“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี...ข้าคืนเทียบเชิญกับเงินมัดจำดีหรือไม่” ลี่จินกระซิบขึ้นด้วยความเป็นกังวล ในใจแม้จะหวั่นเกรงเรื่องสัญญาที่รับปากกับจวนแม่ทัพไปแล้วไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับน้ำตาของเสี่ยวเม่ยที่กำลังหลั่งริน นางเลือกที่จะยกเลิกเทียบเชิญเสียดีกว่า
เพราะสำหรับลี่จินและฟางซินแล้ว พ่อค้าขายหมั่นโถวตัวน้อยนับเป็นผู้มีพระคุณ
เมื่อสิบกว่าปีก่อนลี่จินและฟางซินเดินทางร่อนเร่มาถึงแคว้นเฉินเพื่อหนีภัยสงคราม ลี่จินใช้เงินทุนก้อนสุดท้ายที่มีติดตัวเปิดเหลาสุรา ฟางซินเองก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ติดตามมา ลี่จินจึงให้เขาทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อแลกกับให้อาหารและที่ซุกหัวนอน
แต่ในช่วงเวลาที่ผู้คนเผชิญความแร้นแค้น จะมีใครบ้างยอมเสียเบี้ยเงินซื้อสุราและกับแกล้ม เงินทุนก้อนสุดท้ายไม่อาจงอกเงย ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละวันยังคงมากขึ้น ลี่จินโอบกอดความผิดหวังและความหิวโหยเอาไว้อย่างกล้ำกลืน
เย็นวันหนึ่งเสี่ยวเม่ยในวัยแปดขวบปีปรากฏตัวขึ้นที่หน้าเหลาสุราอันเงียบเหงา เขาเดินจูงมือฟางซินที่กอดหมั่นโถวลูกหนึ่งเอาไว้แน่นไม่ปล่อยมาส่ง
พอลี่จินสอบถามก็ได้ความว่า เสี่ยวเม่ยพบฟางซินแอบนั่งแทะหมั่นโถวที่มีคนทำตกพื้นเอาไว้ เด็กชายนึกเห็นใจจึงเดินเข้ามาสอบถาม คุยกันไปคุยกันมาจึงรู้มาว่าเด็กน้อยตัวจ้อยไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว ตนจึงมอบหมั่นโถวที่ตนนึ่งเองเพื่อฝึกฝนให้กับอีกฝ่ายทานประทังความหิว
ในระหว่างนั้นฟางซินเอ่ยถึงเถ้าแก่เนี้ยของตนที่ไม่ได้ทานอะไรเช่นกัน เขาจึงถูกโอกาสเดินมาส่งคนและนำหมั่นโถวที่เขาปั้นส่วนที่เหลือมามอบให้
ลี่จินมองก้อนหมั่นโถวขนาดหลากหลายที่ถูกส่งมอบมาให้พร้อมรอยยิ้มจริงใจของเด็กน้อยแล้ว นางก็ได้แต่หลั่งน้ำตา
ใครจะนึกฝันว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่มืดมน ณ เวลานั้นคนที่หยิบยื่นความหวังดีให้กลับเป็นเด็กชายตัวน้อยจากแผงขายหมั่นโถวจากตรอกเล็ก ๆ ย่านเริงรมย์ แม้ไม่ได้มากมายแต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สามารถเอาชีวิตรอดไปได้อีกวัน
นับจากนั้นในทุกวันเสี่ยวเม่ยจะแอบนำหมั่นโถวของเขามามอบให้นางและฟางซิน แต่ความปรารถนาดีก็ไม่อาจดำเนินไปได้ตลอด แม้อาหารประทังความหิวก็ไม่อาจทำให้มีชีวิตรอดอยู่ได้นานนัก ลี่จินทราบดีว่าตนไม่อาจพึ่งพาน้ำใจจากเด็กน้อยไม่ประสาผู้หนึ่งได้ตลอดไป
จนในที่สุดความอดอยากทำให้สตรีผู้นางหนึ่งในวัยสะพรั่งยอมทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด เหลาสุราที่ขายแต่น้ำเมา เพิ่มรายการขายเรือนร่างขึ้นมาด้วย
ลี่จินผ่านพ้นคืนวันแห่งความยากลำบาก ปากกัดตีนถีบอยู่หลายปี เหลาสุราขยับขยายกิจการจนกลายเป็นหอโคมแดงเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
แต่ในทุกเส้นทางธุรกิจย่อมมีการแข่งขัน แม้แต่ในหมู่คณิกาก็ไม่มีการยกเว้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้มากขึ้น ลี่จินทราบดีว่าอย่างไรตนก็ควรต้องมีดาวเด่นประจำร้าน แต่สาวงามที่คิดขายตัวมีหรือจะยอมมาอยู่ในหอเล็ก ๆ เช่นนี้
ในเวลานั้นเอง ฟางซินในวัยสิบสามปีก็เดินเข้ามาขอให้ลี่จินสอนเล่นดนตรี และบอกว่าหากเขาถึงวัยสวมกวานแล้วก็ให้เปิดประมูลราตรีแรกของตน
แรกเริ่มนางคิดว่าเรื่องที่ได้ยินเป็นคำพูดไร้สาระ หอนายโลมในแคว้นเฉินมีอยู่เพียงแห่งเดียว และที่นั่นล้วนมีแต่ลูกค้าเงินหนา คณิกาชายนั้นนับเป็นสินค้าหายาก และผู้ที่ต้องการใช้บริการก็ค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม เป็นความจริงที่ว่าหากสามารถทำให้ฟางซินกลายเป็นดาวเด่นและเปิดประมูลราตรีแรกนั้นย่อมทำให้หอว่านเหอได้เงินก้อนโต ทว่าจะให้ตัดใจส่งตัวเด็กหนุ่มที่ตนเลี้ยงดูมาตลอดเข้าสู่เส้นทางสายอาชีพคาวโลกีย์เช่นนี้ก็ทำใจไม่ลง
แต่ฟางซินกลับไม่ล้มเลิกเจตนารมณ์ เขายืนยันว่าอย่างไรก็ต้องการเป็นคณิกาชายให้จงได้ ถึงขนาดขู่เข็ญว่าถ้านางไม่สอน จะไปหาเรียนเองจากที่อื่น
‘ตัวข้าไม่มีเงินทองไปเข้าสำนักศึกษา อ่านหนังสือก็ไม่ออก เขียนก็ไม่ได้ คำนวณเงินตราก็ทำไม่เป็นและจะไปเป็นบัณฑิตได้อย่างไร...อาชีพที่จะหาเลี้ยงตนเองได้ก็มีไม่มาก...ไม่ใช่แรงงานก็เป็นเสี่ยวเอ้อไปจนตาย...แล้วหากอยากเป็นคณิกานี่มันผิดมากหรือไร? ’
‘เรื่องกามามีตรงที่ใดน่าอาย...ล้วนเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ต่างจากผายลม...ก็จริงอยู่หากเลือกขายเรือนร่างแล้วก็จะเลือกไม่ได้อีกกว่าอยากให้ผู้ใดแตะสัมผัสผิวกาย...แต่ข้าหาได้สนใจไม่...จะเด็ก จะแก่ บุรุษหรือสตรี หากตัวข้าเองไม่ถือสา...ผู้ใดก็ไม่จำเป็นต้องมาถือสาแทนข้าเช่นกัน’
นั่นคือคำกล่าวของฟางซินในวัยสิบสามปี ก่อนที่ลี่จินจะยอมตกลงฝึกสอนเขาในที่สุด
หอหว่านเหอมีทุกวันนี้ได้ด้วยการตัดสินใจอันแน่วแน่ของเด็กชายคนหนึ่ง ลี่จินนึกขอบคุณฟางซินเสมอ เช่นเดียวกับที่นางขอบคุณเสี่ยวเม่ยผู้คอยเป็นกำลังใจเล็ก ๆ ให้นางสามารถสู้ชีวิตต่อไปได้ในแต่ละวัน
นับจากวันแรกที่พบจนถึงบัดนี้ เด็กชายตัวน้อยจากแผงขายหมั่นโถวไม่เคยเปลี่ยนไปเลย แม้แต่ตอนที่นางเริ่มขายเรือนร่าง เขาก็ไม่มีทีท่ารังเกียจหรือหลีกหนี ในวันที่อดอยากเสี่ยวเม่ยจะปรากฏกายพร้อมกับหมั่นโถวในมือ ในวันที่มีบาดแผลเด็กชายจะมานั่งพันแผลให้เงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยถามอะไร หรือแม้ในวันที่นึกท้อแท้ อาเม่ยคนดีของนางก็จะเดินมาสวมกอดพร้อมกระซิบบอกว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี
ลี่จินคิดมาตลอดว่านางติดค้างเขามามาก และการที่ต้องมาเห็นเขาร่ำไห้เสียน้ำตาเช่นนี้ จะให้นางทนไหวได้อย่างไร
“ยะ...อย่าลำบากเพราะข้าเลย...เรื่องตกลงกันไปแล้ว ยกเลิกไปท่านป้าจะเสียหายเอาได้”
เด็กโง่คนนี้ ร้องไห้จนตาแดงแต่ก็ยังไม่วายมาห่วงคนอื่นก่อนเสมอ ลี่จินโอบกอดร่างเพรียวของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยความเวทนา
“แล้วให้ข้านอนกับเขา...เจ้าทำใจได้รึ...ชื่นชมเขามานานหลายปีเพียงนี้” เป็นฟางซินที่เอ่ย เสี่ยวเม่ยครุ่นคิดคำพูดนั้นของสหายอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สุดท้ายจะแย้มยิ้มออกมาอย่างจนใจ
ก่อนหน้านี้เขามัวแต่ตกใจเพราะไม่คิดว่าคนที่จะต้องร่วมผ่านราตรีภิรมย์กับท่านแม่ทัพจะเป็นคนใกล้ตัวถึงเพียงนี้ สุดท้ายหลั่งน้ำตาออกมาจนทำให้ทั้งสหายและท่านป้าต่างร้อนรนเป็นกังวลกันไปหมด
โดยที่ลืมใคร่ครวญให้ดีถึงความจริงของสถานการณ์ที่กำลังเกิด
“ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะมีหวังมิใช่หรือ” เสี่ยวเม่ยเอ่ยตอบหลังจากที่ตระหนักถึงความจริงได้แล้ว
ใช่แล้ว...ทั้งก่อนหน้าหรือตอนนี้ ใช่ว่าเขาจะมีหวังที่จะลงเอยกับเฉินฮ่าวเทียนไม่ใช่หรือ ตอนนั้นเขารักมั่นกับคุณหนูเหลียน ตนก็ได้แต่นึกชื่นชมไกล ๆ ยามนี้เขาแค่มาใช้บริการในหอนายโลม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีโอกาสให้กับตนเสียหน่อย
เสี่ยวเม่ยเป็นได้แค่พ่อค้าหมั่นโถวที่ชื่นชอบท่านแม่ทัพไกล ๆ เพียงเท่านั้น ไม่มีวาสนาได้ใกล้ชิดเกินกว่านั้นหรอก
ท่าทางปลดปลงเหมือนคนบรรลุแล้วซึ่งทางโลกทำให้คนฟังหงุดหงิดใจเป็นที่สุด
“เจ้ากล้ำกลืนฝืนใจได้แต่ข้าไม่!จะให้เจ้าทำแววตาสะเทือนใจทุกครั้งที่จ้องมองข้าน่ะ...ข้าไม่เอาด้วยหรอก!” ฟางซินเอ่ยบอกเสียงแข็ง อย่างไรก็ไม่ยินยอมที่จะรับหน้าที่ดูแลเจ้าของเทียบจองเล่มสีน้ำเงินเล่มนี้โดยเด็ดขาด
“เห้อ...เวรกรรมจริง ๆ ข้าว่ายกเลิกเทียบเชิญเถิด...พ่อบ้านจางคงยังไปได้ไม่ไกลนัก” ลี่จินเองก็เห็นด้วยกับการปฏิเสธนี้ เพราะทราบดีว่าถึงปากบอกว่าไม่เป็นไรอย่างไร แต่จิตใจหรือจะรับไหว ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่มีมามีอันต้องเกิดการตะขิดตะขวงใจขึ้นมาให้อึดอัดเสียเปล่า ๆ
“มะ...ไม่...ท่านป้า...อย่า” แต่เสี่ยวเม่ยก็ยังไม่ยินยอมที่จะให้นางลุกเดินออกไปเพื่อตามไปแจ้งยกเลิกกับพ่อบ้านจาง เด็กหนุ่มส่ายหน้ารัวพร้อมยึดเกาชายเสื้อของแม่เล้าแห่งหอว่านเหอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ก็ได้ ๆ เจ้าไม่ให้ข้ายกเลิก...ก็ไม่ยกเลิก...เช่นนั้นข้าแจ้งเปลี่ยนคนคงไม่เป็นกระไร”
คำเอ่ยของลี่จินทำให้เสี่ยวเม่ยหลุบตาลงต่ำ เขาใคร่ครวญขอเสนอที่อีกฝ่ายถามความเห็นอย่างถี่ถ้วน มันควรเป็นทางอีกที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้ และเป็นประโยชน์สำหรับทุกฝ่าย
ท่านป้าไม่ต้องผิดสัญญาฟางซินไม่ต้องลำบากใจ และตัวเขาเอง…
ตัวเขาเอง...จะทนทำให้เมื่อรับรู้ว่าท่านแม่ทัพจะกกกอดชายใดได้หรือไม่นะ?
จริงอยู่...เดิมคิดว่าอย่างไรก็คงไม่มีหวังหรอก แต่ทว่า ไหน ๆ ก็ต้องเปลี่ยนคนแล้ว เสี่ยวเม่ยก็คิดขึ้นมาจริง ๆ ว่าหากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็….
“ทะ..ท่านป้า...เป็นข้า”
เสียงกระซิบอู้อี้ดังขึ้นได้ยินไม่ชัดนัก ลี่จินและฟางซินก้มตัวลงเงี่ยหูเพื่อค้นหาคำตอบของข้อความดังกล่าว
“หืม? ”
“เปลี่ยนเป็นข้าได้หรือไม่” จนเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากน้ำคำอีกครั้งหลังจากกลืนน้ำลายไปเสียอึกใหญ่ ผู้ฟังทั้งสองต่างผงะตัวถอยหลังแล้วล้มลงกับพื้นด้วยความตกใจ
เสี่ยวเม่ยก็พอจะทราบอยู่หรอกว่าเฉินฮ่าวเทียนไม่ใช่คนละเอียดอ่อน แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นหยาบกระด้างได้เพียงนี้“ชักช้าอยู่ไย? ”แล้วดูเอาเถิด คนที่กล้าพูดคำว่า เสพสมออกมาได้อย่างเต็มปากด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นนั้น บัดนี้ยังมีหน้ามาเอียงคอถามด้วยความสงสัย โดยไม่มีทีท่าว่าจะละอายแก่ใจเลยสักนิด‘ไม่มีกระไรขอรับ’ นายคณิกาตัวปลอมได้แต่จนคำพูดอาจเป็นเพราะเสี่ยวเม่ยไม่มีประสบการณ์ในเรื่องราวเช่นนี้ คนที่คิดว่าตนฝึกฝนมาดี บัดนี้เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเสี่ยวเม่ยก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการทุกอย่างให้เป็นไปอย่างราบรื่นพ่อค้าหมั่นโถวยืนนิ่งอยู่กับที่ ครั้นจะก้าวเดินไปข้างหน้าก็ไม่กล้า พอจะถอยหลังก็ยังนึกหวั่น จึงเกิดเป็นอาการยึกยักไปมา จนทำเอาแขกพิเศษผู้ทอดสายตามองอยู่นานนึกรำคาญใจคิดเล่นตัวอันใด…ชักช้าเสียเวลา เฉินฮ่าวเทียนครุ่นคิดเช่นนั้นเดิมความคิดในการมาเยือนหอคณิกาเป็นการประชดประชันเพียงชั่วครู่ เข
เวลาล่วงเลยเข้าใกล้ยามจื่อ [1] ผู้ที่อยู่ภายในห้องรับรองต่างเร่งรีบตรวจความเรียบร้อยในขั้นสุดท้าย เสี่ยวเม่ยถูกจับนั่งลงที่บริเวณตั้งไม้ตัวยาว มือเล็กประสานเข้าหากันอย่างสำรวมลี่จินมองความนิ่งสงบของเด็กหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นางยังคิดเอาไว้อยู่เลยว่า ถ้าเห็นอาเม่ยคนดีของนางมีท่าทางตื่นตระหนกแม้เพียงสักนิด ร้ายดีอย่างไรก็จะยกเลิกแผนการนี้และให้ฟางซินอยู่รับรองแทนแต่ทว่า…พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความตั้งมั่นแรงกล้า เห็นคนมีใจมาขนาดนี้แล้ว ลี่จินก็ไม่คิดขัดขวางใดอีก นางได้แต่อธิษฐานขอสวรรค์โปรดช่วยประทานพรจนเมื่อเสียงตีกลองบอกเวลา [2] ดังแว่ว แม่เล้าประจำหอคณิกาจึงเดินเข้าไปกำชับบอกคนที่นั่งนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย“อาเม่ย...ค่ำคืนแรกอาจไม่ได้มีความสุขดังฝัน...แต่ในเมื่อเลือกแล้ว...ต่อให้ท่านแม่ทัพไม่ถนอมก็ต้องห้ามปร
การฝึกฝนดำเนินต่อไปอีกสามวันสามคืน พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยถูกเคี่ยวเข็ญอย่างเข้มงวด เรื่องใดที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ สิ่งใดที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ดินแดนคาวโลกีย์ที่ตนไม่เคยนึกเหยียบย่าง บัดนี้เสี่ยวเม่ยเรียกได้ว่าถูกลากดึงให้ดำดิ่งสู่วิถีนายคณิกาอย่างเต็มตัวซึ่งแน่นอนว่าหลักสูตรที่เสี่ยวเม่ยถูกพร่ำสอนหาใช่ทั้งหมดทั้งมวลที่ต้องรู้ กับคนที่มีเวลาน้อยนิดจะให้ร่ำเรียนทั้งศาสตร์เพื่อให้ความบันเทิง และศิลปะในการเริงรักนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพื่อเตรียมคนไม่รู้ความให้พร้อมสำหรับการลงสนามจริง เนื้อหาบทเรียนส่วนใหญ่ที่เสี่ยวเม่ยต้องฝึกฝนล้วนรวบรัดตัดตอนและมุ่งเป้าไปที่การเผด็จศึกบนเตียงนอนเสียเป็นส่วนใหญ่จนในที่สุด…ก็มาถึงวันตามเทียบจองตัว จันทร์เพ็ญกระจ่างเปล่งประกายเด่นกลางนภา แสงนวลสาดสองลงมา ณ ชั้นบนสุดของหอว่านเหอ ห้องรับรองที่เคยเนืองแน่นในวันนี้กลับว่างเปล่า เหลือไว้เพียงห้องริมสุดที่อยู่ริมระเบียง ซึ่งค่ำคืนนี้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่อรอรับรองแขกพิเศษท่านหนึ่งเสี่ยวเม่ยถูกกักตัวอยู่
และคำกล่าวของฟางซินก็หาใช่คำขู่ไม่ เพราะมันคือความจริงทุกประการ“ลึกกว่านี้...อย่าสำลักออกมา” เสียงสั่งสอนดังขึ้นไม่ขาดมาได้หลายชั่วยามแล้วเสี่ยวเม่ยเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่นั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย ใบหน้างดงามของนายโลมอันดับหนึ่งมีล่องลอยของความเหนื่อยล้า มือเล็กที่มีกลิ่นยาสูบบางเบาเอื้อมมาบีบที่คางของพ่อค้าหมั่นโถวผู้ที่ตอนนี้กำลังขะมักเขม้นเรียนรู้วิชา“อ๊อก!” แรงบีบของนายโลมคนงามมากพอที่จะทำให้คนที่ปากไม่ว่างสำลักออกมาอึกใหญ่ ความใหญ่โตที่เดิมค้างอยู่ที่ลำคอเลื่อนออก แต่ก่อนที่จะหลุดจากริมฝีปากอิ่มเสี่ยวเม่ยผู้ถูกบังคับให้ใช้โพรงปากครอบอมความแข็งขืนของ ‘สิ่งนั้น’ มาได้หลายชั่วยาม ก็รีบใช้ฟันงับกัดวัตถุแปลกปลอมเอาไว้เพื่อไม่ให้สิ่งใดหลุดไป“อย่ากัด!เจ้าอยากโดนตีตายหรือ” คนสั่งสอนเอ่ยเสียงเข้มแล้วจ้วงดันท่อนแข็งให้มุดลึกเข้าไปในโพรงลำคอ แรงกระทุ้งที่เกิดคิดอย่างฉับพลันสร้างความระคายเคืองให้ก็เกิดขึ้นต
“ไม่ได้/ไม่ได้!” ไม่ต้องคิดให้มากความสองเสียงประสานตวาดดังลั่น แม่เล้าลี่จินเข่าอ่อนแทบลมจับ อาเม่ยตัวน้อยของนางนึกอยากพลีกายให้ผู้อื่นเสียแล้ว ด้านฟางซินยิงแล้วใหญ่ เขายกมือขึ้นจิกทึ้งเส้นผมตนเองไปมาราวกับจะเป็นบ้าตายเสียเดี๋ยวนี้“ท่านป้า...ฟางซิน...เหตุใดเล่า” เสี่ยวเม่ยยังคงร้องถาม พ่อค้าหมั่นโถวหันซ้ายทีขวาทีมองดูปฏิกิริยาของคนข้างกายทั้งสอง“ยังจะถาม...เจ้าเป็นพ่อค้าขายหมั่นโถว!” ฟางซินว่า เขานึกอยากเปิดกะโหลกของอีกฝ่ายดูนักว่าภายในนอกจากแป้งสาลีแล้วมีสิ่งอื่นหรือไม่ ด้านลี่จินนางยังคงนั่งดมยาหอมเพื่อสงบจิตสงบใจ ปล่อยเด็กหนุ่มสองคนโต้เถียงกันไปก่อน“ข้าทำได้” เจ้าตัวดียังไม่ยอมแพ้ ยกมือตบอกแสดงท่าทางมั่นอกมั่นใจ ฟางซินยกแขนขึ้นกอดอกแล้วจ้องหน้าสหายอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน“ยั่วยวนบุรุษเจ้าทำได้หรือ? ”“....” คำถามนั้นทำเอาเสี่ยวเม่ยตอบไม่ถูกคำว่ายั่วยวนคืออย่างไร ใช่กายโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งไว้ แล้วทอดสายตามองชายที่หมายปองหรือไม่?
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี...ข้าคืนเทียบเชิญกับเงินมัดจำดีหรือไม่” ลี่จินกระซิบขึ้นด้วยความเป็นกังวล ในใจแม้จะหวั่นเกรงเรื่องสัญญาที่รับปากกับจวนแม่ทัพไปแล้วไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับน้ำตาของเสี่ยวเม่ยที่กำลังหลั่งริน นางเลือกที่จะยกเลิกเทียบเชิญเสียดีกว่าเพราะสำหรับลี่จินและฟางซินแล้ว พ่อค้าขายหมั่นโถวตัวน้อยนับเป็นผู้มีพระคุณเมื่อสิบกว่าปีก่อนลี่จินและฟางซินเดินทางร่อนเร่มาถึงแคว้นเฉินเพื่อหนีภัยสงคราม ลี่จินใช้เงินทุนก้อนสุดท้ายที่มีติดตัวเปิดเหลาสุรา ฟางซินเองก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ติดตามมา ลี่จินจึงให้เขาทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อแลกกับให้อาหารและที่ซุกหัวนอนแต่ในช่วงเวลาที่ผู้คนเผชิญความแร้นแค้น จะมีใครบ้างยอมเสียเบี้ยเงินซื้อสุราและกับแกล้ม เงินทุนก้อนสุดท้ายไม่อาจงอกเงย ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละวันยังคงมากขึ้น ลี่จินโอบกอดความผิดหวังและความหิวโหยเอาไว้อย่างกล้ำกลืนเย็นวันหนึ่งเสี่ยวเม่ยในวัยแปดขวบปีปรากฏตัวขึ้นที่หน้าเหลาสุราอันเงียบเหงา เขาเดินจูงมือฟางซินที่กอดหมั่นโถวลูกหนึ่งเอาไว้แน่นไม่ปล่อยมาส่งพอลี่จินสอบถามก็ได้ความว่า เสี่ยวเม่ยพบฟางซินแอบนั่งแทะหมั่นโถวที่มีคนทำตกพื้นเอาไ
“ข้าว่าแล้วเจ้าต้องมา” นี่คือคำทักทายแรกของผู้เป็นเจ้าของห้องทันทีที่เห็นว่าผู้ใดมาเยือนผู้กล่าวทักมีนามว่า ฟางซิน เด็กหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นบอบบาง ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดวงตาดอกท้อฉายแววเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่มันกลับยิ่งขับให้บรรยากาศรอบกายของเขาดูคล้ายภูตจิ้งจอกยามทอดกายอาบแดดอย่างสบายอารมณ์เสียมากกว่า ท่าทางเย้ายวนใจแม้แต่ยามนอนเอกเขนกอย่างเกียจคร้านเช่นนี้ ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งนายโลมอันดับหนึ่งแห่งหอว่านเหอ“จริงหรือไม่?” เสี่ยวเม่ยวิ่งรุดเข้าไปทรุดตัวนั่งลงที่พื้น มือเกาะขอบตั่งเตียงของอีกฝ่าย พร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยแววคาดหวังฟางซินเหลือบมองเจ้าคนที่กระตือรือร้นไม่ต่างจากยามลูกกระรอกถือเมล็ดทานตะวันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาไม่พยักหน้า เพียงแต่เอ่ยตอบกลับมาลอย ๆ“พ่อบ้านจางเพิ่งกลับไปเมื่อครู่”ซึ่งคำเอ่ยนั้นก็แทนเครื่องยืนยันได้แล้วว่าเรื่องเล่าลือในตลาดที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริง เสี่ยวเม่ยรู้สึกหมดแรงขึ้นมาเสียเฉย ๆ มือที่เกาะขอบเตียงตกลงพื้นราวไร้กระดูก ริมฝีปากอิ่มคว่ำลงตามอารมณ์ที่ดำดิ่งสู่ความผิดหวังไม่รู้จบความชื่นชมในใจของเสี่ยวเม่ยที่มีต่อเฉินฮ่าวเทียนนั้น
จะเห็นได้ว่าชีวิตหน้าที่การงานของแม่ทัพประจิมผู้นี้รุ่งเรืองเพียงใด แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องการสู้รบจับศึก คือเรื่องรักใคร่ในมุ้งของอีกฝ่ายมากกว่าชีวิตของเฉินฮ่าวเทียนนอกจากมารดาวิปลาสของตนแล้ว เขาเกี่ยวข้องกับสตรีอยู่นางหนึ่งคุณหนูใหญ่เหลียนจินหลินจากจวนเจ้ากรมโยธา สตรีเพียงนางเดียวที่เฉินฮ่าวเทียนไปมาหาสู่ตลอดหลายปีการคบหาของคนทั้งคู่เป็นที่รับรู้กันทั่วเมืองหลวง ความสัมพันธ์จากเพื่อนเล่นต่างอายุในวัยเยาว์ สู่การเป็นคนสำคัญในใจของกันและกันเมื่อเติบใหญ่ในตอนที่เฉินฮ่าวเทียนยังเป็นเพียงแม่ทัพน้อยและกำลังเร่งสร้างชื่อเสียงจากการออกทำศึก ฝ่ายคุณหนูเหลียนก็รั้งรอไม่ยอมออกเรือนจนอายุพ้นวัยปักปิ่นไปไกล คุณหนูบ้านอื่นที่รุ่นราวคราวเดียวกันแต่งงานมีลูกไปแล้วสองสามคน เหลียนจินหลินยังยึดมั่นครองเรือนเพื่อรอคนกลับมาจากชายแดนภายหลังได้รับอวยยศเป็นแม่ทัพประจิม ผู้คนต่างมั่นใจว่าอีกไม่นานคงได้มีข่าวการวิวาห์ของคนทั้งคู่เป็นแน่ และในที่สุดราชโองการมอบสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิก็ถูกประกาศทั้งที่ควรเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ที่ไหนได้ชื่อบ่าวสาวกลับไม่เป็นไปตามที่ผู้คนคาดคิด เจ้าสาวยังคงเป็
หากจะเอ่ยถึงต้นตอความสัมพันธ์ลวงหลอกที่เกิดขึ้นของเสี่ยวเม่ยและเฉินฮ่าวเทียนแล้ว ก็คงต้องย้อนกลับไปเมื่อราวหนึ่งปีก่อนรัชศกลู่เฉิงปีที่สามสิบหก แคว้นเฉินบนแผ่นดินต้าเว่ยในช่วงที่ฤดูหนาวเพิ่งพ้นผ่านนั้น ได้มีข่าวสะเทือนเลือนลั่นข่าวหนึ่งถูกประกาศซึ่งข่าวที่ว่านั้นก็คืองานสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ มอบให้แก่ท่านอ๋องน้อยแห่งแคว้นเฉินและคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมโยธาเดิมการที่สองตระกูลใหญ่เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันก็หาใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องอันใดกับชีวิตของคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ทว่าเหตุที่ทำให้งานสมรสพระราชทานนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อซุบซิบในวงน้ำชา ก็เป็นเพราะเบื้องหลังฉากหน้างานมงคลสมรสของคู่ยวนยางที่เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ยังมีข่าวลือเรื่องชิงรักหักสวาทของเหล่าชนชั้นสูง ให้ชาวบ้านร้านตลาดได้จับกลุ่มคุยกันได้อย่างออกรสเพราะมีใครบ้างในเขตเมืองหลวงและแคว้นเฉินจะไม่ทราบ ว่าตัวว่าที่คู่บ่าวสาวนั้นหาได้ชอบพอกันไม่ท่านอ๋องน้อย เฉินหนิงเทียน คือบุตรชายคนโตของเฉินชินอ๋องและพระชายาเอก เฉินหนิงเทียน เป็นท่านชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปลักษณ์เป็นเอกและฐานันดรสูงศักดิ์ สตรีทั่วแคว้นต่าง