เข้าสู่ระบบหนิงเฉินเดินเข้ามาดูสองปู่หลานช่วยกันซ่อมเล้าไก่ก่อนจะเอ่ยปากทักทายพวกเขา
“คุณปู่ เสี่ยวเยว่ซ่อมเล้าไก่ใกล้เสร็จหรือยังคะ”
“อ้อ..เฉินเอ๋อกลับมาแล้วเหรอ เราซ่อมเล้าไก่กันใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ หนูมาก็ดีแล้ว ปู่มีธุระสำคัญจะคุยด้วยพอดี” คุณปู่ซูเอ่ยกับหลานสาว
“ธุระสำคัญงั้นเหรอคะ เรื่องอะไรกันคะคุณปู่”
“เดี๋ยวทำงานนี้เสร็จแล้วค่อยคุยก็แล้วกันนะ” คุณปู่ซูยังไม่ยอมบอกธุระที่ว่าสำคัญนั้น
“ได้ค่ะ งั้นหนูกลับไปช่วยคุณแม่ทำของว่างมาให้ทุกคนทานก่อน แล้วถ้าคุณปู่เสร็จงานทางนี้ให้เสี่ยวเยว่ไปตามหนูก็แล้วกันนะคะ”
“เอางั้นก็ได้” คุณปู่ซูรับคำ ส่วนห่าวเยว่ก็พยักหน้าให้พี่สาวเป็นการตอบรับ หนิงเฉินจึงบอกคุณย่าซูนิดหนึ่งว่าจะไปทำของว่างมาให้จากนั้นก็เดินกลับไปที่บ้าน
เมื่อมาถึงหนิงเฉินก็อาสาเข้าครัวก่อนจะลงมือทำของว่างเป็นบัวลอยไส้งาดำน้ำขิงง่ายๆให้กับทุกคน หลังจากทำของว่างเสร็จห่าวเยว่ก็กลับมาที่บ้านพอดี หนิงเฉินจึงยกของว่างมาให้พ่อกับแม่จากนั้นก็นำส่วนของตนเองและปู่ย่าไปให้ที่บ้านอีกหลัง
“เสี่ยวเยว่เดี๋ยวนายไปตักของว่างเอาเองในครัวนะ พี่จะเอาของว่างไปให้ปู่กับย่า แม่กับพ่อคะหนูไปทานของว่างที่บ้านนู้นเลยนะคะ ไปล่ะ” หนิงเฉินบอกทุกคน ก่อนจะออกจากบ้านไป
“คุณปู่คุณย่าคะ ทานของว่างค่ะ วันนี้หนูทำบัวลอยงาดำน้ำขิงมาให้หอมอร่อย ไม่หวานมากนะคะ”
“อืม น่ากินมากเลยเฉินเอ๋อ” คุณย่าซูเอ่ย
“ปู่ก็กำลังอยากกินอยู่พอดี ขอบใจมากนะเฉินเอ๋อ”
“ยินดีค่ะ”
จากนั้นทุกคนก็นั่งกินบัวลอยน้ำขิงอย่างเอร็ดอร่อย พอทานเสร็จหนิงเฉินก็รั้งรออยู่เพื่อฟังเรื่องสำคัญจากคุณปู่
“คุณปู่คะ ตกลงมีเรื่องสำคัญอะไรจะคุยกับหนูงั้นหรือคะ” หนิงเฉินเอ่ยถามขึ้นก่อน
“อ้อ..ใช่แล้ว วันเสาร์สุดท้ายของเดือนครอบครัวเราจะไปทานข้าวกับครอบครัวสหายเก่าของปู่กันนะ พอดีหลานชายของเขาที่เรียนจบจากปักกิ่งแล้วอยู่ทำงานที่นั่นมาสองปีเพิ่งตัดสินใจกลับมาบริหารกิจการที่บ้านต่อได้พักใหญ่แล้ว พวกเราก็เลยคุยกันว่าจะนัดรวมตัวกันสังสรรค์เสียหน่อย จากนั้นจะได้แนะนำหลานๆให้รู้จักกันเอาไว้”
“งานสังสรรค์กับเพื่อนคุณปู่ แล้วพาพวกหนูไปจะดีหรือคะ” หนิงเฉินถามรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ดูเหมือนว่างานเลี้ยงครั้งนี้น่าจะไม่ใช่งานเลี้ยงสังสรรค์กันระหว่างสหายเก่าธรรมดา
“ดีสิต้องดีอยู่แล้วล่ะ ก็สหายของปู่คนนี้น่ะบอกว่าหลานชายเขาไปอยู่ที่ปักกิ่งเสียหลายปี ไม่คุ้นเคยกับที่เมืองเจิ้นโจวและไม่มีเพื่อนที่นี่มากนัก เลยอยากให้ปู่พาหลานไปรู้จักกันเอาไว้เยอะๆ หลานชายเขาจะได้มีเพื่อนคอยดูแลช่วยเหลือกันได้ยังไงล่ะ” คุณปู่ซูให้เหตุผล
“ถ้าอย่างงั้นคุณปู่ชวนพี่ห่าวหมิงของหนูกับทางบ้านคุณลุงอี้ไห่ไปด้วยหรือเปล่าคะ พวกเขาเรียนและอาศัยกันอยู่ในเมืองน่าจะดีกว่าหากหลานเพื่อนคุณปู่รู้จักพวกเขาเอาไว้”
“แน่นอนสิ เพื่อนของปู่ให้ชวนไปด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ”
“คุณปู่บอกเรื่องนี้กับคุณพ่อคุณแม่หนูแล้วเหรอคะ”
“ปู่บอกทุกคนทางนี้ไว้แล้ว เหลือก็แต่หนูนี่แหละที่มีธุระออกไปข้างนอกก่อนเลยยังไม่รู้”
‘อ้อ แบบนี้นี่เอง ถ้าอย่างงั้นก็คงไม่มีอะไรกระมัง เพราะคุณปู่ก็ชวนทุกคนไปด้วยกันหมดนี่นา’ หนิงเฉินคิดอย่างเบาใจ เพราะคาดว่าคงไม่ใช่งานเลี้ยงดูตัวอย่างที่คาดเอาไว้แต่แรก แต่ถึงจะใช่หลานชายเพื่อนคุณปู่ที่เรียนจบมาจากปักกิ่งคงสนใจจินม่ายลูกพี่ลูกน้องของเธอที่เป็นนักศึกษาปีหนึ่ง ทั้งยังอาศัยอยู่ในตัวเมืองมากกว่าแหละดูแล้วคงจะพูดคุยถูกคอกันมากกว่าเด็กนอกเมืองอย่างเธอแน่
“ได้ค่ะ งั้นหนูรับทราบและจะทำตัวให้ว่างเพื่อคุณปู่เลยนะคะ” หนิงเฉินตอบรับ
“ดีมาก ขอบใจนะเฉินเอ๋อ”
“ค่ะ”
จากนั้นหนิงเฉินก็อยู่พูดคุยกับปู่ย่าอีกพักหนึ่งก่อนจะขอตัวกลับไปช่วยงานที่บ้านต่อ ส่วนงานที่บ้านคุณปู่คุณย่านั้นแม่ของเธอจะเป็นคนมาช่วยเอง แต่บางครั้งพ่อกับห่าวเยว่รวมทั้งตัวเธอก็มาช่วยบ้างเป็นครั้งคราว อย่างการซ่อมเล้าไก่ในวันนี้ที่ห่าวเยว่มาช่วยคุณปู่ด้วยอีกแรง
ทางด้านงานในสวนคุณพ่อก็จะเป็นเสาหลักในการช่วยกันทำกับคุณปู่อยู่แล้ว โดยจ้างคนในหมู่บ้านมาช่วยด้วยบางเวลา เช่นตอนเก็บเกี่ยวผลผลิต ตอนลงต้นกล้า เวลารื้อกลบหน้าดินใหม่ เป็นต้น
หลังจากคุยกับคุณปู่เสร็จหนิงเฉินก็มาดูว่ามีอะไรที่บ้านให้ทำบ้างแต่ดูเหมือนว่างานส่วนใหญ่เธอกับแม่ก็จัดการไปหมดแล้วตั้งแต่ช่วงเช้า เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงตามอี้เฉินพ่อของเธอกับห่าวเยว่เข้าไปในสวนเพื่อศึกษาเกี่ยวกับพื้นที่เพาะปลูก พืชพันธุ์ที่พ่อกับปู่เพาะปลูก วิธีการดูแลรักษา สภาพผลผลิตและอื่นๆ เพื่อเตรียมปรับปรุงให้ดีขึ้น
หนิงเฉินพูดคุยสอบถามพ่อของเธอมากมายเกี่ยวกับการเพาะปลูกพร้อมจดรายละเอียดเอาไว้อย่างใส่ใจเพื่อนำไปวิเคราะห์หาจุดบกพร่องและทำการแก้ไขเพิ่มเติมรวมทั้งปรับปรุงให้ดีมากยิ่งขึ้น
“เฉินเอ๋อ ทำไมอยู่ๆลูกจึงสนใจเรื่องปลูกพืชผักขึ้นมาล่ะ ก่อนหน้านี้ พ่อไม่เห็นว่าลูกจะสนใจถามรายละเอียดขนาดนี้เลย” อี้เฉินเอ่ยถามบุตรสาว
“นั่นสิพี่เหนิงเฉิน เมื่อก่อนพี่มาช่วยงานก็จริงแต่ไม่เห็นจะซักถามพ่อขนาดนี้เลยนะ” ห่าวเยว่เองก็สงสัยเช่นกัน
“คือตอนที่หนูไปเดินสำรวจตลาด พบว่ามีพืชผักผลไม้ขายมากมายแต่กลับดูไม่อวบสดน่ากินนัก ผิดกับร้านค้าของคุณป้าที่ให้ผลไม้หนูมา ร้านนั้นมีผักผลไม้สดอวบน่ากินมาก ที่สำคัญยังขายได้ราคาดีอย่างไม่น่าเชื่อเลย หนูจึงคิดว่าอยากจะหันมาช่วยพ่อกับคุณปู่ปลูกพืชผักงามๆออกมาเพื่อนำไปขายได้เงินเยอะๆยังไงล่ะคะ” หนิงเฉินกล่าวตามตรง
“เป็นอย่างนี้นี่เอง หนิงเฉินของเราโตแล้วจริงๆไปไหนก็คิดถึงครอบครัว” อี้เฉินเอ่ยพร้อมยิ้มดีใจที่บุตรสาวเป็นเด็กดีคิดช่วยเหลือครอบครัว
“นั่นสิพี่หนิงเฉิน ผมเองไปตลาดบ่อยๆยังนึกไม่ถึงเลย” ห่าวเยว่เอ่ยขึ้น นึกแปลกใจในความเปลี่ยนแปลงของพี่สาวที่ช่างคิดช่างพูดช่างทำมากกว่าเก่า แต่เมื่อมันเป็นสิ่งที่ดีจึงไม่ได้ติดใจอะไรนัก
“ตอนนี้นายยังเด็กยังคิดไม่ถึง แต่ต่อไปก็หัดมองรอบตัวให้เยอะขึ้น สังเกตให้มากขึ้น เปิดหูเปิดตารับฟังรับชมอะไรให้เยอะหน่อยแล้วนำมาคิดพิจารณาดูว่าอะไรดีไม่ดี อะไรน่าเอามาใช้ในปรับปรุงตนเองหรือสิ่งรอบตัวนะ” หนิงเฉินเอ่ยเป็นการเป็นงานดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ จนอี้เฉินเองก็แปลกใจแต่เข้าใจว่าเพราะหนิงเฉินเติบโตขึ้นมีความคิดเป็นของตัวเองอีกทั้งยังมีเพื่อนที่คอยชักชวนกันไปค้าขายอีก จึงทำให้มองโลกกว้างขึ้นกระมัง
“ผมเข้าใจแล้ว ต่อไปผมจะเอาอย่างพี่หนิงเฉินคิดทำเพื่อครอบครัวให้มากขึ้นครับ” ห่าวเยว่เอ่ยอย่างตั้งใจ
“ไม่ต้องจริงจังมากขนาดนั้นหรอก นายมีหน้าที่หลักคือการเรียน เพราะฉะนั้นตั้งใจเรียนให้ดีๆเถอะ” หนิงเฉินไม่วายเตือนน้องชายในหน้าที่หลักที่เขาต้องตั้งใจซึ่งก็คือการศึกษาเล่าเรียนนั่นเอง
“ผมน่ะตั้งใจเรียนอยู่แล้ว พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ส่วนเรื่องอื่นผมก็จะมองดูและรับฟังให้มากขึ้นเพื่อพัฒนาตัวเองกับครอบครัวให้ดีขึ้นด้วย”
“จ้าพ่อน้องชาย นายมันเก่ง” หนิงเฉินอดยิ้มและภูมิใจในความคิดความตั้งใจของน้องชายไม่ได้
หนิงเฉินเดินเข้ามาดูสองปู่หลานช่วยกันซ่อมเล้าไก่ก่อนจะเอ่ยปากทักทายพวกเขา“คุณปู่ เสี่ยวเยว่ซ่อมเล้าไก่ใกล้เสร็จหรือยังคะ”“อ้อ..เฉินเอ๋อกลับมาแล้วเหรอ เราซ่อมเล้าไก่กันใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ หนูมาก็ดีแล้ว ปู่มีธุระสำคัญจะคุยด้วยพอดี” คุณปู่ซูเอ่ยกับหลานสาว“ธุระสำคัญงั้นเหรอคะ เรื่องอะไรกันคะคุณปู่”“เดี๋ยวทำงานนี้เสร็จแล้วค่อยคุยก็แล้วกันนะ” คุณปู่ซูยังไม่ยอมบอกธุระที่ว่าสำคัญนั้น“ได้ค่ะ งั้นหนูกลับไปช่วยคุณแม่ทำของว่างมาให้ทุกคนทานก่อน แล้วถ้าคุณปู่เสร็จงานทางนี้ให้เสี่ยวเยว่ไปตามหนูก็แล้วกันนะคะ”“เอางั้นก็ได้” คุณปู่ซูรับคำ ส่วนห่าวเยว่ก็พยักหน้าให้พี่สาวเป็นการตอบรับ หนิงเฉินจึงบอกคุณย่าซูนิดหนึ่งว่าจะไปทำของว่างมาให้จากนั้นก็เดินกลับไปที่บ้านเมื่อมาถึงหนิงเฉินก็อาสาเข้าครัวก่อนจะลงมือทำของว่างเป็นบัวลอยไส้งาดำน้ำขิงง่ายๆให้กับทุกคน หลังจากทำของว่างเสร็จห่าวเยว่ก็กลับมาที่บ้านพอดี หนิงเฉินจึงยกของว่างมาให้พ่อกับแม่จากนั้นก็นำส่วนของตนเองและปู่ย่าไปให้ที่บ้านอีกหลัง“เสี่ยวเยว่เดี๋ยวนายไปตักของว่างเอาเองในครัวนะ พี่จะเอาของว่างไปให้ปู่กับย่า แม่กับพ่อคะหนูไปทานของว่างที่บ้านนู้นเลย
หลังจากคุณลุงคนที่เป็นลูกค้าร้านขายของป่าได้ฟังตำแหน่งที่ตั้งของตลาดมืดจากพ่อค้าของป่าแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางทันที โดยมีหนิงเฉินแอบลอบตามไปห่างๆเส้นทางไปยังตลาดมืดค่อนข้างจะวกวนไม่น้อย หากไม่ใช่คนในพื้นที่หรือแม้นแต่คนในพื้นที่เองก็เกรงว่าจะหลงทางได้ถ้าไม่เคยไปมาก่อน และคุณลุงคนนั้นก็พาเธอเดินวนไปเวียนมาจนสับสน แต่สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายปลายทางจนได้สภาพของตลาดมืดดูดีกว่าที่เธอคิดเอาไว้ ได้ยินว่ายุคสมัยนี้รัฐบาลไม่ค่อยจะเข้มงวดกับการค้าขายในตลาดมืดมากนักจึงมีผู้คนคึกคักมากมายไปหมดหนิงเฉินเดินสำรวจร้านค้าต่างๆที่มีสินค้าดีคุณภาพสูงเยอะแยะมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าราคาก็สูงตามไปด้วยเช่นกัน มีตั้งแต่พืชผักผลไม้ สมุนไพร เครื่องเทศ ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับของตกแต่ง อาหารสด อาหารแห้ง อาหารแปรรูป ไปจนกระทั่งเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายประเภท แม้นแต่รถจักรยานก็มีขายที่นี่ นับว่าเป็นตลาดที่มีสินค้าครบครันจริงๆ ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดด้วยคูปอง เพียงมีเงินสดก็สามารถจับจ่ายซื้อขายกันได้แล้วหนิงเฉินเตรียมสมุดและปากกามาจดรายละเอียดที่สำคัญต่างๆ เกี่ยวกับสินค้าที่ซื้อขายกันในตลาดมืด
หนิงเฉินเดินเข้ามาในบ้านของปู่กับย่าในมือถือชามใส่หมูสามชั้นตุ๋นผักดองชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่พอสมควรสองชิ้นเอาไว้ส่งกลิ่นโชยหอมน่ากินเธอเดินดูไปรอบๆบ้านแต่ยังไม่เห็นใครที่นั่น หากแต่เดินไปได้สักพักเธอก็ได้กลิ่นหอมอบอวลของกับข้าวลอยมาจากในครัว หนิงเฉินไม่รีรอเดินตามกลิ่นหอมๆนั้นไปทันที“คุณปู่คุณย่าอยู่ที่นี่เองเหรอค่ะ” หนิงเฉินส่งเสียงทักทายสองผู้เฒ่าที่กำลังช่วยกันหุงหาอาหาร“อ้อ..เฉินเอ๋อนั่นเอง ว่าอย่างไรเล่า” คุณปู่ซูเอ่ยทักทายและออกปากถามหลานสาว“คุณแม่ให้หนูเอาหมูสามชั้นตุ๋นผักดองมาให้ค่ะ” หนิงเฉินตอบก่อนจะเดินไปทางคุณย่าซู“อืม หน้าตาน่ากิน กลิ่นก็หอมสมกับเป็นฝีมือเย่าหลิน ต้องอร่อยแน่ๆ” คุณย่าซูเอ่ยกับหลานสาว“ใช่ค่ะ อาหารฝีมือคุณแม่อร่อยทุกอย่าง ความจริงคุณปู่คุณย่าเองก็ไม่น่าต้องลำบากทำอาหารทานเองเลยนะคะ ไปทานด้วยกันกับพวกเราก็ได้นี่คะ” หนิงเฉินเอ่ย เนื่องจากคุณปู่คุณย่าของเธอไม่ได้เรียกรวมทานอาหารด้วยกันทุกมื้อ เพียงแต่นัดแนะทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสัปดาห์ล่ะครั้ง ส่วนทางด้านครอบครัวของคุณลุงก็จะกลับมาเยี่ยมบ้านอย่างน้อยเดือนละครั้งและทานอาหารร่วมกันทุกคนส่วนห่าวหมิงพี่ช
เมื่อใกล้ถึงปากทางออก แสงที่ส่องเข้ามาก็ดูเหมือนว่าจะสว่างมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าจนเธอมองไม่เห็นอะไรเลย ก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างราวกับเธอเป็นแผ่นโลหะที่กำลังถูกแม่เหล็กขนาดยักษ์ดึงดูดเข้าไปที่ใดที่หนึ่งผ่านไปชั่วครู่ก็มีภาพความทรงจำของเด็กสาวผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาให้เห็นฉายเป็นภาพอยู่ในสมอง ประทับอยู่ในความทรงจำ เป็นเรื่องของเด็กสาวอายุ 17 ปีนามว่าซูหนิงเฉิน รูปร่างหน้าตาชื่อสกุลคล้ายคลึงกลับเธอทุกอย่างเพียงแต่เป็นเธอในช่วงวัยรุ่นเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีสุดท้ายที่โรงเรียนแถบชานเมืองเจิ้นโจวครอบครัวของหนิงเฉินที่นี่อยู่ร่วมกันกับปู่ย่ามีนามว่าซูเมิ่งจื่อกับซูไห่เม่ย เธอมีลุงคนหนึ่งนามว่าซูอี้ไห่กับภรรยาหรือป้าสะใภ้ของหนิงเฉินนามว่าซูเจียหลินพวกเขามีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคนอายุ 18 ปีนามว่าซูจินม่าย ลุงของเธอทำงานเป็นผู้จัดการห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตัวเมือง ป้าสะใภ้เป็นแม่บ้าน จินม่ายกำลังเรียนในมหาลัยเจิ้นโจวชั้นปีที่ 1 ครอบครัวของลุงจึงไปเช่าบ้านอยู่ร่วมกันในเมืองส่วนครอบครัวเธออยู่กับปู่ย่าที่นอกเมืองแห่งนี้โดยมีพ่อของเธอนามว่าซูอี้เฉิน แม่ของเธอนามว่าซูเย่าหลิน เธอมีพี่ชาย 1
ณ.ห้องปฏิบัติการข้ามเวลาปี ค.ศ. 2050 ซูหนิงเฉินบัณฑิตจบใหม่ในสาขาวิชาภาคการเกษตรได้เตรียมตัวพร้อมที่จะเป็นหนูทดลองให้กับการปฏิการข้ามมิติเวลาไปยังโลกยุคอดีตหนิงเฉินซึ่งเป็นเด็กกำพร้าถูกทอดทิ้งมาตั้งแต่เด็ก มีความมุ่งมั่นตั้งใจว่าจะเอาความรู้ความสามารถของเธอไปสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองในยุคอดีต เนื่องจากโลกปัจจุบันเต็มไปด้วยเทคโนโลยี หุ่นยนต์ เอไอ ผู้ช่วยมากมายที่ทำให้ทุกคนมุ่งเน้นไปทางด้านการเรียนเรื่องวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ กลศาสตร์ การเขียนโปรแกรม สร้างหุ่นยนต์ มีเพียงเธอซึ่งเลือกวิชาการเกษตรที่มีกลุ่มคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่เลือกเรียนสาขาวิชานี้ตั้งแต่ที่หนิงเฉินรู้เรื่องโครงการข้ามมิติเวลาของบริษัทเอสแอลอี บริษัทพัฒนาวิทยาการล้ำสมัยในด้านการผลิตหุ่นยนต์ เดินทางผ่านห้วงอวกาศ และมีโครงการใหม่เกี่ยวกับการข้ามมิติเวลา เธอก็มุ่งมั่นตั้งใจเข้ามาเป็นอาสาสมัครโดยมีเงื่อนไขว่าทางบริษัทต้องส่งเสียเธอเรียนจนจบในระดับปริญญาเอก ส่วนเรื่องคุณสมบัติและการสัมภาษณ์นั้นกว่าเธอจะผ่านมาได้ก็ไม่ง่ายนัก เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยมาขอสมัครเพื่อแย่งสิทธิ์เหล่านี้ เพราะแม้นการข้ามมิติจะเสี่ยงแต่ก็คุ้มค่าและเป็







