เข้าสู่ระบบหลังจากคุณลุงคนที่เป็นลูกค้าร้านขายของป่าได้ฟังตำแหน่งที่ตั้งของตลาดมืดจากพ่อค้าของป่าแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางทันที โดยมีหนิงเฉินแอบลอบตามไปห่างๆ
เส้นทางไปยังตลาดมืดค่อนข้างจะวกวนไม่น้อย หากไม่ใช่คนในพื้นที่หรือแม้นแต่คนในพื้นที่เองก็เกรงว่าจะหลงทางได้ถ้าไม่เคยไปมาก่อน และคุณลุงคนนั้นก็พาเธอเดินวนไปเวียนมาจนสับสน แต่สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายปลายทางจนได้
สภาพของตลาดมืดดูดีกว่าที่เธอคิดเอาไว้ ได้ยินว่ายุคสมัยนี้รัฐบาลไม่ค่อยจะเข้มงวดกับการค้าขายในตลาดมืดมากนักจึงมีผู้คนคึกคักมากมายไปหมด
หนิงเฉินเดินสำรวจร้านค้าต่างๆที่มีสินค้าดีคุณภาพสูงเยอะแยะมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าราคาก็สูงตามไปด้วยเช่นกัน มีตั้งแต่พืชผักผลไม้ สมุนไพร เครื่องเทศ ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับของตกแต่ง อาหารสด อาหารแห้ง อาหารแปรรูป ไปจนกระทั่งเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายประเภท แม้นแต่รถจักรยานก็มีขายที่นี่ นับว่าเป็นตลาดที่มีสินค้าครบครันจริงๆ ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดด้วยคูปอง เพียงมีเงินสดก็สามารถจับจ่ายซื้อขายกันได้แล้ว
หนิงเฉินเตรียมสมุดและปากกามาจดรายละเอียดที่สำคัญต่างๆ เกี่ยวกับสินค้าที่ซื้อขายกันในตลาดมืด รวมทั้งราคาของสินค้าแต่ละร้านซึ่งนับว่าแพงมากเลยทีเดียวหากเทียบสินค้าชนิดเดียวกันกับตลาดธรรมดา หากแต่คุณภาพก็นับว่าดีกว่าไม่น้อยเลย
‘ถ้าเธอสามารถพัฒนาปรับปรุงคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรของบ้านเธอได้แล้วนำมาขายในตลาดมืดต้องได้กำไรงามมากแน่ๆ หรือไม่ก็นำไปขายตลาดธรรมดากับส่งให้ร้านอาหารหรือร้านแปรรูปพืชผลการเกษตร ไม่ก็รวมกลุ่มคนในหมู่บ้านทำกันเองเสียเลย’ หนิงเฉินคิดอย่างมีความสุข ดูเหมือนว่าในยุคนี้จะมีวิธีให้เธอทำเงินได้มากมายเชียวล่ะ
หลังจากเดินสำรวจตลาดมืดราวสองชั่วโมง หนิงเฉินก็หามุมส่วนตัวเปิดกลไกพลอยสีแดงเพื่อเลือกหาสมุนไพรล้ำค่าพวกโสมป่า เห็ดหลินจือ ถั่งเช่าเอามาลองขายในตลาดมืดดู
เมื่อได้สินค้าชั้นยอดเป็นโสมป่าสภาพสมบูรณ์ดีเยี่ยมมา 3 ต้น เห็ดหลินจือ 3 ดอกใหญ่ กับถั่งเช่าราว 20 ตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรล้ำค่าหายากมากเลยทีเดียว หนิงเฉินจึงตั้งราคาโสมที่ต้นละ 10,000 หยวน เห็ดหลินจือดอกละ 10,000 หยวน ส่วนถั่งเช่าตัวละ 100 หยวน เพราะเมื่อเทียบกับราคาร้านอื่นแล้วก็นับว่าไม่แพงจนเกินไปนัก
ทันทีที่เธอกางโต๊ะตั้งแผงขายก็มีคนให้ความสนใจไม่น้อย เนื่องจากสินค้าของเธอสมบูรณ์และมีคุณภาพมากอีกทั้งราคายังพอๆกับร้านอื่นที่บางร้านมีคุณภาพไม่ดีเท่าเธอด้วยซ้ำไป
“แม่หนู นี่เธอไปเอาสมุนไพรล้ำค่าสภาพดีขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน ดีพอๆกับร้านใหญ่สุดในตลาดนี้เลยนะเนี่ย” ป้าที่วางแผงขายผลไม้อยู่ติดกับเธอเอ่ยถามขึ้น
“มีคนรู้จักฝากมาขายน่ะค่ะ เห็นเขาว่าต้องเสาะหามาอย่างยากลำบากเลยทีเดียวกว่าจะเจอสินค้าคุณภาพดีขนาดนี้” หนิงเฉินบอก ทั้งที่ในยุคสมัยที่เธอจากมานั้นสมุนไพรพวกนี้สามารถนำมาเพาะปลูกได้อย่างมีคุณภาพ อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่าที่นี่หลายเท่า
“ดีจริงถ้าอย่างงั้นป้าขอซื้อโสมสักต้น เห็ดหลินจือสักดอก กับถั่งเช่า 5 ตัวได้ไหม” คุณป้าลู่ ลู่จื่อเหนียงที่แนะนำตัวทำความรู้จักกันขอซื้อสินค้ากับเธอเป็นรายแรก หนิงเฉินจึงลดราคาให้คุณป้า 50 หยวน
“เธอลดราคาให้ป้าแบบนี้ไม่กลัวเพื่อนจะว่าเอางั้นหรือ” ป้าลู่เอ่ยท้วงด้วยความเป็นห่วง
“ไม่หรอกค่ะ หนูคุยกับเขาแล้วว่าสามารถลดได้แค่ไหน”
“อืม รอบคอบดีจริง งั้นป้าแบ่งผลไม้พวกนี้ให้หนูไปกินก็แล้วกัน” ป้าลู่เอ่ยชม ก่อนจะแบ่งผลไม้ที่เธอขายพวกแอปเปิล ลิ้นจี่ องุ่น สตรอว์เบอร์รี่ให้กับหนิงเฉินอย่างใจดี
“ขอบคุณมากค่ะคุณป้าลู่” หนิงเฉินเอ่ยขอบคุณอย่างนอบน้อม
“ไม่เป็นไรหรอกเฉินเอ๋อ เด็กดีขยันตั้งใจทำมาหากินแบบนี้ป้าล่ะชอบนัก แถมได้ยินหนูบอกว่ากำลังเก็บเงินเพื่อเรียนต่อเองไม่อยากรบกวนทางบ้านด้วย ป้านี่ชื่นชมเธอมากจริงๆ” ป้าลู่เอ่ยอย่างถูกอกถูกใจในตัวหนิงเฉินไม่น้อย
“ขอบคุณค่ะคุณป้าที่ชม หนูก็แค่อยากช่วยลดภาระให้ครอบครัว แล้วก็ช่วยเพิ่มรายได้จุนเจือครอบครัวด้วยนะค่ะ”
“เด็กดี มีน้ำใจจริง” ป้าลู่ชื่นชมไม่หยุด
จากนั้นไม่นานนักสมุนไพรของหนิงเฉินก็ขายจนหมดเกลี้ยงทำให้เธอได้เงินมาทั้งหมด 61,950 หยวนเลยทีเดียว
‘สบายล่ะวันเดียวก็ได้เงินมากถึงขนาดนี้ แถมยังเจอคุณป้าใจดีให้ผลไม้มาเยอะเลย รีบกลับบ้านเอาผลไม้ไปให้ทุกคนได้ชิมด้วยกันดีกว่าดีกว่า’ หนิงเฉินคิดอย่างอารมณ์ดีที่เธอขายของได้ราคางามมาก
‘แต่คงจะขายบ่อยๆไม่ได้ ต้องเอาอย่างอื่นมาขายบ้าง จะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตเกินไปนัก’ หนิงเฉินเดินทางกลับบ้านพร้อมนึกว่าจะนำของอะไรมาขายต่อไปดี ส่วนพืชผลที่บ้านนั้นเธอได้เตรียมปุ๋ยคุณภาพเยี่ยมจากโลกสมัยใหม่มาไว้ใช้กับสวนแล้ว รับรองว่าผลดก ผลงาม รสชาติดีแน่นอน
เมื่อกลับมาถึงที่บ้านหนิงเฉินไม่ได้บอกเรื่องขายของได้ เพียงแค่บอกว่าไปสำรวจตลาดกับเพื่อนมาเท่านั้นก่อนนำของไปขายจริงในวันหลัง แต่ก็เจอคุณป้าใจดีให้ผลไม้มากินด้วย
“ผลไม้พวกนี้ราคาแพงหายากทั้งนั้นเลยนะ คุณป้าคนนั้นให้ลูกมาฟรีเลยงั้นเหรอ” เย่าหลินถามบุตรสาว เพราะผลไม้ที่หนิงเฉินนำมาไม่ได้หาซื้อได้ทั่วไป ทั้งยังมีราคาแพงมากอีกด้วย
“ใช่ค่ะ พอดีคุณป้าถูกใจพวกหนูที่ขยันขันแข็งทำมาหากิน ก็เลยแบ่งผลไม้มาให้น่ะค่ะ”
“ช่างใจดีจริงๆ ถ้างั้นวันหลังลูกก็เอาพืชผลบ้านเราไปให้เขาบ้างสิ” อี้เฉินบอกอย่างคนรู้จักตอบแทนผู้อื่น
“ไม่ต้องห่วงค่ะพ่อ หนูกับเพื่อนจะเอาของที่เราทำขายแบ่งให้คุณป้าชิมด้วยในครั้งหน้า”
“อืม ดีมาก ใครมีน้ำใจกับเรา เราก็ควรจะตอบแทนเขาให้ดีนะ” อี้เฉินเอ่ยอย่างพอใจ
“ค่ะ”
“แล้วเสี่ยวเยว่ล่ะคะพ่อ ทำไมไม่เห็นน้องเลยล่ะคะ”
“เสี่ยวเยว่ช่วยปู่ซ่อมเล้าไก่อยู่ที่บ้านนู้นน่ะ”
“งั้นหนูขอไปดูหน่อยนะคะ จะได้แบ่งผลไม้นี้ไปให้พวกท่านด้วย”
“ดีแล้วลูก ไปเถอะ”
จากนั้นหนิงเฉินก็เดินมาบ้านปู่กับย่า พร้อมผลไม้ส่วนหนึ่งในมือที่นำมาให้พวกท่านได้ชิมด้วย เมื่อมาถึงก็เห็นว่าย่ากำลังนั่งถักไหมพรมพลางเหลือบมองสองปู่หลานเป็นระยะ ก่อนจะหันมาเห็นเธอเข้าพอดี
“เฉินเอ๋อ กลับมาแล้วรึ แล้วนั่นถืออะไรมาด้วยน่ะ” คุณย่าซูเอ่ยทักทายหลานสาว
“สวัสดียามเย็นค่ะคุณย่า หนูเอาผลไม้มาฝาก พอดีเพื่อนของหนูเขาแบ่งมาให้นะค่ะ”
“โอ้วว นี่มันของหายาก ราคาแพงทั้งนั้นเลยนี่ เพื่อนที่ไหนกันช่างมีน้ำใจจริงๆ”
“เพื่อนทั่วไปน่ะค่ะ สำหรับเขาถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น วันหน้าหนูก็จะทำของไปตอบแทนน้ำใจเขาด้วยค่ะ” หนิงเฉินตอบย่าไป เพราะกลัวว่าท่านจะคิดมากที่เธอไปเอาของหายากราคาแพงจากคนอื่นมาฟรีๆแบบนี้ คุณย่าซูจึงพยักหน้าเข้าใจ
หลังคุยกับย่าอยู่พักหนึ่งหนิงเฉินจึงเดินไปหาปู่และห่าวเยว่ที่กำลังช่วยกันซ่อมแซมเล้าไก่อยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
หนิงเฉินเดินเข้ามาดูสองปู่หลานช่วยกันซ่อมเล้าไก่ก่อนจะเอ่ยปากทักทายพวกเขา“คุณปู่ เสี่ยวเยว่ซ่อมเล้าไก่ใกล้เสร็จหรือยังคะ”“อ้อ..เฉินเอ๋อกลับมาแล้วเหรอ เราซ่อมเล้าไก่กันใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ หนูมาก็ดีแล้ว ปู่มีธุระสำคัญจะคุยด้วยพอดี” คุณปู่ซูเอ่ยกับหลานสาว“ธุระสำคัญงั้นเหรอคะ เรื่องอะไรกันคะคุณปู่”“เดี๋ยวทำงานนี้เสร็จแล้วค่อยคุยก็แล้วกันนะ” คุณปู่ซูยังไม่ยอมบอกธุระที่ว่าสำคัญนั้น“ได้ค่ะ งั้นหนูกลับไปช่วยคุณแม่ทำของว่างมาให้ทุกคนทานก่อน แล้วถ้าคุณปู่เสร็จงานทางนี้ให้เสี่ยวเยว่ไปตามหนูก็แล้วกันนะคะ”“เอางั้นก็ได้” คุณปู่ซูรับคำ ส่วนห่าวเยว่ก็พยักหน้าให้พี่สาวเป็นการตอบรับ หนิงเฉินจึงบอกคุณย่าซูนิดหนึ่งว่าจะไปทำของว่างมาให้จากนั้นก็เดินกลับไปที่บ้านเมื่อมาถึงหนิงเฉินก็อาสาเข้าครัวก่อนจะลงมือทำของว่างเป็นบัวลอยไส้งาดำน้ำขิงง่ายๆให้กับทุกคน หลังจากทำของว่างเสร็จห่าวเยว่ก็กลับมาที่บ้านพอดี หนิงเฉินจึงยกของว่างมาให้พ่อกับแม่จากนั้นก็นำส่วนของตนเองและปู่ย่าไปให้ที่บ้านอีกหลัง“เสี่ยวเยว่เดี๋ยวนายไปตักของว่างเอาเองในครัวนะ พี่จะเอาของว่างไปให้ปู่กับย่า แม่กับพ่อคะหนูไปทานของว่างที่บ้านนู้นเลย
หลังจากคุณลุงคนที่เป็นลูกค้าร้านขายของป่าได้ฟังตำแหน่งที่ตั้งของตลาดมืดจากพ่อค้าของป่าแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางทันที โดยมีหนิงเฉินแอบลอบตามไปห่างๆเส้นทางไปยังตลาดมืดค่อนข้างจะวกวนไม่น้อย หากไม่ใช่คนในพื้นที่หรือแม้นแต่คนในพื้นที่เองก็เกรงว่าจะหลงทางได้ถ้าไม่เคยไปมาก่อน และคุณลุงคนนั้นก็พาเธอเดินวนไปเวียนมาจนสับสน แต่สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายปลายทางจนได้สภาพของตลาดมืดดูดีกว่าที่เธอคิดเอาไว้ ได้ยินว่ายุคสมัยนี้รัฐบาลไม่ค่อยจะเข้มงวดกับการค้าขายในตลาดมืดมากนักจึงมีผู้คนคึกคักมากมายไปหมดหนิงเฉินเดินสำรวจร้านค้าต่างๆที่มีสินค้าดีคุณภาพสูงเยอะแยะมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าราคาก็สูงตามไปด้วยเช่นกัน มีตั้งแต่พืชผักผลไม้ สมุนไพร เครื่องเทศ ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับของตกแต่ง อาหารสด อาหารแห้ง อาหารแปรรูป ไปจนกระทั่งเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายประเภท แม้นแต่รถจักรยานก็มีขายที่นี่ นับว่าเป็นตลาดที่มีสินค้าครบครันจริงๆ ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดด้วยคูปอง เพียงมีเงินสดก็สามารถจับจ่ายซื้อขายกันได้แล้วหนิงเฉินเตรียมสมุดและปากกามาจดรายละเอียดที่สำคัญต่างๆ เกี่ยวกับสินค้าที่ซื้อขายกันในตลาดมืด
หนิงเฉินเดินเข้ามาในบ้านของปู่กับย่าในมือถือชามใส่หมูสามชั้นตุ๋นผักดองชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่พอสมควรสองชิ้นเอาไว้ส่งกลิ่นโชยหอมน่ากินเธอเดินดูไปรอบๆบ้านแต่ยังไม่เห็นใครที่นั่น หากแต่เดินไปได้สักพักเธอก็ได้กลิ่นหอมอบอวลของกับข้าวลอยมาจากในครัว หนิงเฉินไม่รีรอเดินตามกลิ่นหอมๆนั้นไปทันที“คุณปู่คุณย่าอยู่ที่นี่เองเหรอค่ะ” หนิงเฉินส่งเสียงทักทายสองผู้เฒ่าที่กำลังช่วยกันหุงหาอาหาร“อ้อ..เฉินเอ๋อนั่นเอง ว่าอย่างไรเล่า” คุณปู่ซูเอ่ยทักทายและออกปากถามหลานสาว“คุณแม่ให้หนูเอาหมูสามชั้นตุ๋นผักดองมาให้ค่ะ” หนิงเฉินตอบก่อนจะเดินไปทางคุณย่าซู“อืม หน้าตาน่ากิน กลิ่นก็หอมสมกับเป็นฝีมือเย่าหลิน ต้องอร่อยแน่ๆ” คุณย่าซูเอ่ยกับหลานสาว“ใช่ค่ะ อาหารฝีมือคุณแม่อร่อยทุกอย่าง ความจริงคุณปู่คุณย่าเองก็ไม่น่าต้องลำบากทำอาหารทานเองเลยนะคะ ไปทานด้วยกันกับพวกเราก็ได้นี่คะ” หนิงเฉินเอ่ย เนื่องจากคุณปู่คุณย่าของเธอไม่ได้เรียกรวมทานอาหารด้วยกันทุกมื้อ เพียงแต่นัดแนะทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสัปดาห์ล่ะครั้ง ส่วนทางด้านครอบครัวของคุณลุงก็จะกลับมาเยี่ยมบ้านอย่างน้อยเดือนละครั้งและทานอาหารร่วมกันทุกคนส่วนห่าวหมิงพี่ช
เมื่อใกล้ถึงปากทางออก แสงที่ส่องเข้ามาก็ดูเหมือนว่าจะสว่างมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าจนเธอมองไม่เห็นอะไรเลย ก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างราวกับเธอเป็นแผ่นโลหะที่กำลังถูกแม่เหล็กขนาดยักษ์ดึงดูดเข้าไปที่ใดที่หนึ่งผ่านไปชั่วครู่ก็มีภาพความทรงจำของเด็กสาวผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาให้เห็นฉายเป็นภาพอยู่ในสมอง ประทับอยู่ในความทรงจำ เป็นเรื่องของเด็กสาวอายุ 17 ปีนามว่าซูหนิงเฉิน รูปร่างหน้าตาชื่อสกุลคล้ายคลึงกลับเธอทุกอย่างเพียงแต่เป็นเธอในช่วงวัยรุ่นเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีสุดท้ายที่โรงเรียนแถบชานเมืองเจิ้นโจวครอบครัวของหนิงเฉินที่นี่อยู่ร่วมกันกับปู่ย่ามีนามว่าซูเมิ่งจื่อกับซูไห่เม่ย เธอมีลุงคนหนึ่งนามว่าซูอี้ไห่กับภรรยาหรือป้าสะใภ้ของหนิงเฉินนามว่าซูเจียหลินพวกเขามีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคนอายุ 18 ปีนามว่าซูจินม่าย ลุงของเธอทำงานเป็นผู้จัดการห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตัวเมือง ป้าสะใภ้เป็นแม่บ้าน จินม่ายกำลังเรียนในมหาลัยเจิ้นโจวชั้นปีที่ 1 ครอบครัวของลุงจึงไปเช่าบ้านอยู่ร่วมกันในเมืองส่วนครอบครัวเธออยู่กับปู่ย่าที่นอกเมืองแห่งนี้โดยมีพ่อของเธอนามว่าซูอี้เฉิน แม่ของเธอนามว่าซูเย่าหลิน เธอมีพี่ชาย 1
ณ.ห้องปฏิบัติการข้ามเวลาปี ค.ศ. 2050 ซูหนิงเฉินบัณฑิตจบใหม่ในสาขาวิชาภาคการเกษตรได้เตรียมตัวพร้อมที่จะเป็นหนูทดลองให้กับการปฏิการข้ามมิติเวลาไปยังโลกยุคอดีตหนิงเฉินซึ่งเป็นเด็กกำพร้าถูกทอดทิ้งมาตั้งแต่เด็ก มีความมุ่งมั่นตั้งใจว่าจะเอาความรู้ความสามารถของเธอไปสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองในยุคอดีต เนื่องจากโลกปัจจุบันเต็มไปด้วยเทคโนโลยี หุ่นยนต์ เอไอ ผู้ช่วยมากมายที่ทำให้ทุกคนมุ่งเน้นไปทางด้านการเรียนเรื่องวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ กลศาสตร์ การเขียนโปรแกรม สร้างหุ่นยนต์ มีเพียงเธอซึ่งเลือกวิชาการเกษตรที่มีกลุ่มคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่เลือกเรียนสาขาวิชานี้ตั้งแต่ที่หนิงเฉินรู้เรื่องโครงการข้ามมิติเวลาของบริษัทเอสแอลอี บริษัทพัฒนาวิทยาการล้ำสมัยในด้านการผลิตหุ่นยนต์ เดินทางผ่านห้วงอวกาศ และมีโครงการใหม่เกี่ยวกับการข้ามมิติเวลา เธอก็มุ่งมั่นตั้งใจเข้ามาเป็นอาสาสมัครโดยมีเงื่อนไขว่าทางบริษัทต้องส่งเสียเธอเรียนจนจบในระดับปริญญาเอก ส่วนเรื่องคุณสมบัติและการสัมภาษณ์นั้นกว่าเธอจะผ่านมาได้ก็ไม่ง่ายนัก เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยมาขอสมัครเพื่อแย่งสิทธิ์เหล่านี้ เพราะแม้นการข้ามมิติจะเสี่ยงแต่ก็คุ้มค่าและเป็







