“ไม่ได้/ไม่ได้!” ไม่ต้องคิดให้มากความสองเสียงประสานตวาดดังลั่น แม่เล้าลี่จินเข่าอ่อนแทบลมจับ อาเม่ยตัวน้อยของนางนึกอยากพลีกายให้ผู้อื่นเสียแล้ว ด้านฟางซินยิงแล้วใหญ่ เขายกมือขึ้นจิกทึ้งเส้นผมตนเองไปมาราวกับจะเป็นบ้าตายเสียเดี๋ยวนี้
“ท่านป้า...ฟางซิน...เหตุใดเล่า” เสี่ยวเม่ยยังคงร้องถาม พ่อค้าหมั่นโถวหันซ้ายทีขวาทีมองดูปฏิกิริยาของคนข้างกายทั้งสอง
“ยังจะถาม...เจ้าเป็นพ่อค้าขายหมั่นโถว!” ฟางซินว่า เขานึกอยากเปิดกะโหลกของอีกฝ่ายดูนักว่าภายในนอกจากแป้งสาลีแล้วมีสิ่งอื่นหรือไม่ ด้านลี่จินนางยังคงนั่งดมยาหอมเพื่อสงบจิตสงบใจ ปล่อยเด็กหนุ่มสองคนโต้เถียงกันไปก่อน
“ข้าทำได้” เจ้าตัวดียังไม่ยอมแพ้ ยกมือตบอกแสดงท่าทางมั่นอกมั่นใจ ฟางซินยกแขนขึ้นกอดอกแล้วจ้องหน้าสหายอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน
“ยั่วยวนบุรุษเจ้าทำได้หรือ? ”
“....” คำถามนั้นทำเอาเสี่ยวเม่ยตอบไม่ถูก
คำว่ายั่วยวนคืออย่างไร ใช่กายโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งไว้ แล้วทอดสายตามองชายที่หมายปองหรือไม่?
“ปรนนิบัติด้วยปากเคยทำหรือไม่? ” ฟางซินรุกไล่ต่อ มือเรียวบีบแก้มนุ่มของพ่อค้าหมั่นโถวเข้าหากันจนปากยู้
“มือคู่นี้นอกจากนวดแป้งเคยนวดอย่างอื่นหรือ? ” คราวนี้มือเล็กทั้งสองข้างของเสี่ยวเม่ยถูกยกขึ้น พ่อค้าขายหมั่นโถวจ้องมองนิ้วทั้งห้าของตนแล้วก็นึกย้อนกลับไปในความทรงจำ ว่านอกจากนวดแป้งแล้วนั้นเขาเคยนวดอะไรอีกบ้างหนอ? เนื้อหมูนับหรือไม่? หรือหากตอบไปว่านวดแขนนวดขาพอจะได้หรือเปล่า?
“ทอดกายใต้ร่างบุรุษเจ้าเคยหรือไร? ”คำถามเริ่มลงลึกขึ้นทุกที หนุ่มพรหมจรรย์ที่ริอ่านอยากลงสนามค้ากามเริ่มไม่ตก ถึงเสี่ยวเม่ยจะเคยเห็นฉากการร่วมรักผ่านหนังสือปกเหลืองที่แอบขายในตลาดอยู่บ้าง แต่เห็นแค่ภาพจะไปพอได้อย่างไร
เสี่ยวเม่ยไม่ใคร่สนใจเรื่องคาวในม่านมุ้งเท่าใดนัก เขาชอบเพ้อฝันไปกับตำนานความรักจากนิยายประโลมโลกที่นิยมในหมู่เด็กสาวมากกว่า อีกทั้งร่างกายนี้ก็ไม่เคยเกิดความรู้สึกเสียวกระสันแบบที่เคยได้ยินเหล่าพี่น้องนายโลมท่านอื่นเล่าบอกสักครา
ที่พอจะมีความรู้สึกตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดอยู่บ้าง ก็คือตอนที่ได้ยินข่าวหรือเรื่องราวของแม่ทัพประจิมก็เพียงเท่านั้น
ใจของเสี่ยวเม่ยจะเต้นตุบ ๆ ราวกับจะทะลุออกมานอกอก ขนอ่อนทั้งร่างลุกเกลียวตั้งแต่หัวจรดเท้า ประสาทการรับรู้คล้ายได้รับความเสียหาย สุ้มเสียงใดก็ได้ยินไม่ใคร่ชัดเจน ลำคอแห้งผาก มือไม้อ่อนไปหมด
อาการเขาออกว่ารู้สึกกับเฉินฮ่าวเทียนถึงเพียงนี้ หากไม่เรียกว่าหลงรักจนหัวปักหัวปำแล้วจะให้กล่าวว่าเป็นสิ่งใดได้อีก
“สอนข้า...ฟางซิน...ท่านป้า...สอนข้าเถิด” เสี่ยวเม่ยตัดสินใจเอ่ยบอก เขาคิดว่าในเมื่อไม่รู้ก็ต้องหาผู้เชี่ยวชาญฝึกสอน
“ข้าขอตีเขาได้ไหมท่านแม่...เผื่อจะคืนสติขึ้นมาบ้าง” ฟางซินชักทนไม่ไหว เขาเตรียมง้างมือฟาดเจ้าคนที่อยู่ดีไม่ว่าดีนึกอยากขายตัวตรงหน้านี่แล้ว
ด้านลี่จินที่สูดยาหอมจนอาการดีขึ้น นางตัดสินใจเอ่ยปากปราม เพื่อหวังให้พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยล้มเลิกความตั้งใจ
“อาเม่ยอย่าดื้อรั้นเลย”
ทว่าคนคิดว่าแล้วว่าอย่างไรก็จะไม่ยินยอม เพราะโอกาสได้ใกล้ชิดคนในดวงใจใช่ว่าจะลอยมาให้ทุกวันเสียเมื่อไหร่
ปากนี้ไม่เคยปรนเปรอผู้ใด?
ก็ช่างเถิด...เสี่ยวเม่ยจะใช้มันกับท่านแม่ทัพเอง
มือนี้ไม่เคยนวดสิ่งอื่นใดนอกจากแป้ง?
ก็ช่างเถิด...เสี่ยวเม่ยจะทุ่มแรงกายแรงใจอุทิศทั้งสิบนิ้วมือบีบนวดทุกพื้นที่บนกายท่าน
ร่างกายนี้ไม่เคยมีใครได้กกกอด?
ก็ช่างเถิด...เสี่ยวเม่ยจะยกทุกส่วนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าให้ท่านแม่ทัพผู้เดียว
ความลุ่มหลงมัวเมาในรักของพ่อค้าหมั่นโถวนั้นยากเกินหยั่ง หากให้เทียบวัดแล้วไซร้ เสี่ยวเม่ยมั่นใจว่าตนเองอยู่ที่ก้นพื้นดินในส่วนที่ลึกที่สุดของหลุมรักหลุมนี้ และเขาก็ไม่มีความคิดที่จะปีนขึ้นมาทั้งสิ้น
พ่อค้าหมั่นโถวเลือกที่จะก้มหัวลงจรดพื้น ปากพร่ำขออ้อนวอนอย่างสิ้นไร้ศักดิ์ศรี เพื่อขอความเมตตาจากแม่เล้าและนายคณิกาที่อยู่เบื้องหน้าตน
“พวกท่านช่วยข้าสักครั้งเถิด...เห็นแก่ความดีที่ข้าเคยทำมาตลอด...แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว...ข้ามั่นใจว่าท่านแม่ทัพเพียงแค่อยากประชดประชัน...เขาสนใจเพียงชั่วคราวแล้วก็คงจากไป...โอกาสเช่นนี้สำหรับข้าไม่มีอีกแล้ว...เวทนาข้าสักครั้งเถิดหนา”
ปากว่าไปก็ก้มหัวขอขมาไม่หยุด ท่าทางชวนให้เวทนา ทำเอาสองสายตาที่จ้องมองปวดหัวใจจนน้ำตาคลอ
“เสี่ยวเม่ย…” ลี่จินรุดเข้าไปประคองร่างเพรียวของพ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยของนางไม่ให้ก้มหัวขอขมาอีกต่อไป ด้านฟางซินเองนั้น เขาก็ใจอ่อนยวบตั้งแต่เห็นสหายก้มหัวลงพื้นแล้ว
นายโลมคนดังเอื้อมมือเกาะลงที่แขนของแม่เล้าพร้อมส่งสายตาเศร้าใจไปให้ ก่อนที่จะพยักหน้าลงครั้งหนึ่งแทนการยินยอมรับคำของสหาย
“เฮ้อ...ครั้งเดียวเท่านั้น” ลี่จินถอนหายใจออกมาก่อนที่จะเอ่ยตกปากรับคำในที่สุด
“ขอบคุณขอรับท่านป้า” เมื่อได้รับคำอนุญาต พ่อค้าหมั่นโถวที่กำลังก้าวเข้าสู่โลกใหม่เพื่อเปิดประสบการณ์ก็ยิ้มร่าออกมาด้วยใบหน้าชื่นมื่น
เห็นอาเม่ยคนดีแย้มยิ้ม ลี่จินก็จนใจ นางประคองเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นนั่งก่อนหันไปสั่งกำชับเด็กในปกครองของคนเสียงอ่อน
“เอาล่ะ ลุกขึ้น ๆ ...ฟางซินสามวันต่อจากนี้เจ้าก็ดูแลเขาให้ดี”
“ขอรับ” ฟางซินเอ่ยตอบ ก่อนมองส่งสายตาไปจนร่างของเจ้าของหอคณิกาแห่งนี้เดินจากไป
พอพ้นแผ่นหลังของอีกฝ่าย เขาจึงได้ดึงสายตากลับมามองเจ้าตัวดีที่ระบายยิ้มไม่หุบ ดีใจเสียจนเนื้อเต้นปานนี้ เห็นแล้วมันน่ามันเขี้ยวนัก!
“ไม่ต้องมาส่งยิ้ม...จะเสียตัวให้บุรุษครั้งแรกดีใจนักหรือ”
“อาซินคนดีของข้า...จากนี้ต้องลำบากเจ้าแล้ว” เสี่ยวเม่ยเมินคำถากถาง ทิ้งศีรษะลงบนไหล่บางของสหายแล้วถูไปมาอย่างออเซาะ แต่ออดอ้อนได้ไม่ถึงชั่วนาที ฟางซินก็ดันศีรษะของพ่อค้าหมั่นโถวตัวดีให้ถอยห่างออกไป ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มที่ฟังดูคล้ายถ้อยคำข่มขู่มากกว่าคำตักเตือน
“เจ้าได้ลำบากแน่...จำคำข้าไว้ได้เลย”
เสี่ยวเม่ยก็พอจะทราบอยู่หรอกว่าเฉินฮ่าวเทียนไม่ใช่คนละเอียดอ่อน แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นหยาบกระด้างได้เพียงนี้“ชักช้าอยู่ไย? ”แล้วดูเอาเถิด คนที่กล้าพูดคำว่า เสพสมออกมาได้อย่างเต็มปากด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นนั้น บัดนี้ยังมีหน้ามาเอียงคอถามด้วยความสงสัย โดยไม่มีทีท่าว่าจะละอายแก่ใจเลยสักนิด‘ไม่มีกระไรขอรับ’ นายคณิกาตัวปลอมได้แต่จนคำพูดอาจเป็นเพราะเสี่ยวเม่ยไม่มีประสบการณ์ในเรื่องราวเช่นนี้ คนที่คิดว่าตนฝึกฝนมาดี บัดนี้เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเสี่ยวเม่ยก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการทุกอย่างให้เป็นไปอย่างราบรื่นพ่อค้าหมั่นโถวยืนนิ่งอยู่กับที่ ครั้นจะก้าวเดินไปข้างหน้าก็ไม่กล้า พอจะถอยหลังก็ยังนึกหวั่น จึงเกิดเป็นอาการยึกยักไปมา จนทำเอาแขกพิเศษผู้ทอดสายตามองอยู่นานนึกรำคาญใจคิดเล่นตัวอันใด…ชักช้าเสียเวลา เฉินฮ่าวเทียนครุ่นคิดเช่นนั้นเดิมความคิดในการมาเยือนหอคณิกาเป็นการประชดประชันเพียงชั่วครู่ เข
เวลาล่วงเลยเข้าใกล้ยามจื่อ [1] ผู้ที่อยู่ภายในห้องรับรองต่างเร่งรีบตรวจความเรียบร้อยในขั้นสุดท้าย เสี่ยวเม่ยถูกจับนั่งลงที่บริเวณตั้งไม้ตัวยาว มือเล็กประสานเข้าหากันอย่างสำรวมลี่จินมองความนิ่งสงบของเด็กหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นางยังคิดเอาไว้อยู่เลยว่า ถ้าเห็นอาเม่ยคนดีของนางมีท่าทางตื่นตระหนกแม้เพียงสักนิด ร้ายดีอย่างไรก็จะยกเลิกแผนการนี้และให้ฟางซินอยู่รับรองแทนแต่ทว่า…พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความตั้งมั่นแรงกล้า เห็นคนมีใจมาขนาดนี้แล้ว ลี่จินก็ไม่คิดขัดขวางใดอีก นางได้แต่อธิษฐานขอสวรรค์โปรดช่วยประทานพรจนเมื่อเสียงตีกลองบอกเวลา [2] ดังแว่ว แม่เล้าประจำหอคณิกาจึงเดินเข้าไปกำชับบอกคนที่นั่งนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย“อาเม่ย...ค่ำคืนแรกอาจไม่ได้มีความสุขดังฝัน...แต่ในเมื่อเลือกแล้ว...ต่อให้ท่านแม่ทัพไม่ถนอมก็ต้องห้ามปร
การฝึกฝนดำเนินต่อไปอีกสามวันสามคืน พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยถูกเคี่ยวเข็ญอย่างเข้มงวด เรื่องใดที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ สิ่งใดที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ดินแดนคาวโลกีย์ที่ตนไม่เคยนึกเหยียบย่าง บัดนี้เสี่ยวเม่ยเรียกได้ว่าถูกลากดึงให้ดำดิ่งสู่วิถีนายคณิกาอย่างเต็มตัวซึ่งแน่นอนว่าหลักสูตรที่เสี่ยวเม่ยถูกพร่ำสอนหาใช่ทั้งหมดทั้งมวลที่ต้องรู้ กับคนที่มีเวลาน้อยนิดจะให้ร่ำเรียนทั้งศาสตร์เพื่อให้ความบันเทิง และศิลปะในการเริงรักนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพื่อเตรียมคนไม่รู้ความให้พร้อมสำหรับการลงสนามจริง เนื้อหาบทเรียนส่วนใหญ่ที่เสี่ยวเม่ยต้องฝึกฝนล้วนรวบรัดตัดตอนและมุ่งเป้าไปที่การเผด็จศึกบนเตียงนอนเสียเป็นส่วนใหญ่จนในที่สุด…ก็มาถึงวันตามเทียบจองตัว จันทร์เพ็ญกระจ่างเปล่งประกายเด่นกลางนภา แสงนวลสาดสองลงมา ณ ชั้นบนสุดของหอว่านเหอ ห้องรับรองที่เคยเนืองแน่นในวันนี้กลับว่างเปล่า เหลือไว้เพียงห้องริมสุดที่อยู่ริมระเบียง ซึ่งค่ำคืนนี้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่อรอรับรองแขกพิเศษท่านหนึ่งเสี่ยวเม่ยถูกกักตัวอยู่
และคำกล่าวของฟางซินก็หาใช่คำขู่ไม่ เพราะมันคือความจริงทุกประการ“ลึกกว่านี้...อย่าสำลักออกมา” เสียงสั่งสอนดังขึ้นไม่ขาดมาได้หลายชั่วยามแล้วเสี่ยวเม่ยเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่นั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย ใบหน้างดงามของนายโลมอันดับหนึ่งมีล่องลอยของความเหนื่อยล้า มือเล็กที่มีกลิ่นยาสูบบางเบาเอื้อมมาบีบที่คางของพ่อค้าหมั่นโถวผู้ที่ตอนนี้กำลังขะมักเขม้นเรียนรู้วิชา“อ๊อก!” แรงบีบของนายโลมคนงามมากพอที่จะทำให้คนที่ปากไม่ว่างสำลักออกมาอึกใหญ่ ความใหญ่โตที่เดิมค้างอยู่ที่ลำคอเลื่อนออก แต่ก่อนที่จะหลุดจากริมฝีปากอิ่มเสี่ยวเม่ยผู้ถูกบังคับให้ใช้โพรงปากครอบอมความแข็งขืนของ ‘สิ่งนั้น’ มาได้หลายชั่วยาม ก็รีบใช้ฟันงับกัดวัตถุแปลกปลอมเอาไว้เพื่อไม่ให้สิ่งใดหลุดไป“อย่ากัด!เจ้าอยากโดนตีตายหรือ” คนสั่งสอนเอ่ยเสียงเข้มแล้วจ้วงดันท่อนแข็งให้มุดลึกเข้าไปในโพรงลำคอ แรงกระทุ้งที่เกิดคิดอย่างฉับพลันสร้างความระคายเคืองให้ก็เกิดขึ้นต
“ไม่ได้/ไม่ได้!” ไม่ต้องคิดให้มากความสองเสียงประสานตวาดดังลั่น แม่เล้าลี่จินเข่าอ่อนแทบลมจับ อาเม่ยตัวน้อยของนางนึกอยากพลีกายให้ผู้อื่นเสียแล้ว ด้านฟางซินยิงแล้วใหญ่ เขายกมือขึ้นจิกทึ้งเส้นผมตนเองไปมาราวกับจะเป็นบ้าตายเสียเดี๋ยวนี้“ท่านป้า...ฟางซิน...เหตุใดเล่า” เสี่ยวเม่ยยังคงร้องถาม พ่อค้าหมั่นโถวหันซ้ายทีขวาทีมองดูปฏิกิริยาของคนข้างกายทั้งสอง“ยังจะถาม...เจ้าเป็นพ่อค้าขายหมั่นโถว!” ฟางซินว่า เขานึกอยากเปิดกะโหลกของอีกฝ่ายดูนักว่าภายในนอกจากแป้งสาลีแล้วมีสิ่งอื่นหรือไม่ ด้านลี่จินนางยังคงนั่งดมยาหอมเพื่อสงบจิตสงบใจ ปล่อยเด็กหนุ่มสองคนโต้เถียงกันไปก่อน“ข้าทำได้” เจ้าตัวดียังไม่ยอมแพ้ ยกมือตบอกแสดงท่าทางมั่นอกมั่นใจ ฟางซินยกแขนขึ้นกอดอกแล้วจ้องหน้าสหายอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน“ยั่วยวนบุรุษเจ้าทำได้หรือ? ”“....” คำถามนั้นทำเอาเสี่ยวเม่ยตอบไม่ถูกคำว่ายั่วยวนคืออย่างไร ใช่กายโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งไว้ แล้วทอดสายตามองชายที่หมายปองหรือไม่?
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี...ข้าคืนเทียบเชิญกับเงินมัดจำดีหรือไม่” ลี่จินกระซิบขึ้นด้วยความเป็นกังวล ในใจแม้จะหวั่นเกรงเรื่องสัญญาที่รับปากกับจวนแม่ทัพไปแล้วไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับน้ำตาของเสี่ยวเม่ยที่กำลังหลั่งริน นางเลือกที่จะยกเลิกเทียบเชิญเสียดีกว่าเพราะสำหรับลี่จินและฟางซินแล้ว พ่อค้าขายหมั่นโถวตัวน้อยนับเป็นผู้มีพระคุณเมื่อสิบกว่าปีก่อนลี่จินและฟางซินเดินทางร่อนเร่มาถึงแคว้นเฉินเพื่อหนีภัยสงคราม ลี่จินใช้เงินทุนก้อนสุดท้ายที่มีติดตัวเปิดเหลาสุรา ฟางซินเองก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ติดตามมา ลี่จินจึงให้เขาทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อแลกกับให้อาหารและที่ซุกหัวนอนแต่ในช่วงเวลาที่ผู้คนเผชิญความแร้นแค้น จะมีใครบ้างยอมเสียเบี้ยเงินซื้อสุราและกับแกล้ม เงินทุนก้อนสุดท้ายไม่อาจงอกเงย ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละวันยังคงมากขึ้น ลี่จินโอบกอดความผิดหวังและความหิวโหยเอาไว้อย่างกล้ำกลืนเย็นวันหนึ่งเสี่ยวเม่ยในวัยแปดขวบปีปรากฏตัวขึ้นที่หน้าเหลาสุราอันเงียบเหงา เขาเดินจูงมือฟางซินที่กอดหมั่นโถวลูกหนึ่งเอาไว้แน่นไม่ปล่อยมาส่งพอลี่จินสอบถามก็ได้ความว่า เสี่ยวเม่ยพบฟางซินแอบนั่งแทะหมั่นโถวที่มีคนทำตกพื้นเอาไ
“ข้าว่าแล้วเจ้าต้องมา” นี่คือคำทักทายแรกของผู้เป็นเจ้าของห้องทันทีที่เห็นว่าผู้ใดมาเยือนผู้กล่าวทักมีนามว่า ฟางซิน เด็กหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นบอบบาง ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดวงตาดอกท้อฉายแววเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่มันกลับยิ่งขับให้บรรยากาศรอบกายของเขาดูคล้ายภูตจิ้งจอกยามทอดกายอาบแดดอย่างสบายอารมณ์เสียมากกว่า ท่าทางเย้ายวนใจแม้แต่ยามนอนเอกเขนกอย่างเกียจคร้านเช่นนี้ ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งนายโลมอันดับหนึ่งแห่งหอว่านเหอ“จริงหรือไม่?” เสี่ยวเม่ยวิ่งรุดเข้าไปทรุดตัวนั่งลงที่พื้น มือเกาะขอบตั่งเตียงของอีกฝ่าย พร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยแววคาดหวังฟางซินเหลือบมองเจ้าคนที่กระตือรือร้นไม่ต่างจากยามลูกกระรอกถือเมล็ดทานตะวันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาไม่พยักหน้า เพียงแต่เอ่ยตอบกลับมาลอย ๆ“พ่อบ้านจางเพิ่งกลับไปเมื่อครู่”ซึ่งคำเอ่ยนั้นก็แทนเครื่องยืนยันได้แล้วว่าเรื่องเล่าลือในตลาดที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริง เสี่ยวเม่ยรู้สึกหมดแรงขึ้นมาเสียเฉย ๆ มือที่เกาะขอบเตียงตกลงพื้นราวไร้กระดูก ริมฝีปากอิ่มคว่ำลงตามอารมณ์ที่ดำดิ่งสู่ความผิดหวังไม่รู้จบความชื่นชมในใจของเสี่ยวเม่ยที่มีต่อเฉินฮ่าวเทียนนั้น
จะเห็นได้ว่าชีวิตหน้าที่การงานของแม่ทัพประจิมผู้นี้รุ่งเรืองเพียงใด แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องการสู้รบจับศึก คือเรื่องรักใคร่ในมุ้งของอีกฝ่ายมากกว่าชีวิตของเฉินฮ่าวเทียนนอกจากมารดาวิปลาสของตนแล้ว เขาเกี่ยวข้องกับสตรีอยู่นางหนึ่งคุณหนูใหญ่เหลียนจินหลินจากจวนเจ้ากรมโยธา สตรีเพียงนางเดียวที่เฉินฮ่าวเทียนไปมาหาสู่ตลอดหลายปีการคบหาของคนทั้งคู่เป็นที่รับรู้กันทั่วเมืองหลวง ความสัมพันธ์จากเพื่อนเล่นต่างอายุในวัยเยาว์ สู่การเป็นคนสำคัญในใจของกันและกันเมื่อเติบใหญ่ในตอนที่เฉินฮ่าวเทียนยังเป็นเพียงแม่ทัพน้อยและกำลังเร่งสร้างชื่อเสียงจากการออกทำศึก ฝ่ายคุณหนูเหลียนก็รั้งรอไม่ยอมออกเรือนจนอายุพ้นวัยปักปิ่นไปไกล คุณหนูบ้านอื่นที่รุ่นราวคราวเดียวกันแต่งงานมีลูกไปแล้วสองสามคน เหลียนจินหลินยังยึดมั่นครองเรือนเพื่อรอคนกลับมาจากชายแดนภายหลังได้รับอวยยศเป็นแม่ทัพประจิม ผู้คนต่างมั่นใจว่าอีกไม่นานคงได้มีข่าวการวิวาห์ของคนทั้งคู่เป็นแน่ และในที่สุดราชโองการมอบสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิก็ถูกประกาศทั้งที่ควรเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ที่ไหนได้ชื่อบ่าวสาวกลับไม่เป็นไปตามที่ผู้คนคาดคิด เจ้าสาวยังคงเป็
หากจะเอ่ยถึงต้นตอความสัมพันธ์ลวงหลอกที่เกิดขึ้นของเสี่ยวเม่ยและเฉินฮ่าวเทียนแล้ว ก็คงต้องย้อนกลับไปเมื่อราวหนึ่งปีก่อนรัชศกลู่เฉิงปีที่สามสิบหก แคว้นเฉินบนแผ่นดินต้าเว่ยในช่วงที่ฤดูหนาวเพิ่งพ้นผ่านนั้น ได้มีข่าวสะเทือนเลือนลั่นข่าวหนึ่งถูกประกาศซึ่งข่าวที่ว่านั้นก็คืองานสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ มอบให้แก่ท่านอ๋องน้อยแห่งแคว้นเฉินและคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมโยธาเดิมการที่สองตระกูลใหญ่เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันก็หาใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องอันใดกับชีวิตของคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ทว่าเหตุที่ทำให้งานสมรสพระราชทานนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อซุบซิบในวงน้ำชา ก็เป็นเพราะเบื้องหลังฉากหน้างานมงคลสมรสของคู่ยวนยางที่เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ยังมีข่าวลือเรื่องชิงรักหักสวาทของเหล่าชนชั้นสูง ให้ชาวบ้านร้านตลาดได้จับกลุ่มคุยกันได้อย่างออกรสเพราะมีใครบ้างในเขตเมืองหลวงและแคว้นเฉินจะไม่ทราบ ว่าตัวว่าที่คู่บ่าวสาวนั้นหาได้ชอบพอกันไม่ท่านอ๋องน้อย เฉินหนิงเทียน คือบุตรชายคนโตของเฉินชินอ๋องและพระชายาเอก เฉินหนิงเทียน เป็นท่านชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปลักษณ์เป็นเอกและฐานันดรสูงศักดิ์ สตรีทั่วแคว้นต่าง