ยามที่คนสกุลหลินมาเยือนที่จวนฮูหยินผู้เฒ่าและเฉินเจียวเจียวออกไปต้อนรับที่โถงหลักของเรือนชั้นในด้วยตนเอง ผู้ที่มาก็คือฟางเจียอีป้าสะใภ้จากจวนสกุลหลิน ป้าสะใภ้ผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับหลินซื่อมารดาของเฉินเจียวเจียวเมื่อหลินซื่อล่วงลับป้าสะใภ้ผู้นี้ก็หมั่นมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนอยู่บ่อยครั้ง เฉินเจียวเจียวจึงได้มีความรู้สึกดีต่อป้าสะใภ้ผู้นี้มากเป็นพิเศษ
ส่วนญาติผู้น้องร่างกายบอบบางและดูซูบผอมของนางนั้นกำลังนั่งอยู่เงียบๆ ทางด้านหลังของฟางเจียอี หลินชิงเหมยคือบุตรสาวที่ถือกำเนิดจากอนุภายในจวน แต่เพราะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กป้าสะใภ้ของนางจึงรับหลินชิงเหมยมาดูแลด้วยตนเองและได้รับหลินชิงเหมยมาเป็นบุตรสาวภายใต้ชื่อทำให้หลินชิงเหมยขยับฐานะขึ้นมาเป็นบุตรสาวของภรรยาเอก
แม้ว่าหลินชิงเหมยจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีแต่หากจะให้เทียบเคียงกลับหลินชิงหว่านบุตรสาวคนโตที่ถือกำเนิดจากป้าสะใภ้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ หลินชิงหว่านทั้งรูปโฉมงดงามกิริยาและวาจาก็ถูกอบรมมาเป็นอย่างดีแม้แต่เฉินเจียวเจียวเองก็ยังแอบยกย่องนางอยู่ในใจ เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดสตรีที่มีดีทั้งรูปโฉม ชาติกำเนิดและท่วงท่ากิริยาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นกุลสตรีอย่างหลินชิงหว่านในตอนท้ายจึงได้ถูกจับแต่งออกไปเป็นภรรยาคนที่สองของคหบดีต่างเมือง หลังจากนางถูกแต่งออกไปเฉินเจียวเจียวก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวของหลินชิงหว่านอีกเลย ยามนี้เมื่อได้พบกันอีกครั้งในวัยเยาว์นางจึงพึ่งจะจดจำได้ว่าญาติผู้พี่ต่างสกุลผู้นี้เคยมีความสัมพันธ์อันดีกับนางมากทีเดียว
ส่วนหลินชิงเหมยนั้นในยามนี้แทบไม่ได้เป็นจุดสนใจของผู้ใด เสื้อผ้าอาภรณ์แม้ว่าจะเป็นผ้าเนื้อดีแต่ก็เป็นรูปแบบที่ล้าสมัยสำหรับเด็กสาวในวัยนี้ไปแล้ว ส่วนใบหน้าอันซีดเหลืองของนางเมื่อเพ่งพิศให้ดีก็จะเห็นเค้าโครงความงามของนางปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนราง
เฉินเจียวเจียวได้แต่แค้นยิ้มในใจที่แท้หลินชิงเหมยก็ไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์มาตั้งแต่เริ่ม ต่อให้ป้าสะใภ้ของนางมีความลำเอียงมากเพียงใดแต่ก็คงจะไม่ละทิ้งหน้าตาด้วยการมอบแต่เสื้อผ้าล้าสมัยและดูราบเรียบธรรมดาเช่นนี้เป็นแน่ เพียงแต่นางไม่รู้ว่าคนที่เฉลียวฉลาดมาตลอดอย่างท่านป้าสะใภ้ทำไมจึงไม่รู้เท่าทันเด็กสาวตัวน้อยผู้นี้ แต่เมื่อได้เห็นท่าทางว่านอนสอนง่ายและขลาดกลัวผู้อื่นอยู่เป็นนิจของหลินชิงเหมยแล้วเฉินเจียวเจียวก็ได้แต่พยักหน้าอยู่ในใจ
‘อย่าว่าแต่ท่านป้าเลย แม้แต่ข้าเองก็ยังหลงกลท่าทีเช่นนี้ของนาง’ นางได้แต่คิดอยู่ในใจพลางนั่งฟังผู้อาวุโสคุยกันอย่างเงียบๆ
“เหตุใดคราวนี้น้องเจียวเจียวจึงได้ให้ความสนใจแก่ชิงเหมยมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่านางทำอันใดที่ขัดตาหรือว่าขัดใจเจ้าหรือไม่” หลินชิงหว่านเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้เฉินเจียวเจียวพาญาติผู้พี่และญาติผู้น้องไปเดินเล่นในสวน ส่วนพวกนางก็กำลังพูดคุยกันเรื่องสัญญาการหมั้นหมายของเฉินเจียวเจียวที่หลินซื่อเคยทำไว้กับโอรสของเต๋อเฟยผู้เป็นสหายสนิทก่อนที่นางจะเสียชีวิต
“ไม่ถึงกับขัดตา ข้าเพียงสงสัยว่าเพราะเหตุใดญาติผู้น้องจึงได้มีสีหน้าและท่าทางขลาดกลัวผู้อื่นตลอดเวลา นี่มิใช่ตั้งใจจะทำให้ผู้คนภายนอกได้เห็นหรือว่าท่านป้าสะใภ้ดูแลนางไม่ดี” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางหันไปมองหลินชิงเหมยที่เดินติดตามมาทางด้านหลัง เมื่อนางได้ยินก็ชะงักเท้าไปในทันทีแล้วหันไปส่งสายตาอันน่าสงสารขอความช่วยเหลือจากหลินชิงหว่านในทันที
“เจ้าคิดมากจนเกินไปแล้ว ชิงเหมยมีนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กเจ้าอย่าได้ถือสานางเลย” หลินชิงหว่านที่โตกว่าเอ่ยวาจาออกมาเพื่อไกล่เกลี่ยความอึดอัด แต่เฉินเจียวเจียวกลับส่ายหน้า
“ที่ข้าพูดไม่ใช่เพราะไม่ชอบนางนะเจ้าคะ เพียงแต่อดคำนึงถึงชื่อเสียงของป้าสะใภ้และพี่หญิงชิงหว่านไม่ได้ นางออกมาข้างนอกเช่นนี้ไม่มีเพียงมีท่าทางขลาดกลัวอย่างน่าประหลาดใจแล้วยังจงใจแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เก่าเก็บเช่นนี้อีก หากข้าไม่สนิทสนมกับพวกท่านก็คงจะคิดว่านางถูกพวกท่านรังแก แต่นี่ข้าเองก็รู้จักกับพวกท่านดีก็เลยอดเอ่ยวาจาทวงถามเช่นนี้ออกมามิได้” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้หลินชิงหว่านที่ถูกอบรมมาอย่างดีรู้เรื่องราวการแย่งชิงภายในจวนอย่างชัดเจนก็หันไปหรี่ตามองหลินชิงเหมยด้วยสายตาเพ่งพินิจ
“พวกท่านอย่าได้คิดเป็นอื่นเลยนะเจ้าคะ อาเหมยก็แค่วางตัวไม่เหมาะสมและแต่งกายไม่ถูกกาลเทศะเองเจ้าค่ะ อาเหมยเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงได้มีท่วงท่าขลาดกลัวจนทำให้ขัดตาญาติผู้พี่เช่นนี้ อีกทั้งอาเหมยยังหลงคิดว่าพวกเราเป็นญาติสนิทกันมากเสียอีกก็เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องแต่งกายหรูหราในยามที่มาหาญาติผู้พี่ คิดไม่ถึงว่าจะขัดหูขัดตาญาติผู้พี่เช่นนี้จนถึงขั้นที่ท่านต้องเอ่ยปากออกมาเช่นนี้ โทษฐานที่ประพฤติตนขัดหูขัดตาญาติผู้พี่ อาเหมยต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ” เมื่อหลินชิงเหมยเอ่ยพลางทำท่าคารวะดุจลูกไก่ถูกคนรังแกเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ได้แต่ลอบด่าบรรพบุรุษของหลินชิงเหมยอยู่ในใจไปหลายรอบแต่เมื่อคิดได้ว่าบรรพบุรุษของหลินชิงเหมยก็คือบรรพบุรุษของมารดาของนางเช่นกันจึงรีบระงับอกระงับใจของตนเองเอาไว้
‘ร้ายกาจเสียจริง อายุเพียงเท่านี้รู้จักหาคำแก้ตัวให้แก่ตนเองแถมยังโยนข้อหาว่าเป็นคนจิตใจคับแคบมาให้ข้าอย่างแนบเนียนเสียด้วย’ เฉินเจียวเจียวคิดในใจพลางจ้องมองหลินชิงเหมยด้วยสายตารู้ทัน
“ที่ข้าพูดออกมาก็เพียงเพราะอยากเตือนพี่หญิงชิงหว่าน หากนางพาเจ้าที่ไม่รู้ความเช่นนี้ผู้อื่นอาจจะเข้าใจญาติผู้พี่และป้าสะใภ้ผิด ในเมื่อเจ้ารู้ตัวแล้วว่าตนเองแต่งกายไม่เหมาะสมก็ควรจะปรับปรุงตัว ข้าเชื่อว่าด้วยความมีจิตใจกว้างขวางของท่านป้าในยามนี้หีบเสื้อผ้าของเจ้าคงเต็มไปด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ของฤดูกาลนี้ อีกทั้งจวนผิงกั๋วกงแห่งนี้ก็ไม่ได้มีเพียงข้าที่อยู่อาศัยข้าจึงได้เอ่ยตักเตือนเจ้าเช่นนี้ ส่วนเรื่องกิริยาท่าทางเช่นนี้ของเจ้าหากไม่สามารถปรับปรุงได้ในคราวต่อไปก็ไม่ควรออกมาข้างนอกแล้วทำให้ป้าสะใภ้และพี่หญิงชิงหว่านของข้าต้องขายหน้า”
เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยออกมาเช่นนี้หลินชิงหว่านก็ขมวดคิ้วนางเองก็ไม่ใช่คนโง่ เรื่องการแต่งกายของหลินชิงเหมยนางเคยตักเตือนหลายครั้งแล้วว่ายามที่อยู่ข้างนอกหรือพบหน้าผู้อื่นควรเลือกให้ดีให้สมฐานะที่เป็นคุณหนูของจวนสกุลหลิน แต่หลินชิงเหมยกลับยังคงทำตัวเฉกเช่นเดิม เพียงแต่การที่เฉินเจียวเจียวเอ่ยปากตำหนิน้องสาวต่างมารดาของตนเช่นนี้ นางที่เป็นพี่สาวก็ไม่อาจจะช่วยผู้อื่นมาตำหนิน้องสาวของตนเองได้
“เจียวเจียว เจ้าอย่าได้ถือสาชิงเหมยเลย ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นห่วงชื่อเสียงของข้าและท่านแม่แต่นางยังเด็กและไม่รู้ความ เอาไว้ข้ากลับจวนไปแล้วข้าจะจัดการนางให้เจ้าก็แล้วกัน” เมื่อเห็นว่าหลินชิงหว่านพยายามเอ่ยวาจาประนีประนอมเพื่อรอมชอม แต่ในแววตาของหลินชิงหว่านกับเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและไม่พอใจในตัวของหลินชิงเหมยไปเสียแล้ว เพียงเท่านี้ก็ทำให้เฉินเจียวเจียวพึงพอใจแล้ว นางยังไม่อยากได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณหนูเอาแต่ใจที่ชอบรังแกคนที่อ่อนด้อยกว่า อีกทั้งด้วยอายุของหลินชิงเหมยในยามนี้ก็ยังถือว่าเป็นเพียงเด็กสาววัยสิบสองย่างสิบสามปีคนหนึ่ง หากออกหน้าหาเรื่องหลินชิงเหมยมากจนเกินไปนางนี่แหละที่จะถูกผู้อื่นมองว่าเป็นคนไม่ดี มิสู้นางอยู่เงียบๆ และคอยชี้นำให้หลินชิงหว่านและป้าสะใภ้หวาดระแวงและคอยระมัดระวังความประพฤติของหลินชิงเหมยก็พอ แม้ว่ายังไม่อาจจะแก้แค้นต่อการกระทำของหลินชิงเหมยที่เคยทำต่อนางในอดีต แต่ก็คงเพียงพอที่จะทำให้หลินชิงเหมยดำเนินชีวิตอย่างได้อย่างไม่ราบรื่นเท่าใดนัก
“พี่หญิงพวกเรากลับขึ้นเรือนกันดีกว่าเจ้าค่ะ แดดร้อนแล้วหากน้องชิงเหมยเป็นอันใดไป ข้าอาจจะถูกท่านย่าตำหนิได้ว่าดูแลนางไม่ดี” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้หลินชิงหว่านก็พยักหน้า สำหรับนางแล้วเฉินเจียวเจียวผู้นี้คือญาติผู้น้องที่มีจิตใจดีและเฉลียวฉลาด เรื่องที่เฉินเจียวเจียวเอ่ยมาไม่ใช่ว่านางจะไม่เก็บมาคิดเพียงแต่เรื่องบางเรื่องยังไม่อาจจะออกหน้าตำหนิคนของตนเองภายในจวนของผู้อื่นได้
หลายวันถัดมาเมืองหลวงแคว้นต้าเยียนก็มีเรื่องราวเล่าลืออันโด่งดังที่ทำให้ผู้คนต่างพากันพูดถึง อีกทั้งคราวนี้ยังเป็นเรื่องราวของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงอย่างโซ่วอ๋อง ต่อให้เป็นเรื่องพยายามปกปิดมากสักเพียงใดแต่หน้าต่างล้วนมีหูประตูล้วนมีช่องไม่อาจจะปกปิดความอยากรู้ของผู้อื่นได้ ยิ่งพยายามปกปิดก็ยิ่งก็กระตุ้นให้ผู้อื่นยิ่งอยากจะรู้เรื่องราวมากยิ่งขึ้นโซ่วอ๋องลักลอบนัดพบสตรีอื่นในวัดต้าฝูทำให้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยกับความประพฤติของโซ่วอ๋องเป็นอย่างมากจนต้องเรียกโซ่วอ๋องเข้าวังมาตำหนิ เรื่องนี้แม้แต่เต๋อเฟยเองก็ยังพลอยโดนหางเลขไปด้วย ในฐานะที่อบรมพระโอรสได้ไม่ดี การออกพระโอษฐ์ตำหนิในครั้งนี้ถือว่าสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวังหลังในทันที เต๋อเฟยจำต้องคุกเข่าสำนึกผิดหน้าพระตำหนักนานถึงสองชั่วยามกว่าจะทำให้ฝ่าบาททรงคลายความพิโรธลงได้เมื่อข่าวลือเอ่ยถึงวัดต้าฝูก็มีหลายคนเอ่ยปากออกมาว่าพวกเขาต่างก็เคยเห็นว่าโซ่วอ๋องมักจะมีสตรีอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งอยู่เคียงข้างกายในวัดต้าฝูจริงๆ เมื่อมีการยืนยันหลายเสียงเช่นนี้หลายคนต่างพากันคาดเดากันใหญ่ว่าสตรีผู้นั้นคือผู้ใด เป็นคุณหนูจากสกุลไหนหรือเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรร
เมื่อหลี่ไท่หยางเดินไปถึงโต๊ะที่สองแม่ลูกสกุลเฉินนั่งอยู่พวกนางสองแม่ลูกก็ลุกขึ้นมาแล้วย่อกายคารวะตามธรรมเนียมในทันที บรรดาสาวใช้และผู้ติดตามเองก็เช่นกันพวกเขารีบคารวะหลี่ไท่หยางด้วยท่าทีนอบน้อม“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หลี่ไท่หยางเอ่ยพลางโบกมือพวกเขาจึงได้ขยับตัวยืดกายขึ้นแล้วถอยออกไปทิ้งไว้เพียงเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่ ผิงกั๋วกงฮูหยินสบายดีหรือไม่” หลี่ไท่หยางเอ่ยออกมาก่อนพลางจ้องมองเฉินเจียวเจียวอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ละสายตาไป สำหรับเขาแล้วอีกไม่นานสตรีที่มีรูปโฉมงดงามตรงหน้าอีกไม่นานก็จะต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา ซึ่งเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว เขาจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบนางและไม่ได้รู้สึกผิดอันใดกับการที่นางพบว่าเขาอยู่กับสตรีอื่น เพราะสำหรับเขาแล้วในยามนี้หลินชิงเหมยเป็นเพียงเด็กสาวที่มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่น่าสงสารมากเท่านั้น เขาหาได้ทำผิดต่อว่าที่พระชายาในอนาคตผู้นี้ของเขาไม่“หม่อมฉันสบายดีเพคะ วันนี้อากาศดีก็เลยพาเจียวเจียวมาไหว้พระ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านอ๋องที่นี่ด้วย” เฉียวซื่อเอ่ยพลางส่งยิ้มให้เขา
หลี่ไท่หยางไม่ได้สนใจว่าจะมีผู้อื่นจ้องมองเขาหรือไม่ในยามนี้เขาคิดเพียงแค่การพาญาติผู้น้องที่น่าสงสารของตนเองมาผ่อนคลายจิตใจ อีกทั้งยามนี้ในใจของเขาที่มีให้แก่หลินชิงเหมยก็มีแค่เพียงความรู้สึกสงสารและเอ็นดูยังไม่ได้มีความคิดเกินเลยเนื่องจากเด็กสาวผู้นี้ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งในสายตาของเขา เรื่องการเว้นระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่เขาจึงคิดว่าไม่จำเป็นแต่ในสายตาของคนที่มองอยู่อย่างเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวกลับไม่ใช่เช่นนั้น สำหรับเฉินเจียวเจียวเป็นเพราะมีความทรงจำของช่วงชีวิตที่แล้วมาเป็นบทเรียนจึงไม่คิดการที่สองคนนี้มีความสนิทสนมเป็นเรื่องปกติ ส่วนในสายตาของเฉียวซื่อนั้นนางคิดว่าต่อให้สตรีที่มาด้วยยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง แต่ก็ควรที่จะเว้นระยะห่างให้มากกว่านี้ แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันอย่างเฉินเจียวจ้านและเฉินเจียวเจียวนางในฐานะมารดาเลี้ยงของพวกเขายังคอยดูแลจัดการให้พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างถูกต้องและเหมาะสมไม่ว่าอย่างไรเรื่องชื่อเสียงของบุตรชายและบุตรสาวย่อมสำคัญที่สุด เฉินเจียวจ้านนั้นก็ช่างเถิดเขาโตแล้วและไม่มีความผูกพันอันใดกับนาง ไม่ว่าอย่างไรบุตรชายและแม่เลี้ยงก็ไม่ควรจะข้องเกี
เมื่อเฉินเจียวเจียวเดินกลับมาจนเกือบถึงบริเวณที่คนของตนรออยู่นางก็หันไปมองสาวใช้ที่รู้วรยุทธ์ของนางด้วยสีหน้าดุดัน สาวใช้นางนั้นรีบคุกเข่าและขอรับโทษในทันที“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ บ่าวไม่สามารถปกป้องคุณหนูให้ดีหากคุณหนูจะลงโทษบ่าวก็พร้อมจะยอมรับโทษเจ้าค่ะ” เมื่อสาวใช้ผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ทอดถอนใจออกมาพลางเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ตงจื้อ เรื่องในวันนี้ห้ามเจ้าบอกผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นตงผิง ตงชิงหรือว่าพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ ของเจ้า หากผู้อื่นรู้เรื่องนี้ข้าไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าไปแน่” เมื่อเจ้านายเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อผู้เป็นสาวใช้ก็รีบรับคำในทันที“บ่าวไม่มีทางเอ่ยกับผู้ใดแน่นอนเจ้าค่ะ” ตงจื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม“ส่วนเรื่องลงโทษเจ้านั้นคงไม่จำเป็น เรื่องนี้เป็นข้าที่ขาดความระมัดระวังเองแต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้เจ้าเองก็มีส่วนผิด มีคนอยู่ใกล้ข้าถึงเพียงนั้นแต่เจ้ากลับไม่รู้เรื่อง หากเป็นยอดฝีมือคนอื่นก็ว่าไปแต่คนที่จับข้าผู้นั้นไม่น่าจะมีฝีมือเหนือกว่าเจ้าไปได้” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อก็อ้าปากตั้งใจว่าจะเอ่ยวาจาคัดค้านว่าคนที่จับคุณหนูของนางนั้นมีฝีมือดีกว่าคนที่จับตั
เช้าวันถัดมาเฉินเจียวเจียวก็ได้ติดตามเฉียวซื่อไปไหว้พระที่วัดสมใจ เพียงแต่เมื่อเดินทางมาถึงวัดเฉินเจียวเจียวก็ได้แต่ต้องลอบดุด่าตนเองอยู่ในใจ หลินชิงเหมยอายุไม่ถึงสิบสามปีดีนางจะยัดเยียดข้อหาหนุ่มสาวลักลอบนัดพบกันให้แก่เด็กสาวที่ยังไม่โตเต็มที่ได้อย่างไร แต่ไหนๆ ก็มาแล้วนางจึงคิดว่าควรจะสำรวจบริเวณรอบๆ อีกสักหน่อยหลังจากไหว้พระเติมตะเกียงแล้วเฉินเจียวเจียวก็ขออนุญาตเฉียวซื่อเพื่อไปเดินเล่นรอบๆ มากราบไหว้พระครั้งนี้เฉียวซื่อตั้งใจจะมาขอบุตร นางจึงรีบอนุญาตเฉินเจียวเจียวในทันที แม้ว่านางจะรู้ดีว่าเฉินเจียวเจียวย่อมสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของนางได้อยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรการที่ไม่มีเฉินเจียวเจียวอยู่ด้วยก็ทำให้นางสามารถขอพรได้อย่างสะดวกใจมากกว่าวัดต้าฝูแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมืองใช้เวลาเดินทางพอสมควรกว่าจะเดินทางมาถึง แต่ข้อดีก็คือมีบรรยากาศอันเงียบสงบและทิวทัศน์งดงาม เฉินเจียวเจียวที่เดินไปเห็นทิวทัศน์ทางด้านหลังของวัดก็อดพยักหน้าให้แก่ตนเองไม่ได้ ช่างเหมาะแล้วที่พวกเขาจะใช้เป็นสถานที่นัดพบกัน ทิวทัศน์งดงามบรรยากาศเป็นใจเหมาะแก่การพูดคุยระบายความในใจต่อกันเป็นอย่างยิ่งเฉินเจียวเจียวเดินอย
แม้ว่าศัตรูอันดับหนึ่งของเฉินเจียวเจียวคือหลินชิงเหมย แต่คนที่นางไม่อาจจะเพิกเฉยได้ก็คือหลี่ไท่หยาง การแต่งงานในครั้งนี้แม้จะดูเหมือนนางคือฝ่ายป่ายปีนขึ้นที่สูงได้แต่งเข้าราชวงศ์ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นหลี่ไท่หยางต่างหากที่ได้ประโยชน์ในครั้งนี้ ผิงกั๋วกงเฉินคังผู้เป็นบิดาของนางเป็นถึงแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนมีกองกำลังในมือหลายแสนนายส่วนสกุลหลินที่เป็นบ้านเดิมของมารดาก็มีท่านลุงที่ยามนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา การได้เกี่ยวดองกับนางย่อมทำให้มีคนหนุนหลังเขาในราชสำนักมากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความคิดจะแย่งชิงราชบัลลังก์ก็ตามที แต่หากเกิดเหตุพลิกผันอันใดขึ้น ในฐานะอ๋องที่มีกองกำลังหนุนหลังและมีขุมอำนาจในราชสำนักคอยคุ้มครอง ย่อมสามารถอยู่รอดปลอดภัยมากกว่าอ๋องคนอื่นๆแคว้นต้าเยียนแห่งนี้มีหลี่ไท่หลงเป็นองค์รัชทายาท ยามนี้ฝ่าบาทมักจะมีราชโองการให้องค์รัชทายาทออกว่าราชการแทนในท้องพระโรงอยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่นางจะถูกสามีสั่งโบยแล้วแท้งบุตรจนตาย องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็ได้ครอบครองราชบัลลังก์อย่างมั่นคงแล้ว ท่านอ๋องหลายคนในยามนั้นล้วนถูกกำจัดมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รอดชีวิตและหนึ่งในนั้นก็มีโซ่วอ๋อง
เมื่อเฉินเจียวเจียวพาคุณหนูจากสกุลหลินทั้งสองกลับขึ้นเรือนมาฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังพูดคุยอยู่กับฟางเจียอีฮูหยินใหญ่จากสกุลหลินก็พลันเงียบเสียงลง แต่แล้วเมื่อคิดได้ว่าปีหน้าเฉินเจียวเจียวก็จะถึงวัยปักปิ่นอีกทั้งทางเต๋อเฟยเองก็มีรับสั่งเอ่ยถึงเรื่องนี้บ้างแล้วนางจึงคิดว่าให้เฉินเจียวเจียวรับรู้เรื่องนี้บ้างก็เป็นเรื่องดีนางจะได้เตรียมพร้อมเอาไว้“ทางข้าเองก็ไม่ได้คิดจะขัดข้องอันใด หากทางเต๋อเฟยอยากจะส่งปิ่นมาร่วมแสดงความยินดีก็ถือว่าเป็นเกียรติของเจียวเจียวเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องพิธีปักปิ่นหากทางเต๋อเฟยอยากจะเป็นแม่งานก็คงไม่เหมาะ แม้ว่าจะทรงเอ็นดูเจียวเจียวมากเพียงใดแต่ไม่ว่าอย่างไรในตอนนี้นางก็ยังมีมารดาเลี้ยงของนางอยู่ แม้ว่าเฉียวซื่อจะไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแต่ไม่ว่าอย่างไรคำพูดของผู้อื่นก็อาจจะทำให้นางไม่สบายใจ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ฟางเจียอีที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเต๋อเฟยก็พลันทอดถอนหายใจออกมา“ข้าเองก็คำนึงถึงเรื่องนี้จึงได้บอกกับพระนางว่าข้าจะขอมาปรึกษากับทางจวนผิงกั๋วกงก่อน” ฟางเจียอีเอ่ยพลางหันไปมองเฉินเจียวเจียวที่เดินนำหน้าบุตรสาวของนาง“ปีนี้เจียวเจียวโตขึ้นมาก ยังไม่ทันจ
ยามที่คนสกุลหลินมาเยือนที่จวนฮูหยินผู้เฒ่าและเฉินเจียวเจียวออกไปต้อนรับที่โถงหลักของเรือนชั้นในด้วยตนเอง ผู้ที่มาก็คือฟางเจียอีป้าสะใภ้จากจวนสกุลหลิน ป้าสะใภ้ผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับหลินซื่อมารดาของเฉินเจียวเจียวเมื่อหลินซื่อล่วงลับป้าสะใภ้ผู้นี้ก็หมั่นมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนอยู่บ่อยครั้ง เฉินเจียวเจียวจึงได้มีความรู้สึกดีต่อป้าสะใภ้ผู้นี้มากเป็นพิเศษส่วนญาติผู้น้องร่างกายบอบบางและดูซูบผอมของนางนั้นกำลังนั่งอยู่เงียบๆ ทางด้านหลังของฟางเจียอี หลินชิงเหมยคือบุตรสาวที่ถือกำเนิดจากอนุภายในจวน แต่เพราะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กป้าสะใภ้ของนางจึงรับหลินชิงเหมยมาดูแลด้วยตนเองและได้รับหลินชิงเหมยมาเป็นบุตรสาวภายใต้ชื่อทำให้หลินชิงเหมยขยับฐานะขึ้นมาเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกแม้ว่าหลินชิงเหมยจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีแต่หากจะให้เทียบเคียงกลับหลินชิงหว่านบุตรสาวคนโตที่ถือกำเนิดจากป้าสะใภ้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ หลินชิงหว่านทั้งรูปโฉมงดงามกิริยาและวาจาก็ถูกอบรมมาเป็นอย่างดีแม้แต่เฉินเจียวเจียวเองก็ยังแอบยกย่องนางอยู่ในใจ เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดสตรีที่มีดีทั้งรูปโฉม ชาติกำเนิดและท่วงท่ากิริยาเต็ม
จวนผิงกั๋วกงตั้งอยู่ในตรอกสุ่ยอันของเมืองหลวงแห่งแคว้นต้าเยียน ภายในตรอกสุ่ยอันแห่งนี้มีจวนขุนนางตำแหน่งสูงตั้งอยู่หลายจวน จวนขุนนางที่มีตำแหน่งสูงเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอันซับซ้อนมากมายภายในเรือนหลังของจวน ยิ่งตำแหน่งสูงมากก็ยิ่งมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนของผู้คนภายในจวนมากยิ่งขึ้น แต่จวนผิงกั๋วกงแห่งนี้กลับไม่ได้มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนและยุ่งเหยิงดังเช่นจวนขุนนางจวนอื่น อาจจะเป็นเพราะผู้คนภายในจวนไม่มากอีกทั้งยังมีการปกครองภายในจวนอย่างเข้มงวดผู้คนภายในจวนจึงใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างสงบสุขเฉินเจียวเจียวอยู่ในจวนแห่งนี้ในฐานะคุณหนูใหญ่ นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของผิงกั๋วกงและหลินซื่อ มารดาของนางตายจากไปตั้งแต่นางยังเล็ก นางจึงได้รับการเลี้ยงดูจากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉิน ส่วนเฉียวซื่อผู้เป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่ของบิดาก็นับว่าเป็นมารดาเลี้ยงที่ดีพอสมควรเพียงแต่ระหว่างพวกนางสองคนไม่ค่อยจะสนิทกันเท่าใดนัก อาจจะเป็นเพราะตอนที่เฉียวซื่อแต่งเข้ามาเฉินเจียวเจียวก็โตมากแล้วอีกทั้งยังมักจะอยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้คนทั้งคู่ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันบ้านรองและบ้