เช้าวันถัดมาเฉินเจียวเจียวก็ได้ติดตามเฉียวซื่อไปไหว้พระที่วัดสมใจ เพียงแต่เมื่อเดินทางมาถึงวัดเฉินเจียวเจียวก็ได้แต่ต้องลอบดุด่าตนเองอยู่ในใจ หลินชิงเหมยอายุไม่ถึงสิบสามปีดีนางจะยัดเยียดข้อหาหนุ่มสาวลักลอบนัดพบกันให้แก่เด็กสาวที่ยังไม่โตเต็มที่ได้อย่างไร แต่ไหนๆ ก็มาแล้วนางจึงคิดว่าควรจะสำรวจบริเวณรอบๆ อีกสักหน่อย
หลังจากไหว้พระเติมตะเกียงแล้วเฉินเจียวเจียวก็ขออนุญาตเฉียวซื่อเพื่อไปเดินเล่นรอบๆ มากราบไหว้พระครั้งนี้เฉียวซื่อตั้งใจจะมาขอบุตร นางจึงรีบอนุญาตเฉินเจียวเจียวในทันที แม้ว่านางจะรู้ดีว่าเฉินเจียวเจียวย่อมสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของนางได้อยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรการที่ไม่มีเฉินเจียวเจียวอยู่ด้วยก็ทำให้นางสามารถขอพรได้อย่างสะดวกใจมากกว่า
วัดต้าฝูแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมืองใช้เวลาเดินทางพอสมควรกว่าจะเดินทางมาถึง แต่ข้อดีก็คือมีบรรยากาศอันเงียบสงบและทิวทัศน์งดงาม เฉินเจียวเจียวที่เดินไปเห็นทิวทัศน์ทางด้านหลังของวัดก็อดพยักหน้าให้แก่ตนเองไม่ได้ ช่างเหมาะแล้วที่พวกเขาจะใช้เป็นสถานที่นัดพบกัน ทิวทัศน์งดงามบรรยากาศเป็นใจเหมาะแก่การพูดคุยระบายความในใจต่อกันเป็นอย่างยิ่ง
เฉินเจียวเจียวเดินอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นชายชุดคลุมของคนผู้หนึ่งเข้า เพียงแต่ด้วยระยะห่างที่มีมากและได้เห็นเพียงครู่เดียวทำให้นางยังไม่มั่นใจเท่าใดนักว่าจะเป็นคนที่นางคิดเอาไว้ แต่เพื่อความมั่นใจนางจึงได้รีบเร่งฝีเท้าติดตามไปในทันที เพียงแต่เมื่อหันไปเห็นว่าคนที่ติดตามนางมามีทั้งผู้คุ้มกันและสาวใช้จำนวนมากนางจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมาเรียกสาวใช้ร่างใหญ่ที่เป็นวรยุทธ์ผู้หนึ่งให้ติดตามมาแล้วจึงสั่งให้คนที่เหลือรออยู่ตรงนี้
เป็นเพราะเสียเวลาจัดการกับบรรดาผู้ติดตามทำให้นางคลาดจากคนที่นางติดตามมาด้วย เฉินเจียวเจียวได้แต่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ พลางสำรวจบริเวณรอบกายเห็นว่าหากอยู่ที่นี่อาจจะไม่ปลอดภัยจึงได้หันไปส่งสัญญาณให้กับคนของตนเพื่อพากันออกจากบริเวณนี้
เพียงแต่เมื่อนางเดินผ่านพ้นบริเวณต้นไม้ใหญ่ก็เกือบจะสะดุดล้มเมื่อชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง เขาช่วยประคองนางเอาไว้แต่แล้วก็ดึงนางเขาไปหลบหลังตนไม้ใหญ่แล้วใช้มือปิดริมฝีปากของนางเอาไว้ สาวใช้ที่มีวรยุทธ์ของนางจะเข้ามาคุ้มกันนางแต่กลับมีชายร่างใหญ่อีกคนดึงนางให้เข้าไปหลบหลังต้นไม้อีกต้นหนึ่ง
เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาทำให้เฉินเจียวเจียวพยายามดิ้นรนเพื่อขอความช่วยเหลือแต่คนที่จับตัวนางเอาไว้กลับรัดตัวของนางอย่างแน่นหนาแล้วเอ่ยกระซิบข่มขู่นางเสียงเบาที่ข้างหู
“หากเจ้าอยู่นิ่งๆ ข้าจะยอมปล่อยเจ้าจากไปแต่โดยดี แต่ถ้าหากขัดขืนมีดในมือข้าคงต้องถูกใช้งานเสียแล้ว” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หยุดดิ้นรน นางค่อยๆ ลดมือของตนลงไปจับถุงหอมที่นางพกติดตัวเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง
“ท่านอ๋องหม่อมฉันชอบที่นี่มากเลยเพคะ ทั้งทิวทัศน์งดงามแถมยังเงียบสงบ” เสียงเล็กๆ ที่เอ่ยถามทำให้เฉินเจียวเจียวพลันแข็งทื่อในทันที นางจดจำได้ว่าเสียงนี้คือเสียงของหลินชิงเหมย
“หากเจ้าชอบข้าจะพาเจ้ามาที่นี่บ่อยๆ ดีหรือไม่” เสียงนี้ก็เป็นเสียงที่นางรู้สึกคุ้นหูมากเช่นกัน เป็นเสียงของโซ่วอ๋องหลี่ไท่หยางผู้เป็นคู่หมั้นของนางนั่นเอง
“ต่อให้หากอยากจะมาก็คงจะมาไม่ได้อีกแล้ว ท่านแม่สั่งเอาไว้แล้วว่าต่อไปห้ามหม่อมฉันออกจากจวนโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนท่านอ๋องต่อไปเมื่อได้แต่งงานกับพี่หญิงเจียวเจียวก็คงยากที่จะได้ออกมาพบกันที่นี่อีก”
“นั่นเป็นเรื่องอีกหลายปีข้างหน้า แล้วอีกอย่างต่อให้ข้าแต่งงานกับเฉินเจียวเจียวไปแล้วนางก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามข้าไม่ให้ออกมาพบกับเจ้า ข้างหน้ามีลำธารเจ้าเดินไหวหรือไม่” เมื่อหลี่ไท่หยางเอ่ยถามเช่นนี้ก็มีเสียงเล็กๆ ตอบกลับมา
“ไม่ไหวเพคะ”
“เด็กสาวเช่นพวกเจ้าช่างบอบบางเสียจริง มาโซ่วอ๋องผู้นี้จะแบกเจ้าขึ้นหลังแล้วพาเจ้าเดินเที่ยวรอบๆ เอง”
“จะดีหรือเพคะ ท่านเป็นบุรุษส่วนข้าเป็นสตรี…”
“ไม่เหมาะสมอันใดกัน ในสายตาของข้าเจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น มาเถอะที่นี่ไม่มีผู้อื่นไม่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมหรอก” เสียงที่เงียบไปทำให้เฉินเจียวเจียวค่อยๆ ยื่นหน้าไปดูพวกเขา เมื่อเห็นว่ายามนี้หลินชิงเหมยอยู่บนแผ่นหลังของหลี่ไท่หยางนางก็เม้มปากแน่น เพียงแต่ยามนี้ริมฝีปากของนางอยู่ในมือของคนผู้หนึ่งนางจึงรีบหันไปมองคนที่จับตัวนางเอาไว้ในทันที ดูเหมือนเขาเองก็คิดไม่ถึงว่านางจะหันไปมองเขารีบขึงสายตาตำหนินางในทันที
“...” คนผู้นี้นางรู้จัก แต่หากเอ่ยวาจาทักทายเขาออกไป นางก็ไม่แน่ใจว่าเขายอมปล่อยนางไปง่ายๆ หรือไม่
“ไม่มีผู้อื่นแล้ว จะจัดการอย่างไรกับพวกนางดีขอรับนายท่าน” เสียงของบุรุษหน้าตาเหี้ยมเกรียมผู้หนึ่งทำให้เฉินเจียวเจียวกำถุงหอมของตนเองเอาไว้แน่น ในนั้นมีทั้งยาพิษและยาสลบเพียงแต่คนที่อยู่ตรงหน้านางทำให้นางไม่กล้าตัดสินใจว่าจะลงมือทำร้ายเขาดีหรือไม่ ดูเหมือนบุรุษที่จับตัวนางเอาไว้จะรับรู้เขาจ้องมองนางด้วยแววตาดุดันแล้วเอ่ยกับนางเสียงเบา
“หากเป็นข้าจะต้องรีบเอามือออกจากถุงหอมใบนั้น ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปแต่โดยดีทางที่ดีอย่าได้วกกลับมา และจงจำเอาไว้ว่าเจ้าไม่ได้พบกับผู้ใดที่นี่” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็รีบพยักหน้า เขาจึงคลายมือที่จับตัวของนางเอาไว้ออก เฉินเจียวเจียวรีบถอยห่างจากเขาในทันทีแล้วกันไปส่งสายตาห้ามคนของตนที่ถูกปล่อยตัวแล้วไม่ให้นางลงมือ ด้วยฐานะของคนตรงหน้าผู้ติดตามของเขาย่อมมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา สาวใช้ของนางไม่มีทางสู้ได้เป็นแน่ ในเมื่อเขายอมปล่อยแล้วนางก็รีบจากไปเสียดีกว่า เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็หันไปเอ่ยกับคนผู้นั้นในทันที
“ขอบคุณที่ยอมปล่อยข้าไป ท่านไม่ต้องกังวลข้าจะไม่มีทางพูดถึงเรื่องในวันนี้อย่างเด็ดขาด” เมื่อเอ่ยจบเฉินเจียวเจียวก็รีบเร่งฝีเท้าเดินออกจากบริเวณนั้นในทันที เมื่อคิดว่าพ้นจากสายตาของเขาแล้วนางก็รีบวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าเพื่อให้พ้นจากบริเวณนั้นโดยเร็ว
“จะให้กระหม่อมจัดการกับพวกนางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เพื่อเห็นว่าสองนายบ่าวรีบเร่งจากไปแล้วบรรดาคนที่หลบซ่อนอยู่ในบริเวณนั้นก็เผยตัวออกมาแล้วเข้าไปสอบถามชายหนุ่มผู้นั้นในทันที
“ไม่ต้อง ถุงผ้าและหยกประดับที่ของนางเป็นของสตรีจวนผิงกั๋วกง หากข้าเดาไม่ผิดนางคงจะเป็นคุณหนูใหญ่พวกเจ้าไม่ต้องสนใจ สาเหตุที่นางมาที่นี่คงเป็นเพราะอยากจะติดตามมาดูพฤติกรรมของน้องรองของข้าเท่านั้น” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงเอ่ยพลางจ้องมองไปยังทิศทางที่เฉินเจียวเจียวเดินจากไป
“เช่นนั้นนางก็น่าจะจดจำพระองค์ได้ ทรงปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้จะดีหรือ” เซียวอวิ๋นหยวนเอ่ยพลางมองตามทิศทางที่เฉินเจียวเจียวเดินหายลับไปด้วยสายตาเย็นชา
“นางเป็นแค่สตรีผู้หนึ่ง ต่อให้คิดก่อเรื่องขึ้นมาจะใหญ่โตถึงขั้นไหนกันเชียว เจ้าอย่าได้กังวลใจเกินกว่าเหตุยามนี้เจ้าควรจะพาข้าไปรักษาแผลน่าจะดีกว่า หากชักช้าไปกว่านี้วรกายอันล้ำค่าของข้าอีกไม่นานคงจะเสียเลือดจนหมดตัวเป็นแน่” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้เซียวอวิ๋นหยวนจึงได้ละสายตาจากทิศทางที่เฉินเจียวเจียวเดินจากไปแล้วหันมาเอ่ยกับหลี่ไท่หลงเสียงเบา
“เมื่อครู่ยังทรงมีเรี่ยวแรงโอบกอดสตรีได้อยู่เลยมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ทูลเชิญองต์รัชทายาทกลับตำหนักบูรพาไปรักษาพระวรกายอันล้ำค่าด้วยตนเองเถิด” เมื่อเอ่ยจบเซียวอวิ๋นหยวนก็สะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินจากไปในทันที
“เจ้าคนผู้นี้จะเย็นชาไปถึงไหนกันนะ” หลี่ไท่หลงเอ่ยพลางหันไปส่งสัญญาณให้คนของเขารีบติดตามเขากลับตำหนัก
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ