ในขณะที่ทางจวนสกุลหลินกำลังพูดคุยถึงเรื่องน่ายินดีด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นที่มีให้กัน แต่ทางจวนสกุลหยางกลับเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ หยางเม่าผู้เป็นนายท่านใหญ่สกุลหยางได้แต่นั่งปลอบใจอนุคนโปรดของตนเองและบุตรสาวคนที่สามที่ถือกำเนิดจากอนุผู้นี้ด้วยความปวดใจ
“ท่านพ่อ! หลินเหม่ยเหยาไม่เพียงตบใบหน้าข้า แต่ยังพูดจาดูหมิ่นเรื่องที่ข้าเป็นบุตรสาวของอนุ คำพูดของนางไม่เพียงดูถูกข้าและแม่เล็กของข้า แต่นางยังกล้าพาดพิงไปถึงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังด้วย” หยางสุ่ยเซียนเอ่ยพลางร่ำไห้ออกมา ยามนี้นางนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงหน้านายท่านหยางด้านข้างของนางยังก็มีเฉินอี๋เหนียงผู้เป็นมารดาแท้ๆ นั่งร่ำไห้อยู่เป็นเพื่อน
ท่าทีของสองแม่ลูกจากเรือนทิศเหนือทำให้สวีเยียนผู้เป็นภรรยาเอกคนที่สองของนายท่านหยางจำต้องยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มเพื่อปกปิดรอยยิ้มของตนเอง ส่วนสายตาของนางก็จ้องมองสองแม่ลูกราวกับกำลังจ้องมองตัวตลกอยู่ นายท่านหยางยังคงโปรดปรานเฉินอี๋เหนียงอยู่ก็จริง แต่ยามนี้เฉินอี๋เหนียงมีอายุมากแล้วจะสู้นางที่อ่อนวัยกว่าอีกทั้งยังมีสกุลสวีคอยหนุนหลังอยู่ได้อย่างไร จริงอยู่ที่นางยังไม่มีบุตรธิดา แต่ในฐานะภรรยาเอกคนที่สองแม้จะไม่มีบุตรธิดาก็ไม่เป็นไร ขอแค่นางมีความสัมพันธ์อันดีกับบุตรชายคนโตและบุตรสาวคนโตของภรรยาเอกคนเก่า นางก็ย่อมจะสามารถอยู่ในจวนสกุลหยางอย่างมีเกียรติได้ตลอดชีวิต
“เจ้าจะทะเลาะเบาะแว้งกับคุณหนูใหญ่จวนสกุลหลินก็ทะเลาะไปสิ เหตุใดต้องนำพระเกียรติของกุ้ยเฟยมาเอ่ยถึงทำให้พระนางต้องพลอยได้รับความมัวหมองไปกับเจ้าด้วย” คำพูดของสวีเยียนทำให้นายท่านหยางที่เมื่อครู่นี้กำลังมีอารมณ์กราดเกรี้ยวพลันชะงักงันไปในทันที
“สุ่ยเซียนเจ้าพูดมา เหตุใดคุณหนูใหญ่จวนสกุลหลินจึงได้เอ่ยถึงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังได้” คำถามของสวีเยียนทำให้หยางสุ่ยเซียนนิ่งงันไป ส่วนเฉินอี๋เหนียงกลับหัวไวกว่านางรีบซับหยาดน้ำตาแล้วเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับนายท่านหยางด้วยน้ำเสียงเรียกร้องความเห็นใจ
“นางพูดจาดูหมิ่นเซียนเอ๋อ บอกว่าเซียนเอ๋อเป็นแค่เพียงบุตรสาวของอนุ คนสูงศักดิ์อย่างกุ้ยเฟยมีหรือที่จะมาสนใจนาง นางเอ่ยเช่นนี้มิเท่ากับเป็นการว่ากุ้ยเฟยว่าพระนางทรงมีน้ำพระทัยคับแคบหรอกหรือเจ้าคะ” เมื่อเฉินอี๋เหนียงเอ่ยเช่นนี้นายท่านหยางก็พลันบันดาลโทสะในทันที
“บังอาจ! คุณหนูใหญ่สกุลหลินคิดว่าตนเองเองเป็นผู้ใดจึงกล้าพูดจาให้ร้ายกุ้ยเฟย ใครก็ได้ส่งคนไปที่สกุลหลินบอกกับคนสกุลหลินว่าหากคุณหนูหลินไม่มาขอขมาที่จวนสกุลหยางก็จงเตรียมตัวรอรับโทสะจากข้าได้เลย เด็กสาวที่ลงมืออย่างป่าเถื่อนแถมมีวาจาชั่วร้ายเช่นนี้หากจวนสกุลหลินอบรมสั่งสอนไม่ได้ ข้าผู้เป็นหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตจะขอออกหน้าลงมือสั่งสอนนางด้วยตนเอง” เมื่อนายท่านหยางเอ่ยเช่นนี้สองแม่ลูกจากเรือนทิศเหนือก็หันมาสบตากันในทันที สวีเยียนมองท่าทีของพวกนางแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วในใจก็ได้แต่คิดว่านางควรจะส่งคนไปแจ้งให้กุ้ยเฟยทรงทราบดีหรือไม่ว่าคนจากเรือนทิศเหนือกำลังจะก่อเรื่องอีกแล้ว
ใช้เวลาเพียงไม่นานหลินเจวี๋ยก็พาบุตรสาวมาที่จวนสกุลหยางด้วยตนเอง นายท่านหยางจ้องมองหลินเจวี๋ยด้วยความพึงพอใจ การที่หลินเจวี๋ยพาบุตรสาวมาขอโทษที่จวนสกุลหยางด้วยตนเองเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าจวนสกุลหลินไม่กล้ามองข้ามอำนาจและบารมีของจวนสกุลหยาง
“คิดไม่ถึงว่าท่านรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงจะพาบุตรสาวมาขอขมาบุตรสาวของข้าที่จวนสกุลหยางด้วยตนเองเช่นนี้” คำพูดของนายท่านหยางทำให้หยางสุ่ยเซียนที่ยามนี้หลบไปยืนอยู่ทางด้านข้างของเก้าอี้ของนายท่านหยางพลันยิ้มออกมา สายตาที่นางใช้จ้องมองหลินเหม่ยเหยาเต็มไปด้วยการเย้ยหยันอย่างเต็มที่
“หามิได้ ที่ข้าพาบุตรสาวของข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะให้นางได้แก้ต่างให้กับตนเองต่างหาก อีกทั้งข้าคิดว่าคนที่ควรจะขอโทษควรจะเป็นคุณหนูสามผู้เป็นบุตรสาวของท่านมากกว่านะ” คำพูดของหลินเจวี๋ยวทำให้นายท่านหยางพลันขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจในทันที
“ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” คำถามของนายท่านหยางทำให้หลินเจวี๋ยยิ้มพลางออกมาในทันที
“บุตรสาวของข้าลงมือตบเข้าไปที่ใบหน้าของคุณหนูสามก็จริง แต่นางทำก็เพื่อป้องกันตัวด้วยเพราะว่าคุณหนูสามเป็นคนลงมือกับนางก่อน” เมื่อหลินเจวี๋ยเอ่ยเช่นนี้นายท่านหยางก็หันไปมองหยางสุ่ยเซียนในทันทีนางจึงรีบเอ่ยวาจาแก้ตัวออกมา
“ก็นางพูดจาดูถูกข้า ดูถูกแม่เล็กของข้าแถมยังเอ่ยวาจาพาดพิงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังด้วย” คำพูดประโยคนี้ของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยาพลันยิ้มออกมาแล้วเอ่ยวาจาคัดค้านขึ้นมาในทันที
“ต้องขออภัยผู้อาวุโสทุกท่านที่ข้าต้องเอ่ยวาจาสอดแทรกนะเจ้าค่ะ แต่ในเมื่อคุณหนูสามสามารถพูดได้ ดังนั้นข้าก็ขอออกหน้าปกป้องตนเองได้เช่นกัน” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยออกมาพลางจ้องมองหยางสุ่ยเซียนด้วยสายตาเย็นชา
“รบกวนคุณหนูสามช่วยเอ่ยทวนคำพูดของข้าก่อนที่พวกเราจะลงมือตบตีออกมาอีกครั้งได้ไหม ตัวข้าเองก็จะได้เอ่ยทวนคำพูดของท่านออกมาด้วยเช่นกัน” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หยางสุ่ยเซียนนิ่งอึ้งไปด้วยคำพูดของหลินเหม่ยเหยาเกี่ยวข้องกับการตายของอดีตฮูหยินคนเก่า นางไม่อยากจะรื้อฟื้นขึ้นมาพูดตรงนี้แล้วทำให้มารดาแท้ๆ ของนางต้องกลายเป็นผู้ต้องสงสัยของผู้อื่นอีกครั้ง
“เช่นนั้นข้าจะพูดทวนประโยคในวันนั้นให้ทุกคนฟังก็ได้ นางพูดว่า...”
“พอแล้ว! เจ้าอย่าได้พูดอันใดออกมาอีกเลย” หยางสุ่ยเซียนเอ่ยวาจาห้ามปรามออกมาในทันที หากหลินเหม่ยเหยาพูดถึงเรื่องที่นางพูดถึงคุณชายซ่งอย่างไม่สมควรจะเอ่ยถึง แถมยังเอ่ยวาจาล่วงเกินสกุลหลินและหลินเหม่ยเหยาทำให้ทั้งสองทะเลาะเบาะแว้งจนถึงขั้นต้องลงมือลงไม้กันขึ้นมา คนที่จะถูกลงโทษน่าจะกลายเป็นตัวนางเอง หยางสุ่ยเซียนจึงได้หันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเฉินอี๋เหนียงผู้เป็นมารดาของนางในทันที
“โธ่เอ๋ย เซียนเอ๋อของแม่เจ้าถูกรังแกจนหวาดกลัวไปเสียแล้วใช่หรือไม่” เฉินอี๋เหนียงเอ่ยพลางเดินมาจับมือหยางสุ่ยเซียนเอาไว้พลางส่งสัญญาณให้หยางสุ่ยเซียนแสร้งทำตัวให้น่าสงสารให้มากที่สุดแล้วจึงได้หันไปเอ่ยกับนายท่านหยางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความน่าสงสาร
“นายท่าน ท่านดูร่องรอยบนใบหน้าของเซียนเอ๋อสิเจ้าคะ คุณหนูใหญ่สกุลหลินลงมือหนักขนาดนี้แล้วยังจะบอกว่าเพื่อป้องกันตัวอีกหรือ” คำพูดของเฉินอี๋เหนียงทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมาในทันที
“เฉินอี๋เหนียง ท่านคงจะไม่รู้ว่าหากข้าไม่ยั้งมือเอาไว้ ท่านเชื่อเถิดว่ายามนี้บุตรสาวของท่านคงจะไร้ซึ่งลมหายใจไปแล้ว” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยออกมาตามที่ใจของตนเองคิด ที่จริงแล้วนางอยากฆ่าหยางสุ่ยเซียนให้ตายในทันทีที่ได้พบหน้ากันเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะกังวลว่าจะก่อให้เกิดความไม่พอใจจากสกุลคนสกุลหยางนางจึงได้พยายามยั้งมือเอาไว้
ในชาติก่อนหยางเจี้ยนกลายเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด เป็นใหญ่เหนือใต้หล้าใต้ฟ้าอยู่ใต้อำนาจของคนผู้เดียว นอกจากองค์ฮ่องเต้เสวียนเทียนหลงแล้วเขาก็ไม่เคยหวั่นเกรงผู้ใดอีก ถึงอย่างไรหยางสุ่ยเซียนก็ถือว่าเป็นน้องสาวต่างมารดาของเขา นางย่อมไม่กล้าสร้างความบาดหมางกับเขาในเร็ววันนี้เพียงเพื่อการกำจัดอสรพิษอย่างหยางสุ่ยเซียนเพียงผู้เดียวหรอก
ยังมีหยางกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังผู้นั้นอีก นางแค่เคยได้ยินหยางสุ่ยเซียนเอ่ยถึงความเกลียดชังที่กุ้ยเฟยทรงมีต่อหยางสุ่ยเซียนในชาติก่อน แต่แท้จริงแล้วกุ้ยเฟยจะคิดอย่างไรหากน้องสาวต่างมารดาไปตายที่จวนสกุลหลินนางก็ยากจะคาดเดา ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องเก็บหยางสุ่ยเซียนเอาไว้ก่อน แน่นอนว่านางไม่มีทางปล่อยอสรพิษตนนี้ไป แม้ว่าจะยังกำจัดอสรพิษตนนี้ในช่วงนี้ไม่ได้แต่นางก็ไม่คิดจะปล่อยให้หยางสุ่ยเซียนได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอย่างแน่นอน
ต่อให้หยางเม่าพยายามสั่งให้คนในจวนสกุลหยางห้ามพูดถึงเรื่องความผิดของหยางสุ่ยเซียน แต่มีหรือที่เขาจะสามารถทำได้ จวนสกุลหยางมีคุณชายห้าคนและมีคุณหนูถึงหกคน มีเพียงหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ที่ถือกำเนิดจากฮูหยินคนก่อนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรและบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอก ส่วนนอกนั้นล้วนเป็นบุตรและบุตรีที่เกิดจากอนุเกือบทั้งสิ้น การแก่งแย่งชิงดีกันเองภายในจวนสกุลหยางดุเดือดไม่ต่างไปจากจวนขุนนางทั่วไปที่มีลูกหลานในจวนมากมายในจวนสกุลหยางมีเพียงหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ที่ไม่จำเป็นต้องลงไปแก่งแย่งชิงดีและประชันฝีมือด้วย ไม่เพียงชาติกำเนิดดีกว่าผู้อื่น แต่ก่อนที่ฮูหยินคนก่อนจะเสียชีวิตนางได้วางรากฐานให้บุตรชายและบุตรสาวเอาไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งฮูหยินคนใหม่ก็ไม่ค่อยจะมีฝีไม้ลายมือเท่าใดนัก หากไม่พึ่งพาหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ก็แทบจะสู้รบตบมือกับผู้ใดไม่ได้เลย คุณหนูภายในจวนที่มีฝีไม้ลายมือมากที่สุดและได้รับความโปรดปรานรองจากหยางสุ่ยอวี้ก็คือหยางสุ่ยเซียน ดังนั้นพอหยางสุ่ยเซียนพลาดพลั้ง ย่อมมีคนรอที่จะเหยียบย่ำนางให้จมดินอยู่แล้วหลินเหม่ยเหยานั่งทบทวนความทรงจำที่ตนเองมีต่อสกุลหยางด้วยความตั้งอกตั้ง
นายท่านหยางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ คำพูดที่ว่าหากนางไม่ยั้งมือป่านนี้บุตรสาวของเขาคงจะตายไปแล้วทำให้เขารู้สึกโกรธเคือง เขาจึงได้เอ่ยต่อว่าหลินเหม่ยเหยาออกมาตามตรง“คุณหนูใหญ่สกุลหลินคำพูดคำจาช่างโอหังเสียจริง ท่านรองหัวหน้าแพทย์หลวงหลินท่านดูบุตรสาวของท่านสิ ไร้มารยาทเช่นนี้วันหน้าจะมีสกุลใดอยากจะแต่งนางเข้าสกุลกัน” นายท่านหยางเอ่ยออกมาพลางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้เกรงกลัวและไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทนางย่อกายคารวะขออภัยด้วยท่วงท่าอันงดงามแล้วจึงได้เอ่ยตอบคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนน้อม“ต้องขออภัยที่ล่วงเกินท่านหัวหน้าราชบัณฑิตหยางนะเจ้าคะ เพียงแต่คำพูดของข้าไม่ได้ตั้งใจจะข่มขู่หรือว่าแสดงความโอหัง แต่ข้าพูดตามความเป็นจริง ในยามปกติหากถูกทำร้ายข้าแค่โปรยยาพิษหรือไม่ก็ยาสลบก็สามารถเอาตัวรอดได้แล้ว แต่กับคุณหนูสามที่เคยเป็นสหาย ข้าลงมือทำร้ายนางไม่ลงหรอกเจ้าค่ะ แต่หากไม่ลงมือคนที่ถูกตบหน้าคงจะต้องเป็นข้าแน่ ถึงอย่างไรโทสะที่ถูกคุณหนูสามหมิ่นแคลนวงศ์สกุลก็ยังคงอยู่จึงได้ไม่คิดจะออมแรงที่ฝ่ามือเจ้าค่ะ” คำพูด
ในขณะที่ทางจวนสกุลหลินกำลังพูดคุยถึงเรื่องน่ายินดีด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นที่มีให้กัน แต่ทางจวนสกุลหยางกลับเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ หยางเม่าผู้เป็นนายท่านใหญ่สกุลหยางได้แต่นั่งปลอบใจอนุคนโปรดของตนเองและบุตรสาวคนที่สามที่ถือกำเนิดจากอนุผู้นี้ด้วยความปวดใจ“ท่านพ่อ! หลินเหม่ยเหยาไม่เพียงตบใบหน้าข้า แต่ยังพูดจาดูหมิ่นเรื่องที่ข้าเป็นบุตรสาวของอนุ คำพูดของนางไม่เพียงดูถูกข้าและแม่เล็กของข้า แต่นางยังกล้าพาดพิงไปถึงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังด้วย” หยางสุ่ยเซียนเอ่ยพลางร่ำไห้ออกมา ยามนี้นางนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงหน้านายท่านหยางด้านข้างของนางยังก็มีเฉินอี๋เหนียงผู้เป็นมารดาแท้ๆ นั่งร่ำไห้อยู่เป็นเพื่อนท่าทีของสองแม่ลูกจากเรือนทิศเหนือทำให้สวีเยียนผู้เป็นภรรยาเอกคนที่สองของนายท่านหยางจำต้องยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มเพื่อปกปิดรอยยิ้มของตนเอง ส่วนสายตาของนางก็จ้องมองสองแม่ลูกราวกับกำลังจ้องมองตัวตลกอยู่ นายท่านหยางยังคงโปรดปรานเฉินอี๋เหนียงอยู่ก็จริง แต่ยามนี้เฉินอี๋เหนียงมีอายุมากแล้วจะสู้นางที่อ่อนวัยกว่าอีกทั้งยังมีสกุลสวีคอยหนุนหลังอยู่ได้อย่างไร จริงอยู่ที่นางยังไม่มีบุตรธิดา แต่ในฐานะภ
หลินเหม่ยเหยารู้ดีว่าหยางสุ่ยเซียนไม่มีทางยอมถูกทำร้ายโดยไม่ตอบโต้ หลังจากที่สาวใช้ที่นางส่งไปจับตาที่เรือนหนิงฝูเข้ามารายงานว่าหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางกลับมาถึงจวนแล้วและยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือนแห่งนั้นนางก็รีบตรงไปที่เรือนหนิงฝูเพื่อขอเข้าพบบิดาในทันที“เกิดอะไรขึ้นเหตุใดวันนี้เจ้าจึงได้มาหาพ่อจนถึงเรือนแห่งนี้ได้” หลินเจวี๋ยเอ่ยพลางยื่นมือรับถ้วยชาที่ชุยอวี้หลันส่งให้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย“ข้าก็แค่มีเรื่องอยากจะเรียนให้ท่านพ่อและแม่เล็กทราบเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ตื่นตระหนกยามที่คนสกุลหยางส่งคนมาเจ้าค่ะ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยวางถ้วยชาลงในทันที“เกิดอันใดขึ้น เจ้าสามารถบอกกับพ่อมาได้ตามตรง” คำพูดของบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมาในทันที“วันนี้ข้าตบหน้าของหยางสุ่ยเซียนเจ้าค่ะ ยามนี้นางน่าจะเอาเรื่องที่ถูกข้าทำร้ายไปฟ้องนายท่านหยางผู้เป็นบิดาของนางแล้ว “คำพูดของนางทำให้หลินเจวี๋ยพลันขมวดคิ้วในทันที"นางล่วงเกินเจ้าหรือ พ่อรู้ว่าเจ้าไม่มีทางลงมือทำร้ายคนอย่างไม่มีเหตุผลแน่" คำพูดของบิดาทำให้นางยิ้มออกมา ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นอย่างน้อยก็ยังมีบิดาของนางที่สามารถเ
หลังจากวันที่ได้พบกับหยางเจี้ยน หลินเหม่ยเหยาก็ไม่ได้ออกจากจวนอีก ทางจวนสกุลหยางเองนอกจากเทียบเชิญจากหยางสุ่ยเซียนแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากทางจวนสกุลหยางอีกเช่นกัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นปลอดภัยดี“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูสามสกุลหยางมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ” เสียงรายงานของสาวใช้ทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่ขมวดคิ้ว นางจำได้ว่าหยางสุ่ยเซียนไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดหยางสุ่ยเซียนจึงได้พยายามจะพบนางให้ได้เช่นนี้ ทั้งที่นางก็ปฏิเสธทั้งเทียบเชิญและเทียบขอเข้าพบของหยางสุ่ยเซียนไปตั้งหลายครั้งแล้ว“ไปเชิญนางเข้ามาเถิด” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางก้มหน้าลงไปอ่านตำราในมือต่อ ยามนี้เข้าสู่หน้าร้อนแล้วนางจึงมักจะมานั่งอ่านตำราในศาลากลางน้ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัว สายลมที่พัดพาผ่านผิวน้ำทำให้อากาศรอบกายเย็นสบาย ดังนั้นในหน้าร้อนของทุกปีนางจึงชอบมานั่งเล่นในสถานที่แห่งนี้ ยามที่หยางสุ่ยเซียนเดินเข้ามาจึงได้แต่จ้องมองท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายของนางด้วยความริษยา“เหยาเหยา เหตุใดช่วงนี้เจ้าจึงได้ห่างเหินกับข้ากันเล่า หรือเป็นเพราะว่าคุณชายใหญ่สกุลซ่งผู้เป็นคู่หมาย
แม้ว่ายามนี้หยางเจี้ยนจะยังเป็นแค่เพียงคุณชายใหญ่ของจวนสกุลหยาง ยังไม่ใช่พระมาตุลาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินดังเช่นในชาติที่แล้ว แต่รอบกายของเขากลับมีพลังอำนาจคุกคามบางอย่างที่แผ่กระจายออกมาแล้วทำให้ทุกคนต่างก็เกรงขามและหวาดกลัว สายตาอันคมกล้าคู่นั้นของเขาทำให้หลายคนไม่กล้าสบตา แต่คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วอย่างหลินเหม่ยเหยากลับจ้องมองเขาด้วยสายตาพินิจพิจารณาพลางคิดในใจว่าทำอย่างไรดีนางและสกุลของนางจึงจะไม่มีเรื่องขัดแย้งกับคนผู้นี้“ข้าน้อยคือหลินเหม่ยเหยา บิดาของข้าคือรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงหลินเจวี๋ย ส่วนนี่คือน้องชายของข้าเป็นเพราะข้ากังวลว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นจะทำอันตรายเขาก็เลยลงมือกับลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นหนักมือไปหน่อย ขอคุณชายใหญ่ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางย่อกายคารวะขออภัย หยางเจี้ยนได้แต่หรี่ตาลงเมื่อได้เห็นท่าทีของนางแม้ว่าจะดูอ่อนน้อมและขออภัยอย่างจริงใจแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเขาอย่างที่เด็กสาวคนอื่นๆ มักจะเป็น“คุณหนูใหญ่หลินเป็นสหายสนิทของคุณหนูสามจวนเราขอรับ
เมื่อตามตัวน้องชายได้แล้วหลินเหม่ยเหยาก็ตั้งใจว่าจะพาน้องชายของตนกลับ แต่มู่เปียวผู้ดูแลสำนักคุ้มภัยคนปัจจุบันกลับรั้งให้นางอยู่ต่อเพื่อพูดคุยเรื่องการแบ่งปันผลกำไรจากกิจการในช่วงนี้ นอกจากสำนักคุ้มภัยแล้วมารดาของนางยังทิ้งร้านค้าเอาไว้ให้นางอีกหลายร้าน แต่เพราะนางไม่ค่อยจะได้สนใจเรื่องการค้าชีวิตในชาติก่อนของนางจึงได้ขัดสนเรื่องเงินทองในยามที่ตนเองต้องประสบกับความยากลำบากในชาติที่แล้วพอนางแต่งเข้าจวนสกุลซ่งบรรดาร้านค้าเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ค่อยจะทำเงินให้นางจนผลสุดท้ายนางก็ขายทอดตลาดในที่สุด เงินที่ได้มาเป็นเงินจำนวนน้อยนิดที่นางพกติดตัวเอาไว้ ในยามที่บิดาต้องโทษมารดาเลี้ยงและน้องชายถูกคุมขัง นางแทบจะไม่มีเงินพอที่จะติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปเยี่ยมเยียนพวกเขาได้จนผลสุดท้ายนางจำต้องขายเครื่องประดับทั้งหมดของตนเอง จึงสามารถไปเยี่ยมเยียนได้แค่เพียงมารดาเลี้ยงและน้องชายเพียงเท่านั้น ส่วนบิดากว่านางจะรวบรวมเงินได้เขาก็ถูกประหารที่ลานประหารไปเสียแล้วมาชาตินี้นางรู้แล้วว่าชีวิตของนางไม่อาจจะขาดเงิน ดังนั้นยามที่มู่เปียวเชิญนางเข้าไปฟังเขารายงานผลกำไรทางการค้า นางจึงได้ให้ความสนใจก
เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งหลินเหม่ยเหยาสิ่งแรกที่หลินเหม่ยเหยาตั้งใจจะทำก็คือใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับครอบให้เต็มที่ เดิมทีนางมีความเย็นชาต่อชุยอวี้หลันอยู่เป็นนิจ ต่อต้านทุกสิ่งที่ชุยอวี้หลันชี้นำให้นางทำ แต่ยามนี้สิ่งที่นางทำก็คือการทำตัวเป็นลูกเลี้ยงที่ดีเชื่อฟังคำชี้แนะของชุยอวี้หลันโดยไม่โต้เถียง“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดช่วงนี้คุณหนูใหญ่จึงได้ทำตัวผิดแปลกไปเช่นนี้เล่า” เมื่อชุยอวี้หลันเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่งยิ้มให้พลางเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ข้าเปลี่ยนไปมากเลยหรือ ข้าก็หลงคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของข้าน่าจะทำให้แม่เล็กพึงพอใจได้เสียอีก” นางเอ่ยพลางก้มหน้าลงคัดอักษรตามบทคัดลอกที่ชุยอวี้หลันหามาให้“คุณหนูใหญ่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียินดีเชื่อฟังข้าเช่นนี้ข้าย่อมดีใจ เพียงแต่อยู่ๆ ท่านก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันเช่นนี้มันทำให้ข้าอดรู้สึกกังวลใจไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน มีผู้ใดพูดจาล่วงเกินท่านหรือว่ามีใครทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า” เมื่อมารดาเลี้ยงของนางเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าสิ่งที่แม่เล็กสอนสั่งอีกทั้งยังเข้มงวดกับข
ยามที่หลินเหม่ยเหยาลืมตาตื่นขึ้นมา นางก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนของตนเองในสกุลหลิน สภาพแวดล้อมภายในห้องล้วนมีสภาพเหมือนตอนที่นางยังไม่ได้ปักปิ่น ในยามนั้นหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางยังคงเข้าออกห้องของนางโดยไม่ได้ถือสาเรื่องธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น“เหยาเหยา เจ้าดูนี่สิพ่อได้ฟู่จื่อมามากมาย เจ้าต้องช่วยพ่อตรวจสอบดูนะว่าพิษของมันถูกพ่อทำให้เจือจางลงไปจนหมดสิ้นแล้วหรือยัง” เสียงของหลินเจวี๋ยทำให้หลินเหม่ยเหยารีบขยับตัวลุกขึ้น ดึงม่านคลุมเตียงออกแล้วจ้องมองไปยังผู้ที่เดินเข้ามาในห้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ“ท่านพ่อ!” เสียงเรียกกับท่าทีของบุตรสาวไม่ได้ทำให้หลินเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ในตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเขากำลังจดจ่ออยู่กับสมุนไพรที่เขาพึ่งจะได้มา“อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย ดูนี่สิฟู่จื่อนี่คุณภาพดีมากทีเดียว” หลินเจวี๋ยพูดพลางยื่นกล่องไม้ใส่สมุนไพรให้บุตรสาวดู แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่สนใจนางโผเข้าไปโอบกอดบิดาของตนเองแล้วร่ำไห้ออกมา“ท่านพ่อ ต้องโทษข้าที่มองคนไม่เป็น ทำให้ท่านและทุกคนในครอบครัวต้องได้รับเคราะห์กรรมอันเลวร้าย” ท่าทีของบุตรสาวทำให้หลินเจวี๋ยนิ่งงั