร์ไม่เข้าใจหรอก ถ้าเราอยู่ต่อไปทั้งคู่ก็จะเจ็บมากกว่านี้” เขาถอนหายใจหนักๆ มองเธอด้วยสายตาที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน
“ไม่เอาอย่าทิ้งเดียร์ เดียร์ยังรักพี่! พี่ต้องรักเดียร์เหมือนเดิมสิ ฮือ~” น้ำตาไหลพราก เธอพยายามเกาะแขนเขาแน่นขึ้นร้องไห้สะอื้น
“พี่ยอมกราบก็ได้แค่เดียร์ยอมปล่อยพี่ไป เพราะหัวใจดวงนี้ไม่มีเดียร์อยู่ในนั้นอีกแล้ว”
หญิงสาวชะงักเธออยากจะก้าวเข้าไปกอดเขา แต่ทุกคำพูดเหมือนตรึงขาเธอไว้กับพื้น น้ำตาคลอเบ้าน้ำเสียงสั่นเครือ
“พี่ยอมกราบเดียร์เพื่อให้เดียร์ยอมปล่อยพี่ไป แต่พี่ยังไม่คิดถึงวันที่เข้ามาจีบเดียร์เลยเหรอ?” เธอถามพลางน้ำตาไหลพราก
“พี่หมดรักเดียร์แล้ว” ภูริหลุบตาลง ไม่สบสายตาเธอ แต่เสียงของเขากลับหนักแน่นราวกับตัดสินใจแล้ว
คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจของเดียร์ เธอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลาย น้ำตาไหลไม่หยุด หญิงสาวนิ่งรู้สึกถึงความว่างเปล่าและความเจ็บปวดที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
“เรื่องลูกไม่ต้องเป็นห่วงนะพี่จะดูแลเขาอย่างดี ถ้าเดียร์อยากเลี้ยงลูกเองพี่ไม่ห้าม”
“...” เธอก็ยังนิ่งไม่ยอมพูด
“พี่จะหาเวลาไปเจอเขาบ่อยๆ จะส่งเงินให้ทุกเดือนขอแค่เดียร์อย่ากีดกันพี่กับลูกก็พอ” เขาพยายามเสนอทางเลือกให้อีกฝ่าย
“...” ตอนนี้เธอเหมือนคนไม่มีสติ แค่ได้ยินคำว่าเลิกแทบไม่มีแรงลุกขึ้นยืน
“เดียร์ฟังที่พี่พูดหรือเปล่า พี่หวังดีกับเดียร์เสมอนะ แต่แค่วันนี้เราเดินไปด้วยกันไม่ได้เท่านั้น” เขายังคงพูดต่อ อยากให้ทุกอย่างจบลงตั้งแต่วันนี้
“เดินมาด้วยกันตั้ง 4 ปี เพิ่งรู้ว่าแค่เดินมาส่ง” เธอเช็ดน้ำตาออกมา พยายามตั้งสติคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมาถึง
“พี่ขอโทษที่ทำให้อนาคตของเดียร์พัง” เขาคุกเข่าลงต่อหน้าหญิงสาว ทำเหมือนสำนึกผิดกับเรื่องที่ผ่านมา แต่ไม่เลยเขากำลังผลักไสไล่ส่งเธอออกไปจากชีวิต
“ฮึก~”
“ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูลูก ปล่อยให้พี่ได้ใช้ชีวิตตามวัยมีสังคม มีทางของตัวเอง ทำหน้าที่ตัวเองไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเราหมดรักกันตั้งแต่ตอนไหน?” เธอเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มไม่กล้าแม้แต่จะมองใบหน้าของเขา
“พี่ผิดเอง” เขาได้แต่พูดคำนี้
หญิงสาวเหมือนคนไม่มีสติใบหน้าเหม่อลอยปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาแทนคำพูดของเธอ เลิกกันวันนี้อาจจะดีกว่าเลิกกันตอนที่ลูกโตแล้วก็ได้ เธอค่อยๆ เงยหน้ามองเขาเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้เราทั้งสองคนแยกย้ายกันไปเติบโต
“ไปซะ! ไปแล้วอย่ากลับมาเดียร์จะเลี้ยงลูกของเดียร์อย่างดี จะสอนเขาให้รู้จักรักและเคารพผู้หญิง จะไม่สอนให้เขาเป็นแบบพ่อเขาเด็ดขาด และจะไม่สอนให้เขานอกใจใครเหมือนพี่เด็ดขาด”
เธอตะโกนด้วยความเด็ดขาดน้ำตายังไหลพราก แต่ดวงตากลับเฉียบคมเหมือนคนที่ตัดสินใจแล้ว มือของเธอสั่นจนควบคุมไม่อยู่
“พี่ไม่ได้มีคนอื่นนะ พี่แค่อยากอยู่คนเดียว” เขารีบแก้ตัวทันที ถึงแม้จะในใจจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ไม่คิดจะมีคนอื่นแบบที่หญิงสาวพูด
“ไม่ต้องมาเจอหน้าลูกอีก ถ้ายังมีสามัญสำนึกในความเป็นพ่อ แค่ส่งเงินมาก็พอหรือจะให้ดีก็ไปตายซะยังจะดีกว่าที่ต้องให้ลูกรู้ว่าพี่คือพ่อที่แย่มาก”
“ทำไมต้องห้ามไม่ให้เจอลูก” มือของเขาอยากจะเอื้อมไปจับมือของเธอ แต่รู้สึกว่าทุกคำพูดของเดียร์เหมือนตะปูตอกลงกลางใจ
“ถ้าพี่อยากมีลูกกับผู้หญิงของพี่ก็ไปมีสิ อย่ามายุ่งกับพวกเรา”
“เดียร์” น้ำเสียงของเขาแหบพร่า ตอนนี้อารมณ์ของเธอคงโกรธเขามากอธิบายไปก็ไม่ฟังอะไร
“พอเถอะ ไปให้พ้นจากชีวิตพวกเรา” แต่เดียร์ส่ายหน้าน้ำตายังคงไหลพราก แต่หัวใจเธอแข็งแกร่ง
หญิงสาววิ่งเข้าห้องนอนด้วยหัวใจที่ปวดร้าว น้ำตาไหลพรากจนแทบหายใจไม่ออก เธอทรุดตัวลงบนพื้นข้างเตียง กอดเข่าตัวเองไว้แน่น ร้องไห้ออกมาอย่างหมดแรง ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดที่บีบรัดหัวใจ
ชีวิตนี้เธอเคยคิดว่ามีภูริเป็นโลกทั้งใบ แต่ตอนนี้โลกทั้งใบนั้นพังทลายเหลือเพียงความว่างเปล่า
หลังจากสะบัดน้ำตาและตั้งสติได้เธอค่อยๆ ลุกขึ้นเช็ดน้ำตา และเริ่มเก็บเสื้อผ้าอย่างใจร้อน แต่ใจเต็มไปด้วยความเด็ดขาด
เธอเหลือบไปเห็นกล่องรูปภาพเก่าภาพวันที่แต่งงาน วันที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความฝัน เธอหยิบขึ้นมาดู ดวงตาเบิกกว้างด้วยความทรงจำ ก่อนจะกำมันแน่นแล้วโยนลงถังขยะ
เสียงกระแทกของรูปภาพกับถังขยะดังสนั่นในห้อง เธอสูดลมหายใจลึกความเจ็บปวดยังอยู่ แต่หัวใจเริ่มรู้สึกถึงความเบาเหมือนปล่อยอดีตที่ทำร้ายตัวเองทิ้งไป
เธอมองรูปถ่ายของลูกชายน้ำตาไหลอีก แต่คราวนี้เป็นน้ำตาของการเริ่มต้นใหม่ เธอสัญญากับตัวเองว่าจะสอนเขาให้แข็งแรง จะรักและปกป้องเขาให้ดีที่สุด
ฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ปรานี เดียร์หอบกระเป๋าเดินตากฝนน้ำตาไหลผสมกับละอองฝนเปียกชุ่มร่าง เธอรู้สึกหนาวสั่น แต่หัวใจเจ็บปวดยิ่งกว่าอากาศเย็นยะเยือก
เมื่อถึงบ้านของภูริเธอตัดสินใจมุ่งหน้าไปชั่นสองของบ้าน เคาะประตูห้องนอนพี่สาวภูริ มือสั่นด้วยความร้อนใจ
“เดียร์มาทำอะ...” ดีนี่ยังพูดไม่จบ อีกฝ่ายโผเข้ามากอดแน่น น้ำตาไหลพรากเต็มหน้า
“เขาขอเลิกกับเดียร์แล้ว ฮือ!” เธอพูดออกมาสั้นๆ เสียงสั่นและน้ำตาไหลไม่หยุด
“ทำไมเกิดอะไรขึ้น ไอ้น้องเวรมันทำอะไร” ดีนี่ก้าวเข้ามากอดเธอไว้แน่นตบหลังเบาๆ ปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
เดียร์ซุกหน้าเข้าที่อกของดีนี่ ร้องไห้อย่างหมดแรง ความเจ็บปวดที่กดทับมานานเหมือนพังทลายออกมา เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นเล็กๆ ในโลกที่ตอนนี้ไม่เหลือใคร
“ร้องออกมาให้พอ ไม่ต้องกลั้นน้ำตาไว้” ดีนี่รู้นิสัยของน้องชายดี คิดว่าสักวันเรื่องนี้ต้องมาถึง แต่ไม่คิดว่ามาไวขนาดนี้
“ฮือออ เดียร์เกลียดเขาไม่อยากเจอหน้าเขาอีกแล้ว เดียร์ทำทุกอย่างเพื่อรักษาครอบครัวไว้ แต่เขาทำมันพังพี่ดีนี่อย่าบอกให้เดียร์อดทนอีกเลยนะ เดียร์ทนไม่ไหวแล้ว”
“พี่ขอโทษที่พูดกับเดียร์แบบนั้น”
ดีนี่คอยให้คำปรึกษาหญิงสาวมาตลอด บอกให้อดทนจนลืมนึกไปว่าเดียร์ต้องเจ็บปวดทรมานแค่ไหน ดีนี่พาหญิงสาวมานั่งสงบสติอารมณ์เสียก่อน
“แล้วจะเอายังไงต่อ”
“เดียร์ไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้ ไม่อยากให้เขามาวุ่นวายกับลูกอีก พี่ดีนี่ช่วยเดียร์ด้วยนะคะคุณปู่คงไม่ยอมแน่”
“ตั้งสติค่อยๆ พูดนี่ดึกมากแล้วเดียร์พักผ่อนก่อนนะ ตอนเช้าเราค่อยมาคุยกันอีกครั้ง น้องภูผาอยู่ไหน”
“อยู่กับป้าอิ่มค่ะ”
“ไปอาบน้ำไปเดี๋ยวไม่สบาย พรุ่งนี้เราจะหาทางแก้ปัญหาช่วยกัน”
“ฮือ~”
“ร้องออกมาเลยเดียร์ คนเราไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลาหรอก”
ดีนี่รู้สึกผิดที่ปล่อยให้น้องชายมาทำลายอนาคตของอีกฝ่าย แถมไม่เคยสอนน้องตัวเองว่าอะไรที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ครั้งนี้เธอจะไม่ถามเหตุผลอะไรทั้งนั้น แต่จะเคารพการตัดสินใจของเดียร์
คนแบบภูริสมควรได้รับบทเรียนครั้งใหญ่ ส่วนอนาคตที่ทั้งสองจะกลับมารักกันอีกหรือไม่ก็สุดแล้วแต่บุญวาสนาจะนำพาไป หน้าที่ของสามีและภรรยาจบลงแล้ว แต่หน้าที่ของพ่อแม่ยังคงอยู่ตลอดไป
ภูริยืนตรงหน้าเดียร์มองดวงตาเขาที่เย็นชาและว่างเปล่า น้ำเสียงเรียบแต่ชัดเจนตอกย้ำราวกับมีดกรีดลงกลางใจ“เดียร์พี่หมดรักแล้ว พี่คิดว่าควรให้เราทั้งสองคนเลิกกันเถอะ” เขาตัดสินใจพูดออกมาไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่เขาเหนื่อยเกินไป ยิ่งใกล้กันยิ่งทะเลาะกันมากขึ้นคำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจเดียร์ตัวแข็งค้าง รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงตรงหน้า“เดียร์ไม่ยอม เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย พี่อย่าทิ้งเดียร์นะเราแก้ปัญหาด้วยกันได้” เธอร้องเสียงสั่น พุ่งเข้าไปยึดแขนเขาแน่น“พี่บอกแล้วไง ว่าความรักของพี่มันเปลี่ยนไปแล้วเดียร์ไม่เข้าใจหรอก ถ้าเราอยู่ต่อไปทั้งคู่ก็จะเจ็บมากกว่านี้” เขาถอนหายใจหนักๆ มองเธอด้วยสายตาที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน“ไม่เอาอย่าทิ้งเดียร์ เดียร์ยังรักพี่! พี่ต้องรักเดียร์เหมือนเดิมสิ ฮือ~” น้ำตาไหลพราก เธอพยายามเกาะแขนเขาแน่นขึ้นร้องไห้สะอื้น“พี่ยอมกราบก็ได้แค่เดียร์ยอมปล่อยพี่ไป เพราะหัวใจดวงนี้ไม่มีเดียร์อยู่ในนั้นอีกแล้ว”หญิงสาวชะงักเธออยากจะก้าวเข้าไปกอดเขา แต่ทุกคำพูดเหมือนตรึงขาเธอไว้กับพื้น น้ำตาคลอเบ้าน้ำเสียงสั่นเครือ“พี่ยอมกราบเดียร์เพื่อให้เดียร์ยอมปล่อยพี่ไป แต่พี่ยัง
“ไหนว่าพี่ภูมาทำรายงานแล้วนี่อะไร!” เดียร์ตะโกนออกไปทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง หันมามองหญิงสาว “มาได้ยังไง” เขาถามด้วยความตกใจที่เดียร์มาที่นี่ถูก “พี่ทำแบบนี้กับเดียร์ได้ยังไง” เธอถามเสียงสั่นทั้งเสียใจและโกรธเขามาก จนแวบหนึ่งความรู้สึกของเธอบอกให้พอตั้งแต่ตอนนี้ “เดียร์ใจเย็นก่อนสิ” เพื่อนที่อยู่ในห้องต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมากว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครแล้วทำไมภูริถึงได้มีท่าทีที่แปลกไป แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ทำเพียงแค่ใส่ใจกันแบบเงียบๆ “จะให้ใจเย็นได้ยังไง!” รอบนี้เดียร์โกรธจนเริ่มไม่มีสติ ความอดทนทั้งหมดขาดสะบั้นลงทันที “ตั้งสติหน่อยออกมาคุยกันด้านนอก” พี่กลัวใครรู้เหรอว่าพี่มีเมียมีลูกแล้ว หรือกลัวใครจะเสียใจ” “ภูพริมว่ากลับไปคุยกันดีๆ ดีกว่า” พีรญาลุกขึ้นมาห้ามทั้งสอง ไม่อยากให้คนอื่นมองภูริไม่ดี เพี๊ยะ!เสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังลั่นจนคนรอบข้างหันมอง พีรญาเซไปเล็กน้อยมือกุมแก้ม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ“เดียร์ทำบ้าอะไรของเธอ” เพื่อนต่างพากันอึ้งที่พีรญาโดนตบ“นี่พี่ไปทำอะไรให้” พีรญาถามเสียงสั่น แววตาเต็มไปด้วยค
หลายวันมานี่ภูริกับเดียร์ไม่ค่อยทะเลาะกัน ช่วงนี้ชายหนุ่มอยู่แต่บ้านช่วยเธอเลี้ยงลูก จนทำให้เธอเริ่มกลับมาเชื่อมั่นในตัวเขามากขึ้น “เดียร์” “พี่ภูจะเอาอะไรคะ” “คือเย็นนี้พี่ต้องไปทำรายงานที่บ้านเพื่อน” “จะกินเหล้ากันอีกหรือเปล่า” ทุกครั้งที่เขากลับมามักจะมีกลิ่นเหล้าติดมาตลอด แรกๆ ทะเลาะกันบ้านแทบแตก แต่ตอนนี้เธอเหนื่อยจะพูดเลยปล่อยเขา “อาจจะมีบ้างแต่ไม่ได้ออกไปผับ” เขาบอกตามความจริง ช่วงนี้เขาติดเพื่อนและชอบออกเที่ยวผับตามประสาวัยของเขา “ค่ะ อย่ากลับดึกนะ” เธออนุญาตเพราะรู้ดีว่าห้ามเขาไม่ได้อยู่แล้ว “ขอบคุณนะที่เข้าใจ” “ทำรายงานที่บ้านใครคะ?” เธอหันมาถามเขา เพื่อนของชายหนุ่มเธอไม่เคยเจอหน้า แต่พอจะรู้จักชื่อบ้าง “ก็มีไอ้สิงห์ไอ้เต” “ดูแลตัวเองตัวนะ” เธอยอมรับว่าไม่ค่อยไว้ใจภูริ เพราะการกระทำที่ผ่านมาของเขา ถ้ามัวแต่ระแวงกันอยู่แบบนี้ชีวิตของเธอคงไม่มีความสุข“ขอบคุณนะเดียร์พี่สัญญา จะรีบทำให้เสร็จแล้วรีบกลับไม่ดึกแน่นอน” ใบหน้าของภูริก็ผ่อนคลายราวกับยกภูเขาออกจากอก เขารีบยกมือขึ้นประคองแก้มเธอเบาๆ
เดียร์ที่เห็นสภาพเขาแล้วก็รีบลุกขึ้นมาและเดินเข้าไปพยุงร่างของภูริเอาไว้ อยากจะทิ้งให้เขานอนอยู่ตรงนี้ก็สงสาร“ไม่ต้องมายุ่ง”“พี่ภูพี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้” เสียงของเธอสั่นเครือ น้ำตาคลอเต็มสองตา“สันดานพี่ก็เป็นแบบนี้แหละ รับได้ไหมล่ะรับไม่ได้ก็เรื่องของเดียร์”ภูริเหลือบมองใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเธอ ก่อนยกยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มที่ไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย แต่กลับเต็มไปด้วยความเฉยชาและเหนื่อยหน่าย“พี่ภูแล้วเดียร์กับลูกล่ะ”“พี่ก็ต้องมีเพื่อนมีสังคมบ้างสิจะให้วันๆ เอาแต่อยู่กับเดียร์กับลูกมันก็ไม่ใช่ พี่ก็อยากมีชีวิตส่วนตัวเหมือนกัน”คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของเธอร่างกายสั่นสะท้านราวกับไม่มีแรงประคองเขาอีกต่อไป เธอเบือนหน้าหนีเพราะกลัวว่าถ้าเธอมองนานกว่านี้ น้ำตาที่รอจะพรั่งพรูออกมาจะกลายเป็นเสียงสะอื้นโหยหวน“ฮึก หรือพี่หมดรักเดียร์แล้ว” เธอถามเสียงแผ่วราวกับจะหลุดออกมาเพียงลมหายใจภูริเงียบไปครู่หนึ่งหันหน้าไปทางอื่น ไม่ได้ตอบอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบและความเจ็บปวดโอบรัดหัวใจของหญิงสาวจนแทบขาดใจ“ไม่เกี่ยวว่ารักหรือไม่รักหรอก เดียร์ดูตัวเองสิมัวแต่ดูแลคนอื่นจ
เกือบสว่างภูริโซซัดโซเซกลับเข้ามาในคอนโด กลิ่นเหล้ายังคละคลุ้งติดตามเสื้อผ้า เขาวางกระเป๋าแล้วหันไปมองบนเตียงในห้องนอนเล็กๆ เห็นลูกชายตัวน้อยนอนดิ้นไปมามือเล็กๆ ฟาดอากาศ ก่อนที่ดวงตากลมใสจะลืมขึ้น“อือ…”น้องภูผาส่งเสียงครางเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้เขา ยิ้มเล็กๆ ที่ทำให้หัวใจภูริสะดุดไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่ไร้เดียงสานั้นเหมือนจะปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าและความผิดทั้งหมดที่เขาแบกไว้เขาเหลือบมองไปทางเดียร์ที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวบอกชัดว่าเธอเหนื่อยมากเพียงใด ภูริอุ้มลูกชายออกมาที่ห้องโถงวางตัวเล็กไว้บนตัก มือใหญ่ลูบแก้มกลมใสเบาๆ“ไงครับคนเก่ง ตื่นมาหาปะป๊าเหรอ หืมมม”น้องภูผาหัวเราะคิกคัก มือเล็กคว้าจมูกของเขาอย่างซุกซน เสียงหัวเราะเล็กๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของยามเช้าภูริยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาก้มลงหอมแก้มลูกซ้ายทีขวาที“ปะป๊าขอโทษนะครับ ที่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยต่อไปปะป๊าจะพยายามนะ” เสียงกระซิบเบาๆ ราวกับคำสัญญาที่เขายังไม่รู้เลยว่าจะรักษาได้หรือไม่เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของน้องภูผาดังพอจะปลุกเดียร์ให้สะลึมสะลือตื่น เธอค่อยๆ ลุกขึ้น เดินออกมาที่ห้องโถง ภาพที่เห็นคือภูร
น้องภูผาลืมตาตื่นดวงตากลมโตสดใสไร้ไข้ ริมฝีปากเล็กๆ ยกยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันน้อยๆ พลางส่งเสียงอย่างร่าเริง มือเล็กๆ ตบผ้าห่มไปมาอย่างตื่นเต้น “อือๆ บ๊ะๆ”“ไข้ลดแล้วยิ้มใหญ่เลยนะลูกของแม่ เก่งที่สุดเลย” เธอโล่งใจ เธอก้มลงกอดลูกน้อยแนบอกแล้วหัวเราะเบาๆน้องภูผาหัวเราะคิก เสียงใสแจ๋วสะท้อนก้องไปทั่วห้องราวกับดนตรีที่กล่อมใจให้แม่หายเหนื่อย ความร่าเริงของเขาทำให้หญิงสาวลืมความเหนื่อยที่ต้องอดหลับอดนอนมาหลายวันในพริบตาตอนนี้ลูกชายวัยแปดเดือนของเธอไม่ใช่เด็กตัวน้อยที่เอาแต่นอนอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เริ่มส่งเสียงคุยเจื้อยแจ้วตอบโต้ และใช้รอยยิ้มเป็นภาษาที่เติมเต็มหัวใจแม่ได้อย่างสมบูรณ์ เดียร์กดจมูกหอมแก้มกลมๆ ของลูกฟอดใหญ่“ลูกตื่นแล้วเหรอ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นเขาเพิ่งกลับมาถึงตอนเช้าหลังจากที่เมื่อคืนทะเลาะกันอย่างหนัก“มองไม่เห็นเหรอ” เธอไม่ยอมมองหน้าเขา โกรธที่เขาทิ้งเธอกับลูกไว้ตามลำพัง แถมยังพูดจาไม่น่ารัก“เดียร์พี่ขอโทษเมื่อคืนพี่เมาไปหน่อยเลยพูดอะไรออกไปแบบนั้น” เขายอมลดทิฐิลง ภูริจับต้นแขนเธอไว้แน่น แต่เสียงลูกชายร้องไห้ดังขัดจังหวะเสียก่อน“ปล่อย เดียร์จะไปดูลูก” น้ำเ