เมื่อเปิดร้านเสร็จทุกคนก็เริ่มไปประจำที่ ที่ได้รับมอบหมาย นอกจากท่านนายอำเภอแล้วก็มีลูกค้าเพียง 2-3 โต๊ะเท่านั้นตอนนี้ทุกคนล้วนว่างงานโดยเฉพาะไม่ใช่พนักงานที่บริการห้องพิเศษ
ฮุ่ยเหมยอยู่กับท่านแม่ที่โต๊ะรับออร์เดอร์ชั้นสองที่บริการลูกค้าห้องพิเศษ ที่ตอนนี้มีเพียงหนึ่งห้อง เมื่อเสิร์ฟอาหารเสร็จก็เหมือนจะไม่มีงานทำ "ท่านแม่ข้าขอไปข้างล่างนะเจ้าค่ะ" เด็กน้อยนั่งเล่นกับท่านแม่ก็รู้สึกเบื่อ ๆ จึงคิดว่าจะไปเรียกลูกค้าให้ท่านแม่เยอะ ๆ ดีกว่า "ได้ ไปเล่นกับพี่ชายเจ้ากับลี่จูอย่าซนกันนักละ" "เจ้าค่ะ" ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าของเด็กน้อยเดินลงมาข้างล่างมันเงียบมากจนได้ยินเสียง ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นที่ได้ขายไป 7 วันจะขายดีมากแต่เหมือนว่าจะบอกลูกค้าว่ามาขายที่นี่แต่บางทีผู้คนอาจจะไม่รู้จักมากนัก ดังนั้นจึงคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างไม่งั้นไม่มีเงินจ่ายค่าแรง ค่าเช่าโรงเตี๊ยมแน่ ๆ “อ้าว เหมยเอ๋อร์ เจ้าไม่อยู่กับท่านแม่หรือไง?” เสียงหนิงหลงเอ่ยขึ้นถามขณะที่กำลังนั่งหยิบหอยเชอร์รี่เสียบไม้ “ข้าจะมาเรียกลูกค้าเข้าร้านนะสิ” ฮุ่ยเหมยเอ่ยตอบและเห็นว่าพี่ชายกับลี่จูช่วยกันเสียบหอยกันอยู่ จึงคิดว่าพวกเขาจะทำปิ้งหอยกินกันแน่ ๆ “นี่พวกท่านจะปิ้งหอยกินหรือเจ้าคะ?” “ใช่แล้วฮุ่ยเหมย แต่พวกข้าว่าจะทำขายกันน่ะ” ลี่จูเอ่ยขึ้นตอบขณะที่เสียบหอยไปด้วย “นี่เหมยเอ๋อร์ เจ้ามาชิมน้ำจิ้มให้พี่ดูหน่อยสิรสชาติเหมือนที่ท่านแม่ทำหรือไม่” หนิงหลงให้น้องสาวชิมน้ำจิ้มที่ตนเป็นคนทำ แม้ว่าจะทำกินเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ด้วยกลัวลูกค้าไม่อร่อยจึงให้ฮุ่ยเหมยชิมอีกคน “อืม รสชาติใช้ได้ท่านนำขายได้เลยแต่จะขายไม้ละเท่าไร่ดีล่ะ” “ข้าว่าจะขายไม้ละ 15 อีแปะ” หนิงหลงเอ่ยตอบไม้ละเท่านี้ถือว่าไม่แพง ด้วยที่ยังไม่มีใครทำขายและบางคนก็ไม่ค่อยกินหอยนี้เท่าไหร่ จึงคิดว่าขายราคาถูกๆ ไว้ก่อนดีกว่า “อืมได้ ข้าจะช่วยท่านขายเอง” ตอนนี้ก็ยามอู๋เป็นเวลาที่ทุกคนกินข้าวเที่ยงกันร้านฮุ่ยเหมยยังคงมีลูกค้าเข้าร้านอยู่ 5 โต๊ะมากกว่าเดิมนิดหน่อยนางจึงเดินออกไปหน้าร้านเรียกลูกค้าด้วยตัวเองกับพี่เยว่ฉีที่ยืนเรียกลูกค้าด้านหน้า “นายท่านเชิญทานข้าวที่ร้านก่อนเจ้าค่ะ” “ไม่ล่ะแม่นางข้าจะไปกินที่โรงเตี๊ยมจางเหว่ย” คุณชายท่านนี้เลือกที่จะปฏิเสธเพราะเลือกที่จะไปทานอาหารที่โรงเตี๊ยมขึ้นชื่อของเมืองนี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมของที่นี่นัก ด้วยเพราะพึ่งเปิดใหม่และยังไม่เป็นที่รู้จักสำหรับคนชั้นสูงนัก เยว่ฉีอยากจะเรียกลูกค้าเข้าห้องพิเศษให้ได้เยอะ ๆ เพราะราคาของอาหารที่ห้องพิเศษราคาจะแพงกว่าถึงจานละ 30-50 อีแปะเลยทีเดียว อาหารจะตกแต่งอย่างดีและพิถีพิถันเป็นพิเศษ หวังว่าจะหาเงินให้เจ้านายของตนมากที่สุดเหมือนว่าจะไม่ง่ายเท่าไหร่นัก “พี่เยว่ฉีข้าจะมาช่วยเรียกลูกค้าเองเจ้าค่ะ” “คุณหนูให้เป็นหน้าที่บ่าวเองเจ้าค่ะ” ด้วยความที่คุณหนูของตนยังเด็กนักจึงไม่อยากให้คุณหนูลำบาก แม้ว่าคุณหนูจะเก่งกว่าเด็กทั่วไปมาก “ไม่เป็นไรข้าอยู่ว่าง ๆ ก็เบื่อ ๆ อยากเห็นเม็ดเงินไหลมาเทมาบ้าง” ฮุ่ยเหมยจึงให้เยว่ฉีนำส้มตำใส่จานเล็กมาให้ลูกค้าชิมกับยำกุ้งเต้น ปลาเผาที่พนักงานเริ่มเผาให้กับลูกค้ามา 1 ตัวให้ลูกค้าชิมก่อนเป็นอันดับแรก ที่นี่ผู้คนเริ่มเดินกันพลุกพล่านด้วยเพราะใกล้กับโรงหมอและโรงเตี๊ยมที่ขึ้นชื่อหลายร้านที่มีผู้คนเข้าไปใช้บริการ “นายท่านเชิญชิมอาหารที่ร้านก่อนเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดเงิน ถ้าอร่อยเชิญข้างในมีห้องพิเศษให้ท่านด้วยนะเจ้าคะ” ฮุ่ยเหมยเอยขึ้นบอกกับคุณชายท่านหนึ่งดูท่าทางมีเงินใส่ผ้าไหมชั้นดีแม้ว่าจะมีหน้าตาที่เข้มขรึมอยู่บ้าง ด้วยความอยากได้เงินก็ใจกล้าทำได้ “นายท่านเชิญชิมดูเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดเงินจริง ๆ” “เอ่อ แม่หนูนายท่านของข้ากินยากยิ่งของกินแปลก ๆ อย่างนี้ยิ่งกินไม่ลง” ผู้ติดตามเอ่ยขึ้นบอก ด้วยความที่ยังเด็กนายท่านของตนจึงไม่ถือสา ถ้าไม่ใช่เด็กน้อยนายท่านคงเตะกระเด็นเป็นแน่ “งั้นท่านลองชิมดูก็ได้เจ้าค่ะ” เด็กน้อยไม่ละความพยายาม “อืม ๆ งั้นข้าชิมดูก็ได้” เขาเห็นแก่ความพยายามของเด็กน้อยจึงตัดสินใจที่จะลองกินดูก็ไม่เสียหายอะไร จากนั้นเขาจึงตักเข้าปากอย่างช้า ๆ อย่างแรกที่กินเข้าไปคือปลาเผา “รสชาติไม่คาว เนื้อปลาหวานอร่อย จิ้มน้ำจิ้มนี่ยิ่งอร่อยเข้าไปอีก” “อืม ทั้งสองจานนี้รสชาติจัดจ้านอร่อย ๆ” อย่างที่สองและสามเขาชิมส้มตำและยำกุ้งเต้นก็พบว่าอร่อยมากเหมือนกันจึงรีบบอกให้นายท่านลองชิม เผื่อว่าเขาจะได้เข้าไปกินในร้าน “นายท่านขอรับ ข้าชิมดูพบว่าอร่อยมากเลยขอรับ” เมื่อเห็นว่าลูกน้องของตนทำหน้าตาอร่อยแบบนั้น จึงลองชิมดูบ้างก็พบว่าอร่อยมากจริง ๆ จึงตกลงที่จะทานข้าวเที่ยงที่นี่ “นายท่านเป็นอย่างไรบ้างทานได้หรือไม่” “รสชาติพอใช้ได้ ข้าตกลงจะทานอาหารที่นี่ก็ได้” เมื่อได้ชิมคำแรกก็พบว่าอร่อยมากจริง ๆ จึงตกลงที่จะทานข้าวเที่ยงที่นี่ ‘แหมเห็น ๆ ว่าทานจนจะหมดจานแล้ว กลับว่ารสชาติพอใช้ได้นะนายท่าน’ และจากนั้นทั้งสองท่านจึงเดินเข้าไปที่ร้านจึงพบว่าเป็นร้านที่แสนธรรมดาจริง ๆ เขาเห็นว่ารสชาติอร่อยหรอกนะจึงมาทานที่นี่ “เชิญนายท่าน นี่เมนูอาหารของร้านข้าขอรับ ที่นี่มีห้องพิเศษที่ชั้นสองนายท่านสนใจไหมขอรับ” ลุงหานเอ่ยขึ้นแนะนำลูกค้าที่ดูมีฐานะที่เดินเข้ามาในร้าน “อืมตกลง” “งั้นเชิญนายท่านที่ชั้นสองเลยขอรับ” เมื่อมาถึงชั้นสองลี่หลินก็มาต้อนรับพร้อมกับแนะนำเมนูของร้านให้กับเขา “นายท่านเชิญด้านในเลยเจ้าค่ะ” เมื่อเข้ามาด้านในห้องอาหารก็พบว่าตกแต่งอย่างสวยงามเลยทีเดียว ลี่หลินก็ยื่นเมนูอาหารให้กับคุณชายทันที “นี่เจ้าค่ะ รายการอาหารของเรา ข้าแนะนำส้มตำปูปลาร้าที่เป็นที่ชื่นชอบของทางร้านแล้วก็กินกับข้าวเหนียวไก่ย่างอร่อยมากเจ้าค่ะ” “อืม ข้าเอาอันนี้แหละ เอาปลาเผาด้วย” เมื่อคุณชายเปิดดูเมนูอาหารไปเรื่อย ๆ ก็ชี้และถามว่ารสชาติเป็นเช่นไร ลี่หลินก็อธิบายถึงความอร่อยของแต่ละเมนูให้เขาฟัง จากนั้นจึงตัดสินใจสั่งทั้งหมดที่มีขายในร้าน และบ่าวของเขาก็ขอตัวออกไปทานด้านนอก ข้างหน้าร้านก็เห็นเด็กน้อยเชื้อเชิญให้ลูกค้าชิมนั่นชิมนี่อยู่ ทำให้เริ่มมีผู้คนเข้ามาในร้านเรื่อย ๆ และเริ่มมีลูกค้าที่จำได้ว่าเคยเปิดร้านขายส้มตำจึงตัดสินใจเดินเข้าไปกินข้าวในร้านทันที “ท่านน้าชิมปิ้งหอยดูเจ้าค่ะ ขายแค่ไม้ละ 15 อีแปะเจ้าค่ะ” ฮุ่ยเหมยเอ่ยขึ้นให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปชิมหอยปิ้งที่พี่ชายยังขายไม่ได้ เมื่อลูกค้าเห็นว่าชิมฟรีจึงหยิบขึ้นมากินไปคำหนึ่ง ก็พบว่าอร่อยมากจึงขอซื้อไป 10 ไม้ หนิงหลงที่เห็นว่ามีลูกค้าเข้าร้านจึงรีบย่างหอยอย่างรวดเร็ว “ท่านน้ารอสักครู่นะขอรับ” เมื่อปิ้งหอยเริ่มมีคนรู้จักและเข้ามาชิมก็ทำให้หนิงหลงต้องรีบย่างกับลี่จูที่มาเป็นผู้ช่วย ฮุ่ยเหมยเมื่อได้มอบหมายงานเรียกลูกค้าให้เยว่ฉีจึงเดินออกมาไปหาพี่ชายที่กำลังย่างหอยให้กับลูกค้า เด็กทั้งสามต่างพากันขายปิ้งหอยให้กับลูกค้ากันอย่างรวดเร็ว ทางร้านตอนนี้ที่ผ่านไป 1 ชั่วยามแล้วก็มีลูกค้าเข้ามาเรื่อย ๆ จนตอนนี้เริ่มเต็มร้าน พนักงานในร้านล้วนทำงานด้วยความรวดเร็ว ทั้งเดินเสิร์ฟกันแทบไม่ทัน จนตอนนี้โต๊ะข้างล่างกับชั้นสองล้วนถูกลูกค้าจับจองกันหมด พนักงานในร้านเมื่อถึงเวลาพักกินข้าวต้องรีบกินและรีบมาช่วยงาน ท่านแม่และท่านพ่อก็พากันจดรายการอาหารจากลูกค้าจนมือสั่น จากที่เริ่มแรกไม่มีลูกค้าก็เริ่มมีเข้ามาในร้านเรื่อย ๆ ไม่หยุดแม้ว่าจะเหนื่อยแต่ก็ดีใจที่ลูกค้าเข้าร้านมากมายขนาดนี้เมื่อเปิดร้านเสร็จทุกคนก็เริ่มไปประจำที่ ที่ได้รับมอบหมาย นอกจากท่านนายอำเภอแล้วก็มีลูกค้าเพียง 2-3 โต๊ะเท่านั้นตอนนี้ทุกคนล้วนว่างงานโดยเฉพาะไม่ใช่พนักงานที่บริการห้องพิเศษฮุ่ยเหมยอยู่กับท่านแม่ที่โต๊ะรับออร์เดอร์ชั้นสองที่บริการลูกค้าห้องพิเศษ ที่ตอนนี้มีเพียงหนึ่งห้อง เมื่อเสิร์ฟอาหารเสร็จก็เหมือนจะไม่มีงานทำ"ท่านแม่ข้าขอไปข้างล่างนะเจ้าค่ะ" เด็กน้อยนั่งเล่นกับท่านแม่ก็รู้สึกเบื่อ ๆ จึงคิดว่าจะไปเรียกลูกค้าให้ท่านแม่เยอะ ๆ ดีกว่า"ได้ ไปเล่นกับพี่ชายเจ้ากับลี่จูอย่าซนกันนักละ""เจ้าค่ะ"ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าของเด็กน้อยเดินลงมาข้างล่างมันเงียบมากจนได้ยินเสียง ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นที่ได้ขายไป 7 วันจะขายดีมากแต่เหมือนว่าจะบอกลูกค้าว่ามาขายที่นี่แต่บางทีผู้คนอาจจะไม่รู้จักมากนัก ดังนั้นจึงคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างไม่งั้นไม่มีเงินจ่ายค่าแรง ค่าเช่าโรงเตี๊ยมแน่ ๆ“อ้าว เหมยเอ๋อร์ เจ้าไม่อยู่กับท่านแม่หรือไง?” เสียงหนิงหลงเอ่ยขึ้นถามขณะที่กำลังนั่งหยิบหอยเชอร์รี่เสียบไม้“ข้าจะมาเรียกลูกค้าเข้าร้านนะสิ”ฮุ่ยเหมยเอ่ยตอบและเห็นว่าพี่ชายกับลี่จูช่วยกันเสียบหอยกันอยู่ จึงคิดว่าพวกเขาจะทำปิ
เมื่อฟางหรงแนะนำอาหารและพูดคุยกับท่านลุงนายอำเภอและท่านหลงจู๊ได้สักพักก็ขอตัวออกมาทานข้าวกับครอบครัวอีกห้องหนึ่ง และแนะนำน้ำอ้อยกับชามะนาวให้กับทั้งสามท่านก่อนมารับอาหารเที่ยงกับครอบครัว"อ้อ ข้าขอแนะนำน้ำอ้อยกับชามะนาวให้แก่ท่านทั้งสามด้วยนะขอรับ""อืม อันนี้รสชาติหวานมาก นี่มีรสเปรี้ยวหวาน อืมชุ่มคอแปลกใหม่น้ำทั้งสองอย่างนี้ อร่อยรสชาติดีทีเดียว" เสียงท่านลุงอู๋เจ๋อเอ่ยขึ้นเมื่อลองชิมครั้งแรก"อืม โอ้ ข้าไม่เคยกินน้ำอะไรอร่อยเช่นนี้มาก่อน"ท่านหลงจู๊เอยชิมครั้งแรกและอุทานขึ้นมาด้วยสายตาเป็นประกายและเอ่ยถามขึ้นว่า"น้ำชามะนาวกับน้ำอ้อยนี่ท่านนำมาขายด้วยหรือไม่""ข้านำมาให้ลูกค้าดื่มเฉพาะในร้านเท่านั้นขอรับ""อ้อ ดี ๆ ข้าจะมาซื้ออาหารทุกวันเลย""ขอบพระคุณทุกท่านมากขอรับ งั้นข้าขอตัวก่อนเชิญทุกท่านกินให้เต็มที่ขอรับ""ได้ ๆ เชิญ ๆ"ฟางหรงก็เดินมารับประทานอาหารกับครอบครัว ฮุ่ยเหมยจึงรีบแนะนำ ส้มตำปูปลาร้า ที่ยังไม่เคยใส่ปูดองให้ท่านพ่อชิม"ท่านพ่อลองทานส้มตำปูปลาร้าดูเจ้าค่ะ""รสชาติอร่อยมากเหมยเอ๋อร์"แล้วทุกคนก็เริ่มทานอาหารกัน ทุกคนที่ได้ชิมล้วนชื่นชอบส้มตำปูปลาร้ากันมาก พนักงานที่จ้
ฮุ่ยเหมยนั่งเล่นอยู่ดี ๆ รู้สึกว่าเหมือนมีอะไรมาไต่ที่ขาของตน พอมองไปก็พบว่าเป็นปูนา 'เฮ้ยยุคนี้มีปูนาด้วย' เมื่อพบเข้ากับปูนาหลายตัวก็คิดเมนูอาหารที่จะกินเย็นนี้ ปูนาสามารถนำมาดองใส่ส้มตำได้และใส่ยำมะม่วงได้ ใช่เลยนี้มันของอร่อยเลยล่ะ "ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ามีของอร่อยมานำเสนอเจ้าค่ะ" เมื่อท่านพ่อรู้ว่ามีของอร่อยมาให้กินก็รีบเดินมาหาลูกสาวอย่างรวดเร็ว "อะไรหรือเหมยเอ๋อร์?" ท่านพ่อเอ่ยขึ้นด้วยตาเป็นประกายที่ตนจะได้กินของอร่อย และเด็กน้อยก็หยิบปูให้พ่อของตนดู "นี่เจ้าค่ะ ปูนา" "นี่ นี่ นี่!!! ตัวประหลาดเช่นนี้มันกินได้รึ" เมื่อท่านพ่อได้เห็นก็ถึงกับผงะไปเลยทีเดียว เมื่อตั้งสติได้ท่านพ่อก็เอ่ยถามลูกสาวใหม่เพื่อความแน่ใจ "เจ้าแน่ใจอย่างนั้นหรือ เหมยเอ๋อร์!!!" "มันกินได้และนำไปใส่ส้มตำอร่อยมากเจ้าค่ะ" เมื่อได้ยินว่านำไปใส่ส้มตำได้ท่านพ่อก็ยอมตกลงที่จะจับมาให้ลูกสาว เมื่อได้ยินเสียงท่านพ่อร้องตกใจทุกคนจึงเดินมารวมตัวกันที่นี่ "มีอะไรกันท่านพ่อ" หนิงหลงเป็นคนเอ่ยถามขึ้น "เหมยเอ๋อร์นะสิ บอกว่าเจ้านี่มันกินได้" "จริงหรือเหมยเอ๋อร์" "ใช่เจ้าค่ะ มันนำไปทำอาหารได้ ใส่ส้มตำอร่อยมากด้วยนะ
เมื่อตกลงว่าจะเช่าที่ข้างโรงหมอแล้ว และเขียนสัญญากันเรียบร้อย ทุกคนจึงเดินตลาดหาซื้อของเข้าร้าน ฮุ่ยเหมยกำลังคิดว่าจะซื้ออะไรดี มีข้าวเหนียว เสื้อผ้าใหม่ตัดให้พนักงาน มีผ้ากันเปื้อน ผ้าโพกผม และกระดาษสำหรับจดรายการอาหาร และต้องจ้างคนอีกหลายคน"ท่านพ่อท่านแม่ซื้อของไปเก็บไว้ที่โรงเตี๊ยมก่อนไหมเจ้าคะ จะได้ไม่ต้องขนมาจากบ้านอีกทีเจ้าค่ะ""อืมเป็นความคิดที่ดี เหมยเอ๋อร์ลูกพ่อ ช่างคิดรอบคอบจริง ๆ"ท่านพ่อมองลูกสาวตัวน้อยของตนที่มีความคิดที่โตกว่าอายุมาก และลูบหัวลูกสาวด้วยความเอ็นดูและทั้ง 6 คนก็เดินหาซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ ท่านพ่อเป็นคนจูงลูกสาว ท่านแม่จูงพี่ชายเพราะคนค่อนข้างเยอะ กลัวลูกน้อยของตนจะพลัดหลงกัน ท่านพ่อคิดว่าอย่างแรกที่จำเป็นคือข้าวเหนียว ที่ทุกคนเริ่มชื่นชอบที่จะกินข้าวเหนียว จึงเดินไปยังร้านขายข้าวสารทันที"สวัสดีนายท่านต้องการซื้อข้าวสารแบบใดเชิญแจ้งมาเลยขอรับ" พนักงานในร้านเข้ามาต้อนรับลูกค้าอย่างกระตือรือร้นและแนะนำข้าวสารให้แก่ลูกค้าด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว"เอาข้าวเหนียว 20 ชั่ง ข้าวสารธรรมดา 20 ชั่ง"ท่านพ่อเอ่ยสั่งข้าวสารกับพนักงานและนับเงินจ่ายให้กับหลงจู๊ และบอกว่าให
หลังจากครอบครัวหลินทำการค้าขายไปแล้ว 7 วัน วันนี้ครอบครัวขอปิดร้าน 2 วัน พบปัญหาว่าจำนวนลูกค้ามากขึ้นทุกวันจึงตัดสินใจไปหาโรงเตี๊ยมที่เปิดให้เช่า ความจริงซื้อเป็นของตัวเองจะดีกว่า เนื่องจากตอนนี้เงินที่หามายังไม่เพียงพอที่จะซื้อโรงเตี๊ยมได้ยามเฉิน (07.00 – 08.59 น.) ฮุ่ยเหมยและครอบครัวเข้าเมืองไปหาเช่าโรงเตี๊ยม โดยนั่งเกวียนลุงหานเข้าเมืองเช่นเดิม เมื่อมาถึงตลาดในเมืองผู้คนต่างก็พากันมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันเนืองแน่นเช่นเคย"ท่านแม่ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากกินบะหมี่ร้านนั้นเจ้าค่ะ"เสียงฮุ่ยเหมยเอ่ยขึ้นและชี้ไปที่ร้านของบะหมี่ที่อยู่ข้างทาง คนในร้านแน่นมาก น่าจะอร่อยเพราะคนเข้าร้านเยอะ เมื่อได้ยินเสียงเด็กน้อยเอ่ยขึ้นจึงตัดสินใจเดินตรงไปร้านบะหมี่ทันที"เถ้าแก่ข้าเอาบะหมี่ 4 ชามขอรับ" ท่านพ่อเอ่ยสั่งกับเถ้าแก่ร้านขายบะหมี่"เชิญนั่ง ๆ รอสักครู่นะขอรับ"เสียงเด็กชายวัย 8 หนาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกค้าทั้งสี่เดินเข้าร้านของตน น่าจะเป็นลูกชายของเถ้าแก่เจ้าของร้านเพราะหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกันเป็นอย่างมาก ซึ่งเขากำลังนำบะหมี่ในร้านเสิร์ฟลูกค้าที่แน่นจนเต็มร้านอยู่ในขณะนี้อย่างขยันขันแข็งครอบคร
3 วันผ่านไป กับการเตรียมพร้อมขายของครั้งแรกของครอบครัวหลิน ทุกคนต่างตื่นเต้นกันอย่างมาก ท่านพ่อได้เข้าเมืองติดต่อเช่าร้านค้าเล็ก ๆ ราคา 10 อีแปะต่อวัน ตกลงขาย ยามอู๋ถึงยามโหย่ว (12.00-17.00 น.) การเตรียมตัวมีอะไรบ้าง คือมะละกอดิบ 3 ตะกร้าใหญ่ และเครื่องปรุงรส อาทิเช่น พริก กระเทียม มะนาว เกลือ น้ำตาล กุ้งแห้ง หอยเชอรี่ ผักบุ้งป่าไว้กินกับส้มตำ และข้าวคั่ว ครอบครัวหลินหุงข้าวเหนียวให้ลูกค้าทดลองชิมกับส้มตำไปด้วยขายราคา 5 อีแปะ กุ้งฝอยสด ๆ ไปด้วย 3 ตะกร้าใหญ่ ปลา 50 ตัวนำไปทดลองขายก่อน ถ้าขายดีวันหน้าก็จะไปจับมาเพิ่ม แบ่งหน้าในการทำแต่ละอย่างมีดังนี้ ท่านแม่ตำส้มตำ ท่านพ่อย่างปลาเผา และพี่ชายทำยำกุ้งเต้น ส่วนเธอเป็นหน่วยสนับสนุน นั่นคือเรียกลูกค้าและเก็บเงินนั่นเอง ครอบครัวหลินไปติดต่อขอให้ ท่านลุงหานไปส่งในตัวเมืองโดยเฉพาะ คิดราคาแค่ 5 อีแปะ ใกล้ถึงยามซื่อ (09.00-10.00 น.) ก็ออกเดินทาง ไปถึงก็ยามอู๋พอดี ยามซื่อ ลุงหานขับรถวัวเทียมเกวียนมารับที่บ้านครอบครัวหลิน ทุกคนช่วยกันยกของขึ้นเกวียน เมื่อขนจนหมดแล้วก็ออกเดินทางได้ เสียง กุบกับ กุบกับ ของรถวัวเทียมเกวียนตลอดระยะเวลา 1 ชั่วยา