เมื่อเฉินเจียวเจียวพาคุณหนูจากสกุลหลินทั้งสองกลับขึ้นเรือนมาฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังพูดคุยอยู่กับฟางเจียอีฮูหยินใหญ่จากสกุลหลินก็พลันเงียบเสียงลง แต่แล้วเมื่อคิดได้ว่าปีหน้าเฉินเจียวเจียวก็จะถึงวัยปักปิ่นอีกทั้งทางเต๋อเฟยเองก็มีรับสั่งเอ่ยถึงเรื่องนี้บ้างแล้วนางจึงคิดว่าให้เฉินเจียวเจียวรับรู้เรื่องนี้บ้างก็เป็นเรื่องดีนางจะได้เตรียมพร้อมเอาไว้
“ทางข้าเองก็ไม่ได้คิดจะขัดข้องอันใด หากทางเต๋อเฟยอยากจะส่งปิ่นมาร่วมแสดงความยินดีก็ถือว่าเป็นเกียรติของเจียวเจียวเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องพิธีปักปิ่นหากทางเต๋อเฟยอยากจะเป็นแม่งานก็คงไม่เหมาะ แม้ว่าจะทรงเอ็นดูเจียวเจียวมากเพียงใดแต่ไม่ว่าอย่างไรในตอนนี้นางก็ยังมีมารดาเลี้ยงของนางอยู่ แม้ว่าเฉียวซื่อจะไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแต่ไม่ว่าอย่างไรคำพูดของผู้อื่นก็อาจจะทำให้นางไม่สบายใจ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ฟางเจียอีที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเต๋อเฟยก็พลันทอดถอนหายใจออกมา
“ข้าเองก็คำนึงถึงเรื่องนี้จึงได้บอกกับพระนางว่าข้าจะขอมาปรึกษากับทางจวนผิงกั๋วกงก่อน” ฟางเจียอีเอ่ยพลางหันไปมองเฉินเจียวเจียวที่เดินนำหน้าบุตรสาวของนาง
“ปีนี้เจียวเจียวโตขึ้นมาก ยังไม่ทันจะได้ปักปิ่นก็มีความงามตามแบบฉบับสาวแรกรุ่นแล้ว หากพระนางทรงได้เห็นเจียวเจียวอีกครั้งจะต้องทรงดีพระทัยมากเป็นแน่” เมื่อฟางเจียอีเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ส่งยิ้มให้นางด้วยท่วงท่าเอียงอายของสาวแรกรุ่นแล้วจึงได้หันไปมองหลินชิงหว่านและหลินชิงเหมยอีกครั้งแล้วจึงได้เอ่ยขึ้น
“ต่อให้เจียวเจียวงามมากเพียงใดก็คงจะสู้ พี่หญิงชิงหว่านและน้องชิงเหมยไม่ได้ ท่านป้าสะใภ้ดูสิเจ้าคะ พี่หญิงชิงหว่านงามทั้งรูปลักษณ์และกิริยาท่าทาง ส่วนน้องชิงเหมยนั้นขนาดนางแต่งกายเช่นนี้ความงามของนางก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยกลับดูบอบบางน่าสงสารเมื่อมองดูแล้วก็กลายเป็นความงามอีกรูปแบบหนึ่ง”
เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้สายตาที่กำลังปลื้มอกปลื้มใจในความงามของบุตรสาวของฟางเจียอีก็พลันเลื่อนสายตาไปมองหลินชิงเหมยแล้วก็พลันขมวดคิ้วในทันที ส่วนหลินชิงเหมยนั้นเมื่อได้ยินว่าเฉินเจียวเจียวเอ่ยวาจาถึงเรื่องการแต่งกายของตนอีกครั้งก็พลันหลุบดวงตากลมโตของตนเองลงพลางพยายามครุ่นคิดว่านางเคยเผลอไปล่วงเกินเฉินเจียวเจียวเข้าตอนไหน
“งดงามอันใดกัน พวกนางสองคนหรือจะสู้เจ้า” ฟางเจียอีเอ่ยพลางลอบคิดในใจว่าเมื่อกับจวนไปจะต้องอบรมลูกสาวนอกสายเลือดของตนเองเสียหน่อย หลินชิงเหมยแต่งกายเช่นนี้นอกจากจะไม่ให้เกียรติจวนผิงกั๋วกงแล้วยังทำให้นางในฐานะมารดาเลี้ยงพลอยรู้สึกเสียหน้าไปด้วย ท่าทางเช่นนี้เครื่องแต่งกายเช่นนี้ นี่หลินชิงเหมยกำลังตั้งใจจะบอกกับผู้อื่นว่า "ข้ากำลังถูกมารดาเลี้ยงรังแก" เช่นนั้นหรือ
แน่นอนว่าเฉินเจียวเจียวย่อมคาดเดาความคิดของป้าสะใภ้ของตนได้ นางรีบเดินไปนั่งลงข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเอ่ยออดอ้อนเสียงเบา
“ท่านย่า ข้าพาพี่หญิงชิงหว่านและน้องชิงเหมยไปที่สวนไม้ดอกของท่านตามที่ท่านสั่งแล้วนะเจ้าคะ แต่เพราะสีหน้าของน้องชิงเหมยไม่ค่อยจะดีนักหลานก็เลยรีบพานางกลับ หากนางเป็นอันใดไปท่านจะได้ไม่ตำหนิข้าที่พาญาติผู้น้องออกไปเดินเล่นจนล้มป่วย” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไปมองหลานสาวของตนเองในทันที การที่เฉินเจียวเจียวเอ่ยวาจาเช่นนี้ตั้งใจจะบอกว่าญาติผู้น้องที่น่าสงสารของนางสุขภาพไม่ดีจนนางไม่อยากจะพาออกไปเดินเล่นเช่นนั้นหรือ นี่ไม่ใช่นิสัยของนางเลยสักนิดที่จะเอ่ยปากโจมตีผู้อื่นอย่างซึ่งหน้าเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงอดจ้องมองหลินชิงเหมยให้นานขึ้นกว่าปกติ
“ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะที่สุขภาพของข้าทำให้พวกพี่หญิงต้องพลอยหมดสนุก” คำพูดนี้ของหลินชิงเหมยทำให้เฉินเจียวเจียวลอบยกนิ้วให้นางอยู่ในใจ
“ไม่ถึงขั้นหมดสนุกหรอก เพียงแต่ข้าอดเป็นห่วงเจ้าไม่ได้ ด้วยร่างกายนี้ของเจ้าควรจะบำรุงรักษาให้ดีก่อนที่จะออกมาข้างนอกมากกว่า” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้หลินชิงเหมยก็กัดริมฝีปากและพลันมีน้ำเอ่อคลอออกมาจนเต็มนัยน์ตาเฉินเจียวเจียวก็พลันทำสีหน้าไม่สบายใจให้ผู้อื่นได้เห็นในทันที
“นี่ข้าเอ่ยวาจารุนแรงจนเกินไปหรือ ท่านป้าสะใภ้ข้ามิได้ตั้งใจตำหนิน้องชิงเหมยเลยนะเจ้าคะ ข้าก็แค่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของนางอีกทั้งยังกังวลว่าหากผู้คนภายนอกเห็นสภาพนี้ของนางเข้าจะเข้าใจว่าท่านป้าสะใภ้ดูแลนางที่เป็นบุตรสาวไม่ดี ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะที่ข้าปากมากจนเกินไปจนทำให้น้องชิงเหมยรู้สึกไม่สบายใจ” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้หลินชิงเหมยตกตะลึงกับการที่เฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้แล้วนางจะเล่นบทโศกต่อไปได้อย่างไร อีกทั้งยังมีสายตาเย็นยะเยือกที่มารดาเลี้ยงของนางส่งมาอีกหลินชิงเหมยจึงได้หันไปมองเฉินเจียวเจียวอีกครั้งอย่างทำอันใดไม่ถูก
ส่วนเฉินเจียวเจียวนั้นในยามนี้นางกำลังตีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างเต็มที่อยู่บนใบหน้า ในกาลก่อนนางเคยต้องรับมือกับหลินชิงเหมยอยู่บ่อยครั้ง นางในยามนี้จึงพอจะรู้วิธีรับมือต่อการบีบน้ำตาของหลินชิงเหมยได้ดี ห้ามโมโห ห้ามแสดงอารมณ์ออกมา ชิ่งหลินชิงเหมยแสดงความอ่อนแอน่าสงสารมากเพียงใดนางก็ยิ่งต้องแสดงความอ่อนโยนและมีความเมตตาต่อหลินชิงเหมยมากเพียงนั้น
“เรื่องนี้ไม่เห็นว่าเจียวเจียวจะต้องขออภัยเลย เจ้ามีความหวังดีพวกข้าย่อมเข้าใจ ส่วนน้องชิงเหมยเมื่อกลับถึงจวนสกุลหลินแล้วข้าในฐานะพี่สาวจะคอยดูแลและตักเตือนนางเอง” หลินชิงหว่านที่ยืนอยู่ทางด้านข้างของหลินชิงเหมยรีบเอ่ยออกมาเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ ส่วนฟางเจียอีเองก็สังเกตเห็นความไม่ลงรอยของทั้งเฉินเจียวเจียวและหลินชิงเหมยแล้วก็พลันมีสีหน้าไม่สู้ดีในใจก็ลอบตำหนิหลินชิงเหมยอยู่ในใจที่วางตัวไม่เหมาะสมและไม่รู้การควรไม่ควร
“ในเมื่อเรื่องที่ข้าตั้งใจจะมาถามได้คำตอบแล้วถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวนะเจ้าคะ” เมื่อฟางเจียอีเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งนางเอาไว้ คนสกุลหลินคารวะอำลาอย่างนอบน้อมแล้วขอตัวกลับโดยมีเฉินเจียวเจียวเดินไปส่งถึงเรือนชั้นนอกด้วยตนเอง
เมื่อคนสกุลหลินเดินผ่านพ้นประตูวงเดือนที่กั้นระหว่างเรือนชั้นในและเรือนชั้นนอกแล้วเฉินเจียวเจียวที่ยังไม่ได้เดินกลับไปก็ทันได้ยินเสียงตำหนิอันแผ่วเบาของฟางเจียอีที่ดังขึ้นอีกด้านของกำแพงที่กั้นระหว่างเรือนชั้นในและเรือนชั้นนอก
“เจ้าเก็บท่าทีเช่นนั้นของเจ้าไปเสีย เจียวเจียวเป็นผู้ใดส่วนเจ้าคือผู้ใดคงไม่ต้องให้ข้าสั่งสอน วันหน้าหากเจ้ายังไม่รู้จักปรับปรุงการแต่งกายและระมัดระวังกิริยาข้าคงไม่คิดจะพาเจ้าออกจากจวนมาทำให้ตนเองต้องขายหน้าเช่นนี้อีก” แม้ว่าฟางเจียอีจะไม่ได้พูดเสียงดังแต่ด้วยความไม่พอใจทำให้เสียงของนางไม่ได้เบานักคนที่ตั้งใจรอฟังอย่างเฉินเจียวเจียวย่อมจะได้ยิน หลินชิงเหมยเอ่ยแก้ตัวเช่นไรนางไม่รู้แต่ที่รู้ๆ ต่อจากนี้นางและหลินชิงเหมยได้แสดงท่าทีว่าเป็นอริต่อกันอย่างออกนอกหน้าไปแล้ว
‘ต่อให้ข้าไม่ทำเช่นนี้นางก็จะทำตัวเป็นศัตรูต่อข้าในวันหน้าอยู่ดี มิสู้ทำให้นางรู้ไปเลยว่าข้าผู้นี้ไม่ใช่คนที่นางจะสามารถใช้ท่าทีอ่อนแอและบอบบางมาเอาเปรียบข้าได้อีกต่อไปแล้ว’
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ