แม้ว่าศัตรูอันดับหนึ่งของเฉินเจียวเจียวคือหลินชิงเหมย แต่คนที่นางไม่อาจจะเพิกเฉยได้ก็คือหลี่ไท่หยาง การแต่งงานในครั้งนี้แม้จะดูเหมือนนางคือฝ่ายป่ายปีนขึ้นที่สูงได้แต่งเข้าราชวงศ์ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นหลี่ไท่หยางต่างหากที่ได้ประโยชน์ในครั้งนี้ ผิงกั๋วกงเฉินคังผู้เป็นบิดาของนางเป็นถึงแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนมีกองกำลังในมือหลายแสนนาย
ส่วนสกุลหลินที่เป็นบ้านเดิมของมารดาก็มีท่านลุงที่ยามนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา การได้เกี่ยวดองกับนางย่อมทำให้มีคนหนุนหลังเขาในราชสำนักมากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความคิดจะแย่งชิงราชบัลลังก์ก็ตามที แต่หากเกิดเหตุพลิกผันอันใดขึ้น ในฐานะอ๋องที่มีกองกำลังหนุนหลังและมีขุมอำนาจในราชสำนักคอยคุ้มครอง ย่อมสามารถอยู่รอดปลอดภัยมากกว่าอ๋องคนอื่นๆ
แคว้นต้าเยียนแห่งนี้มีหลี่ไท่หลงเป็นองค์รัชทายาท ยามนี้ฝ่าบาทมักจะมีราชโองการให้องค์รัชทายาทออกว่าราชการแทนในท้องพระโรงอยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่นางจะถูกสามีสั่งโบยแล้วแท้งบุตรจนตาย องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็ได้ครอบครองราชบัลลังก์อย่างมั่นคงแล้ว ท่านอ๋องหลายคนในยามนั้นล้วนถูกกำจัดมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รอดชีวิตและหนึ่งในนั้นก็มีโซ่วอ๋องหลี่ไท่หยางที่ออกหน้าเป็นคนสนับสนุนองค์รัชทายาทอย่างเต็มกำลัง
ยามนั้นนางในฐานะพระชายาเอกก็ลงมือเกลี้ยกล่อมผู้เป็นสามีอยู่หลายครั้ง กว่าเขาจะยอมสนับสนุนองค์รัชทายาท การที่เขาสามารถรับหลินชิงเหมยเข้าจวนอ๋องและมอบตำแหน่งพระชายารองก็เพราะเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่นางกับสามีทำร่วมกัน ขอเพียงโซ่วอ๋องไม่เข้าร่วมการแย่งชิงบัลลังก์กับองค์รัชทายาท นางก็จะยินดีให้เขารับหลินชิงเหมยเข้าจวน
ยามนั้นองค์รัชทายาทปราดเปรื่องสักเพียงใดนางที่เข้าออกวังหลวงอยู่บ่อยครั้งย่อมรู้ดี ส่วนโซ่วอ๋องผู้เป็นสามีของนางนั้นโง่เขลามากเพียงใดนางเองก็รู้ดีเช่นกัน หากจะให้เขางัดข้อกับองค์รัชทายาทก็คงเปรียบเสมือนการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง จวนผิงกั๋วกงของนางและจวนสกุลหลินล้วนถูกจัดเข้าเป็นพวกเดียวกับโซ่วอ๋องแล้ว หากเกิดขัดแย้งกันขึ้นมาคนที่นางรักรวมทั้งตัวนางเองอาจจะต้องสูญเสียชีวิตเพราะความโง่เขลาของหลี่ไท่หยาง
คิดไม่ถึงว่านางในช่วงชีวิตก่อนนั้นใช้ความคิดและความพยายามแทบตายเพื่อให้ตนเอง จวนอ๋องและสกุลเดิมสามารถอยู่รอดปลอดภัยต่อวังวนการแย่งชิงอำนาจได้ แต่สุดท้ายนางก็ยังต้องตายเพราะความโง่เขลาและหูเบาของสามีอยู่ดี ส่วนนางในยามนั้นเป็นเพราะประเมินความสามารถของตนเองสูงจนเกินไป ถูกหลินชิงเหมยเล่นงานอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แถมเพลี่ยงพล้ำครั้งเดียวก็ต้องสังเวยด้วยชีวิตของตนเองและลูกในท้องเสียแล้ว
ยามนี้เมื่อได้มีโอกาสย้อนกลับมาอีกครั้งสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของนางก็คือการแต่งงานกับหลี่ไท่หยางคือข้อผิดพลาดมากที่สุดในชีวิต เพียงแต่การหมั้นหมายในครั้งนี้มารดาของนางคือคนจัดการหมั้นหมายให้นางตั้งแต่เด็กคงยากที่จะล้มเลิกหรือขอถอนหมั้นได้ มีเพียงทำให้หลี่ไท่หยางเป็นคนขอถอนหมั้นเองเท่านั้นการแต่งงานนี้จึงจะไม่เกิดขึ้น
เพียงแต่นางในฐานะคุณหนูใหญ่จากจวนผิงกั๋วกงหากถูกถอนหมั้นขึ้นมาย่อมจะกลายเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ ไม่เพียงนางที่วันหน้าอาจจะไม่ได้แต่งงานออกเรือนได้อีก แม้แต่พี่สาวน้องสาวในสกุลก็อาจจะได้รับผลกระทบ แม้ว่านางจะเป็นคนเห็นแก่ตัวมากเพียงใดแต่ก็ไม่อาจจะทำให้เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ต้องได้รับผลกระทบต่อการกระทำของนางได้ พวกนางเคยแต่งงานและออกเรือนไปอย่างมีความสุขเช่นไรชีวิตนี้ของพวกนางก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ส่วนตัวของนางเองคงจะต้องคิดหาวิธีที่ทำให้ตนเองสามารถยกเลิกการหมั้นหมายโดยไม่กระทบต่อชื่อเสียงของตนเองและทำลายชีวิตของผู้อื่นด้วย
“วัดต้าฝู” อยู่ๆ เฉินเจียวเจียวก็โพล่งคำนี้ออกมาทำให้ทั้งตงผิงและตงชิงก็ต่างหันมาให้ความสนใจต่อนาง
“คุณหนูเอ่ยถึงวัดต้าฝูทำไมหรือเจ้าคะ หรือว่าอยากจะไปไหว้พระที่นั่น” เมื่อสาวใช้เอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ส่ายหน้า
นางจำได้ว่าในกาลก่อนหลินชิงเหมยมักจะเอ่ยถึงความหลังที่วัดต้าฝูเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสามีอยู่บ่อยครั้ง วัดต้าฝูคือวัดที่เต๋อเฟยทรงมีศรัทธาต่อที่นั่นอย่างแรงกล้า การที่พระนางได้เข้าวังและดำรงยศขั้นเฟยได้เป็นเพราะพระนางเคยขอพรที่วัดแห่งนี้ หลี่ไท่หยางก็คือผลจากการขอพรที่นั่นเช่นกัน แม้ว่าต่อมาพระนางจะไม่สะดวกที่จะออกมากราบไหว้พระที่วัดอีกแต่ก็มักจะส่งหลี่ไท่หยางไปกราบไหว้และจุดตะเกียงอายุยืนที่นั่นให้พระนางเป็นประจำ จึงทำให้สถานที่แห่งนั้นคือสถานที่นัดพบกันระหว่างหลี่ไท่หยางและหลินชิงเหมย พวกเขาพบกันที่นั่นอยู่บ่อยครั้งจนเกิดเป็นความรักมั่นที่มีต่อกันในกาลต่อมา เพียงแต่ ‘พวกเขาพบกันที่นั่นตั้งแต่ตอนไหนกันเล่า’ เฉินเจียวเจียวได้แต่ครุ่นคิดจนหัวคิ้วแทบจะชนกันอยู่แล้ว
“หากคุณหนูอยากจะไปไหว้พระก็ขอติดตามฮูหยินใหญ่ไปสิเจ้าคะ วันพรุ่งนี้ฮูหยินจะไปไหว้พระที่วัดต้าฝูพอดี” คำพูดของตงชิงทำให้เฉินเจียวเจียวหันไปมองนางในทันที
“ท่านแม่ก็จะไปไหว้พระที่นั่นเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นพวกเราไปหาท่านแม่กัน วันพรุ่งนี้ข้าอยากติดตามนางไปที่วัดแห่งนั้นด้วย” แม้ว่าจะไม่รู้ว่าพวกเขาได้พบกันที่นั่นแล้วหรือยัง หรือหากได้พบกันที่นั่นจริงนางจะทำเช่นไรแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะออกไปดูลาดเลาด้วยตนเองก่อน สถานที่นัดพบกันของพวกเขานางควรจะมีคนของนางอยู่ที่นั่นแม้ไม่อาจจะเรียกได้ว่าจับชู้แต่ถ้าหากสามารถทำให้ผู้อื่นรู้ได้ว่าโซ่วอ๋องกับญาติผู้น้องลักลอบนัดพบกันก็น่าจะเป็นหนทางที่ดีสำหรับนาง
เรือนของเฉียวซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงอยู่ไม่ไกลจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเท่าใดนักเดินเพียงไม่นานก็ถึงแล้ว ในฐานะฮูหยินใหญ่ของจวนเรือนของเฉียวซื่อจึงมีขนาดใหญ่กว่าเรือนของผู้อื่น เพียงแต่ยามที่บิดาของนางไม่อยู่เรือนหลังใหญ่แห่งนี้ก็ดูเงียบเหงามากทีเดียว เฉินเจียวเจียวจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดว่าเพราะเหตุใดเฉียวซื่อจึงมักจะไปอยู่พูดคุยกับนางที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าอยู่บ่อยครั้ง
“เจียวเจียวเหตุใดวันนี้จึงได้มาหาแม่ได้” เฉียวซื่อเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่สาวใช้เชิญเฉินเจียวเจียวเข้าไปในเรือนแล้ว
“ข้าได้ยินมาว่าท่านแม่จะไปไหว้พระ ข้าก็เลยอยากจะติดตามท่านแม่ไปด้วยเจ้าค่ะ” เฉินเจียวเจียวระบุความต้องการของตนเองอย่างไม่อ้อมค้อมแถมนั่งลงยังเก้าอี้ข้างกายเฉียวซื่อแล้วรับน้ำชาที่แม่เลี้ยงเป็นผู้รินใส่ถ้วยให้ขึ้นมาจิบแล้วส่งยิ้มให้อย่างสนิทชิดเชื้อ
“ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้ข้ายังหลงคิดว่าเจ้าอยากจะมาพูดคุยกับข้าเพราะกตัญญูเสียอีก” คำพูดหยอกเย้าของเฉียวซื่อทำให้เฉินเจียวเจียวยิ้มออกมา
“หากท่านอยากให้มีคนกตัญญู ท่านพ่อมาคราวหน้าท่านก็พยายามให้มากหน่อยสิเจ้าคะ พี่ใหญ่กับข้าเฝ้ารอให้ท่านคลอดน้องชายตัวน้อยๆ มาให้พวกข้าอยู่นะเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็ยกด้ามพัดขึ้นมาเคาะที่มือของลูกเลี้ยงของตนเบาๆ
“เจ้านี่นะช่างพูดขึ้นมาได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ เป็นเพียงเด็กสาวมาแนะนำให้ข้าใช้ความพยายามอันใดกัน” เฉียวซื่อเอ่ยออกมาอย่างขวยเขินทำให้เฉินเจียวเจียวอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ข้าหมายถึงให้ท่านแม่พยายามเอาอกเอาใจท่านพ่อให้มากหน่อย จดหมายที่พี่ใหญ่เขียนมาเขาบอกกับข้าว่าอยู่ที่โน่นท่านพ่อไม่มีแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียง นี่ไม่เพราะคำนึงถึงความรู้สึกท่านแม่หรอกหรือเจ้าคะ หากท่านพ่อกลับมาท่านก็พยายามดูแลเขาให้มากสักหน่อยชดเชยที่ท่านพ่ออุตส่าห์ไว้หน้าให้ท่านนะเจ้าคะ” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้เฉียวซื่อยิ้มออกมาอย่างขัดเขิน
“สรุปว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อขอติดตามเข้าไปไหว้พระใช่หรือไม่ หากอยากให้ข้าช่วยไปขออนุญาตจากท่านย่าของเจ้าให้เจ้าก็ควรเลิกเอ่ยวาจาเช่นนี้ได้แล้ว”
“ย่อมต้องอยากไปสิเจ้าคะ ท่านแม่ท่านอย่าลืมไปพูดกับท่านย่าให้ข้านะเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็พยักหน้าพลางส่งยิ้มให้นาง
“เรื่องนี้ย่อมได้อยู่แล้ว” เมื่อเฉียวซื่อยอมรับปากเฉินเจียวเจียวก็ไม่คิดจะเอ่ยวาจาหยอกเย้ามารดาเลี้ยงอีก
เฉียวซื่อเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาหลังจากมารดาแท้ๆ ของเฉินเจียวเจียวจากไปหลายปีแล้ว ยามนี้เฉียวซื่อมีอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เพียงเท่านั้นนับว่ามีอายุห่างจากบิดาของนางพอสมควร เมื่อแต่งเข้ามาก็ไม่ค่อยได้อยู่ร่วมกับบิดาเท่าใดนักจวบจนป่านนี้นางจึงยังไม่ได้ตั้งครรภ์เสียที
ส่วนบิดาของนางนั้นก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่แต่กับกองทัพไม่ค่อยจะสนใจเรื่องอิสตรีเท่าใดนัก ที่นางพูดล้วนเป็นความจริงบิดาและท่านอารองของนางไม่มีสตรีข้างกายเลยสักคน ไม่เหมือนกับท่านอาสามของนางที่พาอนุผู้งดงามติดตามไปปรนนิบัติด้วย แต่จะเป็นเพราะว่าเห็นแก่หน้าของเฉียวซื่ออย่างที่เฉินเจียวเจียวเอ่ยออกมาหรือว่าเป็นเพราะว่าเขาไม่มีเวลาให้สตรีก็สุดรู้ แต่หากใช้คำว่าเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของเฉียวซื่อย่อมทำให้คนฟังรู้สึกดีกว่ามิใช่หรือ นางในฐานะบุตรสาวย่อมจะต้องช่วยเหลือบิดาเอาหน้าจากมารดาเลี้ยงอยู่แล้ว
หลายวันถัดมาเมืองหลวงแคว้นต้าเยียนก็มีเรื่องราวเล่าลืออันโด่งดังที่ทำให้ผู้คนต่างพากันพูดถึง อีกทั้งคราวนี้ยังเป็นเรื่องราวของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงอย่างโซ่วอ๋อง ต่อให้เป็นเรื่องพยายามปกปิดมากสักเพียงใดแต่หน้าต่างล้วนมีหูประตูล้วนมีช่องไม่อาจจะปกปิดความอยากรู้ของผู้อื่นได้ ยิ่งพยายามปกปิดก็ยิ่งก็กระตุ้นให้ผู้อื่นยิ่งอยากจะรู้เรื่องราวมากยิ่งขึ้นโซ่วอ๋องลักลอบนัดพบสตรีอื่นในวัดต้าฝูทำให้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยกับความประพฤติของโซ่วอ๋องเป็นอย่างมากจนต้องเรียกโซ่วอ๋องเข้าวังมาตำหนิ เรื่องนี้แม้แต่เต๋อเฟยเองก็ยังพลอยโดนหางเลขไปด้วย ในฐานะที่อบรมพระโอรสได้ไม่ดี การออกพระโอษฐ์ตำหนิในครั้งนี้ถือว่าสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวังหลังในทันที เต๋อเฟยจำต้องคุกเข่าสำนึกผิดหน้าพระตำหนักนานถึงสองชั่วยามกว่าจะทำให้ฝ่าบาททรงคลายความพิโรธลงได้เมื่อข่าวลือเอ่ยถึงวัดต้าฝูก็มีหลายคนเอ่ยปากออกมาว่าพวกเขาต่างก็เคยเห็นว่าโซ่วอ๋องมักจะมีสตรีอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งอยู่เคียงข้างกายในวัดต้าฝูจริงๆ เมื่อมีการยืนยันหลายเสียงเช่นนี้หลายคนต่างพากันคาดเดากันใหญ่ว่าสตรีผู้นั้นคือผู้ใด เป็นคุณหนูจากสกุลไหนหรือเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรร
เมื่อหลี่ไท่หยางเดินไปถึงโต๊ะที่สองแม่ลูกสกุลเฉินนั่งอยู่พวกนางสองแม่ลูกก็ลุกขึ้นมาแล้วย่อกายคารวะตามธรรมเนียมในทันที บรรดาสาวใช้และผู้ติดตามเองก็เช่นกันพวกเขารีบคารวะหลี่ไท่หยางด้วยท่าทีนอบน้อม“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หลี่ไท่หยางเอ่ยพลางโบกมือพวกเขาจึงได้ขยับตัวยืดกายขึ้นแล้วถอยออกไปทิ้งไว้เพียงเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่ ผิงกั๋วกงฮูหยินสบายดีหรือไม่” หลี่ไท่หยางเอ่ยออกมาก่อนพลางจ้องมองเฉินเจียวเจียวอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ละสายตาไป สำหรับเขาแล้วอีกไม่นานสตรีที่มีรูปโฉมงดงามตรงหน้าอีกไม่นานก็จะต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา ซึ่งเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว เขาจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบนางและไม่ได้รู้สึกผิดอันใดกับการที่นางพบว่าเขาอยู่กับสตรีอื่น เพราะสำหรับเขาแล้วในยามนี้หลินชิงเหมยเป็นเพียงเด็กสาวที่มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่น่าสงสารมากเท่านั้น เขาหาได้ทำผิดต่อว่าที่พระชายาในอนาคตผู้นี้ของเขาไม่“หม่อมฉันสบายดีเพคะ วันนี้อากาศดีก็เลยพาเจียวเจียวมาไหว้พระ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านอ๋องที่นี่ด้วย” เฉียวซื่อเอ่ยพลางส่งยิ้มให้เขา
หลี่ไท่หยางไม่ได้สนใจว่าจะมีผู้อื่นจ้องมองเขาหรือไม่ในยามนี้เขาคิดเพียงแค่การพาญาติผู้น้องที่น่าสงสารของตนเองมาผ่อนคลายจิตใจ อีกทั้งยามนี้ในใจของเขาที่มีให้แก่หลินชิงเหมยก็มีแค่เพียงความรู้สึกสงสารและเอ็นดูยังไม่ได้มีความคิดเกินเลยเนื่องจากเด็กสาวผู้นี้ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งในสายตาของเขา เรื่องการเว้นระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่เขาจึงคิดว่าไม่จำเป็นแต่ในสายตาของคนที่มองอยู่อย่างเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวกลับไม่ใช่เช่นนั้น สำหรับเฉินเจียวเจียวเป็นเพราะมีความทรงจำของช่วงชีวิตที่แล้วมาเป็นบทเรียนจึงไม่คิดการที่สองคนนี้มีความสนิทสนมเป็นเรื่องปกติ ส่วนในสายตาของเฉียวซื่อนั้นนางคิดว่าต่อให้สตรีที่มาด้วยยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง แต่ก็ควรที่จะเว้นระยะห่างให้มากกว่านี้ แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันอย่างเฉินเจียวจ้านและเฉินเจียวเจียวนางในฐานะมารดาเลี้ยงของพวกเขายังคอยดูแลจัดการให้พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างถูกต้องและเหมาะสมไม่ว่าอย่างไรเรื่องชื่อเสียงของบุตรชายและบุตรสาวย่อมสำคัญที่สุด เฉินเจียวจ้านนั้นก็ช่างเถิดเขาโตแล้วและไม่มีความผูกพันอันใดกับนาง ไม่ว่าอย่างไรบุตรชายและแม่เลี้ยงก็ไม่ควรจะข้องเกี
เมื่อเฉินเจียวเจียวเดินกลับมาจนเกือบถึงบริเวณที่คนของตนรออยู่นางก็หันไปมองสาวใช้ที่รู้วรยุทธ์ของนางด้วยสีหน้าดุดัน สาวใช้นางนั้นรีบคุกเข่าและขอรับโทษในทันที“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ บ่าวไม่สามารถปกป้องคุณหนูให้ดีหากคุณหนูจะลงโทษบ่าวก็พร้อมจะยอมรับโทษเจ้าค่ะ” เมื่อสาวใช้ผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ทอดถอนใจออกมาพลางเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ตงจื้อ เรื่องในวันนี้ห้ามเจ้าบอกผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นตงผิง ตงชิงหรือว่าพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ ของเจ้า หากผู้อื่นรู้เรื่องนี้ข้าไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าไปแน่” เมื่อเจ้านายเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อผู้เป็นสาวใช้ก็รีบรับคำในทันที“บ่าวไม่มีทางเอ่ยกับผู้ใดแน่นอนเจ้าค่ะ” ตงจื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม“ส่วนเรื่องลงโทษเจ้านั้นคงไม่จำเป็น เรื่องนี้เป็นข้าที่ขาดความระมัดระวังเองแต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้เจ้าเองก็มีส่วนผิด มีคนอยู่ใกล้ข้าถึงเพียงนั้นแต่เจ้ากลับไม่รู้เรื่อง หากเป็นยอดฝีมือคนอื่นก็ว่าไปแต่คนที่จับข้าผู้นั้นไม่น่าจะมีฝีมือเหนือกว่าเจ้าไปได้” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อก็อ้าปากตั้งใจว่าจะเอ่ยวาจาคัดค้านว่าคนที่จับคุณหนูของนางนั้นมีฝีมือดีกว่าคนที่จับตั
เช้าวันถัดมาเฉินเจียวเจียวก็ได้ติดตามเฉียวซื่อไปไหว้พระที่วัดสมใจ เพียงแต่เมื่อเดินทางมาถึงวัดเฉินเจียวเจียวก็ได้แต่ต้องลอบดุด่าตนเองอยู่ในใจ หลินชิงเหมยอายุไม่ถึงสิบสามปีดีนางจะยัดเยียดข้อหาหนุ่มสาวลักลอบนัดพบกันให้แก่เด็กสาวที่ยังไม่โตเต็มที่ได้อย่างไร แต่ไหนๆ ก็มาแล้วนางจึงคิดว่าควรจะสำรวจบริเวณรอบๆ อีกสักหน่อยหลังจากไหว้พระเติมตะเกียงแล้วเฉินเจียวเจียวก็ขออนุญาตเฉียวซื่อเพื่อไปเดินเล่นรอบๆ มากราบไหว้พระครั้งนี้เฉียวซื่อตั้งใจจะมาขอบุตร นางจึงรีบอนุญาตเฉินเจียวเจียวในทันที แม้ว่านางจะรู้ดีว่าเฉินเจียวเจียวย่อมสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของนางได้อยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรการที่ไม่มีเฉินเจียวเจียวอยู่ด้วยก็ทำให้นางสามารถขอพรได้อย่างสะดวกใจมากกว่าวัดต้าฝูแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมืองใช้เวลาเดินทางพอสมควรกว่าจะเดินทางมาถึง แต่ข้อดีก็คือมีบรรยากาศอันเงียบสงบและทิวทัศน์งดงาม เฉินเจียวเจียวที่เดินไปเห็นทิวทัศน์ทางด้านหลังของวัดก็อดพยักหน้าให้แก่ตนเองไม่ได้ ช่างเหมาะแล้วที่พวกเขาจะใช้เป็นสถานที่นัดพบกัน ทิวทัศน์งดงามบรรยากาศเป็นใจเหมาะแก่การพูดคุยระบายความในใจต่อกันเป็นอย่างยิ่งเฉินเจียวเจียวเดินอย
แม้ว่าศัตรูอันดับหนึ่งของเฉินเจียวเจียวคือหลินชิงเหมย แต่คนที่นางไม่อาจจะเพิกเฉยได้ก็คือหลี่ไท่หยาง การแต่งงานในครั้งนี้แม้จะดูเหมือนนางคือฝ่ายป่ายปีนขึ้นที่สูงได้แต่งเข้าราชวงศ์ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นหลี่ไท่หยางต่างหากที่ได้ประโยชน์ในครั้งนี้ ผิงกั๋วกงเฉินคังผู้เป็นบิดาของนางเป็นถึงแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนมีกองกำลังในมือหลายแสนนายส่วนสกุลหลินที่เป็นบ้านเดิมของมารดาก็มีท่านลุงที่ยามนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา การได้เกี่ยวดองกับนางย่อมทำให้มีคนหนุนหลังเขาในราชสำนักมากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความคิดจะแย่งชิงราชบัลลังก์ก็ตามที แต่หากเกิดเหตุพลิกผันอันใดขึ้น ในฐานะอ๋องที่มีกองกำลังหนุนหลังและมีขุมอำนาจในราชสำนักคอยคุ้มครอง ย่อมสามารถอยู่รอดปลอดภัยมากกว่าอ๋องคนอื่นๆแคว้นต้าเยียนแห่งนี้มีหลี่ไท่หลงเป็นองค์รัชทายาท ยามนี้ฝ่าบาทมักจะมีราชโองการให้องค์รัชทายาทออกว่าราชการแทนในท้องพระโรงอยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่นางจะถูกสามีสั่งโบยแล้วแท้งบุตรจนตาย องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็ได้ครอบครองราชบัลลังก์อย่างมั่นคงแล้ว ท่านอ๋องหลายคนในยามนั้นล้วนถูกกำจัดมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รอดชีวิตและหนึ่งในนั้นก็มีโซ่วอ๋อง
เมื่อเฉินเจียวเจียวพาคุณหนูจากสกุลหลินทั้งสองกลับขึ้นเรือนมาฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังพูดคุยอยู่กับฟางเจียอีฮูหยินใหญ่จากสกุลหลินก็พลันเงียบเสียงลง แต่แล้วเมื่อคิดได้ว่าปีหน้าเฉินเจียวเจียวก็จะถึงวัยปักปิ่นอีกทั้งทางเต๋อเฟยเองก็มีรับสั่งเอ่ยถึงเรื่องนี้บ้างแล้วนางจึงคิดว่าให้เฉินเจียวเจียวรับรู้เรื่องนี้บ้างก็เป็นเรื่องดีนางจะได้เตรียมพร้อมเอาไว้“ทางข้าเองก็ไม่ได้คิดจะขัดข้องอันใด หากทางเต๋อเฟยอยากจะส่งปิ่นมาร่วมแสดงความยินดีก็ถือว่าเป็นเกียรติของเจียวเจียวเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องพิธีปักปิ่นหากทางเต๋อเฟยอยากจะเป็นแม่งานก็คงไม่เหมาะ แม้ว่าจะทรงเอ็นดูเจียวเจียวมากเพียงใดแต่ไม่ว่าอย่างไรในตอนนี้นางก็ยังมีมารดาเลี้ยงของนางอยู่ แม้ว่าเฉียวซื่อจะไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแต่ไม่ว่าอย่างไรคำพูดของผู้อื่นก็อาจจะทำให้นางไม่สบายใจ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ฟางเจียอีที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเต๋อเฟยก็พลันทอดถอนหายใจออกมา“ข้าเองก็คำนึงถึงเรื่องนี้จึงได้บอกกับพระนางว่าข้าจะขอมาปรึกษากับทางจวนผิงกั๋วกงก่อน” ฟางเจียอีเอ่ยพลางหันไปมองเฉินเจียวเจียวที่เดินนำหน้าบุตรสาวของนาง“ปีนี้เจียวเจียวโตขึ้นมาก ยังไม่ทันจ
ยามที่คนสกุลหลินมาเยือนที่จวนฮูหยินผู้เฒ่าและเฉินเจียวเจียวออกไปต้อนรับที่โถงหลักของเรือนชั้นในด้วยตนเอง ผู้ที่มาก็คือฟางเจียอีป้าสะใภ้จากจวนสกุลหลิน ป้าสะใภ้ผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับหลินซื่อมารดาของเฉินเจียวเจียวเมื่อหลินซื่อล่วงลับป้าสะใภ้ผู้นี้ก็หมั่นมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนอยู่บ่อยครั้ง เฉินเจียวเจียวจึงได้มีความรู้สึกดีต่อป้าสะใภ้ผู้นี้มากเป็นพิเศษส่วนญาติผู้น้องร่างกายบอบบางและดูซูบผอมของนางนั้นกำลังนั่งอยู่เงียบๆ ทางด้านหลังของฟางเจียอี หลินชิงเหมยคือบุตรสาวที่ถือกำเนิดจากอนุภายในจวน แต่เพราะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กป้าสะใภ้ของนางจึงรับหลินชิงเหมยมาดูแลด้วยตนเองและได้รับหลินชิงเหมยมาเป็นบุตรสาวภายใต้ชื่อทำให้หลินชิงเหมยขยับฐานะขึ้นมาเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกแม้ว่าหลินชิงเหมยจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีแต่หากจะให้เทียบเคียงกลับหลินชิงหว่านบุตรสาวคนโตที่ถือกำเนิดจากป้าสะใภ้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ หลินชิงหว่านทั้งรูปโฉมงดงามกิริยาและวาจาก็ถูกอบรมมาเป็นอย่างดีแม้แต่เฉินเจียวเจียวเองก็ยังแอบยกย่องนางอยู่ในใจ เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดสตรีที่มีดีทั้งรูปโฉม ชาติกำเนิดและท่วงท่ากิริยาเต็ม
จวนผิงกั๋วกงตั้งอยู่ในตรอกสุ่ยอันของเมืองหลวงแห่งแคว้นต้าเยียน ภายในตรอกสุ่ยอันแห่งนี้มีจวนขุนนางตำแหน่งสูงตั้งอยู่หลายจวน จวนขุนนางที่มีตำแหน่งสูงเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอันซับซ้อนมากมายภายในเรือนหลังของจวน ยิ่งตำแหน่งสูงมากก็ยิ่งมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนของผู้คนภายในจวนมากยิ่งขึ้น แต่จวนผิงกั๋วกงแห่งนี้กลับไม่ได้มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนและยุ่งเหยิงดังเช่นจวนขุนนางจวนอื่น อาจจะเป็นเพราะผู้คนภายในจวนไม่มากอีกทั้งยังมีการปกครองภายในจวนอย่างเข้มงวดผู้คนภายในจวนจึงใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างสงบสุขเฉินเจียวเจียวอยู่ในจวนแห่งนี้ในฐานะคุณหนูใหญ่ นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของผิงกั๋วกงและหลินซื่อ มารดาของนางตายจากไปตั้งแต่นางยังเล็ก นางจึงได้รับการเลี้ยงดูจากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉิน ส่วนเฉียวซื่อผู้เป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่ของบิดาก็นับว่าเป็นมารดาเลี้ยงที่ดีพอสมควรเพียงแต่ระหว่างพวกนางสองคนไม่ค่อยจะสนิทกันเท่าใดนัก อาจจะเป็นเพราะตอนที่เฉียวซื่อแต่งเข้ามาเฉินเจียวเจียวก็โตมากแล้วอีกทั้งยังมักจะอยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้คนทั้งคู่ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันบ้านรองและบ้