ในขณะที่ตำหนักขององค์หญิงเก้ากำลังต้อนรับพระสหายอย่างกระตือรือร้น เรื่องราวการเผชิญหน้าระหว่างคุณหนูจวนผิงกั๋วกงและคุณหนูจวนสกุลหลินก็ถูกนำมาถ่ายทอดให้แก่หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ที่ตำหนักคังหมิงอย่างไม่มีตกหล่น หลี่เซียวหลงฮ่องเต้แค่เพียงทรงพระสรวลออกมาเบาๆ แล้วก็ทรงหันไปทอดพระเนตรองค์รัชทายาทอย่างมีเลศนัย
“แม่หนูจากจวนสกุลเฉินผู้นี้ เจ้าคิดว่านางเป็นคนอย่างไร” เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่ไท่หลงก็แค่เพียงยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยแล้วก้มหน้าลงอ่านฎีกาที่พระราชบิดาบังคับให้อ่านโดยไม่คิดจะเอ่ยอันใดออกมา
“แม้แต่สาวใช้ของนางก็ยังรู้จักระมัดระวังเช่นนี้ ข้ายังเคยหลงคิดว่ามีแค่เพียงในวังหลวงแห่งนี้เสียอีกที่เป็นถ้ำเสือถ้ำพยัคฆ์คิดไม่ถึงว่าจวนขุนนางฝ่ายบู๊อย่างจวนผิงกั๋วกงก็ไม่ได้ นางคงฝึกปรือฝีมือมาเป็นอย่างดีจึงได้ไม่คิดจะประมาทเด็กสาวอย่างคุณหนูจากจวนสกุลหลิน” เมื่อได้ยินพระบิดาเอ่ยออกมาเช่นนี้หลี่ไท่หยางก็วางฎีกาในมือของตนเองลงแล้วเอ่ยกับพระราชบิดาของเขาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“หากเสด็จพ่อทรงมีเวลานั่งฟังว่าเด็กสาวเหล่านั้นพูดคุยอะไรกันและทำท่าทางเช่นไรต่อกันบ้างเช่นนี้ ฎีกาเหล่านี้ก็คงไม่ต้องมีลูกมาช่วยสะสางแล้วกระมัง”
“จุ๊ จุ๊ เจ้านี่ช่างไม่รู้จักหาความสำราญให้แก่ตนเองเสียบ้าง อีกทั้งอย่าได้ดูถูกความเจ้าสำราญของสตรีเชียวนะ คำโบราณที่ว่าวีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงามนั้นพ่อยืนยันได้ว่าเป็นความจริงมากกว่าครึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นล้วนเป็นเพราะสาวงามพวกเขาจึงได้เป็นวีรบุรุษ” พระดำรัสนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงได้แต่พยักหน้าอยู่ในใจ เรื่องนี้เขาเองก็พอจะรู้ซึ้งถึงความเป็นจริงนี้ เพียงแต่ครั้งล่าสุดที่เขาหาความสำราญด้วยการแทะเมล็ดแตงนั่งฟังอิสตรีพูดคุยกันนั้นมีความทรงจำที่ไม่ค่อยจะดีปะปนมาด้วย
‘พวกนางจะทะเลาะกับผู้ใดข้าก็ไม่ว่า แต่การที่มาข่มขู่ข้าให้ร่วมวงทะเลาะด้วยนั้นมันช่างน่าขุ่นเคืองใจยิ่งนัก’ หลี่เซียวหลงคิดอยู่ในใจด้วยความหงุดหงิด เพราะจนถึงยามนี้เขากับน้องชายคนรองที่ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อนกลับกลายเป็นคู่พี่น้องที่เข้าหน้ากันไม่ติดไปเสียแล้ว
เมื่อหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นสีหน้าหงุดหงิดของพระโอรสแล้วก็พลันทอดถอนพระปัสสาสะออกมา ทรงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นนอกวังของพระโอรสแต่เรื่องที่ขึ้นภายในวังของพระโอรสนั้นพระองค์ทรงรับรู้เป็นอย่างดี
“เจ้าใหญ่ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมและรู้สึกขัดเคืองพระทัยต่อการกระทำของเสด็จย่าของเจ้า แต่เรื่องนั้นเจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองพระนางเลย เป็นข้าเองที่ปกป้องพระมารดาของเจ้าได้ไม่ดีเอง” หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสออกมาด้วยสีหน้าเศร้าโศก
หยวนฮองเฮาผู้เป็นภรรยาร่วมผูกผมของเขาและพระมารดาผู้ให้กำเนิดหลี่ไท่หลงต้องสิ้นชีพและตายจากไปอย่างไม่เป็นธรรมเพราะการกระทำของจ้าวไทเฮาผู้เป็นพระมารดาแท้ๆ แม้ว่าจะรู้แต่หลี่เซียวหลงฮ่องเต้กลับไม่สามารถทำอันใดพระมารดาได้นอกจากกักขังพระนางเอาไว้ในตำหนักเย็น แต่แม้ว่าพระนางจะถูกกักขังแต่คนสกุลจ้าวกลับไม่ได้สงบเสงี่ยมและอยู่อย่างเจียมตนเลยสักนิด ยามนี้ตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายขวาก็ยังเป็นของจ้าวฉีผู้นำสกุลจ้าวอยู่ดี
ยามนี้สกุลจ้าวเปรียบเสมือนหนามตำตาของหลี่ไท่หลง แต่ขาดหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ยังไม่อาจจะกำจัดสกุลได้แล้วหลี่ไท่หลงที่ยังคงดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทอยู่จะสามารถออกหน้าจัดการได้อย่างไร
“กระหม่อมหรือจะกล้าเคืองแค้นเสด็จย่า เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมากระหม่อมย่อมสามารถเข้าใจว่าเพราะเหตุใดคนสกุลจ้าวจึงไม่อาจจะกำจัดได้เสียที แต่เสด็จพ่อทรงวางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ลูกย่อมรู้จักหนักเบาไม่มีทางทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตจนถึงขั้นกลายเป็นสงครามกลางเมืองอย่างที่เสด็จพ่อทรงเคยกังวลเอาไว้อย่างแน่นอน” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ก้พยักหน้า
“ยามนี้เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว เรื่องการไว้ทุกข์ให้อดีตคู่หมั้นก็ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ทางสกุลจ้าวจะต้องสอบถามเรื่องการรับพระชายาองค์รัชทายาทอีกแน่” เมื่อได้ยินพระราชบิดาเอ่ยเช่นนี้หลี่ไท่หลงก็เอ่ยออกมาเสียงเบา
“ไม่ว่าอย่างไรพระชายาขอลูกก็ไม่มีทางเป็นคนสกุลจ้าวอย่างแน่นอน หวังว่าเสด็จพ่อจะช่วยส่งเสริมลูกในเรื่องนี้ด้วย” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยจบก็มองสีหน้าของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ด้วยสายตาหวาดระแวง
“... คุณหนูเฉินผู้นั้นคงจะไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ ด้วยฐานะพระชายาองค์รัชทายาท สตรีที่ได้รับเลือกไม่ควรจะเป็นสตรีที่วิ่งโร่มาขอยกเลิกการหมั้นหมายเพียงเพราะจับได้ว่าคู่หมั้นของตนเองใกล้ชิดกับสตรีอื่นในที่สาธารณะ” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้ก็พลันถูกสายพระเนตรอันคมกริบจับจ้องในทันที
“แล้วไม่ดีหรือ สกุลเฉินและสกุลจ้าวระหว่างสองสกุลนี้มิสู้แต่งสกุลเฉินเข้ามาช่วยคานอำนาจจะไม่ดีกว่าหรือ “ หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสออกมาพลางจ้องมองหลี่ไท่หลงด้วยสายพระเนตรที่จริงจัง
“เจ้าคือบุตรชายที่ข้าเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมากับมือของตนเอง มีหรือที่จะไม่เข้าใจในความคิดของเจ้า เพียงแต่เรื่องบางเรื่องไม่อาจจะทำตามใจของตนเองได้ ในฐานะว่าที่ประมุขของแผ่นดินเรื่องบางเรื่องอาจจะต้องใช้คำว่าเสียสละอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าจะปวดใจมาเพียงใดแต่เจ้าต้องพยายามอดทนทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นก็แค่เพียงเพื่อปวงประชา”
“แต่บางเรื่องก็ไม่อาจจะใช้คำว่าเสียสละมาใช้อย่างพร่ำเพรื่อ” หลี่ไท่หลงเอ่ยพลางหลุบตาลงเพื่อปิดบังแววตาของตนเอง
“เอาเถอะเรื่องชายาของเจ้ายังมีเวลาให้ตัดสินใจ” เมื่อหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้หลี่ไท่หลงก็พลันทอดถอนใจออกมา
“เรื่องชายาของลูกย่อมมีเวลา แต่ฎีกาที่วางอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ของเสด็จพ่อน่าจะเหลือเวลาให้สะสางน้อยลงไปเรื่อยๆ แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยินประโยคนี้หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ก็หันไปส่งสายพระเนตรไปตำหนิในทันที เพียงแต่เมื่อทรงคิดได้ว่าหากไม่สะสางให้แล้วเสร็จ วันพรุ่งนี้ในยามที่อยู่ในท้องพระโรงจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดที่ไม่สามารถสะสางฎีกาให้แล้วเสร็จก่อนที่จะประชุมขุนนางในยามเช้า
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ
สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้
เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ
การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ