Share

บทที่ 18 ผูกความแค้น

Author: BigM00N
last update Last Updated: 2025-05-22 22:16:57

ทางฝ่ายโซ่วอ๋องหลี่ไท่หยางนั้นเมื่อได้ยินว่าหลินชิงเหมยได้รับคำสั่งจากมารดาของเขาให้ไปขออภัยคุณหนูใหญ่สกุลเฉินเขาก็รีบรุดไปที่ตำหนักขององค์หญิงเก้าผู้เป็นน้องสาวของเขาในทันที สำหรับเขาแล้วในยามนี้หลินชิงเหมยนับว่าเป็นหนึ่งในความรับผิดชอบของเขาแล้ว เขาคือคนที่ทำให้นางต้องพบกับเรื่องเลวร้าย

แม้ว่าในยามที่ได้ฟังถ้อยคำที่เฉินเจียวเจียวเอ่ยถึงการพบกันระหว่างเขาและนางที่ดูไม่ค่อยจะโปร่งใสนักเขาจะรู้สึกไม่ค่อยจะสบายใจ แต่เมื่อได้พบกับหลินชิงเหมยเขาก็โยนความคลางแคลงใจทิ้งไปทั้งหมด ด้วยคิดว่าเด็กสาวขนาดนี้ก็แค่ทนอี๋เหนียงผู้เจ้าแผนการของนางยุยงมาเท่านั้น เด็กสาวอายุเท่านี้ไม่มีทางคิดวางแผนเข้าหาบุรุษได้ด้วยตนเองหรอกความคลางแคลงใจทั้งหลายก็พลันมลายหายไป

ยิ่งในยามนี้หลินชิงเหมยต้องเข้ามาใช้ชีวิตในวัง ต้องสู้อดทนรองรับอารมณ์เดือดดาลของมารดาของเขาแทบทุกวัน ความรู้สึกผิดภายในใจก็พลันมีมากกว่าความแคลงใจ ความรู้สึกสงสารและอยากปกป้องก็ยิ่งมีมากกว่าทำให้ยามนี้ในหัวของเขาไม่มีเรื่องอื่นให้คิดถึงสักนิดนอกไปจากอยากปกป้องสตรีในความดูแลของตนเองเพียงเท่านั้น

“คุณหนูรองหลิน ให้บ่าวช่วยประคองท่านนะเจ้าคะ คุณหนูของบ่าวเป็นคนมีเมตตานางคงไม่อยากเห็นคุณหนูได้รับความยากลำบากด้วยการนั่งคุกเข่าลงไปหรอกเจ้าค่ะ หวังว่าคุณหนูจะไม่ทำให้คุณหนูของบ่าวต้องลำบากใจนะเพคะ”

“เป็นอย่างที่สาวใช้ของข้าเอ่ยออกไป เจ้าไม่ควรจะมาคุกเข่าให้ข้าโดยไม่มีเหตุจำเป็น ข้าไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกเจ้าและคิดว่าพวกเราควรเว้นระยะห่างระหว่างกันให้มากสักหน่อยเพื่อหลีกเลี่ยงข่าวลือต่างๆ ที่จะทำลายชื่อเสียงทั้งของเจ้าและของข้า โดยเฉพาะเจ้าที่จะต้องระมัดระวังตนเองให้มากชื่อเสียงคือสิ่งสำคัญ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจในความปรารถนาดีของข้านะ” เสียงของสองนายบ่าวจากจวนผิงกั๋วกงทำให้ฝีเท้าอันเร่งรีบของเขาพลันหยุดลง ความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อหลินชิงเหมยก็พลันสงบลงเช่นเดียวกัน

เขาหยุดนิ่งอยู่บริเวณหลังพุ่มไม้เพื่อรอฟังว่าคุณหนูใหญ่จากจวนผิงกั๋วกงผู้มีสีหน้าสงบและเยือกเย็นอยู่เป็นนิจจะเอ่ยอันใดออกมาอีก เด็กสาวผู้นี้แม้ว่าจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าหลินชิงเหมยแต่ตัวนางเองก็ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นเสียด้วยซ้ำแต่ทั้งคำพูดและการกระทำของนาง กลับทำให้เขาอดรู้สึกว่าตนเองเป็นบุรุษด้อยค่าที่ไม่คู่ควรกับนางอีกทั้งยังวีสายตาที่บางครั้งปิดบังความเกลียดชิงที่มีต่อเขาไม่ได้อีก ทำให้เขาไม่สะดวกใจที่จะเผชิญหน้ากับนางเท่าใดนัก

“พี่หญิงเจียวเจียว อันที่จริงข้าก็แค่อยากจะมาขออภัยต่อท่าน เป็นเพราะข้าประพฤติตนไม่ดีจนเป็นต้นเหตุที่ทำให้การหมั้นหมายระหว่างพี่หญิงและท่านอ๋องต้องยกเลิกไป” หลินชิงเหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทำให้หลี่ไท่หยางที่ยืนฟังอยู่อีกด้านยังอดรู้สึกสงสารนางไม่ได้อยู่เช่นเดิม แต่เฉินเจียวเจียวกลับหัวเราะออกมาเบาๆ

“เรื่องวาสนาคู่ครองย่อมไม่มีสิ่งใดแน่นอนอยู่แล้ว ขอคุณหนูรองสกุลหลินอย่าได้ใส่ใจ อย่างที่เจ้าเห็นข้ายังคงสบายดีแม้ว่าจะแคล้วคลาดจากคู่ครองที่สูงศักดิ์อย่างโซ่วอ๋อง แต่ข้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าตัวข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด อย่างที่ฝ่าบาททรงเคยตรัสเอาไว้ แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน โซ่วอ๋องไม่ได้มีความรู้สึกดีต่อข้า ตัวข้าเองก็ไม่สมควรที่จะฝืนใจผู้อื่น ยามนี้เรื่องราวทุกอย่างได้จบลงอย่างลงตัวแล้ว เจ้าเองก็อย่าได้ยกเรื่องนั้นขึ้นมาอีกเลยซึ่งมันไม่ส่งผลดีต่อผู้ใดทั้งนั้นแม้แต่ตัวของเจ้าเองก็ตาม” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้หลี่ไท่หยางที่ยืนฟังอยู่อดรู้สึกผิดต่อนางไม่ได้ ยามนี้เมื่อสามารถสงบสติอารมณ์ของตนเองได้แล้วเขาเองก็ไม่ได้มีความโกรธเคืองและไม่พอใจในตัวของเฉินเจียวเจียวอีก ในทางกลับกันเต๋อเฟยผู้เป็นพระมารดาของเขาก็เคยเอ่ยเตือนให้เขาลองมองในมุมมองกลับกันของเฉินเจียวเจียวบ้าง

นางหมั้นหมายกับโอรสของฝ่าบาทมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเริ่มเติบใหญ่ก็พยายามเรียนรู้และฝึกฝนตนเองเพื่อเตรียมตัวแต่งเข้าราชวงศ์ แต่ยามนี้เล่าการหมั้นหมายก็ถูกยกเลิกไปแล้ว แถมการแต่งงานของนางก็ตกอยู่ในดุลพินิจของฝ่าบาท เขาเองก็เป็นอ๋องผู้หนึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ฉลาดปราดเปรื่องเฉกเช่นผู้อื่นแต่เขาย่อมรู้ดีว่ายามนี้การแต่งงานของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงจะกลายเป็นหมากสำคัญของฝ่าบาทในการควบคุมกองทัพสกุลเฉินในอนาคต เพียงแต่ไม่รู้ว่าเด็กสาวผู้นั้นจะรู้ตัวหรือไม่ว่าการแต่งงานของตนกำลังจะกลายเป็นการชี้ชะตาให้แก่จวนผิงกั๋วกงในอนาคต

เมื่อเขาคิดได้ความสงสารที่เคยมีก็ถูกย้ายจากตัวหลินชิงเหมยไปไว้บนตัวของเฉินเจียวเจียวในทันที ความรู้สึกเกลียดชังและไม่พอใจที่มีต่อเฉินเจียวเจียวก็พลันจางหาย ความรู้สึกผิดต่อนางก็พลันเคลื่อนเข้ามาแทนที่อย่างไม่รู้ตัว เมื่อไม่ได้เกลียดชังก็ไม่มีความจำเป็นต้องหลบหน้าจากที่เมื่อครู่นี้ยังซ่อนตัวแอบฟังพวกนางพูดคุยกันอยู่เขาก็ตัดสินใจก้าวเท้าเดินตรงไปยังจุดที่เฉินเจียวเจียวและหลินชิงเหมยยืนอยู่ในทันที

“ท่านอ๋อง” เสียงเรียกอันอ่อนหวานและเจือเสียงสะอื้นของหลินชิงเหมยทำให้เขาอดหันไปมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนไม่ได้

“ชิงเหมย ในเมื่อคุณหนูใหญ่เฉินเอ่ยออกมาจนถึงขั้นนี้แล้วเจ้าก็อย่าได้ทำให้นางลำบากใจ คุณหนูเฉินเรื่องนี้ล้วนเริ่มจากข้าที่วางตัวไม่เหมาะสม” เมื่อโซ่วอ๋องเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวถึงกับทำตัวไม่ถูกไปในทันที นางคุ้นชินกับท่าทีเคืองแค้น โกรธเคืองและเบื่อหน่ายจากเขา แต่อยู่ๆ เขามาเอ่ยวาจาดีๆ ต่อนางเช่นนี้ทำให้นางนั้นรู้สึกวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่หลินชิงเหมยกลับไม่ยอมให้ผู้อื่นได้ตั้งตัว อยู่ๆ นางก็หลั่งน้ำตาออกมา พลางหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋องด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร พลางยื่นมือของตนเองที่ยามนี้ถูกปล่อยให้เป็นอิสระแล้วไปเหนี่ยวรั้งชายแขนเสื้อของโซ่วอ๋องเอาไว้ด้วยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา

“ไม่เพคะ เรื่องนี้ท่านอ๋องจะเป็นคนผิดได้อย่างไร หม่อมฉันต่างหากที่เป็นคนผิด” ท่าทีของหลินชิงเหมยไม่เพียงทำให้สตรีทั้งหมดที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นจ้องมองนางด้วยสายตาไม่ชอบใจแม้แต่หลี่ไท่หยางเองก็ยังอดขมวดคิ้วไม่ได้

“ชิงเหมย ต่อหน้าผู้อื่นเจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้สิ” ไม่เพียงเอ่ยวาจาตำหนิออกมาเขายังดึงชายแขนเสื้อของตนเองออกจากมือของนางด้วย ในการก่อนเขามองว่านางเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งจึงไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้ แต่ยามนี้นางกำลังมาเรียนรู้เพื่อเตรียมตัวแต่งให้เขา อีกทั้งเขายังพึ่งจะต้องถอนหมั้นกับคู่หมั้นเพราะเรื่องของนาง เขาจึงรู้สึกว่าไม่งามเท่าใดนักที่จะทำตัวสนิทชิดเชื้อกันจนเกินงามต่อหน้าของดีดคู่หมั้นและน้องสาวของตน

“ท่านอ๋อง…” หลินชิงเหมยเอ่ยออกมาเสียงเบาพลางก้มหน้าลงด้วยท่าทางน่าสงสาร ในใจก็ลอบคิดว่าวันนี้โซ่วอ๋องเป็นอันใดไปไม่เพียงไม่ออกหน้าปกป้องนางดังเช่นในกาลก่อนแต่กลับมีทีท่าเสมือนกับว่าไม่ชอบใจในตัวนางแถมยังกล้าตำหนินางต่อหน้าเฉินเจียวเจียวอีกด้วย

ในยามนี้ในใจหลินชิงของหลินชิงเหมยมีแต่ความร้อนรุ่ม นางยังคงโกรธแค้นเฉินเจียวเจียวในเรื่องที่เฉินเจียวเจียวมีส่วนอยู่ไม่น้อยที่ทำให้อี๋เหนียงของตนต้องตาย คำพูดของเฉินเจียวเจียวที่เอ่ยออกมาว่านางเพียงเด็กสาวย่อมจะคิดวางแผนไม่ได้แน่แม้ว่าจะเป็นความจริงอย่างที่เฉินเจียวเจียวเอ่ย แต่สำหรับหลินชิงเหมยแล้วถ้อยคำประโยคนี้ของเฉินเจียวเจียวกลับทำให้มารดาผู้ให้กำเนิดนางต้องตาย หลังจากฟางเจียอีกลับจากวังไปในวันที่เฉินเจียวเจียวขอถอนหมั้นกับโซ่วอ๋องแล้ว ฟางซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงของนางก็นำคำพูดประโยคนี้ของเฉินเจียวเจียวไปโยนใส่หน้าของพวกนางสองแม่ลูก แล้วก็ไม่ลงมือโบยตีอี๋เหนียงของนางจนตายต่อหน้านางและบ่าวไพร่ภายในจวน การตายของอี๋เหนียงของนางทำให้นางสาบานอยู่ในใจว่าจะต้องหาทางแก้แค้นเฉินเจียวเจียวผู้นี้ให้จงได้

สายตาแค้นเคืองของหลินชิงเหมยไม่อาจจะหลุดรอดไปจากสายตาของเฉินเจียวเจียวไปได้นางเพียงยิ้มออกมาอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยกับโซ่วอ๋องด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“คำพูดของคุณหนูรองหลินล้วนถูกต้อง เรื่องนี้นางเองก็มีส่วนผิด ดูจากความประพฤติและการวางตัวของนางแล้วแม้แต่ข้าที่เป็นคนนอกก็ยังอดคิดไม่ได้ว่านางออกจะขาดความสำรวมตนอยู่บ้าง ยังคงเป็นฝ่าบาทที่มีพระปรีชาที่ทรงเสนอว่าคุณหนูรองหลินควรจะต้องเข้าวังมารับการสั่งสอนเสียบ้าง อืม ดูท่าแล้วนางคงจะต้องเรียนรู้อีกมากจริงๆ ด้วย” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางส่ายหน้า หลี่ไท่หยางได้แต่ทอดถอนใจออกมาแล้วจึงได้หันไปเอ่ยกับหลินชิงเหมยเสียงเบา

“ที่เสด็จแม่ทรงเข้มงวดกับเจ้านั้นนับว่าถูกต้องจริงๆ ข้าไม่ดีเองที่ไปแทรกแซงการอบรมเจ้าของเสด็จแม่ นางกำนัลซ่งรบกวนเจ้าพานางกลับตำหนักของเสด็จแม่ด้วยและอย่าได้ลืมบอกกับเสด็จแม่ด้วยว่าต่อไปนี้ข้าจะไม่มารบกวนการอบรมสั่งสอนนางของเสด็จแม่แล้ว” เมื่อหลี่ไท่หยางเอ่ยเช่นนี้หลินชิงเหมยก็ส่ายหน้าพลางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความน้อยใจ

“ข้าหวังดีต่อเจ้านะชิงเหมย ..ข้าคงต้องไปแล้ว ละเลยราชกิจที่ได้รับมอบหมายมาตั้งหลายวันแล้วสมควรจะต้องกลับไปสะสางเสียที” เมื่อเอ่ยจบเขาก็หันไปพยักหน้าให้เฉินเจียวเจียวและหวังฮุ่ยหลิงที่ย่อกายคารวะอำลาเขาแล้วจึงได้เดินจากไปในทันที หลี่ถังหรูที่กำลังยืนดูเหตุการณ์เหมือนคนนอกหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วจึงได้หันไปเอ่ยกับนางกำนัลของพระนางเต๋อเฟยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ได้ยินที่เสด็จพี่รองของข้าตรัสแล้วใช่หรือไม่ พานางกลับตำหนักของเสด็จแม่ไปเสียเถิด อย่าลืมถ่ายทอดถ้อยคำประโยคนั้นของเสด็จพี่รองให้แก่เสด็จแม่ด้วยล่ะ” เมื่อหลี่ถังหรูเอ่ยจบนางกำนัลผู้นั้นก็ย่อกายพลางขานรับด้วยน้ำเสียงนอบน้อมแล้วจึงได้เดินไปเอ่ยกับหลินชิงเหมยด้วยสีหน้าอึมครึม

“คุณหนูรองหลินเชิญ” เมื่อนางกำนัลซ่งเอ่ยเช่นนี้หลินชิงเหมยก็ไม่คิดจะดื้อดึงอยู่ที่นี่ต่อ นางรีบเดินออกจากบริเวณนี้ไปภายใต้สายตาสาแก่ใจของเฉินเจียวเจียวและสหาย

‘คิดจะผูกความแค้นกับข้าหรือไม่ต้องดิ้นรนหรอก เพราะความแค้นของข้าผูกมัดตัวเจ้ามาตั้งแต่ชาติที่แล้วแล้ว’ เฉินเจียวเจียวได้แต่คิดในใจแล้วจึงได้นั่งลงจิบน้ำชาแล้วชิมขนมที่เต๋อเฟยทรงประทานมาให้ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 66 โทษทัณฑ์

    สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 65 โชคดี

    เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 64 แย่งชิงอำนาจ

    การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status