Share

ตอนที่ 8 ไม่ยอมรับจริง?

อันอันหยุดน้ำตาของตัวเองลงอย่างฉับพลัน มองซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวังพลางตะโกนถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“เจ้าเป็นใครคนหรือผี” ใจเต้นตุบตับในอกข้างซ้ายรัวเหมือนกลองศึกก็ไม่ปาน

            “เจ้าสิผี ข้าไม่ใช่ทั้งมนุษย์และผีนั่นแหละ ข้าคือผู้รับใช้ของเทพเสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่เลยนะเจ้าเด็กมนุษย์ตัวเหม็น” น้ำเสียงอันหยิ่งผยองโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน

            อันอันคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของสิ่งมีชีวิตตัวนั้น       ทำให้นางผู้ปากไวอดที่จะย้อนออกไปไม่ได้เช่นกัน

“แหม ๆ ท่านเทพผู้รับใช้เสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่หากท่านเก่งกาจจริงดั่งที่ว่าเห็นทีคงไม่ต้องร้องขอให้เด็กอย่างข้าช่วยหรอกกระมั้ง” สิ้นคำของเด็กหญิง

สัตว์เทพก็ถึงกับอยากจะกระอักเลือดออกมา ‘หน็อยยัยเด็กตัวแสบกล้ายอกย้อนข้าเชียวหรือ หากหลุดออกไปได้ข้าจะทรมานเจ้าให้หนำใจเลย’

สัตว์ตัวเล็กคิดอย่างเดือดดาลโดยลืมคำเตือนทั้งหลายไปหมดสิ้นแล้ว “เสี่ยวเฮยความผิดของเจ้ามากยิ่ง

จงลงไปจองจำอยู่บนโลกมนุษย์จนกว่าจะมีผู้มีดวงชะตากำราบเจ้าได้มาปลดปล่อยเถอะ” นี่คือเสียงของผู้เป็นนายของมัน ก่อนที่เจ้าตัวจะมาถูกจองจำยังสถานที่ลึกลับแห่งนี้

สิ่งสุดท้ายที่ตนจำได้ก็คือเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอร้องอย่างบ้าคลั่ง “หากจะโทษก็ต้องโทษเจ้างูดินตัวนั้นสิมันมาหาเรื่องข้าก่อนนะ” ถ้อยคำนี้ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของตัวเอง

โดยที่เต่าตัวน้อยสีดำนี้ไม่ได้รู้เลยว่าเจ้างูดินเทพรับใช้ของชิงหลงก็ถูกลงโทษเช่นเดียวกัน แต่จะไปอยู่ภพภูมิไหนนั้นไม่มีใครทราบได้

กลับมายังปัจจุบันอันอันผู้รอการโต้กลับของสัตว์เทพก็หน้ามุ่ยอย่างขัดใจ “เจ้ากระอักเลือดตายไปแล้วเหรอ” คำกล่าวของนางทำให้สัตว์เทพอยากจะขบหัวของเด็กหญิงอีกครั้ง

“เจ้าสิตาย ข้าอยู่มานานเป็นพันปียังรอดมาได้ทุกครั้ง กับคำพูดแค่ไม่กี่ประโยคของเด็กยังไม่หย่านมเช่นเจ้าจะทำอะไรข้าได้” น้ำเสียงนั้นยังคงไว้ซึ่งความเย่อหยิ่ง

“เอาเถอะท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ข้าไม่อยากเถียงกับท่านแล้ว ว่าแต่ท่านจะให้ช่วยอะไรรีบบอกมา ข้ายังต้องตามหาคนอีก” อันอันคร้านจะต่อล้อเถียงพูดขึ้นอย่างเบื่อหน่าย

“ห๊ะ! เจ้าจะหยุดก็หยุดง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ” กุยเฮยร้องเสียงสูงถามออกมาอย่างตกใจ

“ท่านจะเอายังไงก็ว่ามา ว่าแต่ท่านเป็นเทพหรือมารเอา ดี ๆ นะข้าไม่อยากช่วยสิ่งไม่ดี” หนิงอันพูดขึ้นก่อนย้อนถามออก มาอย่างกังขา

“เป็นเทพสิ ข้าจะหลอกเจ้าทำไมหากข้าโกหกขอให้ไม่ได้กลับสวรรค์” คำพูดนี้ทำให้ท้องฟ้าด้านนอกร้องครืนเป็นการยืนยัน

“เทพก็เทพตอนนี้ท่านอยู่ตรงไหนล่ะ แล้วจะให้ข้าช่วยยังไง” อันอันลุกขึ้นยืนเต็มความสูงปัดฝุ่นที่กระโปรงของตนในขณะถามออกไป

“อยู่หลังขอนไม้ที่เห็ดพวกนั้นเกาะอยู่ เจ้าเดินเข้ามาก็จะเห็นข้าเอง” น้ำเสียงนั้นอ่อนลงหลายส่วนเมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้เต็มใจช่วยตน

“อ่า เห็นแล้วท่านเป็นเต่าอย่างนั้นเหรอสมแล้วที่เป็นเทพรับใช้ของเสวียนอู่” เด็กหญิงตัวน้อยนั่งยองพิจารณาเต่าดำตัวน้อยที่ถูกบางสิ่งพันธนาการพูดออกมา

“เจ้าไม่ตกใจ ไม่กลัวเลยเหรอที่เห็นข้า” เต่าดำตัวน้อยถามเด็กหญิงอย่างสงสัย

“ไม่อ่ะ เรื่องของข้าน่าตกใจกว่าของท่านเยอะ เลยมีภูมิคุ้มกันมากพอ” หนิงอันปฏิเสธโดยที่มือน้อยก็กำลังแกะสิ่งที่พันรอบตัวของเต่าดำไปด้วย

กุยเฮยมองหน้าเด็กน้อยพลางคิดตามด้วยความอยากรู้ มีเรื่องอะไรที่น่าตกใจมากกว่าเต่าพูดได้อีกกันและอะไรคือภูมิคุ้มกัน ครั้นพอเจ้าตัวได้ยินคำพูดของอันอันมันก็มีสติกลับคืนมา

“เราทั้งสองจะต้องกล่าวยอมรับพันธะของกันจากนั้นเมื่อเจ้าหยดเลือดของตนลงบนหัวของข้าแล้วสิ่งเหล่านี้จะหายไป”  กุยเฮยอธิบาย

“อะไรนะ! หากเป็นอย่างที่เจ้าว่าข้าไม่ต้องรับเลี้ยงเจ้าอีกตัวหรอกเหรอ ตอนนี้ครอบครัวของข้ากำลังถังแตกเจ้ามีประโยชน์อะไรจะให้ข้าเลี้ยงดู” หนิงอันอุทานเสียงดังก่อนที่จะจงใจเอ่ยกวนประสาทเต่าตัวน้อยเนื่องจากในนิยายนั้นไม่มีเรื่องเช่นนี้

“จะ...เจ้าจะดูถูกข้าเกินไปแล้ว ข้าผู้นี้แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เทียบเท่าท่านเสวียนอู่ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้อ่อนปวกเปียกให้ใครมากล่าวหาเช่นนี้ได้หรอกนะ ตัวข้ากุยเฮยเป็นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศ

ภายในตัวมีทั้งธาตุน้ำและธาตุดิน สามารถควบคุมให้ฝนตกก็ได้ ให้ภูเขาพังทลายก็ได้จะทำให้อุดมสมบูรณ์ก็ได้

อีกทั้งข้ายังสามารถกลืนกินสิ่งที่เจ้าต้องการเก็บและเรียกออกมาโดยไม่ทำเสียหายทำนายฟ้าดินได้แม่นยำ” กุยเฮยยังขายตนเองไม่ทันจบก็ถูกเสียงของเด็กหญิงขัดคอขึ้นอย่างกะทันหัน

“หยุดก่อน” อันอันรีบพูดขึ้นต่อทันที “เมื่อสักครู่เจ้าบอกว่าสามารถควบคุมดินฟ้าอากาศได้อย่างนั้นเหรอเรื่องนี้จะเกินจริงไปหน่อยมั้ง” เด็กหญิงย้อนถามอย่างกังขา

“ข้าจะแสดงให้เจ้าดู” กุยเฮยพูดด้วยความโมโหจากนั้นเขาก็พลันปิดเปลือกตาลง เพียงชั่วหนึ่งจิบชาด้านนอกก็เกิดปรากฏการณ์ผิดฤดูขึ้น

ท้องฟ้าได้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำทะมึนจากนั้นฝนที่ไม่ตกมานานก็กระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้กลุ่มมนุษย์ที่อยู่ด้านนอกต่างวิ่งหาที่หลบฝนกันให้วุ่นวาย

อันอันได้ยินเสียงฝนเสียงฟ้าก็อ้าปากค้างอย่างลืมตน ‘ฮ่า ๆ หากมีฝนใยจะต้องกลัวความแห้งแล้งอีกอย่างนั้นเหรอ’ ความคิดนี้นางได้แต่เก็บงำไว้

“เอาละท่านกุยเฮยผู้ยิ่งใหญ่ข้าเชื่อเจ้าแล้ว ท่านรีบให้ฝนหยุดตกก่อนเถอะไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องยากสำหรับข้าในการเดินลงเขา” หนิงอันรีบกล่าวประจบเต่าดำตัวน้อยอย่างรู้งาน

“นังหนูเจ้ารู้จักเอาใจข้าแล้วนับว่ายังมีตา เอาละฝนหยุดแล้วคราวนี้เราจะมาทำพันธะสัญญาได้หรือยัง ข้าอยากออกไปชมโลกกว้างจะแย่ อยู่ในนี้อุดอู้ชะมัด” กุยเฮยพูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“ได้สิ หลังจากเราทำสัญญาต่อกันแล้วท่านอย่าลืมเก็บเทพเจ้าแห่งชีวิตพวกนี้ให้ข้านะโกยให้หมดเลย เพราะอยู่ในที่แคบเช่นนี้น่าเสียดายแย่” หนิงอันต่อลอง

“ข้ารู้แล้วน่า เจ้าจงกล่าวคำสัญญากับข้าเถอะ” กุยเฮยตัวน้อยกล่าวตัดบท

หลังกล่าวคำสัญญาเรียบร้อย อันอันจะเป็นนายของมันแต่เรื่องนี้เต่าตัวน้อยไม่คิดบอก

“ต่อมาคราวนี้ก็มาถึงการหยดเลือด” คำพูดของเต่าน้อยทำให้หนิงอันตกใจ “ข้าจะกรีดนิ้วได้ยัง...โอ้ยเจ็บ ๆ เจ้าเสี่ยวเฮยทำบ้าอะไร” หนิงอันกรีดร้องมองเลือดบนนิ้วของตนอย่างเจ็บปวด

“เจ้ารีบหยดเลือดลงมาเร็วสิหรือจะให้ข้ากัดนิ้วของเจ้าอีกรอบ อยากเจ็บตัวข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ” เต่าตัวน้อยผู้ปากกล้ารีบสั่งเจ้านายคนใหม่

“อะ..อ๋อ หากคราวหน้าเจ้าจะทำอะไรแบบนี้ช่วยบอกให้ข้าเตรียมใจก่อนสิ” อันอันบ่นในขณะที่หยดเลือดสีแดงลงบนหัวของเต่าตัวน้อยสีดำสนิท

พลันรอบตัวของเธอกับเต่าดำก็เกิดแสงสว่างสีทองอยู่ชั่วพริบตาก่อนที่แสงนั้นจะหายเข้าไปในหัวของทั้งคนและสัตว์

“พิธีเสร็จสิ้นต่อไปนี้เจ้าอยากพูดอะไรกับข้าทำเพียงแค่เรียกชื่อข้าและก็นึกในหัวก็พอ ไม่อย่างนั้นคนอื่นอาจจะมองว่าเจ้าวิปลาสเอาได้” กุยเฮยกล่าวเตือนนายคนใหม่อย่างหวังดี

“โอเค” เด็กหญิงตอบทำให้กุยเฮยไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กคนนี้พูดเพราะเจ้าตัวอยู่แต่ในยุคอดีตยังไม่เคยไปยุคอนาคต

‘เค...อะไรของเจ้าข้าไม่เข้าใจ’ เต่าน้อยสื่อสารทางความคิด ‘โอเค ก็แปลว่าข้าเข้าใจแล้วแบบนี้ไง เอาเถอะอย่ามัวเสียเวลาเจ้ารีบกวาดเห็ดพวกนั้นเถอะ’ หนิงอันอธิบายพร้อมกับตัดบทออกมาในคราวเดียว

เมื่อเก็บเทพเจ้าแห่งชีวิตทุกสีเรียบร้อย การเดินตามหาเด็กชายก็ดำเนินต่อไป ‘เจ้าเคยเห็นเด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในนี้ไหม’ หนิงอันถามเต่าตัวน้อยที่เกาะอยู่บนบ่า

‘ไม่เห็นตัวได้ยินแต่เสียงฝีเท้า ข้าคิดว่าเขาอยู่ห่างจากเราไม่ไกลหากไม่โดนเขมือบไปเสียก่อน’ คำพูดของเต่าดำทำให้        อันอันขนอ่อนลุกชัน

‘หมายความว่ายังไง’ หนิงอันถามออกมาอย่างติดขัด

‘ก็หมายความว่าที่แห่งนี้เป็นถ้ำงูนะสิ เหตุใดต้องให้ตีความออกมาอีก เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ’ กุยเฮยกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน ‘งู! อย่างนั้นเหรอ ซวยแล้วข้าไม่ชอบสัตว์ที่ตัวลื่น ๆ แบบนั้น’ หนิงอันกรีดร้อง

เสียงอันโหยหวนของนางยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ยงฮ่าว        ผู้คิดว่ามีปีศาจหวาดกลัวมากขึ้นกว่าเดิมจนเขาไม่ยอมขยับกาย

แต่แล้วเด็กชายก็ได้ยินเสียงขู่ของบางอย่างดังอยู่ด้าน หน้าพร้อมกับเสียงครูดกับพื้นดิน

เขาจึงค่อย ๆ เงยศีรษะเล็กของตนขึ้น ดวงตาของเด็กชายเบิกโพลงจ้องมองสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ด้านหน้าอย่างตื่นตะลึง “งะ...งู!” เขาร้องเสียงหลงทำให้หนิงอันรีบวิ่งมายังต้นเสียงทันที

“บ้าไปแล้วนี่มันอนาคอนดาชัด ๆ กุยเฮยหาวิธีเร็วไม่งั้นพวกเราได้กลายเป็นมื้อค่ำของมันแน่” หนิงอันพูดเสียงดังด้วยความลืมตัวเมื่อมองเห็นหัวงูตัวใหญ่กำลังอ้าปากกว้างน้ำลายหยดลงพื้นแหมะ ๆ หมายจะกินเหยื่อตรงหน้า

เต่าตัวน้อยทำเสียงฟู่ ๆ ฟ่อ ๆ ออกมาจากนั้นงูตัวนั้นก็สงบลง หนิงอันแม้จะมึนงงแต่เวลานี้ที่สำคัญคือต้องไปลากเจ้าเด็กคนนั้นออกมาก่อน

ไวเท่าความคิดเด็กหญิงจึงรีบวิ่งไปคว้าคอเสื้อด้านหลังของเด็กชายผู้ที่ยังนั่งตัวสั่นเทาทันที

นางรีบลากเขาออกมาด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนโดยที่เด็กชายไม่สามารถขัดขืนได้ (ไม่ใช่ไม่อยากขัดขืน แต่ข้าไม่มีเรี่ยวแรงต่างหาก) นี่คือความคิดของเขา

“เจ้ามีสติสักทีสิ หากอยากเป็นอาหารของมันอยู่ก็จง         นิ่งต่อไปหากไม่ก็รีบวิ่งตามข้ามา” หนิงอันตะคอกใส่คนอายุมากกว่าพร้อมกับวิ่งนำไปข้างหน้า

สองเท้าของยงฮ่าวเองก็รีบตามติดเด็กหญิงมาอย่างไม่ลดละจนกระทั่งเด็กทั้งสองถึงทางออก “พวกเรารีบไปก่อนเจ้าค่ะ” หนิงอันรีบวิ่งไปหาพ่อของตนตะโกนขึ้นเสียงดัง

กุยเฮยได้แต่ลอบหัวเราะในใจ (เจ้าอยากข่มข้าดีนัก หากข้าไม่เอาคืนจะได้อย่างไร) กุยเฮยไม่รู้เลยว่าผลการกระทำในวันนี้จะทำให้ตนถูกหนิงอันเอาคืนได้เจ็บแสบไม่แพ้กัน

เมื่อกลุ่มของหนิงอันวิ่งออกมาได้สักพักก็เจอเข้ากับกลุ่มของอานไท่ที่พาชายฉกรรจ์เดินป่าเข้ามาตามหาพวกเขา

“พวกท่านหนีอะไรกันมาอย่างนั้นเหรอ” อานไท่เป็นผู้เปิดปากหลังจากที่คนเหล่านี้ได้พักหายใจหายคอโดยเฉพาะท่านผู้เฒ่าที่วิ่งจนลืมวัยของตน

“ไม่รู้ แหก ๆ” เสียงหอบเหนื่อยของชายชราตอบออกมา

“ห๊ะ! ไม่รู้แต่ท่านพากันวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายนี่นะ” อานไท่ย้อนถามสีหน้าแสดงความไม่เข้าใจ

“เรื่องนี้” ท่านผู้เฒ่าเปิดปากพลางหันศีรษะไปทางเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังอาปากหอบหายใจ

ยงฮ่าวเป็นผู้ตอบออกมาเสียงตื่นหลังจากรู้สึกดีขึ้น “งะ...งูขอรับ มันตัวใหญ่มากข้ากับนางก็เลยพาทุกคนวิ่งหนีออกมา”

คำกล่าวของเด็กชายได้ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนมองหน้าของเขาสีหน้าเริ่มแสดงความกังวล “จะ... เจ้าคงไม่ได้โกหกกระมั้ง” น้ำเสียงสั่นของชาวบ้านชายคนหนึ่งย้อนถาม

“จริงสิขอรับ ไม่เชื่อก็ถามนางได้เลยตัวมันใหญ่มากกว่าขาของชายคนนั้นอีก” ยงฮ่าวกล่าวยืนยันเสียงหนักพร้อมกับชี้นิ้วไปยังต้นขาของยงเผยและหันใบหน้าน้อยไปทางอันอันด้วย

“จริงที่สุดเจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเรารีบไปกันก่อนเถอะ หากมันตามมาทันข้าไม่อยากจะคิด” หนิงอันกล่าวพร้อมกับเอามือลูบแขนของตนไปมา

“ลูกรักเจ้ามาขึ้นหลังพ่อแบบนี้จะเร็วกว่า” หยูเจียงนั่งยองหันหลังให้บุตรีในขณะพูด

เด็กหญิงทำตามอย่างเชื่อฟังเนื่องจากร่างกายเล็ก ๆ ของนางในยามนี้ช่างเหนื่อยยิ่ง

ยงฮ่าวรู้สึกอิจฉานางยิ่งที่มีบิดาให้ความรัก ผิดกับตัวเขาที่มีแต่มารดาอีกทั้งมารดาก็ยังตัวบอบบางจึงไม่สามารถแบกเขาเยี่ยงนั้นได้

“ข้าจะแบกเจ้าเอง” ยงเผยเดินมายืนข้างบุตรชายกล่าวเสียงอ่อนแม้ว่าเด็กคนนี้จะยังไม่ยอมรับตนก็ตาม

เด็กชายแหงนหน้ามองชายร่างใหญ่แววตาของเขาทอประกายสับสนริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น

หนิงอันผู้มองเห็นภาพนี้นางจึงได้พูดขึ้นมาลอย ๆ “เจ้าจะไม่ยอมรับจริง ๆ เหรอ” คำพูดนั้นกระแทกใจของยงฮ่าวเข้า อย่างจัง  เด็กชายนิ่งคิด (ข้าควรจะยอมรับไหม แต่เขาทำให้ท่านแม่ลำบากมาตั้งหลายปีเชียวนะ)

ในระหว่างที่เด็กน้อยนิ่งเงียบอยู่นั้น ยงเผยจึงได้ถือวิสาสะยกตัวของเขาขึ้น ชายหนุ่มอุ้มคนตัวเล็กไว้แนบอกแกร่ง ทำให้เด็กชายผู้ตกใจที่จู่ ๆ ตัวลอยขึ้นอย่างกะทันหันรีบเอามือโอบรอบคอของคนร่างสูงทันที

(นี่คืออ้อมกอดของบิดาอย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงได้ดูแข็งแกร่งยิ่งนักผิดกับอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของมารดายิ่ง) ความคิดของเด็กชายวนเวียนอยู่เช่นนี้จนกระทั่งออกมาจากป่าอย่างปลอดภัย

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   ตอนที่ 9 น้องสาว

    เมื่อรับรู้ว่าตอนนี้พวกเขาได้กลับมายังหมู่บ้านแล้วเด็กชายจึงเริ่มดิ้นรนออกจากอ้อมแขนแกร่งของคนที่โอบอุ้มยงเผยจำต้องปล่อยให้เขาลงยืนอยู่บนพื้นด้วยเกรงว่าเด็กคนนี้จะตกลงมาแล้วบาดเจ็บในจังหวะเดียวกันนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าแม่ของเด็กชายได้เดินมาทางเขาสีหน้าเต็มไปด้วยความกลัวและจะกล้าลงมือกับเด็กตัวน้อยได้ลงคอเสียงเผียะ! ดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปยังต้นเสียงเป็นตาเดียว “แม่เคยบอกเจ้าว่าอย่างไรเหตุใดถึงไม่ฟัง” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวเจือด้วยเสียงสะอื้นของผู้ยังมีไม้เรียวเล็กอยู่ในมืออันสั่นเทาข้างนั้นพูดกับเด็กชายเสียงดัง “ฮือ ๆ ท่านแม่ข้าขอโทษเป็นข้าผิดเองท่านอย่าร้องไห้อีกเลย ต่อไปนี้ข้าให้สัญญาว่าจะไม่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้อีก” เด็กน้อยผู้ถูกตีน้ำตาไหลอาบแก้มมอมทั้งสองข้างโอบเอวของมารดาแน่นกล่าวสำนึกผิดทั้งน้ำตา หญิงสาวคนนั้นรีบทิ้งไม้ในมือของตนลงก่อนย่อตัวลงนั่งโอบกอดเด็กชายตัวเล็กแน่นไม่แพ้กันส

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   ตอนที่ 8 ไม่ยอมรับจริง?

    อันอันหยุดน้ำตาของตัวเองลงอย่างฉับพลัน มองซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวังพลางตะโกนถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ“เจ้าเป็นใครคนหรือผี” ใจเต้นตุบตับในอกข้างซ้ายรัวเหมือนกลองศึกก็ไม่ปาน “เจ้าสิผี ข้าไม่ใช่ทั้งมนุษย์และผีนั่นแหละ ข้าคือผู้รับใช้ของเทพเสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่เลยนะเจ้าเด็กมนุษย์ตัวเหม็น” น้ำเสียงอันหยิ่งผยองโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน อันอันคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของสิ่งมีชีวิตตัวนั้น ทำให้นางผู้ปากไวอดที่จะย้อนออกไปไม่ได้เช่นกัน“แหม ๆ ท่านเทพผู้รับใช้เสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่หากท่านเก่งกาจจริงดั่งที่ว่าเห็นทีคงไม่ต้องร้องขอให้เด็กอย่างข้าช่วยหรอกกระมั้ง” สิ้นคำของเด็กหญิงสัตว์เทพก็ถึงกับอยากจะกระอักเลือดออกมา ‘หน็อยยัยเด็กตัวแสบกล้ายอกย้อนข้าเชียวหรือ หากหลุดออกไปได้ข้าจะทรมานเจ้าให้หนำใจเลย’สัตว์ตัวเล็กคิดอย่างเดือดดาลโดยลืมคำเตือนทั้

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   ปีศาจ?

    หยูเจียงเมื่อรับรู้ได้ถึงความจริงใจของชาวบ้านเช่นนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำในการตัดสินใจให้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ไม่คิดเปลี่ยนใจมากขึ้น แต่ทว่าที่ดินผืนนี้เล็กเกินไปสำหรับการสร้างบ้านของครอบครัวตนที่มีกันอยู่หลายชีวิต“ท่านเผย ท่านจะอยู่กับข้าหรือว่าจะจากไปอย่างนั้นเหรอ” หยูเจียงเอ่ยถามชายวัยเดียวกัน เนื่องจากเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้คิดอย่างไรจึงได้ถามออกมา คำถามอันแสนตรงไปตรงมาของหยูเจียงทำให้ยงเผยมีสีหน้าครุ่นคิดไปชั่วครู่ในขณะที่ยงเผยกำลังจะอ้าปากตอบคำถามของบัณฑิตหนุ่มดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเสียก่อน เมื่อมองเห็นร่างบางของหญิงสาวนางหนึ่งเดินจูงมือเด็กชายตัวน้อยมายังทิศทางที่ตนยืนอยู่หญิงสาวคนนั้นเองก็มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน นางรีบอุ้มบุตรชายของตนเหน็บเข้าที่เอวพร้อมกับหันหลังเพื่อเตรียมจะวิ่งหนีทว่ายงเผยจะปล่อยให้นางสมประสงค์ได้อย่างไร ชายหนุ่มจึงรีบใช้วิชาตัวเบากระโจนมาทางนางอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านหลายคนต่างตกตะลึงเช่นเดียวกับหนิงอัน ‘โอ้! เจอเร็วกว่าท

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   เป็นมิตร

    เสียงฝีเท้าม้าผสานกับเสียงล้อเกวียนของตัวรถบด ถนนดินลูกรังเดินเข้ามาในหมู่บ้านอย่างเชื่องช้า หนิงอันจึงเปิดหน้าต่างออกดูแต่แล้ว “แค่ก ๆ” เสียงไอยามฝุ่นฟุ้งเข้าปากและจมูกทำให้เด็กหญิงผู้มีวิญญาณมาจากอนาคตจำต้องปิดหน้าต่างทันที “เจ้าช่างซนเสียจริง” ผู้เป็นย่าเอ่ยติงแกมสงสารยามเห็นท่าทางของหลานสาวผู้กำลังไอหน้าดำหน้าแดง ผู้เป็นมารดาจึงได้นำผ้าเช็ดหน้าของตนมาเช็ดใบหน้าอันเลอะฝุ่นสีแดงให้ลูกน้อยอย่างเบามือ“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เจ้าตัวเล็กกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างทำให้หญิงต่างวัยทั้งสองอดรู้สึกเอ็นดูในความน่ารักนี้ไม่ได้จึงทำให้พวกนางยิ้มออกมา ยงเผยบังคับรถม้าจนกระทั่งมองเห็นชาวบ้านชายหนุ่มจึงได้หยุดรถม้าลง ชาวบ้านวัยกลางค

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   ข้ายังอยู่ในนิยายของตนหรือไม่?

    เช้าวันรุ่งขึ้นคณะการเดินทางของครอบครัวหยูก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงศาลาเอ้อเทียน ยงเผยกับศิษย์เอกทั้งสองรวมถึงหยูเจียงก็มองเห็นเพียงความรกร้างว่างเปล่า ไร้ซึ่งร่องรอยใด ๆ ว่าสถานที่แห่งนี้เคยเกิดเรื่องร้ายใดขึ้น ย้อนกลับไปกลางดึกของเมื่อคืน หลังจากพระอาทิตย์ลาลับแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาแทนที่ คนของทางการร่วมกับคนคุ้มกันของคนสกุลติงกลุ่มหนึ่งต่างโอบล้อมจัดการกลุ่มโจรร่วมร้อยโดยที่ไม่ให้พวกมันทันได้รู้ตัว เสียงฟาดฟันประหัต ประหารกันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของราตรีกาล ครั้นแล้วโจรกลุ่มใหญ่ก็ตกเป็นผู้แพ้ให้กับคนของทางการและกลุ่มคนคุ้มกันแม้ทางฝ่ายผู้บุกรุกจะมีบาดเจ็บบ้าง แต่ไม่เหมือนกับเหล่าโจรโฉดที่เหล่าพี่น้องของมันตกตายกันหลายคน หลังจากจัดการกับกลุ่มคนชั่วเรียบร้อยหัวหน้าคนของทางการก็จัดการเก็บกวาดจนไม่มีผู้ใดคิดว่าสถานที่แห่งนี้เคยเกิดเรื่องร้ายขึ้นกลับมายังปัจจุบัน หลังครอบครัวหยูเดินทางผ่านศาลาเอ้อเทียนจุดนี้มาแล้ว พวกเขากำลังจอดรถม้าตรงบริเวณหน้าทางแยกแห่งหนึ่ง

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   ไม่เหมือนเดิม

    “ขอรับ ข้าน้อยจะทำตามที่นายท่านว่า” พ่อบ้านวัยกลางคนรับคำ ครั้นแล้วเขาก็รีบไปทำตามคำสั่งทันทีด้านยงเผยหลังจากได้ทราบเรื่องที่พ่อบ้านรุ่ยมาบอก แม้ภายในจะประหวั่น ทว่าใบหน้านั้นกลับเก็บอาการไม่แสดงออกมา“เรื่องนี้ข้าจะเป็นผู้จัดการเอง ท่านอย่าได้ห่วง” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่นพ่อบ้านทำเพียงพยักหน้ารับไม่ถามสิ่งใดให้มากความจึงได้กลับไปรายงานผู้เป็นนายตามตรงคล้อยหลังพ่อบ้านรุ่ย ชายหนุ่มหนวดเคราครึ้มจึงได้เดินไปยังสัมภาระของตน เขารีบเขียนจดหมายอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครทันได้สังเกตจากนั้นจึงได้เรียกหาศิษย์เอกอันดับหนึ่ง “เสี่ยวจือเจ้ารีบควบม้าไปทางศาลาเอ้อเทียนให้เร็วที่สุด จงนำจดหมายฉบับนี้ไปให้หัวหน้าต่ง จำไว้ว่าต้องให้ถึงมือ เข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มกำชับกับศิษย์ของตนด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเช่นเดียวกับคำพูด“ขอรับท่านอาจารย์” เด็กชายวัยสิบหกประสานมือรับคำเน้นหนักเสียงกุบกับของม้าตัวใหญ่วิ่งฝ่าความมืดท่ามกลางแสงจันทร์สลัวออกไปโดยมีสายตาของผู้เป็นอาจ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   คิดสิคิด

    ในจังหวะที่หนิงอันกำลังมองพิจารณาเด็กหนุ่มทั้งสองอยู่ “คุณหนู นายท่านเรียกหาเจ้าค่ะ” เด็กหญิงรับใช้วัยสิบสามปีกระซิบข้างหูผู้เป็นนายเสียงเบาเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือน หนิงอันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันหน้าไปสั่งพ่อบ้านวัยกลางคนอย่างสุภาพ “ท่านพ่อบ้านรุ่ยรถม้าทั้งสามคันในช่องลับให้แบ่งสิ่งของที่ข้าจัดเรียงไว้ใส่ลงไปเท่า ๆ กัน เรื่องนี้ท่านต้องเป็นผู้ตรวจสอบอย่าให้ตกหล่นนะเจ้าคะ” “ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนรับคำ เนื่องจากเขารู้ดีว่าสิ่งที่คุณหนูจัดเตรียมไว้นั้นมีอะไรบ้างของมีค่ามีอยู่ไม่มากหากเทียบกับหมึก กระดาษ ตำราของนายท่านที่ล้วนเป็นของมีค่าสำหรับบัณฑิต ย้อนกลับไปในขณะที่หนิงอันปรึกษาคนในครอบครัวในการจัดเก็บข้าวของ “ท่านแม่เจ้าคะ บ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   ข้าลิขิตใหม่ก็ได้

    ในขณะที่หนิงอันกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย “ลูกรักของแม่ เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ” เสียงนั้นดังขัดความคิดของเจ้าตัว ทำให้เด็กหญิงรีบลุกจากเก้าอี้เดินมายังเตียงนอนพร้อมปีนกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว“ละเมอหรอกหรือ” เด็กหญิงมองไปยังใบหน้าของหญิงสาวที่เป็นมารดาของร่างเดิมอย่างสงสารและเห็นใจ“ต่อไปนี้ท่านคือแม่ของข้า” อันอันกล่าวออกมาอีกครั้ง จากนั้นเธอก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนเช้าวันต่อมา เสียงนกส่งเสียงเจื้อยแจ้วทำให้ร่างเล็กขยับเปลือกตาก่อนจะลืมตากลมโตมองเพดานห้องนอนอย่างครุ่นคิด ว่าเรื่องเมื่อคืนของตนเป็นเพียงฝันหรือเรื่องจริง กระนั้นเจ้าตัวจึงได้หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาซึ่งเป็นลายมือของตนไม่ผิดแน่“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ข้าน้อยจะไปเรียนฮูหยิน” สาวใช้อายุเจ็ดปีกล่าวอย่างดีใจพร้อมก้าวเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่อันอันได้แต่มองตามตาปริบ ๆ‘อะไรจะรวดเร็วปานนั้นแม่คู๊ณ’ อันอันได้แต่มองตามแผ่นหลังของร่างนั้นโดยไม่ทันได้ปริปากเด็กหญิงกึ่งนั่งกึ่งนอน

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   กรรมของอันอัน

    “ในที่สุดก็จบสักที คราวนี้จะนอนพักให้ชุ่มปอดเลย เหนื่อยมาหลายวันขอสักตื่นเถอะ” น้ำเสียงแสดงความโล่งอกถอนหายใจยาวก่อนที่เธอจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะโดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวที่ตนได้ขีดเขียนเอาไว้นั้นจะทำให้ตัวละครในเรื่องขอแลกวิญญาณให้เจ้าของเรื่องได้เข้ามาใช้ชีวิตแทนตนเองหนิงอันคือชื่อของเจ้าของร่างที่กำลังหลับสนิทอยู่ในขณะนี้ เธอมีอาชีพแต่งนิยายแม้จะไม่ถึงกับโด่งดังแต่ก็มีผลงานออกมาให้นักอ่านได้เสพความสุขกันอย่างต่อเนื่องนิสัยส่วนตัวเป็นคนชอบความสงบเฉกเช่นชื่อของตน ดังนั้นหลังจากพ่อแม่เสียชีวิตไปจึงอาศัยอยู่คนเดียวมาโดยตลอด มีเพื่อนอยู่หนึ่งคนซึ่งก็คือบ.ก.สำนักพิมพ์ที่กำลังรอผลงานเรื่องที่แต่งค้างอยู่ในเช้าวันต่อมามีเสียงเคาะประตูหน้าห้องพักของหญิงสาวผู้สันโดษทว่าไร้ซึ่งการตอบรับ ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากขาดการติดต่อจากเจ้าของห้องไปตั้งแต่เมื่อวาน ภายในห้อง ร่างโปร

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status