จางอันอันจะทำอย่างไรเมื่อเธอต้องเข้าไปอยู่ในร่างของเด็กหญิงวัยสี่ขวบตัวน้อยที่เป็นครอบครัวของตัวประกอบนิยายใช้แล้วทิ้งจากการเขียนของตน (รู้แบบนี้ข้าเขียนให้ครอบครัวนี้รวยไปเลยซะก็ดี)
View More“ในที่สุดก็จบสักที คราวนี้จะนอนพักให้ชุ่มปอดเลย เหนื่อยมาหลายวันขอสักตื่นเถอะ” น้ำเสียงแสดงความโล่งอกถอนหายใจยาว
ก่อนที่เธอจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะโดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวที่ตนได้ขีดเขียนเอาไว้นั้น
จะทำให้ตัวละครในเรื่องขอแลกวิญญาณให้เจ้าของเรื่องได้เข้ามาใช้ชีวิตแทนตนเอง
หนิงอันคือชื่อของเจ้าของร่างที่กำลังหลับสนิทอยู่ในขณะนี้ เธอมีอาชีพแต่งนิยาย
แม้จะไม่ถึงกับโด่งดังแต่ก็มีผลงานออกมาให้นักอ่านได้เสพความสุขกันอย่างต่อเนื่อง
นิสัยส่วนตัวเป็นคนชอบความสงบเฉกเช่นชื่อของตน ดังนั้นหลังจากพ่อแม่เสียชีวิตไปจึงอาศัยอยู่คนเดียวมาโดยตลอด มีเพื่อนอยู่หนึ่งคนซึ่งก็คือบ.ก.สำนักพิมพ์ที่กำลังรอผลงานเรื่องที่แต่งค้างอยู่
ในเช้าวันต่อมามีเสียงเคาะประตูหน้าห้องพักของหญิงสาวผู้สันโดษ
ทว่าไร้ซึ่งการตอบรับ ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากขาดการติดต่อจากเจ้าของห้องไปตั้งแต่เมื่อวาน
ภายในห้อง ร่างโปร่งแสงของหนิงอันกำลังยืนมอง สภาพร่างอันไร้ลมหายใจของตนหลังจากตายมาได้หนึ่งคืน ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
จะว่าเสียใจก็ไม่เชิง ไม่เสียใจก็ไม่ใช่ เพราะบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรให้เธอต้องห่วง นิยายที่ตนแต่งค้างไว้ก็จบลงเรียบร้อยดี
เสียงร้องไห้ของข่ายซินช่วยเรียกสติเจ้าของร่างโปร่งแสงให้หลุดจากภวังค์หลังจากที่หล่อนติดต่อหน่วยกู้ภัยให้มาช่วยเปิดประตูห้อง “ฉันแต่งนิยายให้พี่จบแล้ว พี่ต้องดีใจสิไม่ใช่ร้องไห้” วิญญาณของหนิงอันกล่าวอยู่ข้างหูของหญิงสาวผู้ผูกผมหางม้าแผ่วเบา
ทำให้ข่ายซินรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ ‘อย่ามาหลอกฉันเลยนะ เอาไว้จะเผากระดาษเงินกระดาษทองส่งไปให้’
ยังไม่ทันที่หนิงอันจะพูดอะไรเพิ่ม ก็ได้มีลมหอบใหญ่มาโอบล้อมร่างโปร่งแสงของเธอ จากนั้นภายในห้องก็ปราศจากร่างวิญญาณของหญิงสาว
หนิงอันรู้สึกวิงเวียนศีรษะเป็นอย่างมาก เมื่อลมหยุดนิ่ง รอบด้านของตนก็มีแต่ความเงียบสงบไร้ซึ่งสรรพเสียงใด ๆ มีเพียงแค่ลมพัดแผ่วเบา
“มาแล้วอย่างนั้นหรือ วิญญาณผู้โดดเดี่ยว” เสียงแหบแห้งดังขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า
หนิงอันมองซ้ายแลขวาสีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ “ไม่ต้องหาเราหรอก ยังไงเจ้าก็ไม่มีทางเห็นหากว่าเราไม่ปรากฏกาย” น้ำเสียงนั้นกล่าวออกมาอีกครั้งคล้ายขบขัน
“คุณเป็นใครคะ ที่นี่คือที่ไหน” หนิงอันสงบสติอารมณ์ถามออกไป
“เจ้าไม่ต้องรู้หรอก สาเหตุที่เจ้าต้องมาที่นี่เป็นเพราะมีเด็กคนหนึ่งมาร้องทุกข์ต่อเราว่าเจ้าทำร้ายนางและครอบครัวอย่างแสนสาหัส เจ้าฟังให้จบก่อน
เด็กคนนั้นจึงอยากให้เจ้าไปใช้ชีวิตแทนนาง ที่ตอนนี้ดวงจิตของนางขอมาเป็นผู้รับใช้ของเรา เอาละเจ้าพูดได้แล้ว” เสียงแหบพร่านั้นตอบคำถามของหญิงสาวก่อนที่จะพูดหยุดนางในคราวเดียว
เพื่อให้ตนพูดจนจบเสียก่อน หนิงอันที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดจึงได้เปิดปากขึ้นทันทีหลังได้ยินคำอนุญาต
“ฉันขอค้านค่ะ ตั้งแต่เกิดมามดแมลงยังไม่เคยฆ่าเลยนะคะ แล้วฉันจะกล้าไปทำร้ายครอบครัวของเด็กน้อยที่ไหนกัน” หนิงอันกล่าวเสียงดังอย่างมั่นใจ
“ในชีวิตจริงของเจ้านะไม่ใช่ แต่สิ่งที่เจ้ารังสรรค์ขึ้นมานั้นได้ทำลงไปแล้ว เจ้าลองไตร่ตรองดูให้ดี เอาละตอนนี้ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้วเจ้าจงไปซะ
หลังจากมีชีวิตใหม่แล้วจงใช้ชีวิตให้ดีมีความสุขนะ ข้ารับรองว่าเจ้าจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป บางทีอาจจะวุ่นวายด้วยซ้ำ” น้ำเสียงนั้นกล่าวอวยพรพร้อมคำกล่าวทิ้งท้ายเสียงเบาทำให้หนิงอันไม่ได้ยินประโยคหลัง
หนิงอันส่งเสียงกรีดร้องตามกระแสลมที่หมุนวนอย่างรวดเร็วปานนั่งรถไฟเหาะตีลังกา
คล้อยหลังวิญญาณของหญิงสาวจากไปก็ได้มีหนึ่งร่างเล็กทำผมทรงซาลาเปาคู่กับหนึ่งร่างผู้เฒ่าเคราขาวปรากฏกายออกมาท่ามกลางความว่างเปล่า
“เจ้าเลือกนางแน่แล้วอย่างนั้นหรือ” ชายชราถามเด็กน้อยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“เจ้าค่ะ ในเมื่อนางเป็นผู้ขีดเขียนเรื่องราวเหล่านั้นขึ้นมา เป็นนางนี่แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว อีกอย่างข้าหวังว่าพี่ชายน่าจะพึงใจ” เด็กน้อยผู้มีใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูพูดอย่างซุกซนพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“เจ้านี่นะซนจนได้เรื่อง แม้ส่วนหนึ่งจะเกิดจากผลงานของนางแต่เจ้าอย่าลืมสิเป็นเพราะเจ้าส่วนหนึ่ง จึงทำให้ตัวละครของนางมีชีวิต เส้นทางในเรื่องจึงได้เปลี่ยนไปไม่ใช่เหรอ” ผู้เฒ่าเคราขาวแย้งพลางจับหัวเด็กน้อยอย่างมันเขี้ยว
“โธ่! ท่านปู่เจ้าคะ การที่ข้าทำแบบนี้นางจะต้องดีใจอย่างแน่นอน ก็ในตอนนั้นข้าแอบอ่านเรื่องของนางแล้วทำให้สงสารครอบครัวเด็กคนนั้น จนคิดว่าเป็นตัวเองก็เลยควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ก..ก็เลยทำให้พลังของข้าถ่ายทอดไปยังตัวละครในนั้น อีกอย่างข้ายังเด็กท่านก็รู้
ข้าเองก็เสียใจเพราะแบบนี้พี่ชายผู้แสนดีเลยต้องมารับโทษแทนด้วย ดังนั้นในเมื่อนางเป็นผู้ขีดเขียนเรื่องนี้ประจวบเหมาะกับการหมดอายุขัยพอดี
ข้าจึงคิดว่าไม่มีใครเหมาะสมเท่านางในการไปแก้ไขเรื่องราวในโลกนั้นอีกแล้ว อีกอย่างโลกที่นางไปนั้นมีครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า
ข้าจึงคิดว่านางคงมีความสุข เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นคนดี ที่สำคัญไม่แน่ว่านางอาจจะเจอด้ายแดงของตนที่คลาดกันมาหลายภพชาติก็ได้นี่เจ้าคะ” เด็กน้อยกล่าวแก้ตัวออกมายืดยาว
“เหตุผลของเจ้านี่ช่างมากเสียเหลือเกิน ทำเหมือนว่าจะหวังดีที่ไหนได้ก็มาจากความซนของตนล้วน ๆ เอาเถอะบางทีนางอาจจะมีความสุขจริงก็ได้” ชายชราเคราขาวลูบเคราของตนสีหน้าเหม่อมองไปยังทิศทางที่หญิงสาวคนนั้นเพิ่งจากไป
ภายในจวนตระกูลบัณฑิตหยูกำลังอยู่ในความโกลาหลเมื่อคุณหนูน้อยของจวนเกิดตกน้ำ
“ไปตามหมอมาหรือยัง ฮือ ๆ ลูกสาวผู้น่ารักของข้าเหตุใดจึงได้เกิดเหตุการณ์ร้ายเช่นนี้ได้” เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจดังมาจากหญิงสาวผู้กำลังตระกองกอดร่างของหนูน้อยวัยสี่ขวบที่กำลังนอนหายใจแผ่วเบา
“เหตุใดเจ้าไม่พาหลานของข้าไปเปลี่ยนชุดมัวแต่ร้องไห้อยู่นั่น หากนางอาการหนักมากกว่าเดิมก็ต้องโทษแม่ไม่ได้ความอย่างเจ้านี่แหละ” เสียงอันมีอำนาจของหญิงวัยห้าสิบห้าตวาดหญิงสาวคนนั้นดังลั่น จนนางและบ่าวรับใช้พากันตัวสั่นอย่างครั่นคร้าม
“เจ้ารีบมาช่วยข้าเร็ว” หญิงสาวจึงได้รู้สึกตัว
หลังจากที่นางและบ่าวรับใช้จัดการเช็ดตัวรวมถึงเปลี่ยนชุดให้เด็กหญิงเรียบร้อยก็ประจวบเหมาะมีหมอผู้เฒ่าท่านหนึ่งเดินตามเด็กรับใช้อีกคนเข้ามาพอดี
หลังหมอชราตรวจอาการของเด็กหญิง เขาก็เขียนใบสั่งยาส่งให้ฮูหยินเจ้าของจวน
จากนั้นก็รีบร้อนจากไป ‘เด็กคนนี้หากพ้นคืนนี้ก็รอด หากไม่เห็นทีคนผมขาวต้องส่งคนผมดำเสียแล้ว’ เขาคิดอย่างเสียดาย ทว่าหมอเฒ่าไม่คิดเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมาแม้ครึ่งคำ
ร่างกายน้อยผู้นอนอยู่บนเตียงตัวร้อนดั่งเปลวเพลิง ใบหน้าเล็กแดงก่ำ ผู้เป็นมารดาได้แต่คอยเช็ดตัวป้อนยาสีหน้าแสดงความเศร้าหมอง
ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็มีสีหน้าย่ำแย่ไม่แพ้กันเนื่องจากเด็กน้อยเป็นหลานเพียงคนเดียวของตระกูล
อีกทั้งในเวลาปกติเด็กหญิงก็ช่างเจรจาออดอ้อนเก่งทำให้นางรู้สึกเอ็นดูอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ท่ามกลางความเงียบ เสียงเปิดประตูห้องของเด็กน้อยก็ดังขึ้นพร้อมกับการมาของชายหนุ่มร่างผอมสูงผิวขาวใบหน้าหล่อเหลา
“ท่านแม่ เสี่ยวอันเป็นยังไงบ้างขอรับ” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเช่นเดียวกับแววตาที่มองไปยังร่างเล็กของบุตรสาวผู้นอนไม่ได้สติ
“ไข้ขึ้นสูงยังไม่ฟื้นเลย ช่วงนี้เป็นฤดูเหมันต์เจ้าก็รู้ นางพลัดตกลงไปในน้ำอันเย็นจัดกว่าจะถูกช่วยขึ้นมา” หญิงชรากล่าวเสียงเนิบพลางถอนใจดวงตาเต็มไปด้วยความหม่นเศร้า
“นางจะต้องไม่เป็นอะไรขอรับ” ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวเสียงเบาอย่างคาดหวัง
หญิงสาวผู้กำลังเช็ดตัวให้บุตรตัวน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของสามีน้ำตาของนางก็ไหลออกมาอีกครั้ง
หยาดน้ำอุ่นร้อนตกลงกระทบบนหน้าเล็กของเด็กหญิงผู้ที่กำลังนอนคิ้วขมวดเข้าหากัน
เสียงพึมพำไม่ได้ศัพท์ดังออกมาจากปากแดงเล็ก ทำให้คนสามคนภายในห้องต่างพากันมองไปยังเธอเป็นตาเดียว
อันอันพยายามจะลืมตาทว่าไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่เปลือกตาก็รู้สึกหนักอึ้ง ‘ร่างกายเป็นของฉัน แกต้องทำตามที่เจ้าของต้องการสิ’ อันอันคิดอย่างไม่ยอมแพ้
จนในที่สุดเด็กน้อยก็เปิดเปลือกตาของตนได้สำเร็จ ทันทีที่ลืมตาตื่นและปรับดวงตาอยู่สักครู่
“เหวอ!” เจ้าตัวก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของคนสามคนที่ตนไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อนอยู่ในระยะกระชั้นชิด
‘เราโดนลักพาตัวมาอย่างนั้นเหรอ แย่แล้วจะหนีออกไปได้ยังไง นะนั่นผู้หญิงคนนั้นยกมือเข้ามาใกล้ใบหน้าของเราด้วย’ อันอันคิดอย่างหวาดหวั่น
ทว่า แปะ ‘ความอบอุ่นนี้มันคืออะไรกัน เราจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนแต่มันก็นานมากแล้ว
“ท่านแม่ยาได้ผลแล้วเจ้าค่ะ เสี่ยวอันไข้ลดลงแล้ว” น้ำเสียงของหญิงสาวคนนั้นเต็มไปด้วยความโล่งใจ
“อย่าร้อง” น้ำเสียงอันแหบแห้งของเด็กหญิงรู้สึกปวดใจยามเห็นหญิงคนนี้หลั่งน้ำตาเอ่ยห้ามออกมา แต่ก็ต้องตกใจกับเสียงอันแหบแห้งของตน
‘ทำไมเสียงของเราเหมือนเป็ดเลยล่ะ เจ็บคอด้วยฮือ ๆ เกิดอะไรขึ้น อะ! น้ำตาไหลออกมาได้ยังไง’ หนิงอันรู้สึกมึนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับตัวเองเนื่องจากดูเหมือนว่าในตอนนี้เธอคล้ายไม่ใช่เธอ
“อันอันเด็กดี ลูกปลอดภัยก็ดีแล้วไม่ต้องร้องไห้นะ พ่อจะอยู่กับเจ้า” เสียงอันอ่อนโยนดังมาจากริมฝีปากบางของชายหนุ่มรูปงามทำให้หนิงอันอ้าปากเหม่อมองชายหนุ่มจนตาค้าง
“เจ้าลูกบ้า เจ้าทำอะไรให้หลานสาวของข้าตกใจ” หญิงชราตวาดบุตรชายเสียงดัง จากนั้นนางก็ส่งเสียงไอเพราะใช้เสียงมากเกินไป
“ท่านแม่ใจเย็น ๆ ขอรับอย่าโกรธ หากท่านเกิดป่วยขึ้นมาอีกคนพวกเราจะทำอย่างไร” ชายหนุ่มรีบปลอบมารดาอย่างเอาใจ
หนิงอันมองคนทั้งสามไปมาอย่างมึนงง ในขณะเดียวกันก็ได้ปรากฏภาพบางอย่างในสมองของตน
“มะ...ไม่! ไม่จริง” จู่ ๆ อันอันก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง ใบหน้าเริ่มซีดเผือด
“ตามหมอ พวกเจ้ารีบไปตามหมอ” ชายหนุ่มเจ้าของจวนรีบตะโกนขึ้นเสียงดังสั่งบ่าวรับใช้ที่อยู่หน้าห้องหลังเห็นอาการของเด็กหญิง
“เสี่ยวอันลูกรัก เจ้าเป็นอะไรบอกแม่มา” หญิงงามกอดลูกน้อยแนบอกน้ำตาร่วงเผาะถามไถ่เด็กหญิงอย่างเป็นห่วง
“เด็กดี เจ้าบอกย่ามาว่าเป็นอะไร ย่าจะตามหมอมารักษาเจ้า” หญิงชรานำมือที่เริ่มมีริ้วรอยลูบหัวเล็กของหลานสาวอย่างอ่อนโยนกล่าวเสียงโศก
ทำให้หนิงอันเริ่มรู้สึกตัว เธอจึงมองพวกเขาด้วยสายตาแห่งความสำนึกผิด “ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน” เด็กหญิงเอ่ยปากคล้ายกำลังจะร้องไห้
“เจ้าไม่ได้ทำอันใดเลยลูกรัก แค่เจ้าปลอดภัยก็พอ” ชายหนุ่มผู้นั้นบอกกับลูกสาวเสียงอ่อน ดวงตาทอประกายรักใคร่
“ท่านพ่อ! ฮือ ๆ ข้าผิดต่อท่านแล้ว” หนิงอันเรียกชายหนุ่มตามสัญชาตญาณพร้อมกับร้องไห้โฮจนตัวโยน
คนทั้งสามได้แต่มองหน้ากันไปมาเนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจว่าบุตรหลานตัวน้อยหมายความถึงเรื่องอะไร หนิงอันร้องไห้อยู่ในอ้อมอกของมารดาเนิ่นนานจนผล็อยหลับไป
“นางหลับไปแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวกล่าวเสียงเบาในขณะเช็ดน้ำตาให้ลูกน้อยไปด้วย
“นางคงจะเพ้อเพราะพิษไข้นั่นแหละ ให้หลับไปสักพักก็ดี” หญิงชรากล่าวเสียงเนิบพร้อมกับขยับตัวออกห่างจากเตียงโดยมีบุตรชายกับหญิงผู้รับใช้อาวุโสเข้ามาช่วยพยุง
ภายในความฝันของหนิงอัน ในตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองจากคำบอกเล่าของเด็กหญิงตัวน้อยเจ้าของร่างเดิม
“ข้าขอโทษและรับปากกับเจ้าว่านับตั้งแต่นี้ต่อไปข้าหนิงอันจะขอดูแลครอบครัวนี้แทนเจ้าเอง” หนิงอันในร่างเล็กรับปากกับบุคคลในฝันผู้มีใบหน้าเหมือนตน
ครั้นแล้วเธอก็ลืมตาตื่น หลังจากปรับสายตาสักพักก็พอมองเห็นแสงสว่างอันเลือนรางได้จากแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เด็กหญิงพยายามลุกขึ้นนั่งเพื่อไม่ให้คนที่นอนเฝ้ารู้ตัว
ท่ามกลางแสงจันทร์อันสลัวเด็กหญิงจึงได้เดินไปหากระดาษกับพู่กันตามที่เธอเคยจดจำได้ จากนั้นก็ลงมือเขียนในสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้ออกมา หลังจากเป่าจนหมึกแห้งเธอก็พับกระดาษใส่เอาไว้ในอกเสื้อ
“กรรมของข้าแล้วสิไม่น่าเลย หากรู้แบบนี้เขียนให้ครอบครัวนี้ไม่ต้องประสบเคราะห์กรรมหนักขนาดนี้ก็ดี” หนิงอันบ่นพึมพำพลางถอนใจอย่างปลงตก
เมื่อรับรู้ว่าตอนนี้พวกเขาได้กลับมายังหมู่บ้านแล้วเด็กชายจึงเริ่มดิ้นรนออกจากอ้อมแขนแกร่งของคนที่โอบอุ้มยงเผยจำต้องปล่อยให้เขาลงยืนอยู่บนพื้นด้วยเกรงว่าเด็กคนนี้จะตกลงมาแล้วบาดเจ็บในจังหวะเดียวกันนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าแม่ของเด็กชายได้เดินมาทางเขาสีหน้าเต็มไปด้วยความกลัวและจะกล้าลงมือกับเด็กตัวน้อยได้ลงคอเสียงเผียะ! ดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปยังต้นเสียงเป็นตาเดียว “แม่เคยบอกเจ้าว่าอย่างไรเหตุใดถึงไม่ฟัง” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวเจือด้วยเสียงสะอื้นของผู้ยังมีไม้เรียวเล็กอยู่ในมืออันสั่นเทาข้างนั้นพูดกับเด็กชายเสียงดัง “ฮือ ๆ ท่านแม่ข้าขอโทษเป็นข้าผิดเองท่านอย่าร้องไห้อีกเลย ต่อไปนี้ข้าให้สัญญาว่าจะไม่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้อีก” เด็กน้อยผู้ถูกตีน้ำตาไหลอาบแก้มมอมทั้งสองข้างโอบเอวของมารดาแน่นกล่าวสำนึกผิดทั้งน้ำตา หญิงสาวคนนั้นรีบทิ้งไม้ในมือของตนลงก่อนย่อตัวลงนั่งโอบกอดเด็กชายตัวเล็กแน่นไม่แพ้กันส
อันอันหยุดน้ำตาของตัวเองลงอย่างฉับพลัน มองซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวังพลางตะโกนถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ“เจ้าเป็นใครคนหรือผี” ใจเต้นตุบตับในอกข้างซ้ายรัวเหมือนกลองศึกก็ไม่ปาน “เจ้าสิผี ข้าไม่ใช่ทั้งมนุษย์และผีนั่นแหละ ข้าคือผู้รับใช้ของเทพเสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่เลยนะเจ้าเด็กมนุษย์ตัวเหม็น” น้ำเสียงอันหยิ่งผยองโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน อันอันคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของสิ่งมีชีวิตตัวนั้น ทำให้นางผู้ปากไวอดที่จะย้อนออกไปไม่ได้เช่นกัน“แหม ๆ ท่านเทพผู้รับใช้เสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่หากท่านเก่งกาจจริงดั่งที่ว่าเห็นทีคงไม่ต้องร้องขอให้เด็กอย่างข้าช่วยหรอกกระมั้ง” สิ้นคำของเด็กหญิงสัตว์เทพก็ถึงกับอยากจะกระอักเลือดออกมา ‘หน็อยยัยเด็กตัวแสบกล้ายอกย้อนข้าเชียวหรือ หากหลุดออกไปได้ข้าจะทรมานเจ้าให้หนำใจเลย’สัตว์ตัวเล็กคิดอย่างเดือดดาลโดยลืมคำเตือนทั้
หยูเจียงเมื่อรับรู้ได้ถึงความจริงใจของชาวบ้านเช่นนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำในการตัดสินใจให้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ไม่คิดเปลี่ยนใจมากขึ้น แต่ทว่าที่ดินผืนนี้เล็กเกินไปสำหรับการสร้างบ้านของครอบครัวตนที่มีกันอยู่หลายชีวิต“ท่านเผย ท่านจะอยู่กับข้าหรือว่าจะจากไปอย่างนั้นเหรอ” หยูเจียงเอ่ยถามชายวัยเดียวกัน เนื่องจากเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้คิดอย่างไรจึงได้ถามออกมา คำถามอันแสนตรงไปตรงมาของหยูเจียงทำให้ยงเผยมีสีหน้าครุ่นคิดไปชั่วครู่ในขณะที่ยงเผยกำลังจะอ้าปากตอบคำถามของบัณฑิตหนุ่มดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเสียก่อน เมื่อมองเห็นร่างบางของหญิงสาวนางหนึ่งเดินจูงมือเด็กชายตัวน้อยมายังทิศทางที่ตนยืนอยู่หญิงสาวคนนั้นเองก็มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน นางรีบอุ้มบุตรชายของตนเหน็บเข้าที่เอวพร้อมกับหันหลังเพื่อเตรียมจะวิ่งหนีทว่ายงเผยจะปล่อยให้นางสมประสงค์ได้อย่างไร ชายหนุ่มจึงรีบใช้วิชาตัวเบากระโจนมาทางนางอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านหลายคนต่างตกตะลึงเช่นเดียวกับหนิงอัน ‘โอ้! เจอเร็วกว่าท
เสียงฝีเท้าม้าผสานกับเสียงล้อเกวียนของตัวรถบด ถนนดินลูกรังเดินเข้ามาในหมู่บ้านอย่างเชื่องช้า หนิงอันจึงเปิดหน้าต่างออกดูแต่แล้ว “แค่ก ๆ” เสียงไอยามฝุ่นฟุ้งเข้าปากและจมูกทำให้เด็กหญิงผู้มีวิญญาณมาจากอนาคตจำต้องปิดหน้าต่างทันที “เจ้าช่างซนเสียจริง” ผู้เป็นย่าเอ่ยติงแกมสงสารยามเห็นท่าทางของหลานสาวผู้กำลังไอหน้าดำหน้าแดง ผู้เป็นมารดาจึงได้นำผ้าเช็ดหน้าของตนมาเช็ดใบหน้าอันเลอะฝุ่นสีแดงให้ลูกน้อยอย่างเบามือ“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เจ้าตัวเล็กกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างทำให้หญิงต่างวัยทั้งสองอดรู้สึกเอ็นดูในความน่ารักนี้ไม่ได้จึงทำให้พวกนางยิ้มออกมา ยงเผยบังคับรถม้าจนกระทั่งมองเห็นชาวบ้านชายหนุ่มจึงได้หยุดรถม้าลง ชาวบ้านวัยกลางค
เช้าวันรุ่งขึ้นคณะการเดินทางของครอบครัวหยูก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงศาลาเอ้อเทียน ยงเผยกับศิษย์เอกทั้งสองรวมถึงหยูเจียงก็มองเห็นเพียงความรกร้างว่างเปล่า ไร้ซึ่งร่องรอยใด ๆ ว่าสถานที่แห่งนี้เคยเกิดเรื่องร้ายใดขึ้น ย้อนกลับไปกลางดึกของเมื่อคืน หลังจากพระอาทิตย์ลาลับแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาแทนที่ คนของทางการร่วมกับคนคุ้มกันของคนสกุลติงกลุ่มหนึ่งต่างโอบล้อมจัดการกลุ่มโจรร่วมร้อยโดยที่ไม่ให้พวกมันทันได้รู้ตัว เสียงฟาดฟันประหัต ประหารกันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของราตรีกาล ครั้นแล้วโจรกลุ่มใหญ่ก็ตกเป็นผู้แพ้ให้กับคนของทางการและกลุ่มคนคุ้มกันแม้ทางฝ่ายผู้บุกรุกจะมีบาดเจ็บบ้าง แต่ไม่เหมือนกับเหล่าโจรโฉดที่เหล่าพี่น้องของมันตกตายกันหลายคน หลังจากจัดการกับกลุ่มคนชั่วเรียบร้อยหัวหน้าคนของทางการก็จัดการเก็บกวาดจนไม่มีผู้ใดคิดว่าสถานที่แห่งนี้เคยเกิดเรื่องร้ายขึ้นกลับมายังปัจจุบัน หลังครอบครัวหยูเดินทางผ่านศาลาเอ้อเทียนจุดนี้มาแล้ว พวกเขากำลังจอดรถม้าตรงบริเวณหน้าทางแยกแห่งหนึ่ง
“ขอรับ ข้าน้อยจะทำตามที่นายท่านว่า” พ่อบ้านวัยกลางคนรับคำ ครั้นแล้วเขาก็รีบไปทำตามคำสั่งทันทีด้านยงเผยหลังจากได้ทราบเรื่องที่พ่อบ้านรุ่ยมาบอก แม้ภายในจะประหวั่น ทว่าใบหน้านั้นกลับเก็บอาการไม่แสดงออกมา“เรื่องนี้ข้าจะเป็นผู้จัดการเอง ท่านอย่าได้ห่วง” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่นพ่อบ้านทำเพียงพยักหน้ารับไม่ถามสิ่งใดให้มากความจึงได้กลับไปรายงานผู้เป็นนายตามตรงคล้อยหลังพ่อบ้านรุ่ย ชายหนุ่มหนวดเคราครึ้มจึงได้เดินไปยังสัมภาระของตน เขารีบเขียนจดหมายอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครทันได้สังเกตจากนั้นจึงได้เรียกหาศิษย์เอกอันดับหนึ่ง “เสี่ยวจือเจ้ารีบควบม้าไปทางศาลาเอ้อเทียนให้เร็วที่สุด จงนำจดหมายฉบับนี้ไปให้หัวหน้าต่ง จำไว้ว่าต้องให้ถึงมือ เข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มกำชับกับศิษย์ของตนด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเช่นเดียวกับคำพูด“ขอรับท่านอาจารย์” เด็กชายวัยสิบหกประสานมือรับคำเน้นหนักเสียงกุบกับของม้าตัวใหญ่วิ่งฝ่าความมืดท่ามกลางแสงจันทร์สลัวออกไปโดยมีสายตาของผู้เป็นอาจ
Comments