Share

เกิดใหม่

last update Terakhir Diperbarui: 2025-07-24 10:56:15

"แอ้ แอ้ แอ้" เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็พบกับแสงสว่างและผนังผุพังมีรูรั่วอยู่ และคนที่แต่งตัวจีนโบราณเต็มไปหมด และพอมองไปที่แขนของเธอทำไมเล็กอย่างนี้อย่าบอกนะว่าส่งเธอมาเกิดใหม่จริง ๆ

"ลูก ลูก แม่" เสียงผู้หญิงอายุประมาณ 20 หนาวหน้าตาซีดเซียว เสียงแหบแห้งเพราะว่าเสียแรงในการคลอดลูก

"ได้ลูกสาวจ้ะ ลี่หลิน" หมอตำแยเอ่ยบอกพร้อมกับอุ้มเด็กทารกให้กับนาง พอลี่หลินได้เห็นหน้าลูกสักพักก็สลบไปเพราะความอ่อนเพลีย

ตึก ตึก ตึก

เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ เป็นผู้ชายอายุประมาณ 25 หนาว หน้าตาดี สีผิวเข้ม ดูบึกบึนเนื่องจากทำงานหนัก เดินเข้ามาอุ้มเด็กหญิง

"โอ๋ เอ๋ ๆ ลูกพ่อน่ารักมากเลย ไม่ร้องไห้เลย" หลินฟางหรงอุ้มเด็กหญิงขึ้นมามองหน้าตา กลมโตที่ใสซื่อบริสุทธิ์หน้าตาน่ารัก จริง ๆ ลูกสาวของเขา

"ใช่ ขอรับท่านพ่อ น้องดูเป็นเด็กรู้เรื่องตั้งแต่เกิดเลยขอรับ"

เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กชายอายุ 4 หนาวนามว่า หลินหนิงหลง หลังจากเดินตามหลังท่านพ่อมาเมื่อรู้ว่าคลอดน้องสาวของตนแล้ว

"ท่านพ่อจะตั้งชื่อน้องสาวว่าอะไรดีขอรับ"

"อืม งั้นชื่อว่า ฮุ่ยเหมยละกันนะลูกพ่อ"

หรือที่แปลว่าความเมตตาที่งดงาม เหมาะกับหน้าตาน่ารักของลูกเขามาก

"แอ้ แอ้ แอ้"

ชื่อนี้ก็ดีเจ้าคะท่านพ่อ เสียงทารกน้อยร้องตอบผู้เป็นพ่อ

หลังจากที่เธอนั้นสำรวจความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้แล้ว ดูจากเสื้อผ้าที่ขาด และบางเบาเยี่ยงนี้แล้ว เมื่อเติบใหญ่เธอจะทำให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ให้ได้

3 ปีผ่านไป

ตอนนี้ฮุ่ยเหมยอายุได้ 3 หนาวแล้ว ท่านแม่และท่านพ่อไปหาของป่ามาขาย ปล่อยให้เธอและพี่ชายวัย 7 หนาวอยู่บ้านด้วยกันสองคนอยู่บ้านเฉยๆ มันน่าเบื่อมาก ทีแรกว่าจะขอท่านพ่อไปด้วยแต่ ท่านให้เหตุผลว่าเธอยังเด็กอยู่

"เหมยเอ๋อร์รอเจ้าโตขึ้นกว่านี้พ่อค่อยให้เจ้าไปด้วยนะลูก"

ท่านพ่อมองลูกสาวตัวน้อยที่งอแงอยากไปด้วย ห่วงว่าลูกจะเป็นอันตรายเลยให้อยู่ที่บ้าน แล้วรีบเดินเข้าป่ากับท่านแม่กลัวจะใจอ่อนกับลูกสาว

ฮุ่ยเหมยมองตามท่านพ่อและท่านแม่จนสุดสายตา แล้วได้แต่ถอนหายใจ อยู่คนเดียวทำให้คนเป็นพี่อดสงสารไม่ได้จึงเอ่ยขึ้น

"เหมยเอ๋อร์ เดี๋ยวพี่ใหญ่พาเจ้าไปดูผลไม้แปลกๆ ที่ท้ายหมู่บ้านเจ้าสนใจไปดูไหม"

"ผลไม้แปลกๆ หรือเจ้าค่ะ"

"ใช่"

"ไปเจ้าค่ะ ฮิฮิ" พอได้ออกจากบ้านเธอก็ดีใจมาก

ลา ลา ล้า ล้าาา

หลังจากนั้นสองพี่น้องก็พากันจูงมือไปยังท้ายหมู่บ้าน เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด พอมองไปรอบ ๆ ป่าก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดที่เรียกว่า ผลไม้แปลกประหลาด ที่พี่ชายกล่าวหาเลยสักนิด

"เอ๋ พี่หนิงหลงที่ว่าผลไม้แปลก ๆ นี่คือ?"

เท่าที่เธอเห็นมีแต่ผลไม้ที่น่ากินทั้งนั้นเลยนะ

"นั่นไง ผลสีเขียว ๆ ลูกยาว ๆ"

ว่าแล้วเขาก็ชี้ไปที่มะละกอที่หล่นเต็มพื้น

"นี่!! คนที่นี่เขาไม่กินกันหรือเจ้าค่ะ มันอร่อยมากเลยนะพี่ใหญ่"

ว่าแล้วก็คิดถึงส้มตำแซ่บ ๆ แล้วน้ำลายไหล ติ้ง!! คิดออกแล้วเธอจะทำส้มตำให้พี่ชายกิน ตั้งแต่เกิดใหม่มาเธอก็ได้กินแต่แผ่นแป้งแห้ง ๆ และข้าวต้มที่ใสจนไม่เห็นเม็ดข้าว

"พี่ใหญ่ลองกินดูแล้ว ขมมากเลย และอันนั้นก็เปรี้ยวมากนี่แหละผลไม้แปลก ๆ"

พลางชี้นิ้วเรียว ๆ ไปที่มะม่วงซึ่งยังไม่สุก

"มันกินได้เจ้าคะ เดี๋ยวพี่ใหญ่ใช้มีดปอกเปลือกดู"

แม้ว่าเขาจะสงสัยว่าปอกเปลือกทำไม แต่เห็นว่าน้องสาวอยากดูจึงทำตามคำขอ

เมื่อหนิงหลงปอกเปลือกเสร็จแล้ว ฮุ่ยเหมยกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อว่ากินได้ เธอจึงรีบยัดผลไม้ทั้งสองเข้าปากตัวเองและพี่ชายทันที

"อืม หวานอร่อยมากเหมยเอ๋อร์ ไม่คิดว่าพอปอกเปลือกออกแล้วจะหวานน่ากินเช่นนี้"

พอได้กินไปคำแรกก็ตาโตขึ้นทันทีและกินไม่หยุด และหันไปมองน้องสาวพลางคิดว่า น้องสาวช่างฉลาดคิดจริง ๆ

สองพี่น้องนั่งกินจนอิ่มและคิดว่าจะเอาไปไว้ให้ท่านพ่อท่านแม่กินที่บ้าน พี่ชายจึงอาสาไปเอากระบุงจากที่บ้านมาใส่ จึงให้ฮุ่ยเหมยรออยู่ที่นี่

"เหมยเอ๋อร์รออยู่นี่นะพี่จะรีบไปรีบมา"

จากนั้นหนิงหลงจึงรีบเดินกลับบ้านทันที

"เจ้าค่ะ"

หลังจาก1 เค่อ (เทียบเท่ากับ 15 นาที) หนิงหลงก็มาถึงพอดี ทั้งสองคนพี่น้องก็เก็บผลมะละกอกับมะม่วงที่สุกแล้วก็ดิบใส่ไว้และนำกลับบ้าน

พอออกจากป่าท้ายหมู่บ้านข้ามองไปรอบ ๆ ป่าข้างทางก็พบลำต้นสูงยาวคล้ายๆ ต้นหญ้า พุ่มหนึ่งพอมองดี ๆ ก็พบว่าเป็นต้นอ้อยและพบว่าที่บ้านเธอนั้นไม่มีน้ำตาล

"พี่หนิงหลง ไปตัดกานเจ้อ มาให้ข้าหน่อยเจ้าค่ะ ข้าจะนำไปทำน้ำตาลให้กิน" และชี้นิ้วไปที่ต้นอ้อยข้างทาง

“มันกินได้เหรอ”

แล้วชี้นิ้วไปที่ต้นกานเจ้อ (อ้อย) อย่างสงสัย แล้วพยักหน้าตกลงไปตัดมาให้น้องสาวก่อนสักสองสามต้น

เมื่อเสร็จภารกิจสองพี่น้องก็เดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางก็พบกับชาวบ้านที่มองมาอย่างสงสัยว่าสองพี่น้อง คู่นี้ไปนำผลไม้แปลกประหลาดมาทำอันใด ด้วยความสงสัยจึงมีคนที่ถามขึ้น

“พวกเจ้านำผลไม้แปลกประหลาดมาทำอันใด” ชายชราเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ข้านำไปกินขอรับ”

หนิงหลงเป็นคนตอบคำถาม สร้างเสียงฮือฮาให้กับชาวบ้าน

“มันจะกินได้เช่นไร”

“นั่นสิ ๆ”

เสียงชาวบ้านเอ่ยขึ้นอย่างงุนงง และก็มีเสียงใสเสียงหนึ่งเอ่ยตอบตกลงที่จะกินและเป็นหน่วยกล้าตายนั่นก็คือ ลี่จู เด็กสาวข้างบ้านวัย 5 หนาวเอ่ยขึ้นด้วยความเชื่อใจต่อหนิงหลงจึงอาสาเอ่ยชิมเป็นคนแรก

“พี่หนิงหลงข้าเชื่อท่านว่ากินได้เจ้าค่ะ ข้าขอพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นเอง”

จากนั้นหนิงหลงก็นำมีดพกปอกเปลือกผลไม้ที่สุกแล้วของผลมะละกอให้สาวน้อยได้ชิม

“ว้าว หวานอร่อยมาก”

หลังจากนั้นที่ได้ชิมทุกคนก็เอ่ยเป็นเสียงเดียวว่า อร่อย และจากนั้น ประมาณ สองเค่อผลไม้ที่สุกแล้วที่ว่าแปลกประหลาดก็หมดภายในวันเดียว

ยามซื่อ คือ (09.00 – 10.59 น.) ทั้งสองพี่น้องก็มาถึงบ้านหลังเล็กที่มี 2 ห้องนอนและ1 ห้องโถง และก็ช่วยกันล้างและปอกเปลือกผลไม้ทั้งสองชนิดที่นำมาจากป่าท้ายหมู่บ้าน เมื่อเสร็จแล้วก็นำใส่ชามไว้กินตอนเที่ยงให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่

“พี่ใหญ่ท่านช่วยก่อไฟทีเจ้าค่ะ ข้าจะนำน้ำกานเจ้อ มาต้มเป็นน้ำตาล”

“ได้รอพี่สักครู่”

จากนั้นหนิงหลงก็เดินไปก่อไฟ เมื่อก่อไฟเสร็จแล้วจะกลับไปถามน้องสาวของตน พอดีก็เห็นน้องสาวเดินเข้ามาในครัวจึงถามขึ้น

“มันทำอย่างไรหรือ?”

หนิงหลงหันไปถามน้องสาวอย่างประหลาดใจว่ามันจะทำได้จริงหรือ

“นำอ้อยมาตัดเป็นท่อนพอประมาณ ขูดทำความสะอาด ล้างน้ำ บีบคั้นเอาน้ำอ้อยออกมา ส่วนชานอ้อยที่เหลือนำไปตากแห้งประมาณ 1 แดด จากนั้นนำมาทำเป็นเชื้อเพลิงเคี่ยวน้ำอ้อย”

จากนั้นเด็กน้อยก็ค่อย ๆ บอกขั้นตอนวิธีการทำให้กับพี่ชายจนเสร็จ’ ’’ ’ ’

เมื่อทำน้ำตาลเสร็จแล้ว นี่ก็ใกล้ยามอู๋ (ตอนเที่ยง) แล้วเธอคิดว่าจะตำส้มตำให้ครอบครัวของเธอกิน

"พี่หนิงหลงข้ามีอาหารรสแซ่บมาแนะนำเจ้าคะข้าจะทำให้ท่านได้ชิม"

"รสแสบอะไรเหมยเอ๋อร์!!"

หนิงหลงคิดว่าน้องสาวจะมีอะไรแปลก ๆ มาให้กินอีกหนอ

"รสแซ่บเจ้าค่ะ ข้าจะทำมู่กวาซาลาให้ท่านกิน"

"ท่านปอกเปลือกมู่กวาดิบให้ข้าและสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้ข้าก่อนนะ เดี๋ยวข้ามา"

จากนั้นสาวน้อยก็วิ่งไปหลังบ้านเก็บ พริก มะนาว ที่หลังบ้านมากับ มะเขือเทศ

เมื่อกลับมาถึงบ้านท่านพ่อท่านแม่ก็กลับมาแล้ว และนั่งคุยอยู่กับหนิงหลงว่านำผลไม้นี่มาจากที่ใด เมื่อได้รู้ความจริงทั้งสองท่านก็ประหลาดใจที่เธอและพี่ชายนำมา

เพราะห่วงว่าผลไม้มันจะมีพิษ และก็พบว่าลี่จู เด็กสาวข้างบ้านวัย 5 หนาว ที่เป็นคนอาสาชิมผลไม้ก็มาที่บ้านเธอพร้อมกับข้าวของที่ชาวบ้านนำมาตอบแทนเรื่องผลไม้แปลกนั่นแหละ และแนะนำท่านพ่อท่านแม่ของเธอชิมผลไม้แปลกประหลาดเหล่านั้นกันใหญ่ และพอทุกคนได้ชิมก็ร้อง ว้าวว่าอร่อยกันทุกคน

"ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านกลับมาแล้ว"

เมื่อมาถึงฮุ่ยเหมยก็วิ่งไปกอดท่านแม่ และบอกว่าจะตำส้มตำให้ทุกคนได้กิน ท่านแม่จะเป็นคนทำและฮุ่ยเหมยเป็นคนบอกวิธีการทำ ไม่ถึง 1 เค่อ ก็เสร็จและเรียกลี่จูมากินข้าวเที่ยงด้วยกัน

"เสร็จแล้วจ้ามู่กวาซาลา"

เมื่อส้มตำมาเสิร์ฟทุกคนทำหน้าเหมือนไม่อยากกิน ฮุ่ยเหมยเลยกินเป็นคนแรกจากนั้นก็ท่านพ่อเป็นคนที่สอง ทุกคนจึงจับตะเกียบค่อยๆ คีบกิน พอได้กินเข้าไปคำหนึ่งก็ตาโต และกินกันอย่างรวดเร็วจนหมดเกลี้ยง ทำให้มื้อนี้ทุกคนอิ่มกันมาก และเธอก็เห็นคนนำหอยเชอร์รี่มาทิ้งไว้บอกว่ามันไปกัดข้าวชาวบ้านเสียหาย นั่นมันอาหารรสแซ่บเลยนะ

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ขอเกิดใหม่มาร่ำรวย   ความวุ่นวาย

    หลังจากครอบครัวหลินทำการค้าขายไปแล้ว 7 วัน วันนี้ครอบครัวขอปิดร้าน 2 วัน พบปัญหาว่าจำนวนลูกค้ามากขึ้นทุกวันจึงตัดสินใจไปหาโรงเตี๊ยมที่เปิดให้เช่า ความจริงซื้อเป็นของตัวเองจะดีกว่า เนื่องจากตอนนี้เงินที่หามายังไม่เพียงพอที่จะซื้อโรงเตี๊ยมได้ยามเฉิน (07.00 – 08.59 น.) ฮุ่ยเหมยและครอบครัวเข้าเมืองไปหาเช่าโรงเตี๊ยม โดยนั่งเกวียนลุงหานเข้าเมืองเช่นเดิม เมื่อมาถึงตลาดในเมืองผู้คนต่างก็พากันมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันเนืองแน่นเช่นเคย"ท่านแม่ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากกินบะหมี่ร้านนั้นเจ้าค่ะ"เสียงฮุ่ยเหมยเอ่ยขึ้นและชี้ไปที่ร้านของบะหมี่ที่อยู่ข้างทาง คนในร้านแน่นมาก น่าจะอร่อยเพราะคนเข้าร้านเยอะ เมื่อได้ยินเสียงเด็กน้อยเอ่ยขึ้นจึงตัดสินใจเดินตรงไปร้านบะหมี่ทันที"เถ้าแก่ข้าเอาบะหมี่ 4 ชามขอรับ" ท่านพ่อเอ่ยสั่งกับเถ้าแก่ร้านขายบะหมี่"เชิญนั่ง ๆ รอสักครู่นะขอรับ"เสียงเด็กชายวัย 8 หนาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกค้าทั้งสี่เดินเข้าร้านของตน น่าจะเป็นลูกชายของเถ้าแก่เจ้าของร้านเพราะหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกันเป็นอย่างมาก ซึ่งเขากำลังนำบะหมี่ในร้านเสิร์ฟลูกค้าที่แน่นจนเต็มร้านอยู่ในขณะนี้อย่างขยันขันแข็งครอบคร

  • ขอเกิดใหม่มาร่ำรวย   ไม่พอขาย

    3 วันผ่านไป กับการเตรียมพร้อมขายของครั้งแรกของครอบครัวหลิน ทุกคนต่างตื่นเต้นกันอย่างมาก ท่านพ่อได้เข้าเมืองติดต่อเช่าร้านค้าเล็ก ๆ ราคา 10 อีแปะต่อวัน ตกลงขาย ยามอู๋ถึงยามโหย่ว (12.00-17.00 น.) การเตรียมตัวมีอะไรบ้าง คือมะละกอดิบ 3 ตะกร้าใหญ่ และเครื่องปรุงรส อาทิเช่น พริก กระเทียม มะนาว เกลือ น้ำตาล กุ้งแห้ง หอยเชอรี่ ผักบุ้งป่าไว้กินกับส้มตำ และข้าวคั่ว ครอบครัวหลินหุงข้าวเหนียวให้ลูกค้าทดลองชิมกับส้มตำไปด้วยขายราคา 5 อีแปะ กุ้งฝอยสด ๆ ไปด้วย 3 ตะกร้าใหญ่ ปลา 50 ตัวนำไปทดลองขายก่อน ถ้าขายดีวันหน้าก็จะไปจับมาเพิ่ม แบ่งหน้าในการทำแต่ละอย่างมีดังนี้ ท่านแม่ตำส้มตำ ท่านพ่อย่างปลาเผา และพี่ชายทำยำกุ้งเต้น ส่วนเธอเป็นหน่วยสนับสนุน นั่นคือเรียกลูกค้าและเก็บเงินนั่นเอง ครอบครัวหลินไปติดต่อขอให้ ท่านลุงหานไปส่งในตัวเมืองโดยเฉพาะ คิดราคาแค่ 5 อีแปะ ใกล้ถึงยามซื่อ (09.00-10.00 น.) ก็ออกเดินทาง ไปถึงก็ยามอู๋พอดี ยามซื่อ ลุงหานขับรถวัวเทียมเกวียนมารับที่บ้านครอบครัวหลิน ทุกคนช่วยกันยกของขึ้นเกวียน เมื่อขนจนหมดแล้วก็ออกเดินทางได้ เสียง กุบกับ กุบกับ ของรถวัวเทียมเกวียนตลอดระยะเวลา 1 ชั่วยา

  • ขอเกิดใหม่มาร่ำรวย   ริเริ่มการค้า

    เสียงไก่ขันเซ็งแซ่ บ่งบอกว่าเป็นเวลาของห้วงวันใหม่ ฮุ่ยเหมยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ พร้อมยกแขนทั้งสองบิดขี้เกียจแล้วค่อย ๆ เดินไปล้างหน้าล้างตา และหยิบชุดในราวมาใส่ วันนี้เด็กน้อยเลือกใส่ชุดสีชมพู และเดินออกไปให้ท่านแม่ทำผมให้เช่นทุกวัน "ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ" เสียงเรียกจากเด็กน้อย ทำให้ทั้งสามคนหันมามอง และยิ้มกว้างให้กับความน่ารัก ยามเหม่า (คือ 05.00 – 06.59 น.) เป็นเวลาที่ท่านพ่อเตรียมตัวขึ้นวัวเทียมเกวียนเข้าเมืองไปขายของป่า โดยสารรถของบ้านลี่จูที่ออกเดินทาง เมื่อเห็นท่านพ่อจะไปเด็กน้อยรีบวิ่งไปออดอ้อน ขอเข้าเมืองไปด้วย ท่านพ่อตอบตกลงและให้ท่านแม่อยู่ที่บ้านคนเดียว "เหมยเอ๋อร์ ต้องอยู่ใกล้ ๆ พ่อตลอดนะลูก" "เจ้าค่ะ ท่านพ่อ" ''ข้าจะดูแลน้องเองขอรับ" และทั้งสามคนก็ออกเดินทางไปขึ้นเกวียน คนแน่นเต็มคันรถ และลี่จูก็โบกมือให้เมื่อพบว่าเด็กน้อยทั้งสองคนจะไปด้วย และคิดว่าตนเองจะมีเพื่อนเที่ยวเล่นแล้ว "อ้าววันนี้ เหมยเอ๋อร์ไปด้วยรึ" ท่านลุงหานเอ่ยทัก พ่อของลี่จูนั่นเอง "คารวะท่านลุงหาน เจ้าค่ะ/ขอรับ" หนิงหลงและฮุ่ยเหมยเอ่ยพร้อมกัน "มา ๆ ขึ้นรถ ข้างในคนเต็มแล้วนั่งข้างหน้ากับลี่จูก็ได้"

  • ขอเกิดใหม่มาร่ำรวย   ปิ้งหอย

    หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว ด้วยความสงสัยเด็กน้อยเลยถามแม่ขึ้นในทันที "ท่านแม่เจ้าคะ หอยนั่นมันกินได้นะเจ้าคะ" เธอชี้นิ้วป้อม ๆ ไปที่คนกำลังทิ้งหอยเชอร์รี่อยู่ป่าข้างบ้าน "นั่นมันหอยพิษลูก มันกัดข้าวชาวบ้าน" ลี่หลินเอ่ยบอกกับลูกสาว เมื่อเห็นว่าหอยพวกนั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทำร้ายนาข้าวเสียหายอย่างมาก ที่ตอนนี้แม้แต่ทางการก็ยังหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ "ท่านแม่ไม่เชื่อลูกหรือเจ้าคะ" ฮุ่ยเหมยกะพริบตาปริบๆ ที่มีน้ำตาคลอมองท่านแม่ เมื่อมองไปที่ดวงตากลมโตของเด็กน้อยแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ "มันกินได้จริงหรือ?" เสียงท่านพ่อเอ่ยถามด้วยความสงสัย และทำสีหน้าหวาดกลัว เจ้าหอยพวกนี้ไม่นิยมนำมารับประทาน ไม่มีใครนำมากินเลยต่างหาก กลัวว่ามันจะกัดกินร่างกายของคนเราเหมือนต้นข้าว!! "จริงเจ้าค่ะ ข้าจะทำให้กิน" ฮุ่ยเหมยบอกด้วยความแน่วแน่ ท่าทางเอาจริงเอาจัง และยืนขึ้นกำหมัดน้อย ๆ "ข้าจะช่วยน้องทำเองขอรับ" หนิงหลงคิดในใจเชื่อว่า ‘น้องสาวต้องมีอาหารอร่อยๆ ให้ตนกินอีกแน่ ฮิ ฮิ ฮิ’ "ท่านแม่เชื่อลูกเถอะนะเจ้าคะ" เธอเขย่าแขนท่านแม่อย่างอ้อนวอน "นะนะๆ ท่านแม่" ลี่หลินทนลูกอ้อนของลูกสาวไม่ไ

  • ขอเกิดใหม่มาร่ำรวย   เกิดใหม่

    "แอ้ แอ้ แอ้" เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็พบกับแสงสว่างและผนังผุพังมีรูรั่วอยู่ และคนที่แต่งตัวจีนโบราณเต็มไปหมด และพอมองไปที่แขนของเธอทำไมเล็กอย่างนี้อย่าบอกนะว่าส่งเธอมาเกิดใหม่จริง ๆ "ลูก ลูก แม่" เสียงผู้หญิงอายุประมาณ 20 หนาวหน้าตาซีดเซียว เสียงแหบแห้งเพราะว่าเสียแรงในการคลอดลูก "ได้ลูกสาวจ้ะ ลี่หลิน" หมอตำแยเอ่ยบอกพร้อมกับอุ้มเด็กทารกให้กับนาง พอลี่หลินได้เห็นหน้าลูกสักพักก็สลบไปเพราะความอ่อนเพลีย ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ เป็นผู้ชายอายุประมาณ 25 หนาว หน้าตาดี สีผิวเข้ม ดูบึกบึนเนื่องจากทำงานหนัก เดินเข้ามาอุ้มเด็กหญิง "โอ๋ เอ๋ ๆ ลูกพ่อน่ารักมากเลย ไม่ร้องไห้เลย" หลินฟางหรงอุ้มเด็กหญิงขึ้นมามองหน้าตา กลมโตที่ใสซื่อบริสุทธิ์หน้าตาน่ารัก จริง ๆ ลูกสาวของเขา "ใช่ ขอรับท่านพ่อ น้องดูเป็นเด็กรู้เรื่องตั้งแต่เกิดเลยขอรับ" เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กชายอายุ 4 หนาวนามว่า หลินหนิงหลง หลังจากเดินตามหลังท่านพ่อมาเมื่อรู้ว่าคลอดน้องสาวของตนแล้ว "ท่านพ่อจะตั้งชื่อน้องสาวว่าอะไรดีขอรับ" "อืม งั้นชื่อว่า ฮุ่ยเหมยละกันนะลูกพ่อ" หรือที่แปลว่าความเมตตาที่งดงาม เหมาะกับหน้าตาน่าร

  • ขอเกิดใหม่มาร่ำรวย   บทนำ

    โรส หญิงสาววัย 24 ปีเป็นลูกครึ่งไทย-จีน พ่อของเธอนั้นเป็นคนจีน แม่เป็นคนไทยอาศัยอยู่จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากเป็นลูกครึ่งไทยจีนเธอจำต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างไทยกับจีนตลอด เมื่อปี 25x3 เกิดโรคระบาดที่ชื่อว่า โควิด 19 ระบาดอยู่ที่อู่หั่น ซึ่งตอนนั้นโรสได้ไปเที่ยวอยู่ที่นั่นพอดี แต่ไม่ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ประจวบเหมาะกับเธอดันหนีกลับไทยมาก่อนจะระบาดหนัก แต่แล้วเมื่อกลับไทยได้ไม่นานก็มีอาการไข้ขึ้นสูง พร้อมกับอาการไออย่างหนักกอปรกับเธอเคยเดินทางไปอู่หั่น ทำให้เธอลองไปตรวจที่โรงพยาบาลในตัวเมือง ผลปรากฏว่าเธอติดโควิด 19 เธอได้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในตัวเมืองจังหวัดอุบลราชธานีจนกว่าจะหายดี ด้วยเนื่องจากโรคระบาดยังไม่มีวัคซีน ทำให้โรสนอนอยู่โรงพยาบาลประมาณเดือนกว่าจึงเสียชีวิตลงด้วยโควิด19 ในวัย 24 ปี ท่ามกลางความเศร้าโศกของครอบครัวของเธอ ตายญาติไม่สามารถมาทำศพได้ เธอต้องตายอย่างโดดเดี่ยวไม่เห็นหน้าครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย นับว่าน่าเวทนาชีวิตไม่น้อยเลยทีเดียว ก่อนตายโรสผู้ชื่นชอบการอ่านนิยายย้อนยุคเป็นชีวิตจิตใจ ในห้วงภวังค์ก่อนจะสิ้นใจนึกย้อนไปว่าถ้าเธอได้ย้อนเวลาไป

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status