แชร์

บทที่ 6 คนที่ไม่ควรพบ

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-20 12:06:01

เช้าวันถัดมาเฉินเจียวเจียวก็ได้ติดตามเฉียวซื่อไปไหว้พระที่วัดสมใจ เพียงแต่เมื่อเดินทางมาถึงวัดเฉินเจียวเจียวก็ได้แต่ต้องลอบดุด่าตนเองอยู่ในใจ หลินชิงเหมยอายุไม่ถึงสิบสามปีดีนางจะยัดเยียดข้อหาหนุ่มสาวลักลอบนัดพบกันให้แก่เด็กสาวที่ยังไม่โตเต็มที่ได้อย่างไร แต่ไหนๆ ก็มาแล้วนางจึงคิดว่าควรจะสำรวจบริเวณรอบๆ อีกสักหน่อย

หลังจากไหว้พระเติมตะเกียงแล้วเฉินเจียวเจียวก็ขออนุญาตเฉียวซื่อเพื่อไปเดินเล่นรอบๆ มากราบไหว้พระครั้งนี้เฉียวซื่อตั้งใจจะมาขอบุตร นางจึงรีบอนุญาตเฉินเจียวเจียวในทันที แม้ว่านางจะรู้ดีว่าเฉินเจียวเจียวย่อมสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของนางได้อยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรการที่ไม่มีเฉินเจียวเจียวอยู่ด้วยก็ทำให้นางสามารถขอพรได้อย่างสะดวกใจมากกว่า

วัดต้าฝูแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมืองใช้เวลาเดินทางพอสมควรกว่าจะเดินทางมาถึง แต่ข้อดีก็คือมีบรรยากาศอันเงียบสงบและทิวทัศน์งดงาม เฉินเจียวเจียวที่เดินไปเห็นทิวทัศน์ทางด้านหลังของวัดก็อดพยักหน้าให้แก่ตนเองไม่ได้ ช่างเหมาะแล้วที่พวกเขาจะใช้เป็นสถานที่นัดพบกัน ทิวทัศน์งดงามบรรยากาศเป็นใจเหมาะแก่การพูดคุยระบายความในใจต่อกันเป็นอย่างยิ่ง

เฉินเจียวเจียวเดินอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นชายชุดคลุมของคนผู้หนึ่งเข้า เพียงแต่ด้วยระยะห่างที่มีมากและได้เห็นเพียงครู่เดียวทำให้นางยังไม่มั่นใจเท่าใดนักว่าจะเป็นคนที่นางคิดเอาไว้ แต่เพื่อความมั่นใจนางจึงได้รีบเร่งฝีเท้าติดตามไปในทันที เพียงแต่เมื่อหันไปเห็นว่าคนที่ติดตามนางมามีทั้งผู้คุ้มกันและสาวใช้จำนวนมากนางจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมาเรียกสาวใช้ร่างใหญ่ที่เป็นวรยุทธ์ผู้หนึ่งให้ติดตามมาแล้วจึงสั่งให้คนที่เหลือรออยู่ตรงนี้

เป็นเพราะเสียเวลาจัดการกับบรรดาผู้ติดตามทำให้นางคลาดจากคนที่นางติดตามมาด้วย เฉินเจียวเจียวได้แต่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ พลางสำรวจบริเวณรอบกายเห็นว่าหากอยู่ที่นี่อาจจะไม่ปลอดภัยจึงได้หันไปส่งสัญญาณให้กับคนของตนเพื่อพากันออกจากบริเวณนี้

เพียงแต่เมื่อนางเดินผ่านพ้นบริเวณต้นไม้ใหญ่ก็เกือบจะสะดุดล้มเมื่อชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง เขาช่วยประคองนางเอาไว้แต่แล้วก็ดึงนางเขาไปหลบหลังตนไม้ใหญ่แล้วใช้มือปิดริมฝีปากของนางเอาไว้ สาวใช้ที่มีวรยุทธ์ของนางจะเข้ามาคุ้มกันนางแต่กลับมีชายร่างใหญ่อีกคนดึงนางให้เข้าไปหลบหลังต้นไม้อีกต้นหนึ่ง

เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาทำให้เฉินเจียวเจียวพยายามดิ้นรนเพื่อขอความช่วยเหลือแต่คนที่จับตัวนางเอาไว้กลับรัดตัวของนางอย่างแน่นหนาแล้วเอ่ยกระซิบข่มขู่นางเสียงเบาที่ข้างหู

“หากเจ้าอยู่นิ่งๆ ข้าจะยอมปล่อยเจ้าจากไปแต่โดยดี แต่ถ้าหากขัดขืนมีดในมือข้าคงต้องถูกใช้งานเสียแล้ว” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หยุดดิ้นรน นางค่อยๆ ลดมือของตนลงไปจับถุงหอมที่นางพกติดตัวเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง

“ท่านอ๋องหม่อมฉันชอบที่นี่มากเลยเพคะ ทั้งทิวทัศน์งดงามแถมยังเงียบสงบ” เสียงเล็กๆ ที่เอ่ยถามทำให้เฉินเจียวเจียวพลันแข็งทื่อในทันที นางจดจำได้ว่าเสียงนี้คือเสียงของหลินชิงเหมย

“หากเจ้าชอบข้าจะพาเจ้ามาที่นี่บ่อยๆ ดีหรือไม่” เสียงนี้ก็เป็นเสียงที่นางรู้สึกคุ้นหูมากเช่นกัน เป็นเสียงของโซ่วอ๋องหลี่ไท่หยางผู้เป็นคู่หมั้นของนางนั่นเอง

“ต่อให้หากอยากจะมาก็คงจะมาไม่ได้อีกแล้ว ท่านแม่สั่งเอาไว้แล้วว่าต่อไปห้ามหม่อมฉันออกจากจวนโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนท่านอ๋องต่อไปเมื่อได้แต่งงานกับพี่หญิงเจียวเจียวก็คงยากที่จะได้ออกมาพบกันที่นี่อีก”

“นั่นเป็นเรื่องอีกหลายปีข้างหน้า แล้วอีกอย่างต่อให้ข้าแต่งงานกับเฉินเจียวเจียวไปแล้วนางก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามข้าไม่ให้ออกมาพบกับเจ้า ข้างหน้ามีลำธารเจ้าเดินไหวหรือไม่” เมื่อหลี่ไท่หยางเอ่ยถามเช่นนี้ก็มีเสียงเล็กๆ ตอบกลับมา

“ไม่ไหวเพคะ”

“เด็กสาวเช่นพวกเจ้าช่างบอบบางเสียจริง มาโซ่วอ๋องผู้นี้จะแบกเจ้าขึ้นหลังแล้วพาเจ้าเดินเที่ยวรอบๆ เอง”

“จะดีหรือเพคะ ท่านเป็นบุรุษส่วนข้าเป็นสตรี…”

“ไม่เหมาะสมอันใดกัน ในสายตาของข้าเจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น มาเถอะที่นี่ไม่มีผู้อื่นไม่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมหรอก” เสียงที่เงียบไปทำให้เฉินเจียวเจียวค่อยๆ ยื่นหน้าไปดูพวกเขา เมื่อเห็นว่ายามนี้หลินชิงเหมยอยู่บนแผ่นหลังของหลี่ไท่หยางนางก็เม้มปากแน่น เพียงแต่ยามนี้ริมฝีปากของนางอยู่ในมือของคนผู้หนึ่งนางจึงรีบหันไปมองคนที่จับตัวนางเอาไว้ในทันที ดูเหมือนเขาเองก็คิดไม่ถึงว่านางจะหันไปมองเขารีบขึงสายตาตำหนินางในทันที

“...” คนผู้นี้นางรู้จัก แต่หากเอ่ยวาจาทักทายเขาออกไป นางก็ไม่แน่ใจว่าเขายอมปล่อยนางไปง่ายๆ หรือไม่

“ไม่มีผู้อื่นแล้ว จะจัดการอย่างไรกับพวกนางดีขอรับนายท่าน” เสียงของบุรุษหน้าตาเหี้ยมเกรียมผู้หนึ่งทำให้เฉินเจียวเจียวกำถุงหอมของตนเองเอาไว้แน่น ในนั้นมีทั้งยาพิษและยาสลบเพียงแต่คนที่อยู่ตรงหน้านางทำให้นางไม่กล้าตัดสินใจว่าจะลงมือทำร้ายเขาดีหรือไม่ ดูเหมือนบุรุษที่จับตัวนางเอาไว้จะรับรู้เขาจ้องมองนางด้วยแววตาดุดันแล้วเอ่ยกับนางเสียงเบา

“หากเป็นข้าจะต้องรีบเอามือออกจากถุงหอมใบนั้น ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปแต่โดยดีทางที่ดีอย่าได้วกกลับมา และจงจำเอาไว้ว่าเจ้าไม่ได้พบกับผู้ใดที่นี่” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็รีบพยักหน้า เขาจึงคลายมือที่จับตัวของนางเอาไว้ออก เฉินเจียวเจียวรีบถอยห่างจากเขาในทันทีแล้วกันไปส่งสายตาห้ามคนของตนที่ถูกปล่อยตัวแล้วไม่ให้นางลงมือ ด้วยฐานะของคนตรงหน้าผู้ติดตามของเขาย่อมมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา สาวใช้ของนางไม่มีทางสู้ได้เป็นแน่ ในเมื่อเขายอมปล่อยแล้วนางก็รีบจากไปเสียดีกว่า เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็หันไปเอ่ยกับคนผู้นั้นในทันที

“ขอบคุณที่ยอมปล่อยข้าไป ท่านไม่ต้องกังวลข้าจะไม่มีทางพูดถึงเรื่องในวันนี้อย่างเด็ดขาด” เมื่อเอ่ยจบเฉินเจียวเจียวก็รีบเร่งฝีเท้าเดินออกจากบริเวณนั้นในทันที เมื่อคิดว่าพ้นจากสายตาของเขาแล้วนางก็รีบวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าเพื่อให้พ้นจากบริเวณนั้นโดยเร็ว

“จะให้กระหม่อมจัดการกับพวกนางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เพื่อเห็นว่าสองนายบ่าวรีบเร่งจากไปแล้วบรรดาคนที่หลบซ่อนอยู่ในบริเวณนั้นก็เผยตัวออกมาแล้วเข้าไปสอบถามชายหนุ่มผู้นั้นในทันที

“ไม่ต้อง ถุงผ้าและหยกประดับที่ของนางเป็นของสตรีจวนผิงกั๋วกง หากข้าเดาไม่ผิดนางคงจะเป็นคุณหนูใหญ่พวกเจ้าไม่ต้องสนใจ สาเหตุที่นางมาที่นี่คงเป็นเพราะอยากจะติดตามมาดูพฤติกรรมของน้องรองของข้าเท่านั้น” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงเอ่ยพลางจ้องมองไปยังทิศทางที่เฉินเจียวเจียวเดินจากไป

“เช่นนั้นนางก็น่าจะจดจำพระองค์ได้ ทรงปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้จะดีหรือ” เซียวอวิ๋นหยวนเอ่ยพลางมองตามทิศทางที่เฉินเจียวเจียวเดินหายลับไปด้วยสายตาเย็นชา

“นางเป็นแค่สตรีผู้หนึ่ง ต่อให้คิดก่อเรื่องขึ้นมาจะใหญ่โตถึงขั้นไหนกันเชียว เจ้าอย่าได้กังวลใจเกินกว่าเหตุยามนี้เจ้าควรจะพาข้าไปรักษาแผลน่าจะดีกว่า หากชักช้าไปกว่านี้วรกายอันล้ำค่าของข้าอีกไม่นานคงจะเสียเลือดจนหมดตัวเป็นแน่” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้เซียวอวิ๋นหยวนจึงได้ละสายตาจากทิศทางที่เฉินเจียวเจียวเดินจากไปแล้วหันมาเอ่ยกับหลี่ไท่หลงเสียงเบา

“เมื่อครู่ยังทรงมีเรี่ยวแรงโอบกอดสตรีได้อยู่เลยมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ทูลเชิญองต์รัชทายาทกลับตำหนักบูรพาไปรักษาพระวรกายอันล้ำค่าด้วยตนเองเถิด” เมื่อเอ่ยจบเซียวอวิ๋นหยวนก็สะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินจากไปในทันที

“เจ้าคนผู้นี้จะเย็นชาไปถึงไหนกันนะ” หลี่ไท่หลงเอ่ยพลางหันไปส่งสัญญาณให้คนของเขารีบติดตามเขากลับตำหนัก

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 10 ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน

    หลายวันถัดมาเมืองหลวงแคว้นต้าเยียนก็มีเรื่องราวเล่าลืออันโด่งดังที่ทำให้ผู้คนต่างพากันพูดถึง อีกทั้งคราวนี้ยังเป็นเรื่องราวของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงอย่างโซ่วอ๋อง ต่อให้เป็นเรื่องพยายามปกปิดมากสักเพียงใดแต่หน้าต่างล้วนมีหูประตูล้วนมีช่องไม่อาจจะปกปิดความอยากรู้ของผู้อื่นได้ ยิ่งพยายามปกปิดก็ยิ่งก็กระตุ้นให้ผู้อื่นยิ่งอยากจะรู้เรื่องราวมากยิ่งขึ้นโซ่วอ๋องลักลอบนัดพบสตรีอื่นในวัดต้าฝูทำให้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยกับความประพฤติของโซ่วอ๋องเป็นอย่างมากจนต้องเรียกโซ่วอ๋องเข้าวังมาตำหนิ เรื่องนี้แม้แต่เต๋อเฟยเองก็ยังพลอยโดนหางเลขไปด้วย ในฐานะที่อบรมพระโอรสได้ไม่ดี การออกพระโอษฐ์ตำหนิในครั้งนี้ถือว่าสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวังหลังในทันที เต๋อเฟยจำต้องคุกเข่าสำนึกผิดหน้าพระตำหนักนานถึงสองชั่วยามกว่าจะทำให้ฝ่าบาททรงคลายความพิโรธลงได้เมื่อข่าวลือเอ่ยถึงวัดต้าฝูก็มีหลายคนเอ่ยปากออกมาว่าพวกเขาต่างก็เคยเห็นว่าโซ่วอ๋องมักจะมีสตรีอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งอยู่เคียงข้างกายในวัดต้าฝูจริงๆ เมื่อมีการยืนยันหลายเสียงเช่นนี้หลายคนต่างพากันคาดเดากันใหญ่ว่าสตรีผู้นั้นคือผู้ใด เป็นคุณหนูจากสกุลไหนหรือเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรร

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 9 เฉียวซื่อลงมือ

    เมื่อหลี่ไท่หยางเดินไปถึงโต๊ะที่สองแม่ลูกสกุลเฉินนั่งอยู่พวกนางสองแม่ลูกก็ลุกขึ้นมาแล้วย่อกายคารวะตามธรรมเนียมในทันที บรรดาสาวใช้และผู้ติดตามเองก็เช่นกันพวกเขารีบคารวะหลี่ไท่หยางด้วยท่าทีนอบน้อม“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หลี่ไท่หยางเอ่ยพลางโบกมือพวกเขาจึงได้ขยับตัวยืดกายขึ้นแล้วถอยออกไปทิ้งไว้เพียงเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่ ผิงกั๋วกงฮูหยินสบายดีหรือไม่” หลี่ไท่หยางเอ่ยออกมาก่อนพลางจ้องมองเฉินเจียวเจียวอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ละสายตาไป สำหรับเขาแล้วอีกไม่นานสตรีที่มีรูปโฉมงดงามตรงหน้าอีกไม่นานก็จะต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา ซึ่งเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว เขาจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบนางและไม่ได้รู้สึกผิดอันใดกับการที่นางพบว่าเขาอยู่กับสตรีอื่น เพราะสำหรับเขาแล้วในยามนี้หลินชิงเหมยเป็นเพียงเด็กสาวที่มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่น่าสงสารมากเท่านั้น เขาหาได้ทำผิดต่อว่าที่พระชายาในอนาคตผู้นี้ของเขาไม่“หม่อมฉันสบายดีเพคะ วันนี้อากาศดีก็เลยพาเจียวเจียวมาไหว้พระ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านอ๋องที่นี่ด้วย” เฉียวซื่อเอ่ยพลางส่งยิ้มให้เขา

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 8 ดอกบัวขาวของโซ่วอ๋อง

    หลี่ไท่หยางไม่ได้สนใจว่าจะมีผู้อื่นจ้องมองเขาหรือไม่ในยามนี้เขาคิดเพียงแค่การพาญาติผู้น้องที่น่าสงสารของตนเองมาผ่อนคลายจิตใจ อีกทั้งยามนี้ในใจของเขาที่มีให้แก่หลินชิงเหมยก็มีแค่เพียงความรู้สึกสงสารและเอ็นดูยังไม่ได้มีความคิดเกินเลยเนื่องจากเด็กสาวผู้นี้ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งในสายตาของเขา เรื่องการเว้นระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่เขาจึงคิดว่าไม่จำเป็นแต่ในสายตาของคนที่มองอยู่อย่างเฉียวซื่อและเฉินเจียวเจียวกลับไม่ใช่เช่นนั้น สำหรับเฉินเจียวเจียวเป็นเพราะมีความทรงจำของช่วงชีวิตที่แล้วมาเป็นบทเรียนจึงไม่คิดการที่สองคนนี้มีความสนิทสนมเป็นเรื่องปกติ ส่วนในสายตาของเฉียวซื่อนั้นนางคิดว่าต่อให้สตรีที่มาด้วยยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง แต่ก็ควรที่จะเว้นระยะห่างให้มากกว่านี้ แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันอย่างเฉินเจียวจ้านและเฉินเจียวเจียวนางในฐานะมารดาเลี้ยงของพวกเขายังคอยดูแลจัดการให้พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างถูกต้องและเหมาะสมไม่ว่าอย่างไรเรื่องชื่อเสียงของบุตรชายและบุตรสาวย่อมสำคัญที่สุด เฉินเจียวจ้านนั้นก็ช่างเถิดเขาโตแล้วและไม่มีความผูกพันอันใดกับนาง ไม่ว่าอย่างไรบุตรชายและแม่เลี้ยงก็ไม่ควรจะข้องเกี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 7 ส่งคนไปสืบ

    เมื่อเฉินเจียวเจียวเดินกลับมาจนเกือบถึงบริเวณที่คนของตนรออยู่นางก็หันไปมองสาวใช้ที่รู้วรยุทธ์ของนางด้วยสีหน้าดุดัน สาวใช้นางนั้นรีบคุกเข่าและขอรับโทษในทันที“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ บ่าวไม่สามารถปกป้องคุณหนูให้ดีหากคุณหนูจะลงโทษบ่าวก็พร้อมจะยอมรับโทษเจ้าค่ะ” เมื่อสาวใช้ผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ทอดถอนใจออกมาพลางเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ตงจื้อ เรื่องในวันนี้ห้ามเจ้าบอกผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นตงผิง ตงชิงหรือว่าพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ ของเจ้า หากผู้อื่นรู้เรื่องนี้ข้าไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าไปแน่” เมื่อเจ้านายเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อผู้เป็นสาวใช้ก็รีบรับคำในทันที“บ่าวไม่มีทางเอ่ยกับผู้ใดแน่นอนเจ้าค่ะ” ตงจื้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม“ส่วนเรื่องลงโทษเจ้านั้นคงไม่จำเป็น เรื่องนี้เป็นข้าที่ขาดความระมัดระวังเองแต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้เจ้าเองก็มีส่วนผิด มีคนอยู่ใกล้ข้าถึงเพียงนั้นแต่เจ้ากลับไม่รู้เรื่อง หากเป็นยอดฝีมือคนอื่นก็ว่าไปแต่คนที่จับข้าผู้นั้นไม่น่าจะมีฝีมือเหนือกว่าเจ้าไปได้” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อก็อ้าปากตั้งใจว่าจะเอ่ยวาจาคัดค้านว่าคนที่จับคุณหนูของนางนั้นมีฝีมือดีกว่าคนที่จับตั

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 6 คนที่ไม่ควรพบ

    เช้าวันถัดมาเฉินเจียวเจียวก็ได้ติดตามเฉียวซื่อไปไหว้พระที่วัดสมใจ เพียงแต่เมื่อเดินทางมาถึงวัดเฉินเจียวเจียวก็ได้แต่ต้องลอบดุด่าตนเองอยู่ในใจ หลินชิงเหมยอายุไม่ถึงสิบสามปีดีนางจะยัดเยียดข้อหาหนุ่มสาวลักลอบนัดพบกันให้แก่เด็กสาวที่ยังไม่โตเต็มที่ได้อย่างไร แต่ไหนๆ ก็มาแล้วนางจึงคิดว่าควรจะสำรวจบริเวณรอบๆ อีกสักหน่อยหลังจากไหว้พระเติมตะเกียงแล้วเฉินเจียวเจียวก็ขออนุญาตเฉียวซื่อเพื่อไปเดินเล่นรอบๆ มากราบไหว้พระครั้งนี้เฉียวซื่อตั้งใจจะมาขอบุตร นางจึงรีบอนุญาตเฉินเจียวเจียวในทันที แม้ว่านางจะรู้ดีว่าเฉินเจียวเจียวย่อมสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของนางได้อยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรการที่ไม่มีเฉินเจียวเจียวอยู่ด้วยก็ทำให้นางสามารถขอพรได้อย่างสะดวกใจมากกว่าวัดต้าฝูแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมืองใช้เวลาเดินทางพอสมควรกว่าจะเดินทางมาถึง แต่ข้อดีก็คือมีบรรยากาศอันเงียบสงบและทิวทัศน์งดงาม เฉินเจียวเจียวที่เดินไปเห็นทิวทัศน์ทางด้านหลังของวัดก็อดพยักหน้าให้แก่ตนเองไม่ได้ ช่างเหมาะแล้วที่พวกเขาจะใช้เป็นสถานที่นัดพบกัน ทิวทัศน์งดงามบรรยากาศเป็นใจเหมาะแก่การพูดคุยระบายความในใจต่อกันเป็นอย่างยิ่งเฉินเจียวเจียวเดินอย

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 5 วัดต้าฝู

    แม้ว่าศัตรูอันดับหนึ่งของเฉินเจียวเจียวคือหลินชิงเหมย แต่คนที่นางไม่อาจจะเพิกเฉยได้ก็คือหลี่ไท่หยาง การแต่งงานในครั้งนี้แม้จะดูเหมือนนางคือฝ่ายป่ายปีนขึ้นที่สูงได้แต่งเข้าราชวงศ์ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นหลี่ไท่หยางต่างหากที่ได้ประโยชน์ในครั้งนี้ ผิงกั๋วกงเฉินคังผู้เป็นบิดาของนางเป็นถึงแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนมีกองกำลังในมือหลายแสนนายส่วนสกุลหลินที่เป็นบ้านเดิมของมารดาก็มีท่านลุงที่ยามนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา การได้เกี่ยวดองกับนางย่อมทำให้มีคนหนุนหลังเขาในราชสำนักมากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความคิดจะแย่งชิงราชบัลลังก์ก็ตามที แต่หากเกิดเหตุพลิกผันอันใดขึ้น ในฐานะอ๋องที่มีกองกำลังหนุนหลังและมีขุมอำนาจในราชสำนักคอยคุ้มครอง ย่อมสามารถอยู่รอดปลอดภัยมากกว่าอ๋องคนอื่นๆแคว้นต้าเยียนแห่งนี้มีหลี่ไท่หลงเป็นองค์รัชทายาท ยามนี้ฝ่าบาทมักจะมีราชโองการให้องค์รัชทายาทออกว่าราชการแทนในท้องพระโรงอยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่นางจะถูกสามีสั่งโบยแล้วแท้งบุตรจนตาย องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็ได้ครอบครองราชบัลลังก์อย่างมั่นคงแล้ว ท่านอ๋องหลายคนในยามนั้นล้วนถูกกำจัดมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รอดชีวิตและหนึ่งในนั้นก็มีโซ่วอ๋อง

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 4 ศัตรู

    เมื่อเฉินเจียวเจียวพาคุณหนูจากสกุลหลินทั้งสองกลับขึ้นเรือนมาฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังพูดคุยอยู่กับฟางเจียอีฮูหยินใหญ่จากสกุลหลินก็พลันเงียบเสียงลง แต่แล้วเมื่อคิดได้ว่าปีหน้าเฉินเจียวเจียวก็จะถึงวัยปักปิ่นอีกทั้งทางเต๋อเฟยเองก็มีรับสั่งเอ่ยถึงเรื่องนี้บ้างแล้วนางจึงคิดว่าให้เฉินเจียวเจียวรับรู้เรื่องนี้บ้างก็เป็นเรื่องดีนางจะได้เตรียมพร้อมเอาไว้“ทางข้าเองก็ไม่ได้คิดจะขัดข้องอันใด หากทางเต๋อเฟยอยากจะส่งปิ่นมาร่วมแสดงความยินดีก็ถือว่าเป็นเกียรติของเจียวเจียวเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องพิธีปักปิ่นหากทางเต๋อเฟยอยากจะเป็นแม่งานก็คงไม่เหมาะ แม้ว่าจะทรงเอ็นดูเจียวเจียวมากเพียงใดแต่ไม่ว่าอย่างไรในตอนนี้นางก็ยังมีมารดาเลี้ยงของนางอยู่ แม้ว่าเฉียวซื่อจะไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแต่ไม่ว่าอย่างไรคำพูดของผู้อื่นก็อาจจะทำให้นางไม่สบายใจ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ฟางเจียอีที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเต๋อเฟยก็พลันทอดถอนหายใจออกมา“ข้าเองก็คำนึงถึงเรื่องนี้จึงได้บอกกับพระนางว่าข้าจะขอมาปรึกษากับทางจวนผิงกั๋วกงก่อน” ฟางเจียอีเอ่ยพลางหันไปมองเฉินเจียวเจียวที่เดินนำหน้าบุตรสาวของนาง“ปีนี้เจียวเจียวโตขึ้นมาก ยังไม่ทันจ

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 3 หลินชิงเหมย

    ยามที่คนสกุลหลินมาเยือนที่จวนฮูหยินผู้เฒ่าและเฉินเจียวเจียวออกไปต้อนรับที่โถงหลักของเรือนชั้นในด้วยตนเอง ผู้ที่มาก็คือฟางเจียอีป้าสะใภ้จากจวนสกุลหลิน ป้าสะใภ้ผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับหลินซื่อมารดาของเฉินเจียวเจียวเมื่อหลินซื่อล่วงลับป้าสะใภ้ผู้นี้ก็หมั่นมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนอยู่บ่อยครั้ง เฉินเจียวเจียวจึงได้มีความรู้สึกดีต่อป้าสะใภ้ผู้นี้มากเป็นพิเศษส่วนญาติผู้น้องร่างกายบอบบางและดูซูบผอมของนางนั้นกำลังนั่งอยู่เงียบๆ ทางด้านหลังของฟางเจียอี หลินชิงเหมยคือบุตรสาวที่ถือกำเนิดจากอนุภายในจวน แต่เพราะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กป้าสะใภ้ของนางจึงรับหลินชิงเหมยมาดูแลด้วยตนเองและได้รับหลินชิงเหมยมาเป็นบุตรสาวภายใต้ชื่อทำให้หลินชิงเหมยขยับฐานะขึ้นมาเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกแม้ว่าหลินชิงเหมยจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีแต่หากจะให้เทียบเคียงกลับหลินชิงหว่านบุตรสาวคนโตที่ถือกำเนิดจากป้าสะใภ้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ หลินชิงหว่านทั้งรูปโฉมงดงามกิริยาและวาจาก็ถูกอบรมมาเป็นอย่างดีแม้แต่เฉินเจียวเจียวเองก็ยังแอบยกย่องนางอยู่ในใจ เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดสตรีที่มีดีทั้งรูปโฉม ชาติกำเนิดและท่วงท่ากิริยาเต็ม

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 2 รอการมาเยือน

    จวนผิงกั๋วกงตั้งอยู่ในตรอกสุ่ยอันของเมืองหลวงแห่งแคว้นต้าเยียน ภายในตรอกสุ่ยอันแห่งนี้มีจวนขุนนางตำแหน่งสูงตั้งอยู่หลายจวน จวนขุนนางที่มีตำแหน่งสูงเหล่านี้ล้วนมีเรื่องราวการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอันซับซ้อนมากมายภายในเรือนหลังของจวน ยิ่งตำแหน่งสูงมากก็ยิ่งมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนของผู้คนภายในจวนมากยิ่งขึ้น แต่จวนผิงกั๋วกงแห่งนี้กลับไม่ได้มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนและยุ่งเหยิงดังเช่นจวนขุนนางจวนอื่น อาจจะเป็นเพราะผู้คนภายในจวนไม่มากอีกทั้งยังมีการปกครองภายในจวนอย่างเข้มงวดผู้คนภายในจวนจึงใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างสงบสุขเฉินเจียวเจียวอยู่ในจวนแห่งนี้ในฐานะคุณหนูใหญ่ นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของผิงกั๋วกงและหลินซื่อ มารดาของนางตายจากไปตั้งแต่นางยังเล็ก นางจึงได้รับการเลี้ยงดูจากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉิน ส่วนเฉียวซื่อผู้เป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่ของบิดาก็นับว่าเป็นมารดาเลี้ยงที่ดีพอสมควรเพียงแต่ระหว่างพวกนางสองคนไม่ค่อยจะสนิทกันเท่าใดนัก อาจจะเป็นเพราะตอนที่เฉียวซื่อแต่งเข้ามาเฉินเจียวเจียวก็โตมากแล้วอีกทั้งยังมักจะอยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้คนทั้งคู่ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันบ้านรองและบ้

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status