นายท่านหยางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ คำพูดที่ว่าหากนางไม่ยั้งมือป่านนี้บุตรสาวของเขาคงจะตายไปแล้วทำให้เขารู้สึกโกรธเคือง เขาจึงได้เอ่ยต่อว่าหลินเหม่ยเหยาออกมาตามตรง
“คุณหนูใหญ่สกุลหลินคำพูดคำจาช่างโอหังเสียจริง ท่านรองหัวหน้าแพทย์หลวงหลินท่านดูบุตรสาวของท่านสิ ไร้มารยาทเช่นนี้วันหน้าจะมีสกุลใดอยากจะแต่งนางเข้าสกุลกัน” นายท่านหยางเอ่ยออกมาพลางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้เกรงกลัวและไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทนางย่อกายคารวะขออภัยด้วยท่วงท่าอันงดงามแล้วจึงได้เอ่ยตอบคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนน้อม
“ต้องขออภัยที่ล่วงเกินท่านหัวหน้าราชบัณฑิตหยางนะเจ้าคะ เพียงแต่คำพูดของข้าไม่ได้ตั้งใจจะข่มขู่หรือว่าแสดงความโอหัง แต่ข้าพูดตามความเป็นจริง ในยามปกติหากถูกทำร้ายข้าแค่โปรยยาพิษหรือไม่ก็ยาสลบก็สามารถเอาตัวรอดได้แล้ว แต่กับคุณหนูสามที่เคยเป็นสหาย ข้าลงมือทำร้ายนางไม่ลงหรอกเจ้าค่ะ แต่หากไม่ลงมือคนที่ถูกตบหน้าคงจะต้องเป็นข้าแน่ ถึงอย่างไรโทสะที่ถูกคุณหนูสามหมิ่นแคลนวงศ์สกุลก็ยังคงอยู่จึงได้ไม่คิดจะออมแรงที่ฝ่ามือเจ้าค่ะ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้นายท่านหยางพลันขมวดคิ้ว
“ดูหมิ่นวงศ์สกุลหรือ คุณหนูใหญ่หลินนี่เจ้ากำลังจะบอกว่าลูกสาวของข้าพูดจาล่วงเกินสกุลหลินของเจ้าเช่นนั้นหรือ เจ้ารู้ไหมว่าคำพูดประโยคนี้ของเจ้าถือว่าเป็นการให้ร้ายบุตรสาวของข้าอย่างรุนแรงเลยนะ” คำพูดของนายท่านหยางทำให้หลินเหม่ยเหยาพยักหน้า
“นางเอ่ยวาจาล่วงเกินข้าและสกุลหลินจริงๆ เจ้าค่ะ นางบอกว่าสาเหตุที่ข้าไม่สนใจคุณชายสกุลซ่งเป็นเพราะข้าและผู้อาวุโสในสกุลคิดรังเกียจที่นายท่านใหญ่สกุลซ่งยังเป็นแค่เพียงแพทย์หลวงธรรมดา ท่านหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตเจ้าคะ ข้าเป็นแค่สตรีที่อยู่ในห้องหอจะกล้าไปติดตามสอบถามความเคลื่อนไหวของบุรุษผู้หนึ่งเฉกเช่นที่นางทำได้อย่างไร คุณหนูสามไม่เพียงรู้ว่ายามนี้คุณชายใหญ่ซ่งกลับเข้าเมืองหลวงมาแล้วยังรู้ด้วยว่านายท่านใหญ่ผู้เป็นบิดาของเขามีตำแหน่งใดอยู่ในสำนักแพทย์หลวงอีกด้วย ข้าที่พอจะคุ้นเคยกับคนในบ้านสกุลซ่งมาตั้งแต่เด็กยังไม่รู้เลยว่ายามนี้นายท่านใหญ่ซ่งดำรงตำแหน่งใดอยู่ในสำนักแพทย์หลวง” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หยางสุ่ยเซียนพลันตวาดออกมาในทันที
“หลินเหม่ยเหยา นี่เจ้ากล้าใส่ความข้าหรือ” คำพูดของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยาเอ่ยออกมาในทันที
“เช่นนั้นเจ้าก็สาบานมาสิว่าเจ้าไม่ได้พูดกับข้าเช่นนี้ ไม่ได้พูดว่าคุณชายใหญ่สกุลซ่งกลับเข้าเมืองมาแล้ว เจ้ายังพูดอีกว่า ยามนี้ท่านพ่อของข้าได้เป็นถึงรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงแล้ว รอเพียงการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากสำนักราชวัง ท่านพ่อของข้าก็จะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงอย่างเป็นทางการแล้ว ในขณะที่นายท่านใหญ่สกุลซ่งกลับยังเป็นแค่เพียงแพทย์หลวงตำแหน่งธรรมดาสามัญทั่วไป ก็ไม่น่าประหลาดใจที่จวนสกุลหลินและข้าจะรังเกียจการหมั้นหมายในครั้งนี้” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางจ้องมองหยางสุ่ยเซียนด้วยสายตาท้าทาย สตรีผู้นี้มีความเชื่อเรื่องการบนบานศาลกล่าวย่อมไม่กล้าจะผิดคำสาบานแน่ แล้วก็เป็นอย่างที่นางคิดหยางสุ่ยเซียนมีสีหน้าอึดอัดและพลันส่ายหน้าปฏิเสธในทันที
“เซียนเอ๋อเจ้าก็รีบสาบานเลยสิว่าไม่ได้เอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมา” เฉินอี๋เหนียงเอ่ยพลางพยายามหยิกหลังมือของบุตรสาว แต่หยางสุ่ยเซียนกลับส่ายหน้าให้มารดา ท่าทีเช่นนี้ของนางสามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าหลินเหม่ยเหยาพูดความจริง
“หยางสุ่ยเซียนคุกเข่าเดี๋ยวนี้” นายท่านหยางตวาดออกมา สายตาที่ใช้จ้องมองบุตรสาวคนที่สามเต็มไปด้วยความดุดัน
“น่าขายหน้านัก หยางสุ่ยเซียนเสียทีที่เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าไม่เพียงทำตัวผิดจรรยาสตรีแถมยังกล้าทำให้ข้าต้องเสียหน้าต่อผู้อื่นด้วย” คำพูดของนายท่านหยางทำให้หยางสุ่ยเซียนต้องรีบคุกเข่าในทันที
“ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว” เด็กสาวอายุแค่เพียงสิบสี่ปีต่อให้มีความร้ายกาจมากเพียงใดแต่เมื่อถูกบิดาดุด่าเช่นนี้ย่อมไม่กล้าเสแสร้งและแสดงตนว่าเป็นผู้ถูกกระทำได้อีกต่อไป ท่าทียอมแพ้เช่นนี้ของบุตรสาวทำให้เฉินอี๋เหนียงเม้มปากแน่น แล้วรีบคุกเข่าลงข้างกายบุตรสาวของตนเองในทันที
“นายท่าน เซียนเอ๋อยังเด็ก...” เฉินอี๋เหนียงยังไม่ทันเอ่ยจบประโยคก็ถูกคำว่า “หุบปาก” ของนายท่านหยางทำให้เฉินอี๋เหนียงไม่กล้าเอ่ยวาจาออกมาได้อีก นางเม้มปากแน่นแล้วรีบก้มหน้าลงเพื่อปิดบังความไม่พอใจในแววตาของตนเองในทันที
“ท่านรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงเป็นข้าที่ผิดต่อท่านและบุตรสาวของท่าน เชิญท่านนั่งก่อนเถิด” น้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเดียวของนายท่านหยางทำให้หลินเจวี๋ยพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา แต่ถึงอย่างไรตนและบุตรสาวก็ยังอยู่ภายในจวนของผู้อื่น อีกทั้งผู้อื่นยังมีบุตรสาวดำรงตำแหน่งกุ้ยเฟยในรัชกาลปัจจุบันอีกมีหรือที่เขาจะกล้าแตกหักกับอีกฝ่าย
“ไม่ต้องรู้สึกผิดอันใดหรอก ข้าก็แค่พาบุตรสาวมาแก้ต่างที่จวนแห่งนี้ด้วยตนเอง ยามนี้ในเมื่อท่านเห็นแล้วว่าเป็นผู้ใดที่เป็นคนทำผิด ข้ากับบุตรสาวก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ หวังเพียงว่าต่อไปท่านก็อย่าให้บุตรสาวของท่านไปที่จวนของข้าอีกเลย ข้าทนให้เด็กสาวที่ไม่รู้จักรักษาจรรยาและมารยาทผู้นี้เข้าจวนสกุลหลินไม่ได้จริงๆ หวังว่าท่านหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตจะเข้าใจข้านะ” คำพูดของหลินเจวี๋ยทำให้สีหน้าของนายท่านหยางพลันซีดเผือด ส่วนสีหน้าของหยางสุ่ยเซียนและเฉินอี๋เหนียงยามนี้ไร้สีเลือดไปแล้ว ถ้อยคำตำหนิเช่นนี้ของหลินเจวี๋ยหากแพร่พลายออกไปด้านนอกหยางสุ่ยเซียนก็ยากที่จะได้หมั้นหมายและได้แต่งเข้าจวนสกุลขุนนางในเมืองหลวงแล้ว
“ท่านหัวหน้าสำนักราชบัณฑิต หยางฮูหยิน ข้ากับลูกสาวคงต้องขอตัวแล้ว” หลินเจวี๋ยเอ่ยออกมาอีกครั้งแล้วจึงได้คารวะอำลาโดยมีหลินเหม่ยเหยาและคนของนางที่ติดตามมาด้วยคารวะอำลาอยู่ทางด้านหลัง
“ต้องขออภัยต่อท่านด้วย บุตรสาวของข้ายังเด็กจึงได้ทำเรื่องไร้หัวคิดเช่นนี้ ข้าขอรับรองว่าวันหน้าจะไม่ปล่อยให้นางไปรบกวนพวกท่านอีก” เมื่อนายท่านหยางเอ่ยเช่นนี้หลินเจวี๋ยก็พลันยิ้มออกมาแล้วจึงได้พาบุตรสาวออกจากจวนสกุลหยางไปโดยไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาอีก ทิ้งให้นายท่านหยางหันไปจ้องมองบุตรสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง
“ฮูหยิน ในเมื่อพวกนางสองแม่ลูกไม่รู้จักดีชั่ว เจ้าก็จงส่งพวกนางไปรอรับโทษที่หอลงทัณฑ์ก็แล้วกันอีกทั้งอย่าลืมหาตำราสอนจรรยาและจริยธรรมให้พวกนางคัดคนละห้าสิบจบ เมื่อครบถ้วนเมื่อไหร่จึงค่อยปล่อยพวกนางออกมา” คำสั่งของนายท่านหยางทำให้สวีเยียนรีบรับคำในทันที
“ท่านพี่โปรดวางใจ ข้าจะดูแลพวกนางอย่างดีเลยทีเดียว” คำพูดของสวีเยียนเต็มไปด้วยความสาแก่ใจทำให้สองแม่ลูกจากเรือนทิศตะวันออกพลันเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่นในทันที
เรื่องที่เกิดขึ้นในโถงกลางของจวนสกุลหยางถูกนำไปถ่ายทอดให้หยางเจี้ยนได้ฟังอย่างไม่มีตกหล่นเลยสักคำ ทำให้เขาที่กำลังจ้องมองขวดยาของหลินเหม่ยเหยาพลันยิ้มออกมาในทันที แล้วจึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสนใจ
“ไม่เลว! มารดาเลี้ยงของข้าต่อกรกับพวกนางสองแม่ลูกมาตั้งนานหลายปี หากข้ากับน้องหญิงไม่ออกหน้าช่วยก็ไม่มีเลยสักครั้งที่นางจะเป็นฝ่ายชนะ แต่หลินเหม่ยเหยาผู้นี้กลับไม่ใช่แค่เพียงทำให้เฉินอี๋เหนียงและน้องสามถูกลงโทษได้ แต่ยังทำให้ชื่อเสียงของน้องสามต้องมัวหมองไปตลอดชีวิตอีกด้วย เด็กสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย” หยางเจี้ยนเอ่ยชื่นชมหลินเหม่ยเหยาออกมาพลางจ้องมองขวดยาสลบที่ได้รับจากหลินเหม่ยเหยาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
ต่อให้หยางเม่าพยายามสั่งให้คนในจวนสกุลหยางห้ามพูดถึงเรื่องความผิดของหยางสุ่ยเซียน แต่มีหรือที่เขาจะสามารถทำได้ จวนสกุลหยางมีคุณชายห้าคนและมีคุณหนูถึงหกคน มีเพียงหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ที่ถือกำเนิดจากฮูหยินคนก่อนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรและบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอก ส่วนนอกนั้นล้วนเป็นบุตรและบุตรีที่เกิดจากอนุเกือบทั้งสิ้น การแก่งแย่งชิงดีกันเองภายในจวนสกุลหยางดุเดือดไม่ต่างไปจากจวนขุนนางทั่วไปที่มีลูกหลานในจวนมากมายในจวนสกุลหยางมีเพียงหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ที่ไม่จำเป็นต้องลงไปแก่งแย่งชิงดีและประชันฝีมือด้วย ไม่เพียงชาติกำเนิดดีกว่าผู้อื่น แต่ก่อนที่ฮูหยินคนก่อนจะเสียชีวิตนางได้วางรากฐานให้บุตรชายและบุตรสาวเอาไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งฮูหยินคนใหม่ก็ไม่ค่อยจะมีฝีไม้ลายมือเท่าใดนัก หากไม่พึ่งพาหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ก็แทบจะสู้รบตบมือกับผู้ใดไม่ได้เลย คุณหนูภายในจวนที่มีฝีไม้ลายมือมากที่สุดและได้รับความโปรดปรานรองจากหยางสุ่ยอวี้ก็คือหยางสุ่ยเซียน ดังนั้นพอหยางสุ่ยเซียนพลาดพลั้ง ย่อมมีคนรอที่จะเหยียบย่ำนางให้จมดินอยู่แล้วหลินเหม่ยเหยานั่งทบทวนความทรงจำที่ตนเองมีต่อสกุลหยางด้วยความตั้งอกตั้ง
นายท่านหยางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ คำพูดที่ว่าหากนางไม่ยั้งมือป่านนี้บุตรสาวของเขาคงจะตายไปแล้วทำให้เขารู้สึกโกรธเคือง เขาจึงได้เอ่ยต่อว่าหลินเหม่ยเหยาออกมาตามตรง“คุณหนูใหญ่สกุลหลินคำพูดคำจาช่างโอหังเสียจริง ท่านรองหัวหน้าแพทย์หลวงหลินท่านดูบุตรสาวของท่านสิ ไร้มารยาทเช่นนี้วันหน้าจะมีสกุลใดอยากจะแต่งนางเข้าสกุลกัน” นายท่านหยางเอ่ยออกมาพลางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้เกรงกลัวและไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทนางย่อกายคารวะขออภัยด้วยท่วงท่าอันงดงามแล้วจึงได้เอ่ยตอบคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนน้อม“ต้องขออภัยที่ล่วงเกินท่านหัวหน้าราชบัณฑิตหยางนะเจ้าคะ เพียงแต่คำพูดของข้าไม่ได้ตั้งใจจะข่มขู่หรือว่าแสดงความโอหัง แต่ข้าพูดตามความเป็นจริง ในยามปกติหากถูกทำร้ายข้าแค่โปรยยาพิษหรือไม่ก็ยาสลบก็สามารถเอาตัวรอดได้แล้ว แต่กับคุณหนูสามที่เคยเป็นสหาย ข้าลงมือทำร้ายนางไม่ลงหรอกเจ้าค่ะ แต่หากไม่ลงมือคนที่ถูกตบหน้าคงจะต้องเป็นข้าแน่ ถึงอย่างไรโทสะที่ถูกคุณหนูสามหมิ่นแคลนวงศ์สกุลก็ยังคงอยู่จึงได้ไม่คิดจะออมแรงที่ฝ่ามือเจ้าค่ะ” คำพูด
ในขณะที่ทางจวนสกุลหลินกำลังพูดคุยถึงเรื่องน่ายินดีด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นที่มีให้กัน แต่ทางจวนสกุลหยางกลับเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ หยางเม่าผู้เป็นนายท่านใหญ่สกุลหยางได้แต่นั่งปลอบใจอนุคนโปรดของตนเองและบุตรสาวคนที่สามที่ถือกำเนิดจากอนุผู้นี้ด้วยความปวดใจ“ท่านพ่อ! หลินเหม่ยเหยาไม่เพียงตบใบหน้าข้า แต่ยังพูดจาดูหมิ่นเรื่องที่ข้าเป็นบุตรสาวของอนุ คำพูดของนางไม่เพียงดูถูกข้าและแม่เล็กของข้า แต่นางยังกล้าพาดพิงไปถึงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังด้วย” หยางสุ่ยเซียนเอ่ยพลางร่ำไห้ออกมา ยามนี้นางนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงหน้านายท่านหยางด้านข้างของนางยังก็มีเฉินอี๋เหนียงผู้เป็นมารดาแท้ๆ นั่งร่ำไห้อยู่เป็นเพื่อนท่าทีของสองแม่ลูกจากเรือนทิศเหนือทำให้สวีเยียนผู้เป็นภรรยาเอกคนที่สองของนายท่านหยางจำต้องยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มเพื่อปกปิดรอยยิ้มของตนเอง ส่วนสายตาของนางก็จ้องมองสองแม่ลูกราวกับกำลังจ้องมองตัวตลกอยู่ นายท่านหยางยังคงโปรดปรานเฉินอี๋เหนียงอยู่ก็จริง แต่ยามนี้เฉินอี๋เหนียงมีอายุมากแล้วจะสู้นางที่อ่อนวัยกว่าอีกทั้งยังมีสกุลสวีคอยหนุนหลังอยู่ได้อย่างไร จริงอยู่ที่นางยังไม่มีบุตรธิดา แต่ในฐานะภ
หลินเหม่ยเหยารู้ดีว่าหยางสุ่ยเซียนไม่มีทางยอมถูกทำร้ายโดยไม่ตอบโต้ หลังจากที่สาวใช้ที่นางส่งไปจับตาที่เรือนหนิงฝูเข้ามารายงานว่าหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางกลับมาถึงจวนแล้วและยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือนแห่งนั้นนางก็รีบตรงไปที่เรือนหนิงฝูเพื่อขอเข้าพบบิดาในทันที“เกิดอะไรขึ้นเหตุใดวันนี้เจ้าจึงได้มาหาพ่อจนถึงเรือนแห่งนี้ได้” หลินเจวี๋ยเอ่ยพลางยื่นมือรับถ้วยชาที่ชุยอวี้หลันส่งให้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย“ข้าก็แค่มีเรื่องอยากจะเรียนให้ท่านพ่อและแม่เล็กทราบเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ตื่นตระหนกยามที่คนสกุลหยางส่งคนมาเจ้าค่ะ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยวางถ้วยชาลงในทันที“เกิดอันใดขึ้น เจ้าสามารถบอกกับพ่อมาได้ตามตรง” คำพูดของบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมาในทันที“วันนี้ข้าตบหน้าของหยางสุ่ยเซียนเจ้าค่ะ ยามนี้นางน่าจะเอาเรื่องที่ถูกข้าทำร้ายไปฟ้องนายท่านหยางผู้เป็นบิดาของนางแล้ว “คำพูดของนางทำให้หลินเจวี๋ยพลันขมวดคิ้วในทันที"นางล่วงเกินเจ้าหรือ พ่อรู้ว่าเจ้าไม่มีทางลงมือทำร้ายคนอย่างไม่มีเหตุผลแน่" คำพูดของบิดาทำให้นางยิ้มออกมา ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นอย่างน้อยก็ยังมีบิดาของนางที่สามารถเ
หลังจากวันที่ได้พบกับหยางเจี้ยน หลินเหม่ยเหยาก็ไม่ได้ออกจากจวนอีก ทางจวนสกุลหยางเองนอกจากเทียบเชิญจากหยางสุ่ยเซียนแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากทางจวนสกุลหยางอีกเช่นกัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นปลอดภัยดี“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูสามสกุลหยางมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ” เสียงรายงานของสาวใช้ทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่ขมวดคิ้ว นางจำได้ว่าหยางสุ่ยเซียนไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดหยางสุ่ยเซียนจึงได้พยายามจะพบนางให้ได้เช่นนี้ ทั้งที่นางก็ปฏิเสธทั้งเทียบเชิญและเทียบขอเข้าพบของหยางสุ่ยเซียนไปตั้งหลายครั้งแล้ว“ไปเชิญนางเข้ามาเถิด” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางก้มหน้าลงไปอ่านตำราในมือต่อ ยามนี้เข้าสู่หน้าร้อนแล้วนางจึงมักจะมานั่งอ่านตำราในศาลากลางน้ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัว สายลมที่พัดพาผ่านผิวน้ำทำให้อากาศรอบกายเย็นสบาย ดังนั้นในหน้าร้อนของทุกปีนางจึงชอบมานั่งเล่นในสถานที่แห่งนี้ ยามที่หยางสุ่ยเซียนเดินเข้ามาจึงได้แต่จ้องมองท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายของนางด้วยความริษยา“เหยาเหยา เหตุใดช่วงนี้เจ้าจึงได้ห่างเหินกับข้ากันเล่า หรือเป็นเพราะว่าคุณชายใหญ่สกุลซ่งผู้เป็นคู่หมาย
แม้ว่ายามนี้หยางเจี้ยนจะยังเป็นแค่เพียงคุณชายใหญ่ของจวนสกุลหยาง ยังไม่ใช่พระมาตุลาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินดังเช่นในชาติที่แล้ว แต่รอบกายของเขากลับมีพลังอำนาจคุกคามบางอย่างที่แผ่กระจายออกมาแล้วทำให้ทุกคนต่างก็เกรงขามและหวาดกลัว สายตาอันคมกล้าคู่นั้นของเขาทำให้หลายคนไม่กล้าสบตา แต่คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วอย่างหลินเหม่ยเหยากลับจ้องมองเขาด้วยสายตาพินิจพิจารณาพลางคิดในใจว่าทำอย่างไรดีนางและสกุลของนางจึงจะไม่มีเรื่องขัดแย้งกับคนผู้นี้“ข้าน้อยคือหลินเหม่ยเหยา บิดาของข้าคือรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงหลินเจวี๋ย ส่วนนี่คือน้องชายของข้าเป็นเพราะข้ากังวลว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นจะทำอันตรายเขาก็เลยลงมือกับลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นหนักมือไปหน่อย ขอคุณชายใหญ่ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางย่อกายคารวะขออภัย หยางเจี้ยนได้แต่หรี่ตาลงเมื่อได้เห็นท่าทีของนางแม้ว่าจะดูอ่อนน้อมและขออภัยอย่างจริงใจแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเขาอย่างที่เด็กสาวคนอื่นๆ มักจะเป็น“คุณหนูใหญ่หลินเป็นสหายสนิทของคุณหนูสามจวนเราขอรับ
เมื่อตามตัวน้องชายได้แล้วหลินเหม่ยเหยาก็ตั้งใจว่าจะพาน้องชายของตนกลับ แต่มู่เปียวผู้ดูแลสำนักคุ้มภัยคนปัจจุบันกลับรั้งให้นางอยู่ต่อเพื่อพูดคุยเรื่องการแบ่งปันผลกำไรจากกิจการในช่วงนี้ นอกจากสำนักคุ้มภัยแล้วมารดาของนางยังทิ้งร้านค้าเอาไว้ให้นางอีกหลายร้าน แต่เพราะนางไม่ค่อยจะได้สนใจเรื่องการค้าชีวิตในชาติก่อนของนางจึงได้ขัดสนเรื่องเงินทองในยามที่ตนเองต้องประสบกับความยากลำบากในชาติที่แล้วพอนางแต่งเข้าจวนสกุลซ่งบรรดาร้านค้าเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ค่อยจะทำเงินให้นางจนผลสุดท้ายนางก็ขายทอดตลาดในที่สุด เงินที่ได้มาเป็นเงินจำนวนน้อยนิดที่นางพกติดตัวเอาไว้ ในยามที่บิดาต้องโทษมารดาเลี้ยงและน้องชายถูกคุมขัง นางแทบจะไม่มีเงินพอที่จะติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปเยี่ยมเยียนพวกเขาได้จนผลสุดท้ายนางจำต้องขายเครื่องประดับทั้งหมดของตนเอง จึงสามารถไปเยี่ยมเยียนได้แค่เพียงมารดาเลี้ยงและน้องชายเพียงเท่านั้น ส่วนบิดากว่านางจะรวบรวมเงินได้เขาก็ถูกประหารที่ลานประหารไปเสียแล้วมาชาตินี้นางรู้แล้วว่าชีวิตของนางไม่อาจจะขาดเงิน ดังนั้นยามที่มู่เปียวเชิญนางเข้าไปฟังเขารายงานผลกำไรทางการค้า นางจึงได้ให้ความสนใจก
เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งหลินเหม่ยเหยาสิ่งแรกที่หลินเหม่ยเหยาตั้งใจจะทำก็คือใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับครอบให้เต็มที่ เดิมทีนางมีความเย็นชาต่อชุยอวี้หลันอยู่เป็นนิจ ต่อต้านทุกสิ่งที่ชุยอวี้หลันชี้นำให้นางทำ แต่ยามนี้สิ่งที่นางทำก็คือการทำตัวเป็นลูกเลี้ยงที่ดีเชื่อฟังคำชี้แนะของชุยอวี้หลันโดยไม่โต้เถียง“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดช่วงนี้คุณหนูใหญ่จึงได้ทำตัวผิดแปลกไปเช่นนี้เล่า” เมื่อชุยอวี้หลันเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่งยิ้มให้พลางเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ข้าเปลี่ยนไปมากเลยหรือ ข้าก็หลงคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของข้าน่าจะทำให้แม่เล็กพึงพอใจได้เสียอีก” นางเอ่ยพลางก้มหน้าลงคัดอักษรตามบทคัดลอกที่ชุยอวี้หลันหามาให้“คุณหนูใหญ่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียินดีเชื่อฟังข้าเช่นนี้ข้าย่อมดีใจ เพียงแต่อยู่ๆ ท่านก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันเช่นนี้มันทำให้ข้าอดรู้สึกกังวลใจไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน มีผู้ใดพูดจาล่วงเกินท่านหรือว่ามีใครทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า” เมื่อมารดาเลี้ยงของนางเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าสิ่งที่แม่เล็กสอนสั่งอีกทั้งยังเข้มงวดกับข
ยามที่หลินเหม่ยเหยาลืมตาตื่นขึ้นมา นางก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนของตนเองในสกุลหลิน สภาพแวดล้อมภายในห้องล้วนมีสภาพเหมือนตอนที่นางยังไม่ได้ปักปิ่น ในยามนั้นหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางยังคงเข้าออกห้องของนางโดยไม่ได้ถือสาเรื่องธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น“เหยาเหยา เจ้าดูนี่สิพ่อได้ฟู่จื่อมามากมาย เจ้าต้องช่วยพ่อตรวจสอบดูนะว่าพิษของมันถูกพ่อทำให้เจือจางลงไปจนหมดสิ้นแล้วหรือยัง” เสียงของหลินเจวี๋ยทำให้หลินเหม่ยเหยารีบขยับตัวลุกขึ้น ดึงม่านคลุมเตียงออกแล้วจ้องมองไปยังผู้ที่เดินเข้ามาในห้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ“ท่านพ่อ!” เสียงเรียกกับท่าทีของบุตรสาวไม่ได้ทำให้หลินเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ในตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเขากำลังจดจ่ออยู่กับสมุนไพรที่เขาพึ่งจะได้มา“อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย ดูนี่สิฟู่จื่อนี่คุณภาพดีมากทีเดียว” หลินเจวี๋ยพูดพลางยื่นกล่องไม้ใส่สมุนไพรให้บุตรสาวดู แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่สนใจนางโผเข้าไปโอบกอดบิดาของตนเองแล้วร่ำไห้ออกมา“ท่านพ่อ ต้องโทษข้าที่มองคนไม่เป็น ทำให้ท่านและทุกคนในครอบครัวต้องได้รับเคราะห์กรรมอันเลวร้าย” ท่าทีของบุตรสาวทำให้หลินเจวี๋ยนิ่งงั