ณ ตำหนักผิงจื้อ ตำหนักของฮองเฮายามสาย ภายในตำหนักหอมกรุ่นด้วยกลิ่นดอกมู่ตานอบแห้ง น้ำชาร้อนวางไว้บนโต๊ะหยกขาว ฮองเฮาหลี่หลันซื่อกำลังนั่งอยู่บนตั่งยกพื้น มือเรียวงามถือถ้วยชาอย่างสงบงามสมศักดิ์ศรี นางกำลังฟังรายงานจากหม่าอิ๋นฉิง“กราบทูลเพคะ ฮองเฮา...เมื่อวานนี้องค์หญิงรองเยี่ยนอิง ได้รับตุ๊กตาผ้าหนึ่งตัวจากท่านแม่ทัพไป๋เหวินหลงด้วยมือของเขาเอง...”หลี่หลันซื่อชะงักเล็กน้อย จากที่เคยหลุบตาอยู่ ก็เงยหน้าขึ้นอย่างสง่างาม ดวงตาฉ่ำเย็นเป็นเงา แววตานั้นหากมองผ่านก็เพียงเรียบนิ่ง...แต่หากใครจ้องลึกก็อาจรู้สึกได้ถึงสายลมคมดั่งมีด“เช่นนั้นหรือ…” ยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ แล้ววางลงช้าๆ“เพคะ ข้าคิดว่า...อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่…”“ไม่เล็กเลย…” หลันซื่อพูดแทรกเบาๆ พร้อมกับยิ้มบางอย่างแผ่วเบา สีหน้านิ่งสงบ แต่รอยยิ้ม...กลับอ่อนละมุนราวมารดาผู้มองดูลูกสาวได้ของเล่นชิ้นใหม่“เยี่ยนอิงโตขึ้นแล้ว...เริ่มรู้จัก เลือก สิ่งที่ตนเองพึงใจ”หลันซื่อลูบขอบถ้วยชาด้วยปลายนิ้ว แววตาเย็นลึกแฝงประกายบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยเสียงหวาน“อิ๋นฉิง...ให้คนส่งขนมกุ้ยฮวาผสมเกาลัดไปที่จวนแม่ทัพทีเถอะ บอกว่า...เป็นของเยี่ยนอิง
ซีรีส์เรื่องนี้หากจะมีใครสักคนที่ผิดหวังจะไม่ใช่องค์หญิงรอง แน่นอนลมยามบ่ายคล้อยพัดเบา ใบไม้พลิ้วไหว วูบหนึ่งพัดต้องชายเสื้อคลุมยาวของแม่ทัพไป๋เหวินหลง ยืนตัวตรงดังหินผาสงบเยือกเย็นราวภาพวาดเยี่ยนอิงมีรอยยิ้มสดใสยืนประจันหน้าด้วยสายตาคาดหวังอันแน่นิ่งไป๋เหวินหลงนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตาคมขลับดูลังเล ก่อนค่อยๆ ยื่นตุ๊กตาผ้าออกไปช้าๆ สีหน้าเรียบเฉยอย่างคนที่ไม่อยากให้...แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธ“รับไปเถอะ” เสียงทุ้มต่ำเอื้อนเอ่ย“จริงหรือเจ้าคะ ท่านแม่ทัพ” เยี่ยนอิงเบิกตากว้าง ดวงหน้านวลเปล่งประกายราวจันทร์แรกแรมมือเล็กยื่นไปรับตุ๊กตาประคองไว้ในอ้อมแขนราวของล้ำค่า ใบหน้าสว่างไสวดั่งดอกไม้ผลิบานใต้ตะวันปลายฤดู“ไว้ไปอยู่กับข้านะ...เสี่ยวเหวิน”เสียงหวานยามที่เยี่ยนอิงพูดกับตุ๊กตา แม่ทัพไป๋เหวินหลงสบตากับแววตาคู่นั้นชั่วครู่ แล้วเบือนหน้าหนีลมหอบหนึ่งพัดเฉียดผ่านแก้ม เผยรอยยิ้มบางแผ่วเบาราวเงาเมฆ ไป๋เหวินหลงพึมพำกับตัวเองเบาๆ ไม่แน่ชัดว่าเพื่อแก้เขินหรือคลายสับสนในใจ“…ของแค่นั้น กลับทำให้เจ้าดีใจขนาดนี้…”เยี่ยนอิงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มของนางงามนัก งามยิ่งกว่ากลีบบุปผาใดๆ “ข้าต้องไปแล้วเจ
ปลายทางของความเข้าใจ อาจไม่ใช่สิ่งที่ค้นพบในวันเดียว แต่วันนี้…ความลังเลของแม่ทัพเริ่มถูกคลี่ออกอย่างเงียบงันและลึกซึ้งถุงผ้าหลายใบถูกวางเรียงกันอยู่บนโต๊ะไม้หยาบๆ มีทั้งขนม ไข่ไก่ ผักดอง และตุ๊กตาผ้าหลากสีที่เด็กๆ บ้านนอกถักด้วยมือโม่ชิงเหยียนค่อยๆ หยิบของบางชิ้นขึ้นมาพลิกดู พอถึงถุงสุดท้าย เขาก็ชะงักในถุงนั้นมีตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่ง ทำจากเศษผ้าไหมสีชมพูแก้มแดง ร้อยผมด้วยเส้นด้ายดำสนิท ผูกด้วยริบบิ้นเล็กๆ สีทองและที่สำคัญใบหน้าถูกปักด้วยฝีเข็มหยาบแต่เปี่ยมความตั้งใจ มีคิ้วเรียว ดวงตากลมโต และรอยยิ้มเอียงๆ อย่างที่ใครบางคนชอบทำตอนกำลังคิดแผนการ…ร้ายสินะโม่ชิงเหยียนยิ้มน้อยๆ หยิบมันขึ้นมาพิศดู“ดูสิ สิ่งที่นางทำมันทำให้หัวใจผู้คนอบอุ่นแค่ไหน…ถึงขั้นมีคนทำตุ๊กตาหน้าตาเหมือนองค์หญิงใหญ่หว่านชิงขึ้นมา” เขาว่าอย่างขำๆ น้ำเสียงก็เหมือนจะแซว แต่ก็แฝงด้วยความอบอุ่น แม่ทัพไป๋ขมวดคิ้วเข้ามาดูใกล้ๆ แล้วเผลอยิ้มออกมา“เหมือนจริงๆ ด้วย…”เขายกมันขึ้นหมุนดูรอบด้านอย่างจริงจังก่อนจะ“แฮ่บ”คว้าตัวตุ๊กตานั้นแล้วหนีบไว้ข้างเอว เหมือนของส่วนตัว โม่ชิงเหยียนเบิกตากว้าง “อ้าว…ช้าก่อนท่านแม่ทัพ ข้าเดิมที
แดดยามบ่ายปลายฤดูเหมันต์ส่องลอดระแนงไม้อย่างอ่อนโยน กลิ่นหญ้าแห้งกับกลิ่นฝุ่นจางๆ คลุกเคล้าในอากาศ โม่ชิงเหยียนที่เพิ่งล่ำลาองค์หญิงใหญ่มาหมาดๆ ยังไม่ทันได้หันกลับ ก็ถูกมือหนาของแม่ทัพไป๋เหวินหลงคว้าชายแขนเสื้อแล้วดึงออกมาเงียบๆ“พอดีเลยท่านราชครูเชิญทางนี้” “ไปไหนหรือ?” โม่ชิงเหยียนเลิกคิ้ว“นำของฝากเหล่านั้นให้มอบทหารชั้นผู้น้อยนำไปให้ชาวบ้าน”“หา? แล้วข้าต้องไปด้วยทำไม” ใบหน้านิ่งกลับมีแววครุ่นคิด“ท่านตอนนี้มีเวลาว่าง และสมอง”ราชครูหนุ่มถอนหายใจอย่างยอมแพ้เล็กๆ ระหว่างทางเดินไปยังคอกพักของม้าและรถขนของ ทหารคนสนิทยกหีบไม้และตะกร้าใส่ไก่ ผลไม้แห้งกับขนมหลายอย่างวางเรียงรออยู่แล้วแม่ทัพไป๋เหวินหลงยกมือสั่งงานเงียบๆ ให้คนของตนลำเลียงของทั้งหมด แล้วหันไปพูดเบาๆ กับโม่ชิงเหยียนข้างตัว“ข้าอยากถามท่านบางเรื่อง” ยังก้มหน้าก้มตา โบกไม้โบกมือ“ถามมาเถอะ ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว” โม่ชิงเหยียนพยักหน้าไป๋เหวินหลงยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง เสียงทหารลากรถผ่านไป กลิ่นขนมที่ชาวบ้านทำเองลอยแตะปลายจมูก กลิ่นของน้ำตาลไหม้แบบบ้านๆ กับความจริงใจที่ไม่มีอะไรเคลือบแฝง พลางคิดถึงหว่านชิงที่ชอบน้ำตาลก้อน“เรื่ององค์
เสียงในใจค่อยๆ กระซิบ…ข้าเคยคิดมาตลอดว่า หากหว่านชิงเพียงกลัวตายจากฝันร้าย เช่นนั้นก็แค่กลบบ่อใกล้ตำหนักก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดต้องขอให้กลบจนถึงเขตวังรอบนอก วุ่นวายหนักกว่าเดิมหลายเท่า คิดไปเองว่าเพราะหว่านชิงชอบให้คนอื่นมองว่านางยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดแต่ใครจะคิดถึงแผนการแบบนี้ของวห่านชิงภาพของหญิงสาวผู้เอนหลังพิงหมอนท่าทางขี้เกียจ และไร้แก่นสาร กลับผุดขึ้นในหัวของแม่ทัพอีกครั้งหรือว่า…หว่านชิงนางคิดมานานแล้ว…ตั้งใจทำให้วุ่นวาย…เพื่อยืดเวลาให้งานยาวออกไป…เพื่อให้ชาวบ้านมีข้าวกิน…เพื่อผ่านพ้นฤดูแล้งนี้…ไปได้อย่างราบรื่นแสร้งโง่…เพื่อลดแรงต้าน ยอมถูกเข้าใจผิด…แล้วยังไม่แก้ตัวเพื่อที่จะยอมเป็นคนแบบนั้นไป๋เหวินหลงยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าเงียบๆ แล้วถามตัวเองในใจข้าคิดผิดมาตลอดเลยหรือ หว่านชิง…เป็นคนแบบนั้นจริงๆ หรือ?หรือว่า…เป็นผู้มีปัญญาเหนือคนทั้งวังเพียงแต่เลือกจะเงียบงัน และแสดงออกต่างออกไปภายในตำหนักเหนือเมฆาแสนเงียบสงบบนเบาะนุ่มข้างหน้าต่าง องค์หญิงใหญ่หว่านชิงกำลังเอนตัวนอนข้างเจ้าแมวระบบสีขาวปุกปุย ตรงหน้าคือหน้าจอระบบที่ลอยอยู่“เก่าร้อยเจ็
แสงแดดยามบ่ายรำไรทอดผ่าน ฝุ่นดินลอยในอากาศเหมือนละอองไอจากความวุ่นวายเบื้องล่างแม่ทัพไป๋เหวินหลงก้าวเท้าลงจากม้า สายตากวาดมองรอบๆ อย่างเงียบขรึม คนงาน ช่าง ขุนนางน้อยใหญ่ และชาวบ้านกำลังเดินกันขวักไขว่ พูดคุยเสียงจ้อกแจ้กจอแจเสื้อผ้าอาภรณ์ขะมุกขะมอมทว่ากลับมีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าทันทีที่ขุนนางผู้ดูแลงานเห็นแม่ทัพหนุ่มเข้ามา เขาก็รีบเดินปรี่เข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดีเหมือนเห็นแสงทองท่ามกลางเมฆฝน“ท่านแม่ทัพ! มาเสียที” เขาเอ่ยพลางประสานมือคำนับ“ข้าน้อยนึกว่าใคร…ที่แท้ก็ท่านแม่ทัพผู้เปี่ยมบารมี! ไหนๆ ท่านก็มาถึงแล้ว ช่วยเอาสิ่งของเหล่านี้กลับไปให้องค์หญิงใหญ่ด้วยเถิด”แม่ทัพไป๋ขมวดคิ้ว มองไปยังโต๊ะไม้ยาวด้านข้าง ของกองเต็มอยู่บนโต๊ะและรอบโต๊ะ ตะกร้าผลไม้ ผักกาดดอง ไข่ไก่ หม้อดิน ยังมีขนมรูปแมว ขนมรูปดอกไม้ ตุ๊กตาผ้า และแม้แต่ลูกไก่หนึ่งตัวในกระด้ง“อะไร นี่มัน…อะไรกันแน่” ท่านแม่ทัพไป๋เหวินหลงถามเสียงต่ำขุนนางผู้นั้นหัวเราะเบาๆ “ก็ของที่ชาวบ้านนำมาขอบคุณองค์หญิงใหญ่น่ะสิขอรับทิ้งไว้หลายวันข้าน้อยเองก็หนักใจว่าจะไปไม่ถึงพอดีสวรรค์ส่งท่านแม่ทัพมาพอดี”เขาพยักพเยิดไปทางชาวบ้านหล