ศาลาไร้ทุกข์ หรือก็คือโรงหมอของท่านหมอฮัว ท่านหมอผู้เฒ่าผู้ได้รับสมญานามว่าฮั่วท้อเซียนซือ1 อีกทั้งท่านหมอยังเปิดโรงหมอรักษาแบบไม่คิดเงินทุกวันที่หนึ่งของทุกเดือน เป็นเหตุให้ผู้คนจากทุกสารทิศจะแห่กันมารับติ้วที่หน้าศาลาไร้ทุกข์ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ติ้วที่แจกมีเพียงแปดสิบอันเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่มีการแจกติ้ว
แม้ว่ามืดค่ำปานใดคนป่วยก็ไม่ยอมกลับไป เป็นเหตุให้ท่านหมอฮัวผู้เฒ่าและศิษย์ทั้งสาม ไม่มีเวลาแม้แต่จะดื่มน้ำ บุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านหมอฮัว จึงได้เสนอการแจกติ้วเพื่อจัดอันดับ ให้คนมาก่อนโดยจะแบ่งเป็นสัญลักษณ์สามแบบ
แบบที่หนึ่งเป็นการบอกว่าได้ตรวจกับท่านหมอท่านใด เพื่อกันมิให้ทุกคนมุ่งแต่จะตรวจกับท่านหมอฮัวผู้เฒ่า โดยใช้ขีดหนึ่งเส้นไปจนถึงสี่เส้นแทนตัวท่านหมอแต่ละท่าน
แบบที่สองคือลำดับที่โดยใช้จำนวนจุด เป็นการแสดงลำดับที่จะได้รับการตรวจ และแบบที่สามคือสี โดยใช้สีแดงที่ปลายติ้วแสดงว่าได้ตรวจรอบเช้า ส่วนสีน้ำเงินที่ปลายติ้วแสดงว่าได้ตรวจรอบบ่าย เช่น สองเส้น สามจุด สีแดง หมายถึง ได้ตรวจรอบเช้ากับศิษย์คนที่หนึ่งและเป็นลำดับที่สาม ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีการเบียดเสียดยัดเยียดจนเกิดการบาดเจ็บกันที่หน้าโรงหมออีกต่อไป
“ท่านหมอเจ้าคะ ช่วยพระชายาของข้าด้วย” ปี้หรูคุกเข่าแทบจะทันทีก้าวข้ามธรณีประตูศาลาไร้ทุกข์
“ลุกขึ้นมาคุยกันก่อนเถอะแม่นาง” เสียงใสบ่งบอกได้ว่าเป็นสตรีวัยเยาว์แม้ว่าจะสวมชุดและเกล้าผมทรงบุรุษก็ตาม
“ท่านชื่ออะไรหรือเจ้าคะ” แม้ปี้หรูจะมาอยู่เมืองต้าจินได้ครึ่งปีแล้วก็ตาม นางหาได้มีข้อมูลเกี่ยวกับคนหรือเรื่องใดในเมืองนี้แม้แต่น้อย จำได้เพียงองค์ชายรองรับสั่งให้นางมาตามท่านหมอฮัว จึงยอมเสียมารยาทถามออกไป
“ข้าชื่อฮัว เฮ้ย ๆ ๆ แม่นางจะดึงข้าไปที่ใดกัน” ฮัวตั่วเอ๋อตกใจจนลืมความเป็นกุลสตรีเผลอร้องเสียงดังลั่น แต่ก็สู้แรงของหญิงสาวตรงหน้ามิได้
“รีบไปเถอะเจ้าค่ะท่านหมอ พระชายาของข้าอาการแย่แล้ว” ปี้หรูตรงเข้าคว้าแขนเสื้อของนางแล้วออกแรงลากจนนางถลาตามไปอย่างตั้งตัวไม่ติด
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ เอ่อนางน่าจะมาตามท่านนะ” ฮัวตั่วเอ๋อหันไปขอความช่วยเหลือจากบิดาเพราะมั่นใจว่าคนที่หญิงสาวคนนี้ต้องการคงมิใช่นาง
“เจ้าไปเถอะ เสี่ยวม่านเอาล่วมยานายเจ้าไป เจ้าตามนางไปด้วย” ท่านหมอฮัวผู้เฒ่าตอบบุตรีที่เขามีเพียงคนเดียว พร้อมหันไปสั่งสาวใช้คนสนิทของนางที่แต่งกายเป็นชายมาปรนนิบัตินาง ในวันที่เขาเปิดโรงหมอการกุศล
“เจ้าค่ะนายท่าน” เสี่ยวม่านรับคำแล้วรีบตามเจ้านายไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ไม่ไกล
ก่อนหน้านี้นางมิเคยออกมาช่วย ทั้งยังไม่เคยจับตำราแพทย์ให้เขาเห็น ส่วนเหตุใดเขาจึงให้นางไปน่ะหรือ เพราะเมื่อรุ่งสางของวันที่หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาฝันว่า ท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะที่เขานับถือนั้นได้ประทานบัวหิมะให้บุตรสาวของเขา และกล่าวกับเขาว่าต่อไปบุตรสาวของเขาจะช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากได้มากกว่าเขามากมายนัก
จะยังสงสัยว่าบุตรสาวที่มิเคยแม้แต่จะอ่านตำราแพทย์ให้เห็นนั้นจะช่วยใครได้อย่างไร แต่ก็ได้แต่รอดูเหตุการณ์ และเช้าวันนั้นบุตรีของตนได้ออกมาช่วยจัดการปรับปรุงการรอตรวจการกุศลที่เขาไม่สามารถแก้ไขได้และยังได้จัดล่วมยาเป็นของตนเองอีกด้วย
จนมาวันนี้แม่นางผู้นั้นท่าทางคงเป็นนางกำนัลของจวนองค์ชายรอง เพราะเขาได้ข่าวมาสักพักแล้วว่าพระชายานั้นป่วยไข้ไม่สบายมาตลอด ตั้งแต่แต่งเข้าจวนองค์ชายรองไป และที่สำคัญองค์ชายองค์อื่นนั้นยังมิได้สมรส
เหตุใดนางกำนัลผู้นั้นจึงไม่ตรงมาที่เขา แต่กลับเป็นบุตรสาวของเขาแทน ไม่เสียเวลาคิดต่อ แต่ละคนล้วนมีโชคของตนเอง ท่านหมอฮัวละความคิดฟุ้งซ่าน หันไปบอกให้ศิษย์หลานเรียกผู้ป่วยลำดับสุดท้ายของวันให้เข้ามาตรวจ
“ท่านหมอเฉียนเจ้าคะ พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เสียงปี้หรูนำหน้าไปก่อนตัวจะมาถึง ท่านหมอเฉียนได้แต่ก้มหน้าละอายใจที่ไม่สามารถช่วยชีวิตพระชายาตู้ไว้ได้ เขากำลังจะไปรายงานกับองค์ชายรองด้วยตนเอง จึงได้แต่เดินจากไปอย่างเร่งรีบ
“เสี่ยวมี่ พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อท่านหมอเฉียนไม่ตอบ ปี้หรูจึงหันไปซักความเอากับเสี่ยวมี่
“ไม่ ไม่ทราบเจ้าค่ะพี่ปี้หรู ท่านหมอเฉียนมาจับชีพจรได้สักครู่ก็สั่งให้ข้าบีบนวดพระชายาให้ทั่วร่าง จากนั้นท่านหมอก็จับชีพจร ทำเช่นนี้อยู่สามรอบ ท่านหมอก็ส่ายหน้าแล้วก็เพิ่งเดินสวนพี่ปี้หรูออกไป ข้าถามอะไรท่านหมอก็ไม่ตอบเจ้าค่ะ” เสี่ยวมี่เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังปี้หรูออกไปภายในลมหายใจเดียว
“พวกเจ้าหลีกไป ให้ข้าดูนางหน่อย” ฮัวตั่วเอ๋อทั้งได้เห็นอาการของท่านหมอเฉียน ทั้งได้ฟังจากเสี่ยวมี่เหตุใดนางจะไม่เข้าใจความหมาย แต่นางยังอยากลองลองในสิ่งที่นางคิดว่านางอาจคิดเอาเองไปเพียงคนเดียว
“คุณชายท่านนี้คือ” เสี่ยวมี่ไม่ไว้ใจเมื่อเห็นคุณชายผู้หนึ่งตรงเข้ามาให้ห้องของพระชายาของตน ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด ถึงแม้จะเป็นหมอ แต่ก็ดูเด็กอย่างมาก ขนาดท่านหมอเฉียนยังถอดใจ แล้วคุณชายผู้นี้จะช่วยนายหญิงของตนได้หรือ กลัวแต่จะทำให้พระชายามีมลทินไปเสียอีก
“เจ้าหลบเถอะ นางเป็นหมอหญิง” ปี้หรูที่ได้พูดคุยกับฮัวตั่วเอ๋อมาบนรถม้าจนมั่นใจแล้วว่านางเป็นสตรีเช่นกัน และแม้ว่านางจะไม่ใช่ท่านหมอฮัว ฮัวท้อเซียนซือ แต่ท่านหมอฮัวผู้พ่อก็ได้ให้ท่านหมอหญิงฮัวผู้นี้มาแทน คาดว่าคงได้รับการถ่ายทอดวิชาแพทย์มาไม่น้อย เนื่องจากท่านหมอฮัวผู้เฒ่ามีนางเป็นบุตรเพียงคนเดียว นี่ก็เป็นข้อมูลที่ได้จากการซักถามฮัวตั่วเอ๋อบนรถม้า แต่ที่ว่าได้รับการถ่ายทอดวิชาแพทย์มานั้นปี้หรูคิดเอาเอง เพราะฮัวตั่วเอ๋อมิได้กล่าวสิ่งใดเกี่ยวกับคำถามนี้ของนาง เกรงว่าคงจะกลัวนางคิดว่าเป็นการโอ้อวดกระมัง
อืม ตัวยังอุ่นๆ อยู่ถ้าทำตามวิธีของเราน่าจะช่วยได้ แต่จะทำอย่างไรดี ขืนทำต่อหน้านางกำนัลเหล่านี้คงจะหาว่าเราล่วงเกินพระชายา ลองวิธีนี้ดูละกัน
“เสี่ยวม่านส่งล่วมยามาให้ข้า แล้วพวกเจ้าออกไปให้หมดทุกคน” คิดได้ดังนั้นฮัวตั่วเอ๋อแสร้งตีมาดขรึม วางหน้านิ่งใส่ทุกคน
“ไม่ให้ข้าอยู่ช่วยหรือเจ้าคะคุณหนู” เสี่ยวม่านเป็นห่วงคุณหนู ก็คุณหนูของนางเคยรักษาใครเสียที่ไหน นายท่านก็ช่างกระไรให้นางมารักษา เอิ่มมมม คนใกล้ตายสินะ ดูจากร่างผอมบาง ปากซีด ผมแห้งขนาดนี้
“ให้พวกข้าอยู่ด้วยเถอะท่านหมอ เผื่อท่านต้องการสิ่งใดพวกข้าจะช่วยจัดหาให้” ปี้หรูไม่อยากห่างจากพระชายาของนาง
“พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าจะฝังเข็มให้นาง มันเป็นวิชาลับน่ะ ช่วยปิดประตู และห้ามให้ใครเข้ามาจนกว่าข้าจะเรียกด้วยนะ” ได้แต่ต้องกล่าวเยี่ยงนี้สินะ เฮ้อ ไม่อยากโกหกเอาเสียเลย ฮัวตั่วเอ๋อได้แต่คิดในใจจากนั้นเร่งสำรวจประตูพร้อมขัดดาลจากด้านใน
จากนั้นจึงเริ่มทำการกู้ชีพ เริ่มจากทำการกดหน้าอก โดยจับตู้จินจินนอนหงาย แล้วนั่งคุกเข่าข้างร่างบาง วางสันมือข้างหนึ่งตรงครึ่งล่างกระดูกหน้าอก2 และวางมืออีกข้างทับประสานกันไว้ เริ่มการกดหน้าอกด้วยความลึกราวสองชุ่น ในอัตราเร็วหนึ่งร้อย ถึงหนึงร้อยยี่สิบครั้งต่อนาที โดยไม่ลืมร้องเพลง “สุขกันเถอะเรา” ของสุนทราภรณ์ในใจไปด้วยเพื่อให้จังหวะ เมื่อกดไปได้สามครั้งนางจึงเชยคางพระชายาขึ้น มือหนึ่งบีบจมูก ก้มหน้าลงเตรียมเป่าปาก
1 ฮัวท้อเซียนซือ คนไทยรู้จักในนาม หมอฮัวโต๋
2 ตำแหน่งตรงกลางระหว่างหน้าอก ระดับเดียวกับหัวนมพอดี
เพื่อนร่วมรุ่นม.ต้นที่สนิทสนมและรักกันมาก จำนวน 4 คนพร้อมทั้งน้องสาวของเพื่อนอีกหนึ่งคนในกลุ่มที่อายุไล่เลี่ยกันทำให้พลอยสนิมสนมกับเพื่อนๆ ของพี่สาวไปด้วย ทั้ง 5 คนมีจุดร่วมกันอีกอย่างที่คนภายนอกไม่ทราบนั่นก็คือความความเคารพนับถือในท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะเทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเองวันนี้ห้าสาวนัดรวมกันไปกินข้าวกลางวันที่ห้างดังแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง หนุงหนิงที่พาอุ๊งอิ๊งลูกสาวจินไปประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนประจำจังหวัดแทนจินที่ติดประชุมผู้ถือหุ้นก่อนจะมารวมตัวกับทุกคน เป็นเหตุให้ได้เห็นนายเจนภพสามีจอมเจ้าชู้ของจินที่อ้างว่าป่วยต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลพากิ๊กและลูกติดไปประชุม บังเอิญว่าลูกติดของผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนห้องเดียวกับน้องอุ๊งอิ๊งลูกสาวของจิน เธอเลยให้อุ๊งอิ๊งทำทีถามทางไปบ้านของเด็กคนนั้นและเอามาบอกให้จินฟังหลังทานข้าวเสร็จ เพราะกลัวเพื่อนจะไม่ได้กินข้าวกินปลา แต่กระนั้นจินก็รีบร้อนออกไปหาเจนภพตามที่อยู่นั้นทันทีที่หนุงหนิงเล่าจบเนื่องจากเธออนุญาตให้เจนภพสามีจอมเจ้าชู้มีภรรยาน้อยได้ตลอดขอเพียงให้บอกเธอ เธอจะได้พาเจ้าหล่อนไปตรวจร่างกายเพื่อหลีกเลี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และได้จ
“ตั้งแต่วันที่ข้าฟื้นขึ้นมาก็พบว่ารอบๆ ตัวของข้าเปลี่ยนไป ข้าต้องใช้ชีวิตในร่างของใครอีกคนหนึ่ง ดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะที่ข้านับถือ และยังได้พบเจอสหายดีๆ ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายและใจให้ข้าเช่นฮัวตั่วเอ๋อ และไป๋เหลียนฮวาที่ปรึกษาในการใช้ชีวิต รวมถึงหวงเฟิ่งและจินหลิงหลิง ทั้งสี่นางทำให้ข้าคิดถึงสหายสนิททั้งสี่ในภพเดิม และต้องไม่ลืมกล่าวถึงอาเม่ยที่ทำให้ข้าหายคิดถึงอุ๊งอิ๊งลูกสาวข้าที่มีวัยใกล้เคียงกับนาง ท่านตาบอกข้าว่าคำอธิฐานของข้าทำให้ข้าได้ย้อนกลับมาแก้ไขชะตาของตนเอง ข้าจึงมิได้เสียใจนักที่ตู้จินจินคนเดิมตายไปเพราะนางก็คือข้าและข้าก็คือนาง เพียงแต่นี่คงจะเรียกว่าว่า ‘อดีตชาติ’ คงมิได้ แต่มันน่าจะเรียกว่า มัลติเวิร์ส1 ที่มีตัวตนของเราอีกคนหนึ่ง ในโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งมีจุดกำเนิด แนวคิด วีถีชีวิต และจุดจบแต่งต่างกันไป และมิจำเป็นว่าต้องมีแค่หนึ่งหรือสองตัวตนเท่านั้น และแม้ว่าแต่ละตัวตนในแต่ละโลกจะต่างฝ่ายต่างดำรงชีวิตกันไปโดยไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในภพใดภพหนึ่งอาจส่งกระทบถึงภพอื่นๆ ไปด้วยได้เช่นกัน” หลังจากที่เล่าเรื่องราวโดยละเ
“นังหนู นังหนูจิน อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย สงสารสวามีเจ้าบ้างเถิด เคราะห์ครั้งสุดท้ายของเจ้าผ่านไปแล้ว” เสียงอ่อนโยนของเทพชราปลุกให้จินมีสติขึ้นมาในความฝัน “ท่านตาเจ้าขา ท่านตาช่วยหลานไว้ใช่ไหมเจ้าคะ หลานกราบขอบคุณเจ้าค่ะ” พร้อมคำพูดร่างแน่งน้อยกุลีกุจอลุกขึ้นยอบกายลงกราบแทบเท้าท่านเทพที่นางเคารพยิ่ง “คราวนี้นับว่าเป็นกุศลที่เจ้าช่วยหลีกเลี่ยงสงครามครั้งใหญ่ทำให้ผู้คนมากมายรักษาชีวิตไว้ได้ เรียกว่าเป็น ‘บุญรักษา’ อย่างแท้จริงก็ว่าได้” “เป็นเช่นนี้เอง ว่าแต่นี่หลานเข้ามาในมิติได้แถมยังพาสวามีมาได้อีกด้วย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เจ้าคะ ท่านตาเคยบอกหลานว่ามีเพียงหลานเองที่สามารถเข้าออกมิติแห่งนี้ได้” แม้ว่าจะดีใจที่พาสวามีหลบภัยเข้ามามิติได้แต่ก็ยังไม่วายสงสัยจนต้องตั้งคำถาม “ในภพเดิมของเจ้าก็มีคำกล่าวว่า ‘สามี-ภรรยา เหมือนดั่งคนคนเดียวกัน’ มิใช่รึ” เสียงตอบเรียบๆจากท่านเทพชราพาให้จินคิดตามและเมื่อคิดได้ว่า นางและเขาได้ผ่านการเข้าหอซึ่งถือว่าเป็นสามี-ภรรยากันแล้ว ใบหน้าเรียวพลันขึ้นสีแดงด้วยความขวยเขิน “ข้ามิได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่หมายถึงการที่
หลังสรุปผลการชิงธง และรับประทานมื้อเช้าอันอุดมสมบูรณ์ที่พระชายาตู้สั่งมาจากภัตตาคารชิมเมฆา แม้กับข้าวจะมีเพียงต้มจืดซี่โครงหมูกับผักกาดดองไว้ซดให้คล่องคอ และผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวที่เติมได้ไม่อั้นครานี้การพรางตัวเป็นไปอย่างง่ายดายเพราะองครักษ์เงานั้นมีการฝึกแปลงโฉมกันอยู่ก่อนแล้ว ตู้จินจินให้ช่างแต่งหน้าจากคณะละครของไป๋เหลียนฮวามาสอนเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยก็เรียกได้ว่าไร้ที่ติ เป้สัมภาระถูกซุกซ่อนในหีบเสื้อผ้า อาหารแห้งปะปนกันทั้งจริงและหลอก อาหารทะเลตากแห้งและเกลือในปริมาณตามที่ได้รับอนุญาตถูกบรรจุไว้ในถังไม้ หรือแม้กระทั่งห่อกระดาษน้ำมันที่ตีตราว่าเป็นใบชา ด้านในกลับเป็นเกาเฟยคั่วบดในซองผ้ากับน้ำตาลอ้อยชนิดผงกองกำลังถูกแบ่งกลุ่มและพรางตัวเพื่อออกเดินทางแล้วแยกย้ายกันไปในรูปลักษณ์ต่างๆ โดยแบ่งกำลังออกเป็น 5 กลุ่ม ทำทีเป็นพ่อค้าบ้าง เป็นคณะละครที่กลับจากแคว้นต้าจินบ้าง ทุกกลุ่มเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อถึงเมืองชายแดนหลังออกเดินทาง 3 วัน จึงตั้งค่ายพักผ่อนให้เต็มที่ 2 วัน จากนั้นจึงเดินทางเข้าประชิดเป้าหมายคือค่ายโจรเผ่าปาสู่แผนการรบถูกวางและซักซ้อมกันไปแล้วในการฝึกพิเศษ ตู้จินจินถ
เมื่อทุกคนตื่นมารับประทานอาหารเย็นในยามโหย่ว เหตุการณ์ที่พวกเขารับรู้ได้ก็ยังไร้วี่แววการบุกหรือถูกบุกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิง ดีที่มื้อเย็นวันนี้เป็นอาหารปิ้งย่างที่ตู้จินจินให้ทางภัตตาคารชิมเมฆาส่งเนื้อสัตว์เสียบไม้สลับกับผักและผลไม้และมีน้ำหมักที่เอาไว้ทาไปย่างไปมาอีก 2 แบบ คือแบบเผ็ดมากและเผ็ดน้อย ส่วนคนที่ไม่เผ็ดนั้นคือเนื้อสัตว์แต่ละชนิดก่อนจะนำมาเสียบสลับกับผักผลไม้ที่ถูกหมักกับน้ำมันงาและเหล้าอย่างดีมาก่อนแล้ว “เจ้าว่าพวกเขาจะเริ่มบุกกันเมื่อใดหรือ” ฮัวตั่วเอ๋อที่ไม่ได้พักผ่อนยามบ่ายเอ่ยถามขึ้น และอีกหลายคนก็ยังจัดการงานในมือมิแล้วเสร็จ “หลังกลางยามโฉ่วไปแล้วกระมัง หากให้คำนวณตามหลักการของคนปกติ ช่วงนี้จะเป็นเวลาที่กำลังหลับลึกที่สุด แต่ว่าข้าก็มิอาจยืนยันได้เพราะพวกเขาผ่านการฝึกให้ต่างจากคนทั่วไป หากใครต้องการพักผ่อนก็ตามสบาย หากมีความเคลื่อนไหวข้าจะให้คนไปปลุกพวกท่านเอง” ตู้จินจินเองก็เพิ่งพักสายตาไปไม่นานเพราะมัวแต่ถูกก่อกวนจากพระสวามีก็รู้สึกง่วงอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรเกินเลยเพราะต่างก็เกรงใจดวงตะวันที่ยังไม่ตกดิน ทั้งยังมิได้พักอยู่ในจวน
“กลุ่มเลขคี่ประชุมด่วน” เสียงเรียกประชุมดังขึ้นกลางสวนผลไม้ในชมเมฆา แต่กลับไร้วี่แววของกำลังพลกลุ่มเลขคี่ที่ควรจะมารวมตัวกันเพื่อรับฟังการประชุม องค์ชายรองและพระชายามองหน้ากัน ในสายตามีรอยยิ้มน้อยๆ จนเมื่อหยางต้าซานหยิบนกหวีดทองเหลืองออกมาเป่าเป็นจังหวะสั้นยาวสลับกันสามครั้งจึงเริ่มมีกำลังพลทยอยกันมารวมกลุ่มจนครบทุกนายภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจ แสดงให้เห็นได้ชัดถึงระเบียบวินัยและความมั่นคงในจิตใจของกำลังพลที่มิเชื่อคำสั่งของผู้ใดโดยง่าย “ทุกคนพรางตัวได้ดีมาก เรื่องบทลงโทษจึงละเว้นให้ แต่อย่าลืมว่าในยามศึกการลงโทษคือชีวิต คืนนี้ฝ่ายเลขคี่เลือกเป็นฝ่ายบุก ดังนั้นภารกิจที่พวกเจ้าได้รับคือ บุกไปชิงธงสัญลักษณ์ของฝ่ายเลขคู่มาให้ได้ก่อนฟ้าสาง โดยที่ต้องรักษาธงสัญลักษณ์ของฝ่ายตนเองเอาไว้ให้ได้ด้วย โดยทั้งสองฝ่ายต้องสร้างหอธงขึ้นมาในส่วนใดก็ได้ของค่ายพัก และภารกิจจะเริ่มเมื่อตะวันตกดิน นี่คือพลุสีเหลือง พวกเจ้าติดตัวไว้คนละ 1 ดอก หากชิงธงมาได้แล้วให้จุดพลุขึ้นทันทีแล้วภารกิจจะเป็นอันเสร็จสิ้น ส่วนแผนการทั้งหมดให้พวกเจ้าหารือกันเอง ครูฝึกและพวกข้าจะคอยสังเกตการณ์ ห้ามมิให้ถึงแก่ชีวิตและห