เข้าสู่ระบบหนิงเฉินเดินเข้ามาในบ้านของปู่กับย่าในมือถือชามใส่หมูสามชั้นตุ๋นผักดองชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่พอสมควรสองชิ้นเอาไว้ส่งกลิ่นโชยหอมน่ากิน
เธอเดินดูไปรอบๆบ้านแต่ยังไม่เห็นใครที่นั่น หากแต่เดินไปได้สักพักเธอก็ได้กลิ่นหอมอบอวลของกับข้าวลอยมาจากในครัว หนิงเฉินไม่รีรอเดินตามกลิ่นหอมๆนั้นไปทันที
“คุณปู่คุณย่าอยู่ที่นี่เองเหรอค่ะ” หนิงเฉินส่งเสียงทักทายสองผู้เฒ่าที่กำลังช่วยกันหุงหาอาหาร
“อ้อ..เฉินเอ๋อนั่นเอง ว่าอย่างไรเล่า” คุณปู่ซูเอ่ยทักทายและออกปากถามหลานสาว
“คุณแม่ให้หนูเอาหมูสามชั้นตุ๋นผักดองมาให้ค่ะ” หนิงเฉินตอบก่อนจะเดินไปทางคุณย่าซู
“อืม หน้าตาน่ากิน กลิ่นก็หอมสมกับเป็นฝีมือเย่าหลิน ต้องอร่อยแน่ๆ” คุณย่าซูเอ่ยกับหลานสาว
“ใช่ค่ะ อาหารฝีมือคุณแม่อร่อยทุกอย่าง ความจริงคุณปู่คุณย่าเองก็ไม่น่าต้องลำบากทำอาหารทานเองเลยนะคะ ไปทานด้วยกันกับพวกเราก็ได้นี่คะ” หนิงเฉินเอ่ย เนื่องจากคุณปู่คุณย่าของเธอไม่ได้เรียกรวมทานอาหารด้วยกันทุกมื้อ เพียงแต่นัดแนะทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสัปดาห์ล่ะครั้ง ส่วนทางด้านครอบครัวของคุณลุงก็จะกลับมาเยี่ยมบ้านอย่างน้อยเดือนละครั้งและทานอาหารร่วมกันทุกคน
ส่วนห่าวหมิงพี่ชายเธอที่เรียนมหาลัยในเมืองจะกลับบ้านมาทุกสุดสัปดาห์เพื่อช่วยครอบครัวทำงานมาอยู่กับพ่อแม่พี่น้อง ยกเว้นช่วงใกล้สอบที่จะกลับมาเดือนละครั้งเท่านั้น
“ปู่กับย่าทำอาหารกินเองก็ไม่ได้ลำบากเสียหน่อย ที่สำคัญอาหารของพวกเราตอนนี้ก็เน้นพวกผัก พวกปลา เต้าหู้ ส่วนพวกเธอที่ยังหนุ่มยังสาวก็กินเนื้อกันให้เยอะๆเถอะนะ” คุณย่าซูเอ่ยกับหลานสาวพร้อมยิ้มอย่างใจดี
“เอาเถอะค่ะ ตามใจคุณปู่คุณย่าเถอะนะคะ งั้นเดี๋ยวหนูช่วยยกอาหารไปวางบนโต๊ะให้นะคะ” หนิงเฉินกล่าวก่อนอาสายกผัดผัก หม่าโผวโต้วฟุ และหมูสามชั้นตุ๋นผักดองออกไปจัดวางไว้บนโต๊ะ
หลังจากช่วยปู่ย่าจัดโต๊ะเสร็จเธอก็ขอตัวกลับบ้านไปทานมื้อค่ำกับครอบครัว
“พ่อคะ แม่คะ หนูมีเรื่องจะบอกค่ะ” หนิงเฉินเอ่ยขึ้นขณะกินมื้อค่ำร่วมกันกับทุกคน
“อะไรงั้นรึเฉินเอ๋อ” อี้เฉินถามบุตรสาว
“หนูตั้งใจจะเรียนต่อนะคะ จะไม่แต่งงานตามความต้องการของคุณปู่คุณย่าเร็วๆนี้แน่นอนค่ะ” หนิงเฉินเอ่ยความมุ่งมั่นตั้งใจของตนเองออกมา ทำให้พ่อกับแม่ของเธอมีสีหน้าประหลาดใจก่อนจะกลายเป็นวิตกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนห่าวเยว่น้องชายของเธอนั้นกลับยิ้มด้วยความพอใจที่พี่สาวซึ่งปกติจะไม่ค่อยกล้าพูดกล้าแสดงออก ยามนี้กลับพูดในสิ่งที่ตนเองต้องการออกมาได้เสียที
“พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หนูจะหาเงินเรียนเอง แล้วต่อไปหนูก็จะหารายได้มาช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวเราด้วย”
“เฉินเอ๋อ ลูกยังเด็กจะไปหาเงินเองอย่างไรกัน” เย่าหลินเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
“นั่นสิ พ่อเองก็อยากส่งเสริมให้ลูกได้เรียนตามต้องการ เดี๋ยวพ่อจะหาวิธีเอง บางทีถ้าพ่อไปรับจ้างทำงานเพิ่มหลังดูแลสวนของเราเสร็จ ก็น่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก” อี้เฉินก็พยายามคิดหาทางเต็มที่เพื่อให้หนิงเฉินได้เรียนหนังสือต่อตามที่ต้องการ
“แม่ก็จะรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าเพิ่มขึ้นด้วย เราจะได้มีรายได้มากขึ้นอย่างไรล่ะ” เย่าหลินเองก็กล่าวเสริมขึ้นเช่นกัน
“หลังเลิกเรียนหรือวันหยุดหลังจากช่วยที่บ้านทำงานแล้ว ผมก็จะไปหางานรับจ้างทั่วไป พี่หนิงเฉินพี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมเองก็จะสนับสนุนพี่ด้วย” ห่าวเยว่ก็ออกตัวสนับสนุนหนิงเฉินเต็มที่ ทำให้ภายในใจหนิงเฉินยามนี้รู้สึกเต็มตื้นไปหมด
‘นี่สินะความรู้สึกของการมีครอบครัวที่อบอุ่น มีคนที่รัก ห่วงใย สนับสนุนเราทุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไข เธอคิดถูกจริงๆที่ตัดสินใจข้ามมิติย้อนเวลามาที่นี่ เธอจะทำให้ครอบครัวของเธอมีความสุข มั่งคั่งร่ำรวยให้ได้’ หนิงเฉินคิดอย่างสุขใจ
“ขอบคุณทุกคนมากค่ะ แต่หนูพอจะมีหนทางอยู่แล้ว พ่อกับแม่ไม่ต้องลำบากจนเกินไปหรอกนะคะ พอดีหนูมีเพื่อนที่รู้จักกันแนะนำงานดีๆให้แล้วเป็นงานค้าขายพวกอาหารของกินที่น่าสนใจมาก หนูแค่ต้องไปช่วยเขาทำแล้วนำไปขายก็จะได้ส่วนแบ่งตามผลกำไรที่ได้รับ นับว่าคุ้มค่ามากทีเดียวเลยค่ะ” หนิงเฉินแต่งเรื่องขึ้นมาเตรียมเอาไว้แล้ว ความจริงเธอจะนำของกินของใช้ต่างๆมาจากประตูมิติเพื่อนำมาขายต่างหาก
“มีงานดีขนาดนั้นด้วยเหรอ ช่างน่าสนใจจริงๆ” เย่าหลินเอ่ย
“ค่ะพอดีเพื่อนของหนูมีญาติที่เพิ่งจะเริ่มงานนี้ได้ไม่นานเลยต้องการหาคนไปร่วมทำด้วยอีกสักคน หนูจึงขอมีส่วนด้วยทันที ดังนั้นแล้วพ่อกับแม่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” หนิงเฉินกล่าวยิ้มแย้ม
“น่าเสียดาย เขารับแค่คนเดียวเองเหรอ พี่หนิงเฉินไม่งั้นผมจะได้ไปสมัครช่วยด้วย” ห่าวเยว่เอ่ยอย่างเสียดาย
“มันยังเป็นแค่กิจการค้าเล็กๆน่ะ แต่หากต่อไปสามารถขยายให้ใหญ่โตขึ้น พี่อาจจะขอให้เธอไปช่วยด้วยช่วงที่มีเวลาว่างก็ได้”
“ดีเลย ถ้างั้นพี่ก็ลองทำดูก่อน ขอให้กิจการพวกพี่เจริญก้าวหน้าไวๆ ผมจะได้ช่วยเหลือครอบครัวได้บ้าง”
“เสี่ยวเยว่..เด็กดี เอาหมูนี่ไปกินนะจะได้โตไวๆ” หนิงเฉินกล่าวก่อนจะคีบเนื้อหมูสามชั้นตุ๋นผักกาดดองให้น้องชาย เย่าหลินกับอี้เฉินได้แต่มองดูลูกๆรักใคร่กลมเกลียวอย่างมีความสุขและเบาใจที่ลูกแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นเด็กดีมีความรับผิดชอบกันทุกคน
วันต่อมาเป็นหนิงเฉินไม่มีเรียนเนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์หลังจากช่วยงานแม่และพ่อเสร็จเธอก็ขออนุญาตพวกท่านไปทำธุระเรื่องการค้าขายที่เกริ่นเอาไว้เมื่อวานโดยไม่รอช้า
หนิงเฉินมุ่งไปที่ตลาดค้าขายย่านชานเมืองก่อนเป็นอันดับแรก พบว่าพืชผักผลไม้ที่นี่ไม่ค่อยงามเท่าที่ควรซึ่งสภาพพอๆกับที่สวนบ้านเธอนั่นแหละ และงานนี้เธอก็ได้เริ่มศึกษาสภาพดินฟ้าอากาศรวมทั้งวิธีปลูกพืชผักของทางบ้านเอาไว้แล้วเพื่อเตรียมพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรให้มีคุณภาพสูงต่อไป ยังไม่นับรวมถึงว่าเธอจะนำเอาพืชผลแปลกๆหายากกับวิธีการที่ทันสมัยมาใช้ในการเพาะปลูกพืชให้ได้ผลผลิตและกำไรงามมากที่สุดด้วย
‘ดูจากพืชผักผลไม้ที่ขายตอนนี้แล้ว หากเราเร่งพัฒนาผลผลิตที่บ้านให้งอกงามและมีอะไรแปลกใหม่มาลงในตลาด รับรองว่าทางบ้านต้องได้กำไรจากการค้าขายเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย’ หนิงเฉินคิดแผนพัฒนาการเกษตรที่บ้านไปด้วย ก่อนจะมุ่งหน้าสำรวจข้าวของเครื่องใช้ ของอุปโภคบริโภคในตลาดส่วนอื่นๆอีก
‘อ้อ..เธอจำได้ว่าในยุคสมัยนี้นอกจากตลาดค้าขายธรรมดาทั่วไปที่รัฐบาลปล่อยให้ผู้ผลิตสามารถค้าขายด้วยตนเองได้แล้ว ยังมีตลาดมืดที่มีของคุณภาพดีหายากอยู่ด้วย และดูเหมือนว่าการค้าขายในตลาดมืดนี้น่าจะทำกำไรได้ไม่น้อยเลย เห็นทีเธอต้องหาหนทางไปตลาดมืดพวกนี้เสียหน่อยแล้ว’ หนิงเฉินคิดก่อนจะเดินดูตลาดการค้าธรรมดาแห่งนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อเสาะแสวงหาแหล่งข้อมูลของตลาดมืด
“พ่อค้าไม่มีโสมสมุนไพรป่าบ้างเลยงั้นหรือ” ชายคนหนึ่งกำลังเอ่ยถามพ่อค้าพืชผักสมุนไพรที่เก็บหาของป่ามาขาย
“โสมป่างั้นรึ ถ้ามีผมคงไม่ต้องมานั่งขายของที่นี่ไปอีกพักใหญ่เลยล่ะ แต่ในป่าช่วงนี้หาโสมดีๆได้ยากเหลือเกิน คุณก็รู้นี่ว่ามีแต่คนแย่งกันซื้อแย่งกันขายของดีแบบนั้น” พ่อค้าตอบกลับไป หนิงเฉินที่เดินผ่านมาพอดีจึงหยุดนิ่งฟังทำเป็นสนใจสินค้าอื่นใกล้ๆนั่น
“แย่จริง แล้วผมจะไปหาโสมป่าที่ไหนมาให้ภรรยาตุ๋นซุปให้กับลูกชายได้บ้างล่ะเนี่ย” ชายคนนั้นบ่นเนื่องจากถูกภรรยาใช้ให้มาหาซื้อโสมป่าไปตุ๋นบำรุงกำลังให้กับบุตรชายที่เพิ่งจะฟื้นตัวจากอาการป่วย
“คุณลองไปดูที่ตลาดมืดดูสิ พวกของหายากอย่างโสมชั้นดี หรือแม้นแต่เห็ดหลินจือ ถั่งเช่า เขากวางอ่อนก็น่าจะมี เพียงแต่ราคาก็ไม่เบาเลยทีเดียว” พ่อค้าของป่าเอ่ยขึ้นมาเบาๆแต่หนิงเฉินที่พยายามเงี่ยหูฟังอย่างเต็มที่ก็ได้ยิน
“แล้วตลาดมืดที่ว่านั่นอยู่ที่ใดงั้นรึ” ชายที่เป็นลูกค้าเอ่ยถาม จากนั้นพ่อค้าของป่าก็กระซิบกระซาบให้เขาได้ยินเพียงเท่านั้น ทำให้หนิงเฉินไม่รู้ตำแหน่งของตลาดมืด เธอจึงตั้งใจว่าจะลอบตามชายที่เป็นลูกค้าคนนั้นไป
หนิงเฉินเดินเข้ามาดูสองปู่หลานช่วยกันซ่อมเล้าไก่ก่อนจะเอ่ยปากทักทายพวกเขา“คุณปู่ เสี่ยวเยว่ซ่อมเล้าไก่ใกล้เสร็จหรือยังคะ”“อ้อ..เฉินเอ๋อกลับมาแล้วเหรอ เราซ่อมเล้าไก่กันใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ หนูมาก็ดีแล้ว ปู่มีธุระสำคัญจะคุยด้วยพอดี” คุณปู่ซูเอ่ยกับหลานสาว“ธุระสำคัญงั้นเหรอคะ เรื่องอะไรกันคะคุณปู่”“เดี๋ยวทำงานนี้เสร็จแล้วค่อยคุยก็แล้วกันนะ” คุณปู่ซูยังไม่ยอมบอกธุระที่ว่าสำคัญนั้น“ได้ค่ะ งั้นหนูกลับไปช่วยคุณแม่ทำของว่างมาให้ทุกคนทานก่อน แล้วถ้าคุณปู่เสร็จงานทางนี้ให้เสี่ยวเยว่ไปตามหนูก็แล้วกันนะคะ”“เอางั้นก็ได้” คุณปู่ซูรับคำ ส่วนห่าวเยว่ก็พยักหน้าให้พี่สาวเป็นการตอบรับ หนิงเฉินจึงบอกคุณย่าซูนิดหนึ่งว่าจะไปทำของว่างมาให้จากนั้นก็เดินกลับไปที่บ้านเมื่อมาถึงหนิงเฉินก็อาสาเข้าครัวก่อนจะลงมือทำของว่างเป็นบัวลอยไส้งาดำน้ำขิงง่ายๆให้กับทุกคน หลังจากทำของว่างเสร็จห่าวเยว่ก็กลับมาที่บ้านพอดี หนิงเฉินจึงยกของว่างมาให้พ่อกับแม่จากนั้นก็นำส่วนของตนเองและปู่ย่าไปให้ที่บ้านอีกหลัง“เสี่ยวเยว่เดี๋ยวนายไปตักของว่างเอาเองในครัวนะ พี่จะเอาของว่างไปให้ปู่กับย่า แม่กับพ่อคะหนูไปทานของว่างที่บ้านนู้นเลย
หลังจากคุณลุงคนที่เป็นลูกค้าร้านขายของป่าได้ฟังตำแหน่งที่ตั้งของตลาดมืดจากพ่อค้าของป่าแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางทันที โดยมีหนิงเฉินแอบลอบตามไปห่างๆเส้นทางไปยังตลาดมืดค่อนข้างจะวกวนไม่น้อย หากไม่ใช่คนในพื้นที่หรือแม้นแต่คนในพื้นที่เองก็เกรงว่าจะหลงทางได้ถ้าไม่เคยไปมาก่อน และคุณลุงคนนั้นก็พาเธอเดินวนไปเวียนมาจนสับสน แต่สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายปลายทางจนได้สภาพของตลาดมืดดูดีกว่าที่เธอคิดเอาไว้ ได้ยินว่ายุคสมัยนี้รัฐบาลไม่ค่อยจะเข้มงวดกับการค้าขายในตลาดมืดมากนักจึงมีผู้คนคึกคักมากมายไปหมดหนิงเฉินเดินสำรวจร้านค้าต่างๆที่มีสินค้าดีคุณภาพสูงเยอะแยะมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าราคาก็สูงตามไปด้วยเช่นกัน มีตั้งแต่พืชผักผลไม้ สมุนไพร เครื่องเทศ ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับของตกแต่ง อาหารสด อาหารแห้ง อาหารแปรรูป ไปจนกระทั่งเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายประเภท แม้นแต่รถจักรยานก็มีขายที่นี่ นับว่าเป็นตลาดที่มีสินค้าครบครันจริงๆ ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดด้วยคูปอง เพียงมีเงินสดก็สามารถจับจ่ายซื้อขายกันได้แล้วหนิงเฉินเตรียมสมุดและปากกามาจดรายละเอียดที่สำคัญต่างๆ เกี่ยวกับสินค้าที่ซื้อขายกันในตลาดมืด
หนิงเฉินเดินเข้ามาในบ้านของปู่กับย่าในมือถือชามใส่หมูสามชั้นตุ๋นผักดองชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่พอสมควรสองชิ้นเอาไว้ส่งกลิ่นโชยหอมน่ากินเธอเดินดูไปรอบๆบ้านแต่ยังไม่เห็นใครที่นั่น หากแต่เดินไปได้สักพักเธอก็ได้กลิ่นหอมอบอวลของกับข้าวลอยมาจากในครัว หนิงเฉินไม่รีรอเดินตามกลิ่นหอมๆนั้นไปทันที“คุณปู่คุณย่าอยู่ที่นี่เองเหรอค่ะ” หนิงเฉินส่งเสียงทักทายสองผู้เฒ่าที่กำลังช่วยกันหุงหาอาหาร“อ้อ..เฉินเอ๋อนั่นเอง ว่าอย่างไรเล่า” คุณปู่ซูเอ่ยทักทายและออกปากถามหลานสาว“คุณแม่ให้หนูเอาหมูสามชั้นตุ๋นผักดองมาให้ค่ะ” หนิงเฉินตอบก่อนจะเดินไปทางคุณย่าซู“อืม หน้าตาน่ากิน กลิ่นก็หอมสมกับเป็นฝีมือเย่าหลิน ต้องอร่อยแน่ๆ” คุณย่าซูเอ่ยกับหลานสาว“ใช่ค่ะ อาหารฝีมือคุณแม่อร่อยทุกอย่าง ความจริงคุณปู่คุณย่าเองก็ไม่น่าต้องลำบากทำอาหารทานเองเลยนะคะ ไปทานด้วยกันกับพวกเราก็ได้นี่คะ” หนิงเฉินเอ่ย เนื่องจากคุณปู่คุณย่าของเธอไม่ได้เรียกรวมทานอาหารด้วยกันทุกมื้อ เพียงแต่นัดแนะทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสัปดาห์ล่ะครั้ง ส่วนทางด้านครอบครัวของคุณลุงก็จะกลับมาเยี่ยมบ้านอย่างน้อยเดือนละครั้งและทานอาหารร่วมกันทุกคนส่วนห่าวหมิงพี่ช
เมื่อใกล้ถึงปากทางออก แสงที่ส่องเข้ามาก็ดูเหมือนว่าจะสว่างมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าจนเธอมองไม่เห็นอะไรเลย ก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างราวกับเธอเป็นแผ่นโลหะที่กำลังถูกแม่เหล็กขนาดยักษ์ดึงดูดเข้าไปที่ใดที่หนึ่งผ่านไปชั่วครู่ก็มีภาพความทรงจำของเด็กสาวผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาให้เห็นฉายเป็นภาพอยู่ในสมอง ประทับอยู่ในความทรงจำ เป็นเรื่องของเด็กสาวอายุ 17 ปีนามว่าซูหนิงเฉิน รูปร่างหน้าตาชื่อสกุลคล้ายคลึงกลับเธอทุกอย่างเพียงแต่เป็นเธอในช่วงวัยรุ่นเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีสุดท้ายที่โรงเรียนแถบชานเมืองเจิ้นโจวครอบครัวของหนิงเฉินที่นี่อยู่ร่วมกันกับปู่ย่ามีนามว่าซูเมิ่งจื่อกับซูไห่เม่ย เธอมีลุงคนหนึ่งนามว่าซูอี้ไห่กับภรรยาหรือป้าสะใภ้ของหนิงเฉินนามว่าซูเจียหลินพวกเขามีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคนอายุ 18 ปีนามว่าซูจินม่าย ลุงของเธอทำงานเป็นผู้จัดการห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตัวเมือง ป้าสะใภ้เป็นแม่บ้าน จินม่ายกำลังเรียนในมหาลัยเจิ้นโจวชั้นปีที่ 1 ครอบครัวของลุงจึงไปเช่าบ้านอยู่ร่วมกันในเมืองส่วนครอบครัวเธออยู่กับปู่ย่าที่นอกเมืองแห่งนี้โดยมีพ่อของเธอนามว่าซูอี้เฉิน แม่ของเธอนามว่าซูเย่าหลิน เธอมีพี่ชาย 1
ณ.ห้องปฏิบัติการข้ามเวลาปี ค.ศ. 2050 ซูหนิงเฉินบัณฑิตจบใหม่ในสาขาวิชาภาคการเกษตรได้เตรียมตัวพร้อมที่จะเป็นหนูทดลองให้กับการปฏิการข้ามมิติเวลาไปยังโลกยุคอดีตหนิงเฉินซึ่งเป็นเด็กกำพร้าถูกทอดทิ้งมาตั้งแต่เด็ก มีความมุ่งมั่นตั้งใจว่าจะเอาความรู้ความสามารถของเธอไปสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองในยุคอดีต เนื่องจากโลกปัจจุบันเต็มไปด้วยเทคโนโลยี หุ่นยนต์ เอไอ ผู้ช่วยมากมายที่ทำให้ทุกคนมุ่งเน้นไปทางด้านการเรียนเรื่องวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ กลศาสตร์ การเขียนโปรแกรม สร้างหุ่นยนต์ มีเพียงเธอซึ่งเลือกวิชาการเกษตรที่มีกลุ่มคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่เลือกเรียนสาขาวิชานี้ตั้งแต่ที่หนิงเฉินรู้เรื่องโครงการข้ามมิติเวลาของบริษัทเอสแอลอี บริษัทพัฒนาวิทยาการล้ำสมัยในด้านการผลิตหุ่นยนต์ เดินทางผ่านห้วงอวกาศ และมีโครงการใหม่เกี่ยวกับการข้ามมิติเวลา เธอก็มุ่งมั่นตั้งใจเข้ามาเป็นอาสาสมัครโดยมีเงื่อนไขว่าทางบริษัทต้องส่งเสียเธอเรียนจนจบในระดับปริญญาเอก ส่วนเรื่องคุณสมบัติและการสัมภาษณ์นั้นกว่าเธอจะผ่านมาได้ก็ไม่ง่ายนัก เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยมาขอสมัครเพื่อแย่งสิทธิ์เหล่านี้ เพราะแม้นการข้ามมิติจะเสี่ยงแต่ก็คุ้มค่าและเป็







