Share

บทที่ 17 ขออภัย

Author: BigM00N
last update Last Updated: 2025-05-22 22:16:13

ระยะนี้โซ่วอ๋องหลี่ไท่หยางนับว่าเป็นอ๋องที่ถูกผู้คนกล่าวถึงมากที่สุด หากจะเอ่ยถึงในทำนองยกย่องให้เกียรติก็ถือว่าเขาคือโอรสที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของฝ่าบาทในเวลานี้ แต่หากจะให้เอ่ยถึงในแง่ความเป็นจริงเขาก็คือโอรสที่มีพฤติกรรมเหลวไหลมากที่สุด

ข่าวการลักลอบนัดพบกับสตรีที่วัดยังไม่ทันจืดจาง ก็มีข่าวเรื่องที่เขาถูกคุณหนูจวนผิงกั๋วกงขอถอนหมั้น แถมยังมีข่าวลืออีกระลอกออกจากในวังที่ระบุว่าในครั้งนี้ฝ่าบาททรงเห็นดีเห็นงามที่จะให้โซ่วอ๋องยกเลิกการหมั้นหมายในครั้งนี้ แถมฝ่าบาทยังชื่นชมคุณหนูจวนผิงกั๋วกงว่าเป็นสตรีที่ดีงามพร้อมและยึดมั่นในความถูกต้อง แม้แต่การแต่งงานที่คู่ครองสูงศักดิ์กว่าก็ยังสามารถละทิ้งได้เมื่อเห็นว่าคู่หมั้นของตนนั้นทำผิดครรลองครองทำ

“นี่ออกจะใช้คำพูดที่รุนแรงมากเกินไปสักหน่อย ถึงอย่างไรโซ่วอ๋องก็นับว่าเป็นเชษฐาร่วมอุทรขององค์หญิง ท่านไม่คิดว่าคำพูดเหล่านี้ออกจะรุนแรงมากจนเกินไปหรือเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาจิบเพื่อดับกระหาย ช่วงนี้องค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากวัง นางและหวังฮุ่ยหลิงจึงได้ถูกเชื้อเชิญให้เข้าวังมาพบองค์หญิงอยู่บ่อยครั้ง

“เขาทำกับเจ้าถึงขั้นนั้นแล้ว เจ้ายังออกหน้าช่วยปกป้องเขาอีกหรือ” หลี่ถังหรูเอ่ยพลางมองสหายด้วยสายตาตำหนิ

“ใช่ที่ไหนกันเล่าเพคะ หม่อมฉันก็แค่เกรงว่าหากใช้คำพูดรุนแรงมากจนเกินไปวันหน้าโซ่วอ๋องอาจจะย้อนกลับมาคิดบัญชีกับท่านได้ต่างหาก” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้สีหน้าของหลี่ถังหรูจึงได้ดีขึ้น

“เขาไม่มีเวลามาคิดบัญชีกับข้าหรอก ยามนี้เขามัวแต่โต้เถียงกับเสด็จแม่ของข้าอยู่ ข้าไม่เข้าใจเลยเพียงเพื่อสตรีคนหนึ่งไม่ได้มีคุณงามความดีอันใดเลยแต่เสด็จพี่รองของข้ากลับทุ่มเทจิตใจปกป้องคุ้มครองนางแถมยังกล้าปะทะคารมกับเสด็จแม่อย่างไม่เกรงกลัว ทั้งที่นางก็ไม่ใช่สตรีที่มีรูปโฉมมากสักเท่าไหร่อีกทั้งยังไม่เติบใหญ่เพียงพอที่จะทำให้คนรักใคร่ชอบพอได้”

“นั่นย่อมเป็นเพราะหลินชิงเหมยผู้นั้นมีบางอย่างที่โซ่วอ๋องคิดว่าดีแต่พวกเราไม่คิดว่าดีอย่างไรเล่า” หวังฮุ่ยหลิงเอ่ยพลางยกพัดที่ถืออยู่ขึ้นมาปิดบังรอยยิ้มของตนเอง ทั้งเฉินเจียวเจียวและหลี่ถังหรูต่างเห็นแววตาที่ขบขันจนแทบจะปิดชิดกันของนางแล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ โดยไม่คิดจะปิดบัง

“ยังเด็กเช่นนั้นจะไปยั่วยวนผู้ใดได้ เต็มที่ก็แค่ร้องไห้ให้มากหน่อย ทั้งกุเรื่องทั้งแต่งเรื่องเพื่อให้ตนเองดูน่าสงสารให้มากเข้าไว้ เรื่องพรรค์นี้มีผู้ใดในวังหลังแห่งนี้ไม่เคยทำบ้างกันเล่า” เมื่อหลี่ถังหรูเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย ตามความรู้สึกของนางแล้วหลินชิงเหมยน่าจะมีความสามารถมากกว่านั้นแต่นางก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา ด้วยรู้ดีว่าที่นี่คือวังหลวง นางจะต้องระมัดระวังคำพูดของตนเองให้ดีและคอยชักจูงให้สหายทั้งสองของนางพูดถึงแต่เรื่องดีๆ อีกด้วย

“เมื่อหลายวันก่อนหม่อมฉันไปที่หอฝูหรงมามีแป้งชาดชุดใหม่เข้ามาอีกแล้วก็เลยซื้อมามอบให้กับองค์หญิงชุดหนึ่ง ส่วนอีกชุดหนึ่งข้าเตรียมเอาไว้ให้เจ้าแล้ว หลังจากออกจากวังไปแล้วเจ้าอย่าลืมทวงข้านะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางหันไปส่งสัญญาณให้ตงผิงที่ติดตามนางเข้าวังมาด้วยนำของที่เตรียมมานำไปมอบให้แก่นางกำนัลคนสนิทขององค์หญิง

“ยังมีอารมณ์ไปเดินเลือกซื้อของได้อีกหรือ เจ้าไม่เกรงกลัวสายตาของคนนอกบ้างหรือหากพวกเขารู้ว่าเจ้าคือคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงผู้โด่งดังเจ้าย่อมกลายเป็นจุดสนใจของพวกเขาแน่” องค์หญิงเก้าเอยพลางส่งสัญญาณให้นางกำนัลนำชุดแป้งชาดมาให้นางดู

“แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะไม่รู้ว่าหม่อมฉันคือผู้ใด เพราะหม่อมฉันสวมหมวกที่มีผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้ อีกอย่างเวลาหม่อมฉันไปไหนมาไหนก็ไม่มีข้ารับใช้ตะโกนบอกว่า องค์หญิงเก้าเสด็จ… เหมือนองค์หญิงนี่เพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มแล้วก็ได้รับการตวัดสายตาส่งค้อนมาให้ ส่วนหวังฮุ่ยหลิงนั้นได้ยกพัดขึ้นมาแล้วก็หัวเราะ

พวกนางนั่งพูดคุยกันได้ครู่หนึ่งก็มีนางกำนัลจากตำหนักของเต๋อเฟยถือจานขนมและกล่องอาหารเดินเข้ามาทางพวกนาง

“ถวายพระพรองค์หญิงเก้าเพคะ พระสนมทรงทราบว่าวันนี้คุณหนูเฉินและคุณหนูหวังเข้าวังมาตามคำเชิญขององค์หญิง พระนางจึงมีรับสั่งให้หม่อมฉันนำขนมและของว่างมามอบให้แก่คุณหนูทั้งสองเพคะ ขนมในจานนี้คือขนมที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ ส่วนในกล่องไม้คือขนมที่คุณหนูเฉินและคุณหนูหวังชื่นชอบ พระนางจึงประทานให้คุณหนูทั้งสองนำกลับไปด้วยเพคะ” เมื่อเอ่ยจบนางกำนัลผู้นั้นก็วางจานขนมลงบนโต๊ะน้ำชาส่วนนางกำนัลอีกคนนำกล่องอาหาไปมอบให้แก่ตงผิงและสาวใช้ของหวังฮุ่ยหลิง ทุกคนต่างไม่ได้สนใจเรื่องขนมแต่กลับสนใจเด็กสาวที่มากับบรรดานางกำนัลเหล่านั้น

“พวกเจ้าพานางมาด้วยทำไม” หลี่ถังหรูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“พอคุณหนูหลินรู้ว่าบ่าวจะนำขนมมามอบให้คุณหนูเฉินก็เลยขอติดตามมาด้วยเพื่อต้องการขออภัยคุณหนูเฉินเพคะ” คำพูดของนางกำนัลทำให้ทั้งหลี่ถังหรูและสหายทั้งสองต่างจ้องมองนางเขม็งนางรีบหันไปเอ่ยอธิบายต่อหลี่ถังหรูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ซึ่งพระสนมก็ทรงเห็นด้วยเพคะ แถมยังบอกว่าหากคุณหนูเฉินต้องการให้คุณหนูหลินทำสิ่งใดเพื่อไถ่โทษก็ห้ามคุณหนูหลินปฏิเสธเพคะ” เมื่อหลี่ถังหรูได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียมแต่ทั้งเฉินเจียวเจียวและหวังฮุ่ยหลิงต่างก็รีบส่ายหน้าให้หลี่ถังหรูซึ่งนางก็รีบพยักหน้าในทันทีแม้ว่าภายในใจอยากจะจัดการกับสตรีตรงหน้าให้สาแก่ใจตนเองก็ตามที

“คุณหนูรองหลินระหว่างเจ้ากับข้าไม่ได้มีสิ่งใดที่ติดค้างต่อกัน เจ้าไม่จำเป็นต้องขอการให้อภัยจากข้า” … เพราะข้าไม่มีทางให้อภัยเจ้า แน่นอนว่าประโยคหลังนี้เฉินเจียวเจียวไม่ได้เอ่ยออกมา

“พี่หญิงเจียวเจียว ข้า…” หลินชิงเหมยเอ่ยพลางทรุดกายลงเพื่อจะคุกเข่า แต่ทั้งตงผิงและสาวใช้ของหวังฮุ่ยหลิงต่างรีบช่วยกันเข้าไปประคองนางไว้คนละข้าง หลินชิงเหมยหันไปมองตงผิงและสาวใช้ผู้นั้นด้วยสายตาแตกตื่น นางนั่งใจจะคุกเข่าแต่ก็ไม่อาจจะทิ้งตัวลงได้ตามใจ

“คุณหนูรองหลิน ให้บ่าวช่วยประคองท่านนะเจ้าคะ คุณหนูของบ่าวเป็นคนมีเมตตานางคงไม่อยากเห็นคุณหนูได้รับความยากลำบากด้วยการนั่งคุกเข่าลงไปหรอกเจ้าค่ะ หวังว่าคุณหนูจะไม่ทำให้คุณหนูของบ่าวต้องลำบากใจนะเพคะ” ตงผิงที่รีบฝากกล่องอาหารไว้กับสาวใช้อีกคนแล้วรีบมาขัดขวางการคุกเข่าของหลินชิงเหมยได้ทันท่วงทีเอ่ยออกมาพลางส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจให้แก่หลินชิงเหมย

“เป็นอย่างที่สาวใช้ของข้าเอ่ยออกไป เจ้าไม่ควรจะมาคุกเข่าให้ข้าโดยไม่มีเหตุจำเป็น ข้าไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกเจ้าและคิดว่าพวกเราควรเว้นระยะห่างระหว่างกันให้มากสักหน่อยเพื่อหลีกเลี่ยงข่าวลือต่างๆ ที่จะทำลายชื่อเสียงทั้งของเจ้าและของข้า โดยเฉพาะเจ้าที่จะต้องระมัดระวังตนเองให้มากชื่อเสียงคือสิ่งสำคัญ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจในความปรารถนาดีของข้านะ” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้หลินชิงเหมยเอ่ยอันใดออกมาไม่ได้ นางจ้องมองเฉินเจียวเจียวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดใจด้วยคิดไม่ถึงว่าเฉินเจียวเจียวจะอ่านแผนการของตนออก ส่วนเฉินเจียวเจียวนั้นแค่เพียงส่งยิ้มให้หลินชิงเหมยอย่างอ่อนโยนส่วนในใจก็กำลังคิดคำนวณว่ากว่าหลี่ไท่หยางจะเดินมาถึงเขาต้องใช้เวลานานเท่าใด จะทันได้เห็นว่านางกำลังมอบทั้งความเมตตาและความเอาใจใส่ในชื่อเสียงของสตรีตัวน้อยของเขาหรือไม่

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 66 โทษทัณฑ์

    สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 65 โชคดี

    เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 64 แย่งชิงอำนาจ

    การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status