เมื่อเฉินเจียวเจียวพาคุณหนูจากสกุลหลินทั้งสองกลับขึ้นเรือนมาฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังพูดคุยอยู่กับฟางเจียอีฮูหยินใหญ่จากสกุลหลินก็พลันเงียบเสียงลง แต่แล้วเมื่อคิดได้ว่าปีหน้าเฉินเจียวเจียวก็จะถึงวัยปักปิ่นอีกทั้งทางเต๋อเฟยเองก็มีรับสั่งเอ่ยถึงเรื่องนี้บ้างแล้วนางจึงคิดว่าให้เฉินเจียวเจียวรับรู้เรื่องนี้บ้างก็เป็นเรื่องดีนางจะได้เตรียมพร้อมเอาไว้
“ทางข้าเองก็ไม่ได้คิดจะขัดข้องอันใด หากทางเต๋อเฟยอยากจะส่งปิ่นมาร่วมแสดงความยินดีก็ถือว่าเป็นเกียรติของเจียวเจียวเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องพิธีปักปิ่นหากทางเต๋อเฟยอยากจะเป็นแม่งานก็คงไม่เหมาะ แม้ว่าจะทรงเอ็นดูเจียวเจียวมากเพียงใดแต่ไม่ว่าอย่างไรในตอนนี้นางก็ยังมีมารดาเลี้ยงของนางอยู่ แม้ว่าเฉียวซื่อจะไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแต่ไม่ว่าอย่างไรคำพูดของผู้อื่นก็อาจจะทำให้นางไม่สบายใจ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ฟางเจียอีที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเต๋อเฟยก็พลันทอดถอนหายใจออกมา
“ข้าเองก็คำนึงถึงเรื่องนี้จึงได้บอกกับพระนางว่าข้าจะขอมาปรึกษากับทางจวนผิงกั๋วกงก่อน” ฟางเจียอีเอ่ยพลางหันไปมองเฉินเจียวเจียวที่เดินนำหน้าบุตรสาวของนาง
“ปีนี้เจียวเจียวโตขึ้นมาก ยังไม่ทันจะได้ปักปิ่นก็มีความงามตามแบบฉบับสาวแรกรุ่นแล้ว หากพระนางทรงได้เห็นเจียวเจียวอีกครั้งจะต้องทรงดีพระทัยมากเป็นแน่” เมื่อฟางเจียอีเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ส่งยิ้มให้นางด้วยท่วงท่าเอียงอายของสาวแรกรุ่นแล้วจึงได้หันไปมองหลินชิงหว่านและหลินชิงเหมยอีกครั้งแล้วจึงได้เอ่ยขึ้น
“ต่อให้เจียวเจียวงามมากเพียงใดก็คงจะสู้ พี่หญิงชิงหว่านและน้องชิงเหมยไม่ได้ ท่านป้าสะใภ้ดูสิเจ้าคะ พี่หญิงชิงหว่านงามทั้งรูปลักษณ์และกิริยาท่าทาง ส่วนน้องชิงเหมยนั้นขนาดนางแต่งกายเช่นนี้ความงามของนางก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยกลับดูบอบบางน่าสงสารเมื่อมองดูแล้วก็กลายเป็นความงามอีกรูปแบบหนึ่ง”
เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้สายตาที่กำลังปลื้มอกปลื้มใจในความงามของบุตรสาวของฟางเจียอีก็พลันเลื่อนสายตาไปมองหลินชิงเหมยแล้วก็พลันขมวดคิ้วในทันที ส่วนหลินชิงเหมยนั้นเมื่อได้ยินว่าเฉินเจียวเจียวเอ่ยวาจาถึงเรื่องการแต่งกายของตนอีกครั้งก็พลันหลุบดวงตากลมโตของตนเองลงพลางพยายามครุ่นคิดว่านางเคยเผลอไปล่วงเกินเฉินเจียวเจียวเข้าตอนไหน
“งดงามอันใดกัน พวกนางสองคนหรือจะสู้เจ้า” ฟางเจียอีเอ่ยพลางลอบคิดในใจว่าเมื่อกับจวนไปจะต้องอบรมลูกสาวนอกสายเลือดของตนเองเสียหน่อย หลินชิงเหมยแต่งกายเช่นนี้นอกจากจะไม่ให้เกียรติจวนผิงกั๋วกงแล้วยังทำให้นางในฐานะมารดาเลี้ยงพลอยรู้สึกเสียหน้าไปด้วย ท่าทางเช่นนี้เครื่องแต่งกายเช่นนี้ นี่หลินชิงเหมยกำลังตั้งใจจะบอกกับผู้อื่นว่า "ข้ากำลังถูกมารดาเลี้ยงรังแก" เช่นนั้นหรือ
แน่นอนว่าเฉินเจียวเจียวย่อมคาดเดาความคิดของป้าสะใภ้ของตนได้ นางรีบเดินไปนั่งลงข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเอ่ยออดอ้อนเสียงเบา
“ท่านย่า ข้าพาพี่หญิงชิงหว่านและน้องชิงเหมยไปที่สวนไม้ดอกของท่านตามที่ท่านสั่งแล้วนะเจ้าคะ แต่เพราะสีหน้าของน้องชิงเหมยไม่ค่อยจะดีนักหลานก็เลยรีบพานางกลับ หากนางเป็นอันใดไปท่านจะได้ไม่ตำหนิข้าที่พาญาติผู้น้องออกไปเดินเล่นจนล้มป่วย” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไปมองหลานสาวของตนเองในทันที การที่เฉินเจียวเจียวเอ่ยวาจาเช่นนี้ตั้งใจจะบอกว่าญาติผู้น้องที่น่าสงสารของนางสุขภาพไม่ดีจนนางไม่อยากจะพาออกไปเดินเล่นเช่นนั้นหรือ นี่ไม่ใช่นิสัยของนางเลยสักนิดที่จะเอ่ยปากโจมตีผู้อื่นอย่างซึ่งหน้าเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงอดจ้องมองหลินชิงเหมยให้นานขึ้นกว่าปกติ
“ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะที่สุขภาพของข้าทำให้พวกพี่หญิงต้องพลอยหมดสนุก” คำพูดนี้ของหลินชิงเหมยทำให้เฉินเจียวเจียวลอบยกนิ้วให้นางอยู่ในใจ
“ไม่ถึงขั้นหมดสนุกหรอก เพียงแต่ข้าอดเป็นห่วงเจ้าไม่ได้ ด้วยร่างกายนี้ของเจ้าควรจะบำรุงรักษาให้ดีก่อนที่จะออกมาข้างนอกมากกว่า” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้หลินชิงเหมยก็กัดริมฝีปากและพลันมีน้ำเอ่อคลอออกมาจนเต็มนัยน์ตาเฉินเจียวเจียวก็พลันทำสีหน้าไม่สบายใจให้ผู้อื่นได้เห็นในทันที
“นี่ข้าเอ่ยวาจารุนแรงจนเกินไปหรือ ท่านป้าสะใภ้ข้ามิได้ตั้งใจตำหนิน้องชิงเหมยเลยนะเจ้าคะ ข้าก็แค่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของนางอีกทั้งยังกังวลว่าหากผู้คนภายนอกเห็นสภาพนี้ของนางเข้าจะเข้าใจว่าท่านป้าสะใภ้ดูแลนางที่เป็นบุตรสาวไม่ดี ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะที่ข้าปากมากจนเกินไปจนทำให้น้องชิงเหมยรู้สึกไม่สบายใจ” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้หลินชิงเหมยตกตะลึงกับการที่เฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้แล้วนางจะเล่นบทโศกต่อไปได้อย่างไร อีกทั้งยังมีสายตาเย็นยะเยือกที่มารดาเลี้ยงของนางส่งมาอีกหลินชิงเหมยจึงได้หันไปมองเฉินเจียวเจียวอีกครั้งอย่างทำอันใดไม่ถูก
ส่วนเฉินเจียวเจียวนั้นในยามนี้นางกำลังตีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างเต็มที่อยู่บนใบหน้า ในกาลก่อนนางเคยต้องรับมือกับหลินชิงเหมยอยู่บ่อยครั้ง นางในยามนี้จึงพอจะรู้วิธีรับมือต่อการบีบน้ำตาของหลินชิงเหมยได้ดี ห้ามโมโห ห้ามแสดงอารมณ์ออกมา ชิ่งหลินชิงเหมยแสดงความอ่อนแอน่าสงสารมากเพียงใดนางก็ยิ่งต้องแสดงความอ่อนโยนและมีความเมตตาต่อหลินชิงเหมยมากเพียงนั้น
“เรื่องนี้ไม่เห็นว่าเจียวเจียวจะต้องขออภัยเลย เจ้ามีความหวังดีพวกข้าย่อมเข้าใจ ส่วนน้องชิงเหมยเมื่อกลับถึงจวนสกุลหลินแล้วข้าในฐานะพี่สาวจะคอยดูแลและตักเตือนนางเอง” หลินชิงหว่านที่ยืนอยู่ทางด้านข้างของหลินชิงเหมยรีบเอ่ยออกมาเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ ส่วนฟางเจียอีเองก็สังเกตเห็นความไม่ลงรอยของทั้งเฉินเจียวเจียวและหลินชิงเหมยแล้วก็พลันมีสีหน้าไม่สู้ดีในใจก็ลอบตำหนิหลินชิงเหมยอยู่ในใจที่วางตัวไม่เหมาะสมและไม่รู้การควรไม่ควร
“ในเมื่อเรื่องที่ข้าตั้งใจจะมาถามได้คำตอบแล้วถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวนะเจ้าคะ” เมื่อฟางเจียอีเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งนางเอาไว้ คนสกุลหลินคารวะอำลาอย่างนอบน้อมแล้วขอตัวกลับโดยมีเฉินเจียวเจียวเดินไปส่งถึงเรือนชั้นนอกด้วยตนเอง
เมื่อคนสกุลหลินเดินผ่านพ้นประตูวงเดือนที่กั้นระหว่างเรือนชั้นในและเรือนชั้นนอกแล้วเฉินเจียวเจียวที่ยังไม่ได้เดินกลับไปก็ทันได้ยินเสียงตำหนิอันแผ่วเบาของฟางเจียอีที่ดังขึ้นอีกด้านของกำแพงที่กั้นระหว่างเรือนชั้นในและเรือนชั้นนอก
“เจ้าเก็บท่าทีเช่นนั้นของเจ้าไปเสีย เจียวเจียวเป็นผู้ใดส่วนเจ้าคือผู้ใดคงไม่ต้องให้ข้าสั่งสอน วันหน้าหากเจ้ายังไม่รู้จักปรับปรุงการแต่งกายและระมัดระวังกิริยาข้าคงไม่คิดจะพาเจ้าออกจากจวนมาทำให้ตนเองต้องขายหน้าเช่นนี้อีก” แม้ว่าฟางเจียอีจะไม่ได้พูดเสียงดังแต่ด้วยความไม่พอใจทำให้เสียงของนางไม่ได้เบานักคนที่ตั้งใจรอฟังอย่างเฉินเจียวเจียวย่อมจะได้ยิน หลินชิงเหมยเอ่ยแก้ตัวเช่นไรนางไม่รู้แต่ที่รู้ๆ ต่อจากนี้นางและหลินชิงเหมยได้แสดงท่าทีว่าเป็นอริต่อกันอย่างออกนอกหน้าไปแล้ว
‘ต่อให้ข้าไม่ทำเช่นนี้นางก็จะทำตัวเป็นศัตรูต่อข้าในวันหน้าอยู่ดี มิสู้ทำให้นางรู้ไปเลยว่าข้าผู้นี้ไม่ใช่คนที่นางจะสามารถใช้ท่าทีอ่อนแอและบอบบางมาเอาเปรียบข้าได้อีกต่อไปแล้ว’
หลายวันถัดมาเมืองหลวงแคว้นต้าเยียนก็มีเรื่องราวเล่าลืออันโด่งดังที่ทำให้ผู้คนต่างพากันพูดถึง อีกทั้งคราวนี้ยังเป็นเรื่องราวของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงอย่างโซ่วอ๋อง ต่อให้เป็นเรื่องพยายามปกปิดมากสักเพียงใดแต่หน้าต่างล้วนมีหูประตูล้วนมีช่องไม่อาจจะปกปิดความอยากรู้ของผู้อื่นได้ ยิ่งพยายามปกปิดก็ยิ่งก็กระตุ้นให้ผู้อื่นยิ่งอยากจะรู้เรื่องราวมากยิ่งขึ้นโซ่วอ๋องลักลอบนัดพบสตรีอื่นในวัดต้าฝูทำให้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยกับความประพฤติของโซ่วอ๋องเป็นอย่างมากจนต้องเรียกโซ่วอ๋องเข้าวังมาตำหนิ เรื่องนี้แม้แต่เต๋อเฟยเองก็ยังพลอยโดนหางเลขไปด้วย ในฐานะที่อบรมพระโอรสได้ไม่ดี การออกพระโอษฐ์ตำหนิในครั้งนี้ถือว่าสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวังหลังในทันที เต๋อเฟยจำต้องคุกเข่าสำนึกผิดหน้าพระตำหนักนานถึงสองชั่วยามกว่าจะทำให้ฝ่าบาททรงคลายความพิโรธลงได้เมื่อข่าวลือเอ่ยถึงวัดต้าฝูก็มีหลายคนเอ่ยปากออกมาว่าพวกเขาต่างก็เคยเห็นว่าโซ่วอ๋องมักจะมีสตรีอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งอยู่เคียงข้างกายในวัดต้าฝูจริงๆ เมื่อมีการยืนยันหลายเสียงเช่นนี้หลายคนต่างพากันคาดเดากันใหญ่ว่าสตรีผู้นั้นคือผู้ใด เป็นคุณหนูจากสกุลไหนหรือเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรร
เมื่อหลี่ไท่หยางเดินไปถึงโต๊ะที่สองแม่ลูกสกุลเฉินนั่งอยู่พวกนางสองแม่ลูกก็ลุกขึ้นมาแล้วย่อกายคารวะตามธรรมเนียมในทันที บรรดาสาวใช้และผู้ติดตามเองก็เช่นกันพวกเขารีบคารวะหลี่ไท่หยางด้วยท่าทีนอบน้อม“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หลี่ไท่หยางเอ่ยพลางโบกมือพวกเขาจึงได้ขยับตัวยืดกายขึ้นแล้วถอยออกไปทิ้งไว้เพียงเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่ ผิงกั๋วกงฮูหยินสบายดีหรือไม่” หลี่ไท่หยางเอ่ยออกมาก่อนพลางจ้องมองเฉินเจียวเจียวอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ละสายตาไป สำหรับเขาแล้วอีกไม่นานสตรีที่มีรูปโฉมงดงามตรงหน้าอีกไม่นานก็จะต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา ซึ่งเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว เขาจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบนางและไม่ได้รู้สึกผิดอันใดกับการที่นางพบว่าเขาอยู่กับสตรีอื่น เพราะสำหรับเขาแล้วในยามนี้หลินชิงเหมยเป็นเพียงเด็กสาวที่มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่น่าสงสารมากเท่านั้น เขาหาได้ทำผิดต่อว่าที่พระชายาในอนาคตผู้นี้ของเขาไม่“หม่อมฉันสบายดีเพคะ วันนี้อากาศดีก็เลยพาเจียวเจียวมาไหว้พระ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านอ๋องที่นี่ด้วย” เฉียวซื่อเอ่ยพลางส่งยิ้มให้เขา
หลี่ไท่หยางไม่ได้สนใจว่าจะมีผู้อื่นจ้องมองเขาหรือไม่ในยามนี้เขาคิดเพียงแค่การพาญาติผู้น้องที่น่าสงสารของตนเองมาผ่อนคลายจิตใจ อีกทั้งยามนี้ในใจของเขาที่มีให้แก่หลินชิงเหมยก็มีแค่เพียงความรู้สึกสงสารและเอ็นดูยังไม่ได้มีความคิดเกินเลยเนื่องจากเด็กสาวผู้นี้ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งในสายตาของเขา เรื่องการเว้นระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่เขาจึงคิดว่าไม่จำเป็นแต่ในสายตาของคนที่มองอยู่อย่างเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวกลับไม่ใช่เช่นนั้น สำหรับเฉินเจียวเจียวเป็นเพราะมีความทรงจำของช่วงชีวิตที่แล้วมาเป็นบทเรียนจึงไม่คิดการที่สองคนนี้มีความสนิทสนมเป็นเรื่องปกติ ส่วนในสายตาของเฉียวซื่อนั้นนางคิดว่าต่อให้สตรีที่มาด้วยยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง แต่ก็ควรที่จะเว้นระยะห่างให้มากกว่านี้ แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันอย่างเฉินเจียวจ้านและเฉินเจียวเจียวนางในฐานะมารดาเลี้ยงของพวกเขายังคอยดูแลจัดการให้พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างถูกต้องและเหมาะสมไม่ว่าอย่างไรเรื่องชื่อเสียงของบุตรชายและบุตรสาวย่อมสำคัญที่สุด เฉินเจียวจ้านนั้นก็ช่างเถิดเขาโตแล้วและไม่มีความผูกพันอันใดกับนาง ไม่ว่าอย่างไรบุตรชายและแม่เลี้ยงก็ไม่ควรจะข้องเกี
เมื่อเฉินเจียวเจียวเดินกลับมาจนเกือบถึงบริเวณที่คนของตนรออยู่นางก็หันไปมองสาวใช้ที่รู้วรยุทธ์ของนางด้วยสีหน้าดุดัน สาวใช้นางนั้นรีบคุกเข่าและขอรับโทษในทันที“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ บ่าวไม่สามารถปกป้องคุณหนูให้ดีหากคุณหนูจะลงโทษบ่าวก็พร้อมจะยอมรับโทษเจ้าค่ะ” เมื่อสาวใช้ผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ทอดถอนใจออกมาพลางเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ตงจื้อ เรื่องในวันนี้ห้ามเจ้าบอกผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นตงผิง ตงชิงหรือว่าพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ ของเจ้า หากผู้อื่นรู้เรื่องนี้ข้าไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าไปแน่” เมื่อเจ้านายเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อผู้เป็นสาวใช้ก็รีบรับคำในทันที“บ่าวไม่มีทางเอ่ยกับผู้ใดแน่นอนเจ้าค่ะ” ตงจื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม“ส่วนเรื่องลงโทษเจ้านั้นคงไม่จำเป็น เรื่องนี้เป็นข้าที่ขาดความระมัดระวังเองแต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้เจ้าเองก็มีส่วนผิด มีคนอยู่ใกล้ข้าถึงเพียงนั้นแต่เจ้ากลับไม่รู้เรื่อง หากเป็นยอดฝีมือคนอื่นก็ว่าไปแต่คนที่จับข้าผู้นั้นไม่น่าจะมีฝีมือเหนือกว่าเจ้าไปได้” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อก็อ้าปากตั้งใจว่าจะเอ่ยวาจาคัดค้านว่าคนที่จับคุณหนูของนางนั้นมีฝีมือดีกว่าคนที่จับตั
เช้าวันถัดมาเฉินเจียวเจียวก็ได้ติดตามเฉียวซื่อไปไหว้พระที่วัดสมใจ เพียงแต่เมื่อเดินทางมาถึงวัดเฉินเจียวเจียวก็ได้แต่ต้องลอบดุด่าตนเองอยู่ในใจ หลินชิงเหมยอายุไม่ถึงสิบสามปีดีนางจะยัดเยียดข้อหาหนุ่มสาวลักลอบนัดพบกันให้แก่เด็กสาวที่ยังไม่โตเต็มที่ได้อย่างไร แต่ไหนๆ ก็มาแล้วนางจึงคิดว่าควรจะสำรวจบริเวณรอบๆ อีกสักหน่อยหลังจากไหว้พระเติมตะเกียงแล้วเฉินเจียวเจียวก็ขออนุญาตเฉียวซื่อเพื่อไปเดินเล่นรอบๆ มากราบไหว้พระครั้งนี้เฉียวซื่อตั้งใจจะมาขอบุตร นางจึงรีบอนุญาตเฉินเจียวเจียวในทันที แม้ว่านางจะรู้ดีว่าเฉินเจียวเจียวย่อมสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของนางได้อยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรการที่ไม่มีเฉินเจียวเจียวอยู่ด้วยก็ทำให้นางสามารถขอพรได้อย่างสะดวกใจมากกว่าวัดต้าฝูแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมืองใช้เวลาเดินทางพอสมควรกว่าจะเดินทางมาถึง แต่ข้อดีก็คือมีบรรยากาศอันเงียบสงบและทิวทัศน์งดงาม เฉินเจียวเจียวที่เดินไปเห็นทิวทัศน์ทางด้านหลังของวัดก็อดพยักหน้าให้แก่ตนเองไม่ได้ ช่างเหมาะแล้วที่พวกเขาจะใช้เป็นสถานที่นัดพบกัน ทิวทัศน์งดงามบรรยากาศเป็นใจเหมาะแก่การพูดคุยระบายความในใจต่อกันเป็นอย่างยิ่งเฉินเจียวเจียวเดินอย
แม้ว่าศัตรูอันดับหนึ่งของเฉินเจียวเจียวคือหลินชิงเหมย แต่คนที่นางไม่อาจจะเพิกเฉยได้ก็คือหลี่ไท่หยาง การแต่งงานในครั้งนี้แม้จะดูเหมือนนางคือฝ่ายป่ายปีนขึ้นที่สูงได้แต่งเข้าราชวงศ์ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นหลี่ไท่หยางต่างหากที่ได้ประโยชน์ในครั้งนี้ ผิงกั๋วกงเฉินคังผู้เป็นบิดาของนางเป็นถึงแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนมีกองกำลังในมือหลายแสนนายส่วนสกุลหลินที่เป็นบ้านเดิมของมารดาก็มีท่านลุงที่ยามนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา การได้เกี่ยวดองกับนางย่อมทำให้มีคนหนุนหลังเขาในราชสำนักมากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความคิดจะแย่งชิงราชบัลลังก์ก็ตามที แต่หากเกิดเหตุพลิกผันอันใดขึ้น ในฐานะอ๋องที่มีกองกำลังหนุนหลังและมีขุมอำนาจในราชสำนักคอยคุ้มครอง ย่อมสามารถอยู่รอดปลอดภัยมากกว่าอ๋องคนอื่นๆแคว้นต้าเยียนแห่งนี้มีหลี่ไท่หลงเป็นองค์รัชทายาท ยามนี้ฝ่าบาทมักจะมีราชโองการให้องค์รัชทายาทออกว่าราชการแทนในท้องพระโรงอยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่นางจะถูกสามีสั่งโบยแล้วแท้งบุตรจนตาย องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็ได้ครอบครองราชบัลลังก์อย่างมั่นคงแล้ว ท่านอ๋องหลายคนในยามนั้นล้วนถูกกำจัดมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รอดชีวิตและหนึ่งในนั้นก็มีโซ่วอ๋อง
เมื่อเฉินเจียวเจียวพาคุณหนูจากสกุลหลินทั้งสองกลับขึ้นเรือนมาฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังพูดคุยอยู่กับฟางเจียอีฮูหยินใหญ่จากสกุลหลินก็พลันเงียบเสียงลง แต่แล้วเมื่อคิดได้ว่าปีหน้าเฉินเจียวเจียวก็จะถึงวัยปักปิ่นอีกทั้งทางเต๋อเฟยเองก็มีรับสั่งเอ่ยถึงเรื่องนี้บ้างแล้วนางจึงคิดว่าให้เฉินเจียวเจียวรับรู้เรื่องนี้บ้างก็เป็นเรื่องดีนางจะได้เตรียมพร้อมเอาไว้“ทางข้าเองก็ไม่ได้คิดจะขัดข้องอันใด หากทางเต๋อเฟยอยากจะส่งปิ่นมาร่วมแสดงความยินดีก็ถือว่าเป็นเกียรติของเจียวเจียวเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องพิธีปักปิ่นหากทางเต๋อเฟยอยากจะเป็นแม่งานก็คงไม่เหมาะ แม้ว่าจะทรงเอ็นดูเจียวเจียวมากเพียงใดแต่ไม่ว่าอย่างไรในตอนนี้นางก็ยังมีมารดาเลี้ยงของนางอยู่ แม้ว่าเฉียวซื่อจะไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแต่ไม่ว่าอย่างไรคำพูดของผู้อื่นก็อาจจะทำให้นางไม่สบายใจ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ฟางเจียอีที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเต๋อเฟยก็พลันทอดถอนหายใจออกมา“ข้าเองก็คำนึงถึงเรื่องนี้จึงได้บอกกับพระนางว่าข้าจะขอมาปรึกษากับทางจวนผิงกั๋วกงก่อน” ฟางเจียอีเอ่ยพลางหันไปมองเฉินเจียวเจียวที่เดินนำหน้าบุตรสาวของนาง“ปีนี้เจียวเจียวโตขึ้นมาก ยังไม่ทันจ
ยามที่คนสกุลหลินมาเยือนที่จวนฮูหยินผู้เฒ่าและเฉินเจียวเจียวออกไปต้อนรับที่โถงหลักของเรือนชั้นในด้วยตนเอง ผู้ที่มาก็คือฟางเจียอีป้าสะใภ้จากจวนสกุลหลิน ป้าสะใภ้ผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับหลินซื่อมารดาของเฉินเจียวเจียวเมื่อหลินซื่อล่วงลับป้าสะใภ้ผู้นี้ก็หมั่นมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนอยู่บ่อยครั้ง เฉินเจียวเจียวจึงได้มีความรู้สึกดีต่อป้าสะใภ้ผู้นี้มากเป็นพิเศษส่วนญาติผู้น้องร่างกายบอบบางและดูซูบผอมของนางนั้นกำลังนั่งอยู่เงียบๆ ทางด้านหลังของฟางเจียอี หลินชิงเหมยคือบุตรสาวที่ถือกำเนิดจากอนุภายในจวน แต่เพราะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กป้าสะใภ้ของนางจึงรับหลินชิงเหมยมาดูแลด้วยตนเองและได้รับหลินชิงเหมยมาเป็นบุตรสาวภายใต้ชื่อทำให้หลินชิงเหมยขยับฐานะขึ้นมาเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกแม้ว่าหลินชิงเหมยจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีแต่หากจะให้เทียบเคียงกลับหลินชิงหว่านบุตรสาวคนโตที่ถือกำเนิดจากป้าสะใภ้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ หลินชิงหว่านทั้งรูปโฉมงดงามกิริยาและวาจาก็ถูกอบรมมาเป็นอย่างดีแม้แต่เฉินเจียวเจียวเองก็ยังแอบยกย่องนางอยู่ในใจ เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดสตรีที่มีดีทั้งรูปโฉม ชาติกำเนิดและท่วงท่ากิริยาเต็ม
จวนผิงกั๋วกงตั้งอยู่ในตรอกสุ่ยอันของเมืองหลวงแห่งแคว้นต้าเยียน ภายในตรอกสุ่ยอันแห่งนี้มีจวนขุนนางตำแหน่งสูงตั้งอยู่หลายจวน จวนขุนนางที่มีตำแหน่งสูงเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอันซับซ้อนมากมายภายในเรือนหลังของจวน ยิ่งตำแหน่งสูงมากก็ยิ่งมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนของผู้คนภายในจวนมากยิ่งขึ้น แต่จวนผิงกั๋วกงแห่งนี้กลับไม่ได้มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนและยุ่งเหยิงดังเช่นจวนขุนนางจวนอื่น อาจจะเป็นเพราะผู้คนภายในจวนไม่มากอีกทั้งยังมีการปกครองภายในจวนอย่างเข้มงวดผู้คนภายในจวนจึงใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างสงบสุขเฉินเจียวเจียวอยู่ในจวนแห่งนี้ในฐานะคุณหนูใหญ่ นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของผิงกั๋วกงและหลินซื่อ มารดาของนางตายจากไปตั้งแต่นางยังเล็ก นางจึงได้รับการเลี้ยงดูจากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉิน ส่วนเฉียวซื่อผู้เป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่ของบิดาก็นับว่าเป็นมารดาเลี้ยงที่ดีพอสมควรเพียงแต่ระหว่างพวกนางสองคนไม่ค่อยจะสนิทกันเท่าใดนัก อาจจะเป็นเพราะตอนที่เฉียวซื่อแต่งเข้ามาเฉินเจียวเจียวก็โตมากแล้วอีกทั้งยังมักจะอยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้คนทั้งคู่ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันบ้านรองและบ้