แสงแดดยามเช้าเอื่อยเฉื่อยสาดต้องชายผ้าของเหล่านางในที่เดินวุ่นอยู่ในห้องเครื่องในวังหลวง กลิ่นโจ๊กหมูตุ๋นยาจีนคลุ้งลอยมาแตะปลายจมูก ไอน้ำร้อนระอุเหนือหม้อเหล็กยักษ์ราวกับม่านหมอกในหุบเขา
ซื่อซื่อเดินเข้ามาเงียบๆ เพื่อมายกสำรับขององค์หญิงใหญ่หว่านชิง สีหน้านางเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ ทว่าหูของนางไม่อาจหลีกพ้นถ้อยคำที่เล็ดลอดจากกลุ่มนางในห้องเครื่องซึ่งกำลังเม้าท์มอยกันสนุกปากถึงเรื่องใหญ่ของเมื่อวาน
"เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อวานองค์หญิงใหญ่ออดอ้อนขอฝ่าบาทให้กลบบ่อปลาคราฟทั้งวังทิ้งหมดเลยนะ!"นางในห้องเครื่องคนหนึ่งป้องปากพูดแต่กลับพูดดังราวกับตะโกนกระนั้น
“ไม่ใช่แค่ทั้งวังฝ่าบาทยังให้คนออกไปกลบบ่อปลาคราฟนอกเขตวังหลวงอีกด้วยได้ยินว่าเพราะโปรดปรานองค์หญิงใหญ่มากจึงกลบมาก แล้วยังกลับในส่วนที่นางบอกว่าเป็นส่วนของความรักพระมารดาของนางที่ฝ่าบาทจะต้องทดแทนส่วนนั้นอีกด้วย”
"องค์หญิงใหญ่ผู้นี้นี่ก็ช่างจิตใจโหดร้าย บ่อปลาคราฟนั้นอุตส่าห์เป็นที่โปรดของฝ่าบาทและสนมทั้งหลายแล้วยังเกี่ยวพันถึงฮวงจุ้ยของแคว้นเราอีกด้วย ยังจะให้ถมทิ้งเพียงเพราะฝันร้าย?!"หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย นึกสงสารปลาคราฟ
"ข้ายังได้ยินมาอีกว่าเมื่อวานองค์หญิงใหญ่ล้มต่อหน้าท่านแม่ทัพ จนท่านแม่ทัพถูกฝ่าบาทตำหนิว่า… ไอ้บ้าเอ๊ยบอกว่าอย่าเข้าใกล้ลูกสาวข้า…. ทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วท่านแม่ทัพ คงแกล้งล้มมากกว่า อยากเรียกความสนใจละสิ"
"ข้าละสงสารแม่ทัพจริงๆ เห็นว่าโดนบังคับพยุงนางจนเกือบลื่นตกไปอีกคน"
เสียงนั้นเงียบกริบทันทีเมื่อนางในผู้หนึ่งหันไปเห็นซื่อซื่อยืนอยู่ไม่ห่าง ดวงตาหลายคู่เบิกโพลงแล้วรีบยิ้มเจื่อนๆ แสร้งทำทีเหมือนกำลังล้างผัก
"อะ… อ้าว นั่นซื่อซื่อไม่ใช่หรือ มาพอดีเลย!"อีกคนถึงกลับแสร้งทักเหมือนว่ากำลังเห็นซื่อซื่อไอ้ที่นินทานั่นเพราะไม่เห็นซื่อซื่อนั่นเอง
"เจ้าน่ะ ใกล้ชิดองค์หญิงใหญ่นัก เรื่องที่ลือกันนั้นจริงไหม? องค์หญิงทำไปเพื่ออะไร เจ้าพอจะรู้บ้างหรือเปล่า? เรื่องกลบบ่อปลาคราฟที่น่าสงสารเหล่านั้น"
ซื่อซื่อเงียบไปชั่วขณะ ดวงตานิ่งเฉยราวกับสายน้ำในคืนเดือนดับ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบเย็นแต่แฝงด้วยแรงกดดัน
“พวกเจ้าควรระวังคำพูดเสียหน่อย พูดถึงองค์หญิงใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร ไม่กลัวกันบ้างหรือ? ไม่กล้วว่าข้าจะไปกราบทูลให้องค์หญิงใหญ่ทราบว่าพวกเจ้าลอบนินทาว่าร้ายใส่สีตีไข่องค์หญิงหรือไร”
สีหน้าของนางในทั้งหลายซีดเผือดลงถนัดตา เสียงหัวเราะกลายเป็นเสียงไอเบาๆ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะยิ้มแห้งหัวเราะแหบๆ กลบเกลื่อน
“เพราะพวกข้ารู้ว่าเจ้าไม่เอาไปฟ้องหรอกเพราะเจ้าเองก็..ถูกองค์หญิงใหญ่ข่มเหงไม่น้อยนี่” ซื่อซื่อก้มหน้า
“ตอนนี้องค์หญิงก็ไม่ได้ข่มเหงข้าแล้วนี่”
"อะ… เอ่อ เจ้าอย่าคิดมากเลยซื่อซื่อ พวกข้าก็แค่ได้ยินมาก็พูดต่อกันเล่นๆ ข้าไม่เชื่อข่าวลือหรอกน่า ถึงได้ถามเจ้าดูให้แน่ใจ"
"ใช่แล้วๆ เราพี่น้องกัน เจ้าอย่าเอาไปฟ้องเลยนะ…"
ซื่อซื่อเพียงถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินเข้าไปยกสำรับข้าวเช้าอย่างไม่ใส่ใจนัก
"ข้าไปก่อน องค์หญิงใหญ่หิวแล้ว"
นางในห้องเครื่องต่างจื่อปากตามหลังซื่อซื่อ
“ก่อนหน้านั้น 9ไม่อยู่10ไม่อยู่อ้างว่าองค์หญิงใหญ่รังแกมาคราวนี้ทำไมเปลี่ยนไปเมื่อก่อนร้องไห้ฟูมฟายมาบัดนี้ออกโรงปกป้ององค์หญิงเอาแต่ใจคนนั้นได้เต็มปาก” นางในห้องเครื่อง วัยกลางคนร่างท้วมคนหนึ่งพูดขึ้นดังๆ ทุกคนล้วนพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อมาถึงตำหนัก ซื่อซื่อจัดสำรับเช้าวางเรียงอย่างเรียบร้อย กลิ่นข้าวต้มขิงและเกี๊ยวลอยอบอวลอยู่ในห้อง หว่านชิงนั่งทอดกายพิงพนักเก้าอี้ตัวยาวข้างหน้าต่างม่านโปร่งบางลู่ลมเบา หว่านชิงเพิ่งสะลึมสะลือฟื้นจากนิทราแต่กลับรู้สึกได้ถึงบางอย่างจากแววตาของซื่อซื่อที่แฝงแววกังวล ลอบมองหว่านชิงบ่อยครั้ง
หว่านชิงหรี่ตาลงก่อนจะวางช้อนช้าๆ
“มีอะไรหรือซื่อซื่อ เจ้าดูมีเรื่องจะพูดกับข้า มัวแต่เหลือบมองข้าเหมือนมีเรื่องอะไรที่ติดใจ ได้ข่าวอะไรมาอีกหรือ?”
ซื่อซื่อหยุดมือลง ก่อนจะย่อกายแล้วเอ่ยเบาๆ
“องค์หญิง เรื่องที่เมื่อวานองค์หญิงทรงขอฝ่าบาทให้กลบบ่อปลาคราฟ… ตอนนี้ลือกันไปทั่ววังแล้วเพคะ ข้าน้อยไปที่ใดก็มีแต่คนถามถึงเรื่องนี้”
หว่านชิงเลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ แล้วคีบเกี๊ยวเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ พลางพูดเนิบช้า
“อืมม ลือว่าอย่างไรกันบ้าง ไหนลองว่ามาให้ข้าฟังบ้างสิ ซื่อซื่อ มิน่าเล่าระบบเด้งตลอดเลยมีคนนินทาข้านี่เอง เล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้”
ซื่อซื่อเล่าเสียงเรียบ ระหว่างนั้นหว่านชิงเคี้ยวข้าวต้มไปเรื่อยๆ ใบหน้าของนางมีแววครุ่นคิดปนขัน และยังยิ้มร่า เหมือนคนเล่นหมากล้อมที่วางหมากทิ้งไว้แล้วนั่งรอผลอย่างใจเย็น
ดีแล้วที่ข้าเริ่มลงมือเรื่องนี้แต่เนิ่นๆ ตอนที่ชื่อเสียงของข้ายังไม่ดีเลิศนัก… หากวันหน้าโด่งดังเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ชื่อเสียงข้าโด่งฟ้าแล้วค่อยมาขุดบ่อกลบบ่อ มีหวังข้าได้กลายเป็นเรื่องนินทาสนุกปากรายวันในวังหลวงแน่ๆ ชื่อเสียงข้าคงขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกราฟหุ้นแน่แท้ หว่านชิงอมยิ้มเมื่อคิดถึงเสียงเด้งแจ้งเตือนของแต้มที่ช่างไพเราะเสนาะหู
【อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ หว่านชิง ระหว่างที่หว่านชิงออฟไลน์มีคะแนนที่เพิ่มเข้ามาจากข่าวลือ ต้องการเช็คหรือไม่】
เช็คๆ ไหนๆ เปิดดูซิ ได้กี่คะแน…
ยังไม่ทันจะพูดจบหน้าต่างแจ้งเตือนรับคะแนนเด้งขึ้นเต็มหน้าจนมองอะไรไม่เห็น มือที่กำลังจะจ้วงข้าวต้มก็จ้วงพลาดโดนขอบถ้วยดังปั๊ก
“ติ้ง ติ้ง ติ้งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
โว้ยๆๆๆ ปิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ปิดให้หมดๆ ทำไมไม่เป็นแบบสรุปคะแนนมาเล่า เด้งทีละ1แต้มก็ตายสิแบบนี้ ร้องเรียนๆๆ ฉันขอร้องเรียน เอาแบบสรุปคะแนนมาเลยไม่ได้หรอหว่านชิงกำลังจะบ้าตายเพราะระบบแจ้งเตือนที่มารัวๆ
【ระบบจะรับข้อเสนอแนะและนำไปปรับปรุง ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือให้การแนะนำระบบ เราจะพัฒนาต่อไปเพื่อประก-】
หว่างชิงจิ้มกดปิดหน้าต่างทันทีอย่างรำคาญ เห้อ ทำไมมันไม่ล้ำแบบคนอื่นเขาหว่า นี่มันเป็นเอไอระบบที่แข็งและห่วยกว่ายุคนี้ที่สาวๆ ใช้กันอีก ไอ้ระบบตัวนี้มันเก่ากึกยุคเอไอฟ้าใสนู้นละมั้ง ช่างเถอะๆ ดีนะหลังๆ มันยังมาอรุณสวัสดิ์
หว่านชิงหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง รีบยัดข้าวเข้าปากรัวๆ อย่างกับกลัวข้าวจะหนีหาย จากนั้นก็วางตะเกียบแล้วลุกพรวดขึ้นด้วยใบหน้าเปล่งประกาย
“ป่ะ! ไปเรียนกันเถอะ” ซื่อซื่ออ้าปากค้าง
“ไปเรียน ขยันจังเลยค่ะองค์หญิง”
แสงแดดยามเช้าเอื่อยเฉื่อยสาดต้องชายผ้าของเหล่านางในที่เดินวุ่นอยู่ในห้องเครื่องในวังหลวง กลิ่นโจ๊กหมูตุ๋นยาจีนคลุ้งลอยมาแตะปลายจมูก ไอน้ำร้อนระอุเหนือหม้อเหล็กยักษ์ราวกับม่านหมอกในหุบเขาซื่อซื่อเดินเข้ามาเงียบๆ เพื่อมายกสำรับขององค์หญิงใหญ่หว่านชิง สีหน้านางเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ ทว่าหูของนางไม่อาจหลีกพ้นถ้อยคำที่เล็ดลอดจากกลุ่มนางในห้องเครื่องซึ่งกำลังเม้าท์มอยกันสนุกปากถึงเรื่องใหญ่ของเมื่อวาน"เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อวานองค์หญิงใหญ่ออดอ้อนขอฝ่าบาทให้กลบบ่อปลาคราฟทั้งวังทิ้งหมดเลยนะ!"นางในห้องเครื่องคนหนึ่งป้องปากพูดแต่กลับพูดดังราวกับตะโกนกระนั้น“ไม่ใช่แค่ทั้งวังฝ่าบาทยังให้คนออกไปกลบบ่อปลาคราฟนอกเขตวังหลวงอีกด้วยได้ยินว่าเพราะโปรดปรานองค์หญิงใหญ่มากจึงกลบมาก แล้วยังกลับในส่วนที่นางบอกว่าเป็นส่วนของความรักพระมารดาของนางที่ฝ่าบาทจะต้องทดแทนส่วนนั้นอีกด้วย”"องค์หญิงใหญ่ผู้นี้นี่ก็ช่างจิตใจโหดร้าย บ่อปลาคราฟนั้นอุตส่าห์เป็นที่โปรดของฝ่าบาทและสนมทั้งหลายแล้วยังเกี่ยวพันถึงฮวงจุ้ยของแคว้นเราอีกด้วย ยังจะให้ถมทิ้งเพียงเพราะฝันร้าย?!"หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย นึกสงสารปลาคราฟ"ข้ายังได้ยินมาอีกว
หว่านชิงหันไปสบตากับซื่อซื่อที่ยังทำหน้าห่วง ๆ อยู่ ซื่อซื่อเรียกสติหว่านชิงอย่างร้อนรน "คุณหนู! คุณหนู! เป็นอะไรไปเจ้าคะ!"บัตรเช่าหนึ่งชั่วโมงของเธอ...เตะตัดขา ความฝันไปเลยลูก! 5555 แต่เดี๋ยวก่อน ยังไม่ทันได้ซึมซับความน้อยใจ บรรยากาศก็เปลี่ยนฮวบ!"หว่านชิงลูกพ่อออออออออ!!!"เสียงตะโกนกังวานของฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้แว่วมา พร้อมเสียงฝีเท้าดัง ตุบตุบตุบ และชุดคลุมจักรพรรดิสะบัดอย่างองอาจเข้ามาหาเธอ"ลูกพ่อ! เจ้าเป็นอะไรหรือไม่! เจ้าเจ็บตรงไหน!!โอ๊ย ใจพ่อร้อนยิ่งกว่าเปลวเพลิงเสียอีก!” ขันทีข้างกายหน้าซีดเป็นกระดาษ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ฮ่องเต้ก็ตวาดลั่น"ยังจะยืนโง่อยู่ทำไม! ไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!!!ลูกข้าอาการเป็นอย่างไรทำไมพวกเจ้าไม่ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยขององค์หญองค์ใหญ่ให้มากกว่านี้ ลูกพ่อออเจ้าทำไมนิ่งไปเล่าช็อคหรือไรหรือว่าเจ็บตรงไหน"หว่านชิงถึงกับสะดุ้ง รีบยกมือห้ามทัพ "ท่านพ่อเจ้าขา ใจเย็นๆ ก่อนเพคะ ลูกไม่เป็นอะไรเลย แค่... แค่ตกใจนิดหน่อยเอง"ในใจเธอก็แอบขำตัวเอง ก็แค่กำลังคุยกับระบบอยู่นี่นา ฮ่องเต้หรี่ตามองไปทางแม่ทัพที่เดินหันหลังไปไกลแล้ว"ไป๋เหวินหลง...เจ้าบ้านั่น! ข้าบอก
ชุดเกราะแวววาวสะท้อนแสงอาทิตย์เข้าตาเธอแสบวาบ...กลิ่นความหล่อผสมกลิ่นสมุนไพรเย็นจางๆ ลอยแตะจมูก และกลิ่นอะไรอีกนะถุงหอมสิท่ามือที่กุมรอบเอวไม่ได้เบาแต่ก็ไม่รุนแรง...วงแขนมั่นคงเสียจนไม่รู้สึกกลัวแม้แต่นิดเดียว...หว่านชิงลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วเงยหน้ามองเจ้าของวงแขน...ในวินาทีนั้น โลกทั้งใบก็พลันชะงัก ราวกับเสียงรอบข้างหายไป เหลือเพียงหัวใจที่เต้นแรงยิ่งกว่ากลองศึกบุรุษตรงหน้าสูงใหญ่ ใบหน้าคมกริบราวกับถูกสลักจากหยกดำ คิ้วเรียวยาวดุจพู่กันพู่มังกร ดวงตานิ่งเฉยราวสายน้ำแข็งลึก แต่กลับมีประกายที่ราวกับจะทิ่มแทงทะลุใจใครต่อใครได้ในพริบตาเดียว หญิงเห็นหญิงรักชายเห็นชายหลง…เฮ้เส้นผมดำขลับมัดรวบอย่างเรียบร้อย แต่ทิ้งเส้นหนึ่งพาดข้างแก้มอย่างไม่ตั้งใจ ทว่า...ก็ยังดูดีอย่างไร้ที่ติ แม้เพียงยืนเฉยๆ ก็เหมือนรูปปั้นแม่ทัพสวรรค์ที่หล่นลงมาจากแดนเทพ ออร่าที่แผ่ออกมาราวคลื่นร้อนทำเอาหว่านชิงแทบลืมหายใจนี่คือพระเอก...นี่มันพระเอกจริงๆ!ในใจมีแต่เสียงกรี๊ดแบบ กรี๊ดดดดดด!!! ทำไงดี! เขาหล่อขนาดนี้! นี่มันฉากในนิยายเลย! เขากอดฉัน! แล้วชุดเกราะสะท้อนแสงแบบนี้! ช่วยด้วย! เขาไม่พูดแต่เท่มาก! เขาไม่ยิ้มแต่ห
เสียงตะโกนของหว่านชิงดังสนั่นก้องศาลาราวกับระฆังยามศึก นางเบิกตากว้างเหมือนมีใครสาดน้ำเย็นใส่หน้าตอนเช้า“ไม่ได้การแล้ว! ข้าต้องไปหาเขา!”นางหมุนกายพรวดพราดกระโจนไปข้างหน้า กระโปรงลากระพื้นปลิวตามแรงก้าว ซื่อซื่อวิ่งตามแทบไม่ทัน ตะโกนด้วยความตกใจ“องค์หญิง! ระวังเจ้าค่ะ เดี๋ยวทรงจะล้มเจ้าค่ะ!”“แล้วเขาอยู่ไหน!” หว่านชิงหันมาถามทั้งที่ยังวิ่งอยู่“มะ...ไม่ทราบเจ้าค่ะ เห็นเพียงว่าท่านแม่ทัพก้าวเข้าวังมาแล้ว รีบเดินเหมือนจะมุ่งหน้าไปที่ใดสักแห่ง”หว่านชิงเบรกเท้าหยุดนิดหนึ่ง หันขวับ“ถ้าอย่างนั้น...เขาต้องไปหาท่านพ่อ!”พูดจบนางก็วิ่งต่อทันที เป้าหมายชัดเจน ตำหนักฮ่องเต้!นี่แหละคือโอกาสของหว่านชิงแล้ว เก็บแต้มๆๆ ฮ่าาาาาไปเก็บแต้มกับพระเอกก้านนนนนหว่านชิงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูตำหนักเหมือนรูปสลัก แต่ภายในใจกลับร้อนรนยิ่งกว่าหม้อต้มน้ำในครัวหลวง ให้ตายเถอะ! มาแบบนี้ไม่บอกกล่าว จะให้ข้าทำหน้าอย่างไรให้ดูน่าเชื่อว่าไม่ได้ตั้งใจมาหาผู้ชายเฉยๆ …ดวงตากลมโตร้อนรนกลอกไปมา ก่อนจะกะพริบแป๊บๆ อย่างคิดอะไรออก “เอาละ! บ่อปลาคราฟนั่นแหละ ใช้เป็นข้ออ้างได้!กลบบ่อปลาคราฟให้หมดไม่อย่างนั้นหว่านชิงจะต้องตก
เมื่อราชครูโม่ชิงเหยียนหมุนกายเดินนำ หว่านชิงก็สาวเท้าอย่างสงบเสงี่ยมติดตามอยู่เบื้องหลัง สายตาไม่เหลือบมองซ้ายขวา ท่าทีเรียบร้อยดุจนักเรียนหญิงที่มุ่งหน้าสู่ห้องเรียนครั้งแรก แต่ใจนางกลับระริกระรี้ เหมือนนักล่าสาวผู้เลือกสนามประลองเสียเอง ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของหว่านชิงศาลาไม้ประจำการเรียนตั้งอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ ร่มเงาเขียวขจีตกทอดลงบนพื้นศิลา ดอกเหมยโปรยกลีบเบาอยู่ปลายฟ้า เสียงลมพัดผ้าม่านกระจายกลิ่นน้ำชาบางจางในอากาศภายในศาลา ผู้ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วมีเพียงสองคนเท่านั้นก้รับสอนเฉพาะคนสำคัญสินะ หว่านชิงก็สำคัญเช่นนั้นที่นี่ก็ควรมีหว่านชิงหยางหลินองค์รัชทายาทอายุน้อยตัวสูงโปร่งแต่ผอมบาง ร่างในชุดมังกรประจำรัชทายาทแต่งอย่างเรียบง่ายแต่พิถีพิถัน สีหน้าขาวซีดดั่งหยกต้องหมอก ยามสบตา หว่านชิงรู้สึกถึงความหวาดระแวงชัดเจนในแววตาคู่นั้น เหมือนลูกหมาป่าที่เคยถูกรังแกและยังไม่ลืมเลือนรสของคมเขี้ยวตกใจหรือ…คงนึกว่าวันนี้ข้ามาเพราะคิดจะแกล้งเล่นสนุกกับเจ้าอีกกระมัง หึ...ก็น่าระแวงอยู่นั่นล่ะ หว่านชิงหัวเราะในใจ อีกหนึ่งร่างเบื้องขวา เยี่ยนอิงองค์หญิงรอง บุตรสาวคนแรกของฮองเฮานั่งอย่างสงบอยู่
หลังจากเมื่อคืนวางแผนเปลี่ยนเส้นเรื่องอย่างลับๆ หลี่หว่านชิงก็ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าทันทีที่เช้าตรู่มาเยือน แสงแดดอ่อนโยนส่องลอดหน้าต่างเงาไม้โยกไหว หว่านชิงก็ตื่นมาแต่งกายอย่างประณีตชุดผ้าไหมสีขาวสะอาดปักลาย ทอเส้นเงินระยิบระยับเมื่อแสงกระทบ ผมดำยาวถูกรวบครึ่งศีรษะด้วยปิ่นหยกประดับดอกเหมย ดวงหน้าแต่งแต้มบางเบาด้วยสีชมพูระเรื่อ ริมฝีปากชมพูอย่างธรรมชาติ ทุกองค์ประกอบบอกถึงความสุภาพนุ่มนวลขององค์หญิงใหญ่...เวอร์ชันเรียบร้อย (จอมปลอม) 【ภาพลักษณ์ใหม่: ผ่าน…10/100】‘นั้นเรียกผ่านเรอะ’"ซื่อซื่อ เจ้ามานี่สิ" หว่านชิงหันมากล่าวเรียบๆ ขณะสวมกำไลหยก"เพคะองค์หญิง?""เจ้าไปจับตาดูไว้เลยว่าเมื่อไรแม่ทัพไป๋เหวินหลงจะเข้าวัง ข้าต้องรู้ทันทีที่เขาเหยียบลานพระราชวัง""เจ้าค่ะ" ซื่อซื่อรีบก้มหัวแล้วหายตัวไปอย่างว่องไวหลี่หว่านชิงยิ้มมุมปาก เดินออกจากตำหนักอย่างมั่นใจ เพื่อไปยังสถานที่เรียนของเหล่าราชนิกุล ตำหนักเหวินเซียนที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของวังหลวง ท่ามกลางสวนไม้ใหญ่ แทรกเสียงนกร้องแว่วไกลกับกลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ ลมพัดโชยเอื่อยพาให้เงาไม้ลู่ไหว ดูสงบ เย็น และร่มรื่น ราวกับถูกออกแบบมาเพื่
เมื่อขบวนของฮ่องเต้เสด็จกลับไปแล้ว บรรยากาศก็สงบลงทันใด แน่นอนว่าความสงบของภายนอก มิอาจปิดบังเสียงจากภายในได้【ติ๊ง! แต้มโน้มน้าวฮ่องเต้สำเร็จ +5 แต้ม】เสียงระบบดังขึ้นในหัว พร้อมโผล่เป็นกล่องข้อความโปร่งใสลอยเคว้งเคว้งอยู่กลางสมอง หลี่หว่านชิงขมวดคิ้วในใจ‘+5 แต้ม? น้อยไปป่ะ นี่ฉันแสดงเกือบลืมหายใจนะ!’【...อย่าเยอะ ระบบใจดีให้แต้มทดลองเฉยๆ จริงๆ ฮ่องเต้เชื่อเจ้าทุกคำพูดอยู่แล้ว ควรจะได้ +0 ด้วยซ้ำ นี่ทดสอบระบบเฉย ๆ ทดสอบ 1 2 3 ทดสอบไมค์ 1 2 3】‘เหอะ...แค่บอกว่าอยากลองเทสต์ก็เทสต์กันงี้เลย?’ 【แล้วทำไมต้องยุ่งยากห้ามไม่ให้ราชครูโม่ชิงเหยียนมาสอนในห้องล่ะ】‘แล้วถามทำไมอีกล่ะ ว่าทำไมฉันถึงไม่ยอมให้เขามาสอนในห้อง?’ หลี่หว่านชิงส่งเสียงในใจปึงปัง【ระบบถาม เพราะอยากรู้ว่าคิดเองหรือฟลุ๊ก】【คำตอบผ่าน: ตรวจพบเหตุผลมีตรรกะชัดเจน】‘ห๊ะถามเองตอบเองหรอ ฉันยังไม่ได้ตอบเลยนะ รวนป่าวเนี้ย’【พึ่งคิดเองได้】【เหตุผล: ไม่อยากทำให้ราชครูโม่รำคาญ = ลดความเกลียดชัง = ไม่เป็นศัตรู】【ระดับแผนการ: ฉลาดเฉียบ】【แต้มพิเศษสำหรับการวางแผนล่วงหน้า +10】ปาหัวใจโฮโลแกรมใส่หลี่หว่านชิงหนึ่งดอกฟรุ้งฟริ้ง หว่านชิงตกใจสุ
ประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมขบวนขันทีและนางกำนัลยาวเหยียด ที่นำขบวนมาคือหัวหน้าขันทีเฒ่าผู้หนึ่งชื่อว่า "จื่อกง" ชายชราในอาภรณ์สีสุภาพผู้มีใบหน้าแววตาเก๋าเกมและปากไวระดับตำนานไม่ผิดแน่หากตามบทที่หลี่หว่านชิงเคยปะทะคารมมาอีกทั้งขันทีผู้นี้ยังมีไฝติดที่ริมฝีปากเม็ดใหญ่โตมโหฬารตามหลังเขาคือ ฮ่องเต้ "หลี่เซวียนอี้" ฮ่องเต้ผู้มีชื่อเสียงเรื่องการสงคราม รบจนเป็นฮ่องเต้ไร้พ่าย แต่กลายเป็นพ่อที่อ่อนยวบเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกสาวคนโต"หลี่หว่านชิง! ลูกพ่อออออออ" ฮ่องเต้โผเข้าหาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ท่าทีเคร่งขรึมตามตำราจักรพรรดิหายวับ เหลือไว้แต่สีหน้าร้อนรนเหมือนพ่อบ้านธรรมดาดวงตายิ่งอ่อนโยนยิ่งนัก"พ่อได้ข่าวว่าเจ้าล้มป่วย แล้วจู่ ๆ ก็ส่งคนไปบอกว่าจะไปเรียนหนังสือ! เจ้าตื่นเช้าได้! เจ้าลุกจากเตียงได้! บอกพ่อมาเถอะลูก เป็นอะไรรึเปล่า! ฝืนรึเปล่า!ไหวหรือเปล่า เจ้าป่วยไข้หรือหัวไปกระแทกที่ไหนมาหรือเปล่าไหนให้พ่อดูหัวของเจ้ามีรอยบาดแผลไหม"จับตัวหลี่หว่านชิงมาพลิกซ้ายขวาหมุนรอบตัวและวิ่งวนดูรอบๆ ศีรษะของหลี่หว่านชิงค้นหาบาดแผลที่ตามมาด้วยนั่นคือขันทีอีกสิบคน ขนห่อหยก ห่อสมุนไพร กระติกยา และกระถางกำยานรั
แสงแดดยามสายสาดผ่านหน้าต่างลงบนโต๊ะไม้กลมกลางห้อง กลิ่นหมึกจาง ๆ ลอยคละคลุ้งกับกลิ่นชาจางๆ ที่ยังอุ่นอยู่ในถ้วย เสียงปลายพู่กันขูดกระดาษเบา ๆ ดังเป็นระยะ คล้ายเสียงหัวเราะของคนมีแผนร้ายในใจหลี่หว่านชิงคนใหม่ นั่งขัดสมาธิบนเบาะนุ่มอย่างสบายใจ มือข้างหนึ่งคีบขนมชิ้นเล็กเข้าปาก ส่วนอีกข้างก็วาดอะไรบางอย่างลงกระดาษขาวด้วยความตั้งใจบนแผ่นกระดาษ แผนผังน่ารักแบบตัวการ์ตูนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนวงกลมแรกมีหน้าคนหัวฟูๆ ทำหน้าตาโง่งมน้ำมูกและน้ำลายไหล อยู่ในชุดเจ้าหญิงสีชมพูบานเย็น ลูกศรชี้ลงด้านล่าง เขียนว่า“หลี่หว่านชิงต้นฉบับ: สมองมีขนาดเดียวกับเม็ดบัว ขี้อวด ชอบหาเรื่องนางเอก ไม่รู้จักวางแผน ไม่ประมาณตน มองคนไม่ออกไม่รู้ว่าใครรักใครเกลียด สุดท้ายโดนวางยา ตบตี ถูกถอดยศ และสิ้นใจตายในบ่อปลาคาร์ฟ”ถัดไปทางขวาอีกมุม มีภาพหลี่หว่านชิงเวอร์ชันใหม่ ใส่แว่น วาดหน้าตาจริงจัง มือถือพัดจดบันทึก หัวกลม ๆ มีประกายสมองแปะไว้เหมือนมีไฟสว่างวาบบนหัว ใต้ภาพเขียนว่า“เวอร์ชันใหม่ : หลี่หว่านชิง 2.0 แสร้งสำนึกผิด ใฝ่เรียนใฝ่รู้ ตีสนิทเป้าหมาย สะสมแต้มปั่น กำกับโชคชะตาด้วยมือเราเอง! และที่สำคัญฉลาดเป็นกร