Share

บทที่ 20 ความสนพระทัย

Author: BigM00N
last update Last Updated: 2025-05-22 22:17:55

การได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นเด็กสาวอีกครั้งทำให้เฉินเจียวเจียวรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น อีกทั้งยามนี้สิ่งที่เคยผูกมัดนางเอาไว้ได้เริ่มคลายออกบ้างแล้วโดยเฉพาะเรื่องการหมั้นหมาย ก่อนหน้านี้ทั้งฮูหยินผู้เฒ่าและเฉียวซื่อต่างก็เข้มงวดต่อเฉินเจียวเจียวเป็นอย่างมาก ด้วยกังวลว่าหากนางทำสิ่งใดผิดพลาดไปจะกระทบต่อชื่อเสียงของนางและกระทบต่อจวนโซ่วอ๋องด้วย

แต่ยามนี้เมื่อเฉินเจียวเจียวยังไม่ได้หมั้นหมายกับผู้ใด อีกทั้งยังมีเรื่องของโซ่วอ๋องที่ชี้ให้เห็นว่าต่อให้นางพยายามประพฤติตัวดีเช่นใดแต่หากได้คู่ครองไม่ดีก็ล้วนมีค่าไม่ต่างกัน พวกนางจึงผ่อนคลายกฎระเบียบลงด้วยคิดว่าอย่างน้อยการทำเช่นนี้ก็จะช่วยให้เฉินเจียวเจียวมีความสุขขึ้นอีกสักหน่อย

“วันนี้ก็จะออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว แม้ว่าจะผ่อนคลายกฎระเบียบลงบ้างแล้วแต่การที่หลานสาวเข้าวังแทบจะทุกวันเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็อดรู้สึกไม่สบายไม่ได้

“วันนี้ไม่ได้เข้าวังเจ้าค่ะ องค์หญิงเก้าได้รับอนุญาตให้ออกจากวังได้แล้ว จึงนัดกันว่าจะไปดื่มชาชมทิวทัศน์ที่หอหลิงฟางเจ้าค่ะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้หันไปสอบถามเจียวเหม่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เจ้าเองก็จะไปกับนางด้วยหรือ”

“เจ้าค่ะ ได้รับอนุญาตจากท่านแม่แล้ว” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ทอดถอนใจออกมาพลางพยักหน้า

“เช่นนั้นก็รีบไปแล้วรีบกลับเล่า แล้วก็อย่าได้ลืมเรื่องความสำรวมด้วย” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้สองพี่น้องสกุลเฉินก็หันไปส่งยิ้มให้กัน แล้วจับจูงกันออกจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า

“ข้าเองก็อยากไปด้วย” เฉินเจียวมี่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้างอง้ำ

“เจ้ายังเล็กเกินไป อีกทั้งวันนี้เจ้ามีเรียนมิใช่หรือ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยกับน้องสาวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มซึ่งนางก็รีบโอดครวญออกมาในทันที

“ก็เพราะมีเรียนน่ะสิ ข้าจึงอยากไปกับพวกท่าน”

“เช่นนั้นเจ้าก็ควรตั้งใจเรียนแล้วสอบให้ผ่านจะได้ไม่ต้องเรียนอีก” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยชี้แนะตามประสบการณ์ของตนเอง เฉินเจียวมี่จึงทำได้แค่ส่ายหน้า ด้วยความหลงใหลในบทกวีที่มีมากกว่าผู้อื่นมาตรฐานการเรียนของเฉินเจียวมีจึงได้สูงกว่าผู้อื่น แต่เมื่อคิดว่าหากเอ่ยออกไปแล้วมารดาของตนได้ยินเข้าอาจจะเสียใจ เฉินเจียวมี่จึงไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา

“ถ้าเช่นนั้นอย่าลืมซื้อขนมที่หอหลิงฟางกลับมาฝากข้าด้วยนะเจ้าคะ”

“เจ้าวางใจเถิดพวกข้าย่อมไม่ลืมเจ้าแน่” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยพลางส่งยิ้มให้น้องสาวแล้วจึงได้หันไปชักชวนเฉินเจียวเจียวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“พวกเรารีบไปกันเถิด ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะได้รับอนุญาตจากท่านแม่ของข้าให้สามารถออกมาเที่ยวเล่นได้” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็รีบเดินไปดึงแก้มที่ยังคงอวบอิ่มอยู่ของญาติผู้น้องร่วมสกุลแล้วรีบเดินติดตามเฉินเจียวเหม่ยไปขึ้นรถม้าที่หน้าจวนในทันที

“ข้าสังเกตเห็นว่ายามนี้เจ้าหมดความเห็นใจที่มีต่อข้าแล้ว” เมื่อรถม้าออกจากจวนได้ระยะหนึ่งเฉินเจียวเจียวก็หันไปเอ่ยกับเฉินเจียวเหม่ยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

“ผู้ใดจะไปนั่งเอ่ยวาจาอ่อนหวานเพื่อปลอบใจเจ้าได้ตลอดไปกันเล่า อีกอย่างยามนี้เจ้าก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอันใดแล้ว เหตุใดข้าจะต้องมานั่งพูดจาเอาอกเอาใจเจ้าอีกเล่า” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หันไปกอดแขนญาติผู้น้องที่มีอายุเท่ากันของตนเอาไว้

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แต่ข้าชอบที่เจ้าเป็นเช่นนี้ที่สุด” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็ส่งยิ้มออกมา เมื่อพวกนางไปถึงหอหลิงฟางก็ได้แต่ขมวดคิ้ว กว่ารถม้าจะฝ่าผู้คนมาจนถึงหอก็ยากแล้ว แต่ยามนี้เมื่อมาถึงยังพบว่ามีผู้คนรวมตัวกันอยู่อย่างเนืองแน่นอีก

“นานๆ ข้าจะได้ออกจากจวนสักทีก็ดันมามีอุปสรรคเช่นนี้อีก สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมต่อข้าเลย” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็แค่เพียงยิ้มออกมาแล้วหันไปเอ่ยกับตงผิงที่นั่งอยู่ด้านในรถม้าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“เจ้าออกไปดูสิว่าเกิดอันใดขึ้น” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงผิงก็ลงจากรถม้าไปเพื่อจะสอบถามกับผู้คุ้มกันว่าเกิดอันใดขึ้น จังหวะเดียวกับข้ารับใช้จากตำหนักขององค์หญิงเก้าเดินมาแจ้งข่าวในทันที เมื่อตกลงและพูดคุยกันดีแล้วตงผิงจึงได้เข้าไปในรถม้าแล้วรายงานกับเฉินเจียวเจียวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“วันนี้หอหลิงฟางจัดงานชุมนุมบทกวีขึ้นผู้คนจึงมารวมตัวที่นี่เพื่อรอดูคุณหนูจ้าวประชันแต่งบทกวีกับบุรุษ องค์หญิงเก้าบอกว่าไม่น่าสนใจจึงส่งข้ารับใช้มาแจ้งข่าวว่าทั้งองค์หญิงและคุณหนูหวังต่างออกไปรอที่หอชิงเยี่ยนที่อยู่นอกเมืองเจ้าค่ะ คุณหนูจะไปที่หอชิงเยี่ยนหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อตงผิงเอ่ยจบเฉินเจียวเหม่ยก็รีบเอ่ยตอบในทันที

“ย่อมต้องไปหอชิงเยี่ยนอยู่แล้ว จ้าวซีอินผู้นี้ก็ช่างกระไรปิดบังรูปโฉมมาแข่งแต่งบทกวีกับบุรุษ แต่ต่อให้ปิดบังรูปโฉมแต่มีผู้ใดบ้างไม่เคยเห็นนาง ก็แค่แต่งบทกวีจะยากเย็นอันใดหากข้าส่งเจียวมีมาประชันนางยังจะมากความสามารถกว่าจ้าซีอินเสียอีก” เมื่อได้ยินญาติผู้พี่เอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ยิ้มออกมาในทันที

“นางคงจงใจอยากจะสร้างชื่อเสียงว่าตนเองคือสตรีโฉมงามที่มากความสามารถให้โด่งดังมากยิ่งขึ้นเพื่อกระตุ้นความสนพระทัยจากคนในตำหนักบูรพาเจ้าอย่าได้สนใจนางเลย พวกเรารีบไปหอชิงเยี่ยนกันดีกว่าป่านนี้องค์หญิงเก้าและฮุ่ยหลิงคงจะไปรอพวกเรานานแล้ว พวกเราไปกันเถิดหากมีคนมากกว่านี้น่าจะลำบาก” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้คนสกุลเฉินจึงได้นั่งรถม้าออกนอกเมืองเพื่อไปที่หอชิงเยี่ยน

“ที่เจ้าเอ่ยมาเมื่อครู่นี้เป็นความจริงหรือ จ้าวซีอิงคิดจะดึงความสนพระทัยจากตำหนักบูรพาเช่นนั้นหรือ แต่ข้าได้ยินมาว่าคู่หมั้นที่องค์รัชทายาททรงประกาศไว้ทุกข์ให้คือคุณหนูใหญ่สกุลจ้าวพี่สาวแท้ๆ ของนางมิใช่หรือ” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยถามเมื่อรถม้าเริ่มออกห่างจากกลุ่มผู้คนหน้าหอหลิงฟางแล้ว

“เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรตำแหน่งชายารัชทายาทก็คือสิ่งที่คนสกุลจ้าวเพ่งเล็งเอาไว้นานแล้ว น่าเสียดายที่คุณหนูใหญ่สกุลจ้าวไร้วาสนา พอจะเปลี่ยนเป็นจ้าวซีอินองค์รัชทายาทก็ใช้เรื่องการไว้ทุกข์มาบอกปัด ทำให้จนป่านนี้จ้าวซีอินก็ยังไม่ได้ออกเรือนเสียที ยามนี้ใกล้พ้นกำหนดไว้ทุกข์แล้วนางคงอยากจะใช้เรื่องความสามารถทางด้านกวีของตนเองดึงดูดพระทัยองค์รัชทายาท” เมื่อเฉินเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยจึงได้พยักหน้าแล้วจึงได้เอ่ยถามด้วยความอยากรู้

“แล้วเจ้าคิดว่านางจะสามารถดึงความสนพระทัยจากองค์รัชทายาทได้หรือไม่”

“น่าจะดึงดูดได้นะ คนอย่างองค์รัชทายาทชื่นชอบความครื้นเครงเป็นอย่างยิ่งไม่แน่ว่ายามนี้แขกที่จองห้องพิเศษของหอหลิงฟางอาจจะมีองค์รัชทายาทเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้” …พร้อมด้วยเมล็ดแตงอีกหลายถุง แน่นอนว่าประโยคนี้เฉินเจียวเจียวไม่ได้เอ่ยออกมา แต่เมื่อรถม้าไปถึงหอชิงเยี่ยนแล้วเฉินเจียวเจียวกลับอดประหลาดใจไม่ได้ เมื่อคนที่ลงจากรถม้าอีกคันหน้าหอชิงเยี่ยนจะเป็นองค์รัชทายาทที่นางพึ่งจะเอ่ยถึงไปเมื่อครู่นี้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 66 โทษทัณฑ์

    สกุลจ้าวก่อกบฏต้องโทษประหารทั้งสกุล เหตุการณ์ในครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะมีกองกำลังของสกุลหยวน สกุลเซียวและสกุลเฉินคอยตรึงกำลังอยู่จึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บกวาดคนสกุลจ้าวและผู้เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏได้อย่างรวดเร็วและสะอาดหมดจดเฉินเจียวเจียวยืนมองลานประหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดด้วยสีหน้าเย็นชา คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วเช่นนางย่อมไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มากนัก“เจ้าจะขอให้ไว้ชีวิตนางไปเพื่อเหตุใด” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ยามนี้บนใบหน้ามีแต่ความเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนสกุลหลิน เป็นบุตรสาวของท่านลุงทางฝั่งมารดาของหม่อมฉัน หากนางต้องโทษกบฏคนสกุลหลินก็คงจะถูกลากลงไปแปดเปื้อนกับนางด้วย มิสู้ทำให้นางกลายเป็นสตรีต้องโทษด้วยข้อหาวางแผนให้ร้ายผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงและให้การเท็จโทษทัณฑ์ของนางก็คงจะเบาบางลงมาก” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงแค่นหัวเราะออกมา“หากไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่าเจ้ามีเมตตาต่อนาง แต่จากที่ข้ารู้โทษทัณฑ์ที่นางจะได้

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 65 โชคดี

    เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริตหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้ายจ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 64 แย่งชิงอำนาจ

    การตายของจ้าวซีเฉิงทำให้ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงที่ได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยคิดเสียดายต่อการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของคุณชายใหญ่ผู้นี้ จ้าวซีเฉิงคงจะคิดว่าขอแค่เพียงเขาตาย บิดาของเขาก็คงจะสามารถโยนความผิดทั้งหมดมาที่เขาถึงยามนั้นคนสกุลจ้างก็คงจะปลอดภัย เพียงแต่โทษกบฏนั้นย่อมไม่สามารถที่จะจบลงที่คนเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว“สตรีนางนี้ฝากกรมอาญาขังเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้นางเป็นพยานยืนยันว่าจวนสกุลจ้าววางแผนยุยงให้โซ่วอ๋องมีความแตกแยกกับข้า เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรเล่าน้องรอง” ประโยคสุดท้ายองค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับโซ่วอ๋อง“เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีพยานหลักฐานยืนยันว่านางทำผิดจริง กระหม่อมเองก็คงไร้หนทางจะช่วยเหลือนางแล้ว” โซ่วอ๋องเอ่ยพลางหลุบตาลง“ต่อให้เจ้าอยากช่วยก็คงจะไม่ได้ นางไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาอย่างที่เจ้าคิดยามนี้เจ้าก็เห็นแล้ว หากปล่อยให้นางอยู่ข้างกายเจ้าชีวิตของเจ้าในวันหน้าคงยากที่จะสงบสุข” องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงได้สั่งให้คนของกรมอาญาพาหลินชิงเหมยไปขังเอาไว้ก่อน ส่วนสาวใช้ของหลินชิงเหมยแ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status