ในขณะที่ทางจวนสกุลหลินกำลังพูดคุยถึงเรื่องน่ายินดีด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นที่มีให้กัน แต่ทางจวนสกุลหยางกลับเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ หยางเม่าผู้เป็นนายท่านใหญ่สกุลหยางได้แต่นั่งปลอบใจอนุคนโปรดของตนเองและบุตรสาวคนที่สามที่ถือกำเนิดจากอนุผู้นี้ด้วยความปวดใจ
“ท่านพ่อ! หลินเหม่ยเหยาไม่เพียงตบใบหน้าข้า แต่ยังพูดจาดูหมิ่นเรื่องที่ข้าเป็นบุตรสาวของอนุ คำพูดของนางไม่เพียงดูถูกข้าและแม่เล็กของข้า แต่นางยังกล้าพาดพิงไปถึงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังด้วย” หยางสุ่ยเซียนเอ่ยพลางร่ำไห้ออกมา ยามนี้นางนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงหน้านายท่านหยางด้านข้างของนางยังก็มีเฉินอี๋เหนียงผู้เป็นมารดาแท้ๆ นั่งร่ำไห้อยู่เป็นเพื่อน
ท่าทีของสองแม่ลูกจากเรือนทิศเหนือทำให้สวีเยียนผู้เป็นภรรยาเอกคนที่สองของนายท่านหยางจำต้องยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มเพื่อปกปิดรอยยิ้มของตนเอง ส่วนสายตาของนางก็จ้องมองสองแม่ลูกราวกับกำลังจ้องมองตัวตลกอยู่ นายท่านหยางยังคงโปรดปรานเฉินอี๋เหนียงอยู่ก็จริง แต่ยามนี้เฉินอี๋เหนียงมีอายุมากแล้วจะสู้นางที่อ่อนวัยกว่าอีกทั้งยังมีสกุลสวีคอยหนุนหลังอยู่ได้อย่างไร จริงอยู่ที่นางยังไม่มีบุตรธิดา แต่ในฐานะภรรยาเอกคนที่สองแม้จะไม่มีบุตรธิดาก็ไม่เป็นไร ขอแค่นางมีความสัมพันธ์อันดีกับบุตรชายคนโตและบุตรสาวคนโตของภรรยาเอกคนเก่า นางก็ย่อมจะสามารถอยู่ในจวนสกุลหยางอย่างมีเกียรติได้ตลอดชีวิต
“เจ้าจะทะเลาะเบาะแว้งกับคุณหนูใหญ่จวนสกุลหลินก็ทะเลาะไปสิ เหตุใดต้องนำพระเกียรติของกุ้ยเฟยมาเอ่ยถึงทำให้พระนางต้องพลอยได้รับความมัวหมองไปกับเจ้าด้วย” คำพูดของสวีเยียนทำให้นายท่านหยางที่เมื่อครู่นี้กำลังมีอารมณ์กราดเกรี้ยวพลันชะงักงันไปในทันที
“สุ่ยเซียนเจ้าพูดมา เหตุใดคุณหนูใหญ่จวนสกุลหลินจึงได้เอ่ยถึงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังได้” คำถามของสวีเยียนทำให้หยางสุ่ยเซียนนิ่งงันไป ส่วนเฉินอี๋เหนียงกลับหัวไวกว่านางรีบซับหยาดน้ำตาแล้วเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับนายท่านหยางด้วยน้ำเสียงเรียกร้องความเห็นใจ
“นางพูดจาดูหมิ่นเซียนเอ๋อ บอกว่าเซียนเอ๋อเป็นแค่เพียงบุตรสาวของอนุ คนสูงศักดิ์อย่างกุ้ยเฟยมีหรือที่จะมาสนใจนาง นางเอ่ยเช่นนี้มิเท่ากับเป็นการว่ากุ้ยเฟยว่าพระนางทรงมีน้ำพระทัยคับแคบหรอกหรือเจ้าคะ” เมื่อเฉินอี๋เหนียงเอ่ยเช่นนี้นายท่านหยางก็พลันบันดาลโทสะในทันที
“บังอาจ! คุณหนูใหญ่สกุลหลินคิดว่าตนเองเองเป็นผู้ใดจึงกล้าพูดจาให้ร้ายกุ้ยเฟย ใครก็ได้ส่งคนไปที่สกุลหลินบอกกับคนสกุลหลินว่าหากคุณหนูหลินไม่มาขอขมาที่จวนสกุลหยางก็จงเตรียมตัวรอรับโทสะจากข้าได้เลย เด็กสาวที่ลงมืออย่างป่าเถื่อนแถมมีวาจาชั่วร้ายเช่นนี้หากจวนสกุลหลินอบรมสั่งสอนไม่ได้ ข้าผู้เป็นหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตจะขอออกหน้าลงมือสั่งสอนนางด้วยตนเอง” เมื่อนายท่านหยางเอ่ยเช่นนี้สองแม่ลูกจากเรือนทิศเหนือก็หันมาสบตากันในทันที สวีเยียนมองท่าทีของพวกนางแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วในใจก็ได้แต่คิดว่านางควรจะส่งคนไปแจ้งให้กุ้ยเฟยทรงทราบดีหรือไม่ว่าคนจากเรือนทิศเหนือกำลังจะก่อเรื่องอีกแล้ว
ใช้เวลาเพียงไม่นานหลินเจวี๋ยก็พาบุตรสาวมาที่จวนสกุลหยางด้วยตนเอง นายท่านหยางจ้องมองหลินเจวี๋ยด้วยความพึงพอใจ การที่หลินเจวี๋ยพาบุตรสาวมาขอโทษที่จวนสกุลหยางด้วยตนเองเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าจวนสกุลหลินไม่กล้ามองข้ามอำนาจและบารมีของจวนสกุลหยาง
“คิดไม่ถึงว่าท่านรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงจะพาบุตรสาวมาขอขมาบุตรสาวของข้าที่จวนสกุลหยางด้วยตนเองเช่นนี้” คำพูดของนายท่านหยางทำให้หยางสุ่ยเซียนที่ยามนี้หลบไปยืนอยู่ทางด้านข้างของเก้าอี้ของนายท่านหยางพลันยิ้มออกมา สายตาที่นางใช้จ้องมองหลินเหม่ยเหยาเต็มไปด้วยการเย้ยหยันอย่างเต็มที่
“หามิได้ ที่ข้าพาบุตรสาวของข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะให้นางได้แก้ต่างให้กับตนเองต่างหาก อีกทั้งข้าคิดว่าคนที่ควรจะขอโทษควรจะเป็นคุณหนูสามผู้เป็นบุตรสาวของท่านมากกว่านะ” คำพูดของหลินเจวี๋ยวทำให้นายท่านหยางพลันขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจในทันที
“ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” คำถามของนายท่านหยางทำให้หลินเจวี๋ยยิ้มพลางออกมาในทันที
“บุตรสาวของข้าลงมือตบเข้าไปที่ใบหน้าของคุณหนูสามก็จริง แต่นางทำก็เพื่อป้องกันตัวด้วยเพราะว่าคุณหนูสามเป็นคนลงมือกับนางก่อน” เมื่อหลินเจวี๋ยเอ่ยเช่นนี้นายท่านหยางก็หันไปมองหยางสุ่ยเซียนในทันทีนางจึงรีบเอ่ยวาจาแก้ตัวออกมา
“ก็นางพูดจาดูถูกข้า ดูถูกแม่เล็กของข้าแถมยังเอ่ยวาจาพาดพิงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังด้วย” คำพูดประโยคนี้ของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยาพลันยิ้มออกมาแล้วเอ่ยวาจาคัดค้านขึ้นมาในทันที
“ต้องขออภัยผู้อาวุโสทุกท่านที่ข้าต้องเอ่ยวาจาสอดแทรกนะเจ้าค่ะ แต่ในเมื่อคุณหนูสามสามารถพูดได้ ดังนั้นข้าก็ขอออกหน้าปกป้องตนเองได้เช่นกัน” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยออกมาพลางจ้องมองหยางสุ่ยเซียนด้วยสายตาเย็นชา
“รบกวนคุณหนูสามช่วยเอ่ยทวนคำพูดของข้าก่อนที่พวกเราจะลงมือตบตีออกมาอีกครั้งได้ไหม ตัวข้าเองก็จะได้เอ่ยทวนคำพูดของท่านออกมาด้วยเช่นกัน” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หยางสุ่ยเซียนนิ่งอึ้งไปด้วยคำพูดของหลินเหม่ยเหยาเกี่ยวข้องกับการตายของอดีตฮูหยินคนเก่า นางไม่อยากจะรื้อฟื้นขึ้นมาพูดตรงนี้แล้วทำให้มารดาแท้ๆ ของนางต้องกลายเป็นผู้ต้องสงสัยของผู้อื่นอีกครั้ง
“เช่นนั้นข้าจะพูดทวนประโยคในวันนั้นให้ทุกคนฟังก็ได้ นางพูดว่า...”
“พอแล้ว! เจ้าอย่าได้พูดอันใดออกมาอีกเลย” หยางสุ่ยเซียนเอ่ยวาจาห้ามปรามออกมาในทันที หากหลินเหม่ยเหยาพูดถึงเรื่องที่นางพูดถึงคุณชายซ่งอย่างไม่สมควรจะเอ่ยถึง แถมยังเอ่ยวาจาล่วงเกินสกุลหลินและหลินเหม่ยเหยาทำให้ทั้งสองทะเลาะเบาะแว้งจนถึงขั้นต้องลงมือลงไม้กันขึ้นมา คนที่จะถูกลงโทษน่าจะกลายเป็นตัวนางเอง หยางสุ่ยเซียนจึงได้หันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเฉินอี๋เหนียงผู้เป็นมารดาของนางในทันที
“โธ่เอ๋ย เซียนเอ๋อของแม่เจ้าถูกรังแกจนหวาดกลัวไปเสียแล้วใช่หรือไม่” เฉินอี๋เหนียงเอ่ยพลางเดินมาจับมือหยางสุ่ยเซียนเอาไว้พลางส่งสัญญาณให้หยางสุ่ยเซียนแสร้งทำตัวให้น่าสงสารให้มากที่สุดแล้วจึงได้หันไปเอ่ยกับนายท่านหยางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความน่าสงสาร
“นายท่าน ท่านดูร่องรอยบนใบหน้าของเซียนเอ๋อสิเจ้าคะ คุณหนูใหญ่สกุลหลินลงมือหนักขนาดนี้แล้วยังจะบอกว่าเพื่อป้องกันตัวอีกหรือ” คำพูดของเฉินอี๋เหนียงทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมาในทันที
“เฉินอี๋เหนียง ท่านคงจะไม่รู้ว่าหากข้าไม่ยั้งมือเอาไว้ ท่านเชื่อเถิดว่ายามนี้บุตรสาวของท่านคงจะไร้ซึ่งลมหายใจไปแล้ว” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยออกมาตามที่ใจของตนเองคิด ที่จริงแล้วนางอยากฆ่าหยางสุ่ยเซียนให้ตายในทันทีที่ได้พบหน้ากันเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะกังวลว่าจะก่อให้เกิดความไม่พอใจจากสกุลคนสกุลหยางนางจึงได้พยายามยั้งมือเอาไว้
ในชาติก่อนหยางเจี้ยนกลายเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด เป็นใหญ่เหนือใต้หล้าใต้ฟ้าอยู่ใต้อำนาจของคนผู้เดียว นอกจากองค์ฮ่องเต้เสวียนเทียนหลงแล้วเขาก็ไม่เคยหวั่นเกรงผู้ใดอีก ถึงอย่างไรหยางสุ่ยเซียนก็ถือว่าเป็นน้องสาวต่างมารดาของเขา นางย่อมไม่กล้าสร้างความบาดหมางกับเขาในเร็ววันนี้เพียงเพื่อการกำจัดอสรพิษอย่างหยางสุ่ยเซียนเพียงผู้เดียวหรอก
ยังมีหยางกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังผู้นั้นอีก นางแค่เคยได้ยินหยางสุ่ยเซียนเอ่ยถึงความเกลียดชังที่กุ้ยเฟยทรงมีต่อหยางสุ่ยเซียนในชาติก่อน แต่แท้จริงแล้วกุ้ยเฟยจะคิดอย่างไรหากน้องสาวต่างมารดาไปตายที่จวนสกุลหลินนางก็ยากจะคาดเดา ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องเก็บหยางสุ่ยเซียนเอาไว้ก่อน แน่นอนว่านางไม่มีทางปล่อยอสรพิษตนนี้ไป แม้ว่าจะยังกำจัดอสรพิษตนนี้ในช่วงนี้ไม่ได้แต่นางก็ไม่คิดจะปล่อยให้หยางสุ่ยเซียนได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอย่างแน่นอน
คุณหนูสกุลฉางกำลังจะแต่งงาน ข่าวนี้ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงต่างพากันแตกตื่นและก็พากันสงสัยว่าใครกันที่จะเป็นเจ้าบ่าวผู้โชคร้ายคนนั้น ที่น่าประหลาดใจก็คือใกล้จะถึงวันมงคลอยู่แล้วแต่จวนสกุลฉางกลับไม่ได้จัดเตรียมงานมงคล แต่จวนที่จัดเตรียมงานมงคลกลับเป็นจวนสกุลหยาง จึงมีหลายคนต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้าสาวอย่างฉางเจียกำลังจะแต่งออกจากจวนสกุลหยาง“เป็นเรื่องที่บ้าไปแล้ว ก่อนหน้านี้นางทำตัวหน้าไม่อายไปขอพักอาศัยที่จวนสกุลหยางก็เป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่กล้าทำอยู่แล้ว แต่ยามนี้นางยังกล้าจัดงานพิธีส่งตัวขึ้นเกี้ยวที่จวนสกุลหยางอีกช่างเป็นสตรีที่ไร้ความเกรงอกเกรงใจเสียจริง” เสียงติฉินนินทาทำให้สวีหย่วนขมวดคิ้ว ในใจของเขารู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้วที่ได้รู้ว่าฉางเจียกำลังจะแต่งงานกับผู้อื่น และยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้รู้ว่านางแต่งออกไปอย่างไม่ปกติ ในฐานะบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพฉาง แม้ว่าจะสิ้นไร้บิดาไปแล้วแต่นางก็ยังมีหน้ามีตามากเพียงพอที่จะแต่งออกจากจวนสกุลฉางโดยไม่อายผู้ใด แต่การที่นางแต่งออกจากสกุลหยางเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องที่ไม่ปกติเท่าใดนัก“ญาติผู้พี่ช่ว
‘ข้าเคยพูดว่าเขาเป็นคนหน้าตาธรรมดาหรือ ข้าเคยพูดตอนไหนกันนะ’ นี่คือความคิดของฉางเจียหลังจากที่นางมอบถุงผ้าปักของตนเองให้สวีหย่วนเพื่อเป็นของแทนใจแต่กลับถูกเขาส่งคืนมาให้แถมยังบอกกับนางว่า“คุณหนูเคยเอ่ยกับข้าว่าข้าเป็นคนที่มีหน้าตาธรรมดา ดังนั้นคนที่มีหน้าตาธรรมดาเช่นข้าจึงไม่คู่ควรที่คุณหนูฉางจะมาชื่นชอบหรอก” คำตอบของเขาพร้อมกับถุงผ้าปักที่ถูกส่งคืนทำให้ฉางเจียยื่นนิ่งอยู่กับที่ด้วยความสับสนวุ่นวายใจ“คุณหนูพวกเรารีบกลับจวนกันเถิด หากมัวชักช้าจะมืดค่ำเอาได้นะเจ้าคะ” คำพูดของสาวใช้ทำให้ฉางเจียตื่นจากภวังค์ความคิดในที่สุด นางหันไปมองสวีหย่วนอีกครั้งด้วยความปวดใจแล้วจึงได้เดินทางกลับจวนของตนเองด้วยความเหม่อลอยสวีหย่วนคือชายหนุ่มที่มีอนาคตไกล มีอายุแค่เพียงยี่สิบต้นๆ เขาก็ได้เป็นเจ้ากรมอาญาแล้ว ส่วนนางเป็นสตรีที่กำลังจะพ้นวัยออกเรือนแล้ว เดิมทีนางไม่คิดว่าตนเองจะถูกใจบุรุษคนใดนอกจากญาติผู้พี่ของตนเองอีกแล้ว จวบจนนางได้เห็นเขาตอนที่กำลังแสดงฝีมือจับกุมคนร้ายนางจึงได้รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่มีความห้าวหาญไม่แตกต่างไปจากญาติผู้พี่ของนางเลย สายตาเย็นชาที่เขาใช้จ้องมองนางทำให้นางรู้สึกได้ว่า
ซ่งเสวี่ยหรงและกัวไป๋จิ้งถูกตัดสินประหารชีวิตในวันเดียวกัน คนสกุลกัวทั้งสกุลพลอยติดร่างไปด้วย ส่วนคนอื่นๆ ในสกุลซ่งได้รับการอภัยโทษและถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนตลอดชีวิต หวังจื่อเถียนทนรับความลำบากไม่ไหวแขวนคอตนเองตายไปในที่สุด หลินเหม่ยเหยารับฟังเรื่องราวเหล่านี้ด้วยจิตใจอันว่างเปล่า บุญคุณความแค้นในชาติที่แล้วยามนี้นางสามารถปล่อยวางลงได้แล้ว ยามนี้สิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดความสนใจของนางได้ก็มีแค่เพียงลูกในท้องที่กำลังจะเกิดมาเพียงเท่านั้นปราบปรามกบฏและสยบเหตุการณ์ก่อจลาจลได้สำเร็จ หยางเจี้ยนก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไหวกั๋วกงสามารถเข้าเฝ้าได้โดยไม่ต้องคุกเข่าอีกทั้งยังสามารถพกอาวุธเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในได้อีกด้วย หลินเหม่ยเหยาจึงพลอยได้เป็นไหวกั๋วกงฮูหยินไปด้วย นางได้รับความริษยาจากบรรดาสตรีทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่เพียงมีวาสนาที่ดีแต่ยังได้รับความรักจากสามีอย่างล้นเหลือจนทำให้ผู้อื่นอดริษยาไม่ได้ไหวกั๋วกงไม่เพียงกว้านซื้อกิจการร้านค้าให้นางอย่างใจกว้าง แต่ยังประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่าชาตินี้จะไม่รับสตรีอื่นเข้าจวนอีก ดังนั้นหากผู้ใดกล้ายัดเยียดอิสตรีมาให้เขาก็จงเตรียมตัวรอรับการลงทัณฑ์จาก
ยามที่หยางเจี้ยนขี่ม้าไปถึงจวนก็เห็นว่าคนของกรมอาญามาอยู่ที่จวนอย่างผิดปกติ เขารีบเดินไปลากคอของกัวไป๋จิ้งให้ลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วในทันที โดยที่เขาไม่สนใจว่ากัวไป๋จิ้งตั้งหลักได้หรือไม่ ดังนั้นภาพที่ทุกคนเห็นก็คือแม่ทัพใหญ่หยางกำลังลากคุณชายกัวในสภาพเนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือดเข้าไปในจวนสกุลหยาง“เหยาเหยา” เมื่อเข้าไปในจวนได้เขาก็ตะโกนเรียกชื่อของภรรยาในทันที ทำให้หลินเหม่ยเหยาที่กำลังมอบยาถอนพิษให้กับข้ารับใช้ภายในจวนต้องรีบเดินออกมาหาเขา“ท่านกลับมาแล้ว” หลินเหม่ยเหยาส่งเสียงทักทายเขาออกมาด้วยความยินดี เมื่อเขาเห็นนางก็เหวี่ยงกัวไป๋จิ้งให้สวีหย่วนที่กำลังยืนทำหน้าเคร่งเครียดอยู่แล้วก็รีบวิ่งไปดึงร่างของนางมาโอบกอดเอาไว้“เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเขาทำให้หลินเหม่ยเหยารีบพยักหน้าแล้วเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงปลอบโยนเพื่อให้เขาสบายใจในทันที“ท่านวางใจได้ข้าไม่ได้เป็นอันใด บ่อน้ำที่ใช้ภายในจวนล้วนต้องผ่านการตรวจสอบจากคนของข้าที่นำมาจากร้านฝูโซ่วก่อน มีเพียงข้ารับใช้แค่เพียงไม่กี่คนเพียงเท่านั้นที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งดื่มน้ำในบ่อก่อนตรวจสอบ ก็เลยทำให้พวกเขาไ
ทางฝั่งของหยางเจี้ยนยามนี้เขากำลังไล่ล่ากวาดล้างคนของฉินอ๋องที่ซุกซ่อนอยู่ในต่างเมือง ความวุ่นวายในเมืองหลวงมีคนของกรมอาญาและจิ่นหรงคอยดูแลความสงบเรียบร้อย ส่วนเขานำกองกำลังอีกส่วนหนึ่งคอยติดตามจับกุมกัวไป๋จิ้งและจางซิงซิน“จางซิงซินหากเจ้ายินยอมมอบตัวแต่โดยดี ข้าก็ยินดีที่จะไว้ชีวิตบุตรชายที่พึ่งจะคลอดออกมาของเจ้า” หยางเจี้ยนที่ในยามนี้นำกองกำลังส่วนหนึ่งล้อมรอบบ้านหลังหนึ่งเอาไว้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้อง“หากเจ้าไม่ยินดีจะมอบตัววันนี้ข้าคงทำได้แค่เพียงต้องจบชีวิตของพวกเจ้าสองแม่ลูกในกองเพลิงเพียงเท่านั้น” คำพูดของเขาทำให้จางซิงซินค่อยๆ อุ้มห่อผ้าออกมาจากบ้านหลังนั้น สภาพเนื้อตัวของนางไม่หลงเหลือเค้าความงามอีกต่อไปแล้ว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและเก่าคร่ำคร่า ร่างกายที่พึ่งจะคลอดบุตรได้ไม่นานแต่กลับไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างที่ควรจะเป็นทรุดโทรมจนแทบจะเดินไม่ไหว นางไม่มีทางเลือกมากนักเพราะคนที่หลบอยู่ในบ้านหลังนั้นสั่งให้นางอุ้มลูกออกมามอบตัว ไม่เช่นนั้นพวกนางสองแม่ลูกก็จะถูกพวกเขาฆ่าทิ้งเช่นเดียวกัน นางจึงทำได้แค่เพียงอุ้มทารกน้อยออกมามอบตัวด้วยสภาพสิ้นไร้หนทาง“ท่านแม่ทัพได้โปรด
ฉางเจียไม่สนใจคำครหาของผู้คน นางเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหยางราวกับที่นี่เป็นจวนของตนเอง ที่สำคัญนางเฝ้าติดตามหลินเหม่ยเหยาราวกับเงา แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้รังเกียจนางอีกทั้งยังอยู่ร่วมกับฉางเจียราวกับว่านางคือพี่สาวน้องสาวคนหนึ่ง ซ่งเสวี่ยหรงทนได้รับการสอบสวนจากกรมอาญาไม่ไหวยอมรับสารภาพออกมาว่าเขาได้รับการติดต่อจากกัวไป๋จิ้งให้หาวิธีเข้าไปวางยาพิษเสวียนหมิงหลงฮ่องเต้ แต่เพราะช่วงนี้เขาถูกขับออกจากสำนักแพทย์หลวงทำให้เขาต้องยื่นข้อต่อรองขอให้กัวไป๋จิ้งหาวิธีให้เขาได้กลับเข้าไปทำงานในสำนักแพทย์หลวงอีกครั้งกัวไป๋จิ้งจึงสั่งให้เขาสังหารอนุจากสกุลหยางของตนเองก่อนเพื่อที่จะได้เอาอกเอาใจคนสกุลหวัง แล้วหลังจากนั้นกัวไป๋จิ้งจะไปช่วยพูดกับคนสกุลหวังเพื่อช่วยเขา ช่วงนี้กัวไป๋จูกำลังตั้งครรภ์อยู่แม้ว่านางจะมีฐานะแค่เพียงอนุ แต่ทารกที่อยู่ในครรภ์ของนางถือเป็นหลานคนแรกของท่านเสนาบดีหวัง กัวไป๋จิ้งจึงตั้งใจจะใช้การตั้งครรภ์ของน้องสาวเป็นสะพานให้ตนเองตีสนิทกับสกุลหวังและตั้งใจว่าจะเข้าไปช่วยพูดกับท่านเสนาบดีหาวิธีผลักดันซ่งเสวี่ยหรงด้วย ซ่งเสวี่ยหรงเกรงว่ากัวไป๋จิ้งจะเปลี่ยนใจ เขาจึงได้เก็บจดหมายที่ใช้ต