ในจังหวะที่หนิงอันกำลังมองพิจารณาเด็กหนุ่มทั้งสองอยู่ “คุณหนู นายท่านเรียกหาเจ้าค่ะ” เด็กหญิงรับใช้วัยสิบสามปีกระซิบข้างหูผู้เป็นนายเสียงเบาเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือน
หนิงอันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันหน้าไปสั่งพ่อบ้านวัยกลางคนอย่างสุภาพ “ท่านพ่อบ้านรุ่ยรถม้าทั้งสามคันในช่องลับให้แบ่งสิ่งของที่ข้าจัดเรียงไว้ใส่ลงไปเท่า ๆ กัน เรื่องนี้ท่านต้องเป็นผู้ตรวจสอบอย่าให้ตกหล่นนะเจ้าคะ”
“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนรับคำ เนื่องจากเขารู้ดีว่าสิ่งที่คุณหนูจัดเตรียมไว้นั้นมีอะไรบ้าง
ของมีค่ามีอยู่ไม่มากหากเทียบกับหมึก กระดาษ ตำราของนายท่านที่ล้วนเป็นของมีค่าสำหรับบัณฑิต
ย้อนกลับไปในขณะที่หนิงอันปรึกษาคนในครอบครัวในการจัดเก็บข้าวของ
“ท่านแม่เจ้าคะ บ้านเรามีบ่าวรับใช้กี่คน มีทรัพย์สินอยู่เท่าไหร่” เด็กหญิงกางกระดาษเตรียมหมึกพู่กันเพื่อจดอย่างตั้งใจ
“มีบ่าวรับใช้ก็พ่อบ้านรุ่ย กวนมามา ไป๋หลาน มู่ตาน ป้าป๋าย ลุงย่วน ย่วนเฉา จวนเรามีคนเพียงเท่านี้แหละจ้ะ ส่วนทรัพย์สินนั้นก็มีไม่มาก
เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าพ่อของเจ้านั้นเป็นคนเช่นไร” หญิงสาวตอบลูกน้อยตามตรง แม้ว่าจะแปลกใจแต่นางเพียงแค่คิดว่าลูกน้อยอาจจะได้รับคำสั่งมาจากพ่อสามีจึงได้ถามเรื่องราวเหล่านี้
หลังจากหนิงอันได้ฟังนางก็ได้แต่ทอดถอนใจ ‘จะโทษใครได้ล่ะ เป็นเพราะข้านี่แหละที่เขียนให้ครอบครัวแม้จะเป็นขุนนางขั้นสองก็ยังยากจน
เพราะชายหนุ่มผู้เป็นพ่อนั้นยึดมั่นคุณธรรมเป็นหลัก แม้ได้ของพระราชทานมาก็ไม่รับ ฉันแต่งให้เขาเป็นคนดีเกินไปทำไมฟะ’ หนิงอันเอามือขยี้ผมยาวของตนที่มัดเอาไว้ลวก ๆ อย่างหงุดหงิด
“ลูกรัก ให้แม่มัดผมให้เจ้าใหม่เถอะ” ผู้เป็นแม่กล่าว หลังจากนั้นผมยาวของเด็กหญิงก็ได้เปลี่ยนเป็นทรงซาลาเปาคู่อย่างเรียบร้อย
กลับมายังสถาณการณ์ปัจจุบัน “เสี่ยวอัน การไปอยู่ชนบทอาจจะลำบากมาก พ่อต้องขอโทษลูกสำหรับเรื่องนี้ด้วย” หยูเจียงอุ้มเด็กหญิงขึ้นในอ้อมแขนกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
หนิงอันนำมือทั้งสองข้างของตนจับไปยังใบหน้าของบิดา “ท่านพ่อเจ้าคะ ในเมื่อเรายังมีสมอง สองมือ สองเท้า ดังนั้นไม่มีที่ใดลำบากหรอกเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวปลอบ
“สมองอันใดของเจ้าอย่างนั้นเหรอ แล้วเจ้าไปเอาคำนี้มาจากไหน” ผู้เป็นบิดาย้อนถามสีหน้ามึนงง
“สมองคือตรงนี้เจ้าค่ะ ส่วนผู้ที่สอนลูกก็ท่านปู่อย่างไรเล่า ในความฝันท่านปู่สอนข้าเอาไว้หลายเรื่องเลยเอาไว้ข้าจะค่อย ๆ บอกท่านนะเจ้าคะ” อันอันตัวน้อยยกนิ้วชี้จิ้มมาที่หัวของตน จากนั้นนางก็กล่าวออกมาอย่างคล่องปาก
หยูเจียงผู้เป็นบัณฑิตอันดับหนึ่งมองใบหน้าเล็กของบุตรสาวที่กำลังพูดจ้อใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอย่างเอ็นดู
“เจ้าสองพ่อลูกจะสนทนากันอีกนานหรือไม่ พ่อบ้านรุ่ยมาบอกว่าขนสิ่งของขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว ส่วนบ่าวพวกนี้ก็ยินดีติดตามเราไปทั้งหมด มีกันแค่นี้แม่ก็เห็นด้วย
จะให้ทิ้งขว้างแม่ก็เศร้าใจ เจ้าคงไม่ว่ากระไรนะ” หญิงชราส่งเสียงบอกบุตรชาย ในขณะเดียวกันก็กล่าวถึงเรื่องของคนรับใช้ออกมาพร้อมกันด้วย
“แล้วแต่ท่านแม่เห็นควรเถอะขอรับ แต่การที่เรากลับไปอยู่ชนบทนั้นค่อนข้างกันดารยิ่ง พวกเจ้ารับได้อย่างนั้นหรือ” ประโยคแรกชายหนุ่มตอบแม่ผู้ชรา ประโยคหลังเขาหันไปกล่าวกับบ่าวรับใช้ที่กำลังนั่งคุกเข่าก้มหน้าอย่างจริงใจ
“พวกข้าน้อยยินดีขอรับ/เจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ทั้งคนแก่และเด็กส่งเสียงตอบออกมาพร้อมกัน
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเจ้านายเรือนนี้ต่างมีเมตตาไม่มีใครคิดดูถูกหรือรังแกพวกเขาเลยสักคน
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกัน” หยูเจียงกล่าวออกมาอีกครั้งในขณะที่ยังอุ้มลูกสาวตัวน้อยอยู่
ดังนั้นการเดินทางกลับบ้านเดิมของท่านปู่จึงได้เริ่มต้นขึ้น บ้านชนบทหลังนั้นหนิงอันไม่ได้บรรยายอะไรไว้
เพราะเธอได้ให้คนครอบครัวนี้ประสบเหตุระหว่างทาง จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวถึงอีกเลย
ในระหว่างการเดินทางเด็กหญิงตัวน้อยจึงได้มีใบหน้าซีดเผือด ‘ซวยแล้วอันอัน ต้องรีบหาวิธีเดี๋ยวนี้’
‘คิดสิคิดว่าจะทำยังไง ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ นึกว่าในตอนนั้นเราเขียนบรรยายฉากนี้ออกมายังไง’ “ใช่แล้ว!” อันอันเผลอตะโกนออกมาหลังจากคิดออก
“เกิดอะไรขึ้นหรือลูก” หยวนฟานยกมือตบอกเอ่ยถามบุตรสาวออกมาอย่างตกใจ
หนิงอันทำหน้าเหลอหลา “เมื่อชั่วครู่นี้จู่ ๆ เจ้าก็พูดโพล่งออกมาทำให้แม่ของเจ้าเอ่ยถามอย่างไรเล่า ย่าเองก็ว่าจะถามอยู่เหมือนกัน” ย่าผู้ชราอธิบายอย่างเนิบช้าให้หลานสาวเข้าใจ
หนิงอันจึงได้ส่งยิ้มแหยไปทางมารดากล่าวแก้ตัว “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้านึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้เพียงเท่านั้น”
“เรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ เจ้าถึงได้ตะโกนซะเสียงดังจนพ่อต้องขี่ม้าเข้ามาถามนี่แหละ” ชายหนุ่มผู้อยู่ในชุดเดินทางธรรมดาส่งเสียงถามผ่านทางหน้าต่างรถม้า
“ท่านพ่อมาก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านอยู่พอดี” หนิงอันพูดขึ้นหลังจากเลิกผ้าม่านหน้าต่างของตัวรถ
สายลมปะทะเข้าใบหน้าทำให้รู้สึกชาแม้ม้าจะวิ่งไม่ได้เร็วมากนัก เนื่องจากต้องระวังครรภ์ของมารดาก็ตาม
“ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกันหรือเจ้าคะ ห่างจากศาลาเอ้อเทียนมากน้อยเพียงใด” เด็กหญิงเอ่ยถามออกไป ซึ่งคำพูดของเธอได้ทำให้หยูเจียงรู้สึกสงสัยไม่น้อย
“อีกหนึ่งร้อยลี้ ว่าแต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเราจะต้องผ่านจุดพักม้าตรงนั้น” พ่อของเด็กหญิงถามออกมาอย่างสงสัย
“ท่านปู่บอกมาเจ้าค่ะ และท่านยังบอกเรื่องสำคัญกับข้ามาด้วย พอถึงจุดพักม้าข้างหน้าข้าจะเล่าให้ท่านฟัง”คำตอบของบุตรสาวช่างเป็นไปตามที่เขาคาด
แต่ที่หยูเจียงไม่รู้ก็คือบิดาของตนมีเรื่องอะไรอีกนี่สิ “ท่านพ่อได้โปรดอย่านำเรื่องยุ่งยากมาให้ข้าเลยนะขอรับ” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบา
เมื่อถึงจุดพักม้าในช่วงเย็น ยงเผยกับศิษย์ทั้งสองรวมถึงบ่าวชายของครอบครัวหยูต่างเดินเข้าป่าข้างทางเพื่อไปหาฟืนมาก่อกองไฟสำหรับทำอาหาร
หนิงอันมองซ้ายมองขวาเธอจึงได้ใช้ขาสั้น ๆ ของตนเดินมาทางบิดาหนุ่มเพื่อบอกเรื่องสำคัญ
“ท่านพ่อเรื่องนี้สำคัญมากถึงขั้นคอขาดบาดตายเลยทีเดียวนะเจ้าคะ ท่านจงเร่งหาวิธีหลังจากฟังจบก็แล้วกัน” เด็กหญิงตัวเล็กป้องปากกระซิบกระซาบข้างหูบิดา
หยูเจียงเริ่มนั่งไม่ติดใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดหลังฟังในสิ่งที่บุตรสาวตัวเล็กถ่ายทอดออกมา
“ปู่ของเจ้าบอกออกมาอย่างนี้จริงเหรอมันค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวนะ อีกอย่างพวกเราจำเป็นต้องเดินผ่านทางสายนั้นเสียด้วย” หยูเจียงไม่ใช่ไม่เชื่อแต่ทว่าในตอนนี้บ้านเมืองค่อนข้างสงบสุขเหตุใดจึงมีโจรภูเขาได้กัน
“ในตอนนั้นข้าเองก็กลัวมากเมื่อท่านปู่เอ่ยถึงเรื่องนี้เพราะขึ้นชื่อว่าโจรขนาดข้าอายุเท่านี้ยังรู้เลยว่าพวกเขาย่อมไม่ใช่คนดี ท่านรีบหาทางเถอะ” หนิงอันกล่าวเสียงสั่นน้ำตาคลอในขณะเดียวกันก็โถมตัวกอดบิดาแน่น
หยูเจียงกระชับร่างกายเล็กของบุตรสาวในอ้อมกอดกล่าวปลอบโยนแม้สีหน้าจะหนักใจ
ทว่าเขาจำต้องหาวิธีให้จงได้ อย่างน้อยหากเป็นตามที่ท่านพ่อว่ามาคนในขบวนคาราวานน่าจะเป็นผู้ช่วยที่ดี ตอนนี้ลูกเมียและบ่าวอีกหลายชีวิตต่างอยู่ในมือตน
ดังนั้นหลังจากกินอาหารมื้อเย็นเรียบร้อยชายหนุ่มจึงตัดสินใจเรียกพ่อบ้านรุ่ยมาปรึกษา
“เป็นเรื่องจริงหรือขอรับนายท่าน” รุ่ยเชากล่าวเสียงดังอย่างตกใจใบหน้าไม่ต่างจากผู้เป็นนายหลังจากได้ยินเรื่องนี้
“เจ้าคิดว่าท่านพ่อจะกล้าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นหรืออย่างไร” หยูเจียงถอนใจกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน
“ข้าว่าเรื่องนี้แค่เราสองคนไม่อาจทำได้แน่ กระนั้นข้าจึงคิดว่าไหน ๆ ท่านเผยก็ร่วมเดินทางมากับเราแล้วให้เขามาช่วยคิดอีกคนดีหรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนออกความเห็น
ผู้เป็นนายนิ่งคิดอยู่สักพักจึงได้พยักหน้าลง จากนั้นเขาจึงเอ่ยปากบอกพ่อบ้านเสียงเบา
“ เอาเป็นว่าเจ้าไปบอกเขาเช่นนี้ก็แล้วกันว่าก่อนข้าลาออกจากราชสำนักได้รับคำเตือนมาจากมิตรสหายว่าบริเวณจุดพักม้าเอ้อเทียนนั้นเป็นที่อยู่ของโจรภูเขา
ซึ่งพวกเขากำลังคิดจะหาวิธีจัดการอยู่ ทว่าโจรเหล่านี้ไปมาว่องไวยิ่งจึงทำให้ยังไม่อาจสืบหาที่อยู่ได้อย่างแน่ชัด” หยูเจียงจำต้องกุเรื่องเช่นนี้ออกมาเพื่อปกป้องลูกสาว
‘เอาไว้เมื่อไหร่ที่ชายคนนั้นยินยอมพร้อมใจรับใช้บุตรตัวน้อยแต่โดยดีค่อยว่ากัน เพราะดูแล้วหน่วยก้านอีกทั้งน้ำมิตรก็จัดว่าน่าคบหาทีเดียว’ บัณฑิตหนุ่มคิด
เมื่อรับรู้ว่าตอนนี้พวกเขาได้กลับมายังหมู่บ้านแล้วเด็กชายจึงเริ่มดิ้นรนออกจากอ้อมแขนแกร่งของคนที่โอบอุ้มยงเผยจำต้องปล่อยให้เขาลงยืนอยู่บนพื้นด้วยเกรงว่าเด็กคนนี้จะตกลงมาแล้วบาดเจ็บในจังหวะเดียวกันนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าแม่ของเด็กชายได้เดินมาทางเขาสีหน้าเต็มไปด้วยความกลัวและจะกล้าลงมือกับเด็กตัวน้อยได้ลงคอเสียงเผียะ! ดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปยังต้นเสียงเป็นตาเดียว “แม่เคยบอกเจ้าว่าอย่างไรเหตุใดถึงไม่ฟัง” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวเจือด้วยเสียงสะอื้นของผู้ยังมีไม้เรียวเล็กอยู่ในมืออันสั่นเทาข้างนั้นพูดกับเด็กชายเสียงดัง “ฮือ ๆ ท่านแม่ข้าขอโทษเป็นข้าผิดเองท่านอย่าร้องไห้อีกเลย ต่อไปนี้ข้าให้สัญญาว่าจะไม่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้อีก” เด็กน้อยผู้ถูกตีน้ำตาไหลอาบแก้มมอมทั้งสองข้างโอบเอวของมารดาแน่นกล่าวสำนึกผิดทั้งน้ำตา หญิงสาวคนนั้นรีบทิ้งไม้ในมือของตนลงก่อนย่อตัวลงนั่งโอบกอดเด็กชายตัวเล็กแน่นไม่แพ้กันส
อันอันหยุดน้ำตาของตัวเองลงอย่างฉับพลัน มองซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวังพลางตะโกนถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ“เจ้าเป็นใครคนหรือผี” ใจเต้นตุบตับในอกข้างซ้ายรัวเหมือนกลองศึกก็ไม่ปาน “เจ้าสิผี ข้าไม่ใช่ทั้งมนุษย์และผีนั่นแหละ ข้าคือผู้รับใช้ของเทพเสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่เลยนะเจ้าเด็กมนุษย์ตัวเหม็น” น้ำเสียงอันหยิ่งผยองโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน อันอันคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของสิ่งมีชีวิตตัวนั้น ทำให้นางผู้ปากไวอดที่จะย้อนออกไปไม่ได้เช่นกัน“แหม ๆ ท่านเทพผู้รับใช้เสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่หากท่านเก่งกาจจริงดั่งที่ว่าเห็นทีคงไม่ต้องร้องขอให้เด็กอย่างข้าช่วยหรอกกระมั้ง” สิ้นคำของเด็กหญิงสัตว์เทพก็ถึงกับอยากจะกระอักเลือดออกมา ‘หน็อยยัยเด็กตัวแสบกล้ายอกย้อนข้าเชียวหรือ หากหลุดออกไปได้ข้าจะทรมานเจ้าให้หนำใจเลย’สัตว์ตัวเล็กคิดอย่างเดือดดาลโดยลืมคำเตือนทั้
หยูเจียงเมื่อรับรู้ได้ถึงความจริงใจของชาวบ้านเช่นนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำในการตัดสินใจให้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ไม่คิดเปลี่ยนใจมากขึ้น แต่ทว่าที่ดินผืนนี้เล็กเกินไปสำหรับการสร้างบ้านของครอบครัวตนที่มีกันอยู่หลายชีวิต“ท่านเผย ท่านจะอยู่กับข้าหรือว่าจะจากไปอย่างนั้นเหรอ” หยูเจียงเอ่ยถามชายวัยเดียวกัน เนื่องจากเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้คิดอย่างไรจึงได้ถามออกมา คำถามอันแสนตรงไปตรงมาของหยูเจียงทำให้ยงเผยมีสีหน้าครุ่นคิดไปชั่วครู่ในขณะที่ยงเผยกำลังจะอ้าปากตอบคำถามของบัณฑิตหนุ่มดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเสียก่อน เมื่อมองเห็นร่างบางของหญิงสาวนางหนึ่งเดินจูงมือเด็กชายตัวน้อยมายังทิศทางที่ตนยืนอยู่หญิงสาวคนนั้นเองก็มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน นางรีบอุ้มบุตรชายของตนเหน็บเข้าที่เอวพร้อมกับหันหลังเพื่อเตรียมจะวิ่งหนีทว่ายงเผยจะปล่อยให้นางสมประสงค์ได้อย่างไร ชายหนุ่มจึงรีบใช้วิชาตัวเบากระโจนมาทางนางอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านหลายคนต่างตกตะลึงเช่นเดียวกับหนิงอัน ‘โอ้! เจอเร็วกว่าท
เสียงฝีเท้าม้าผสานกับเสียงล้อเกวียนของตัวรถบด ถนนดินลูกรังเดินเข้ามาในหมู่บ้านอย่างเชื่องช้า หนิงอันจึงเปิดหน้าต่างออกดูแต่แล้ว “แค่ก ๆ” เสียงไอยามฝุ่นฟุ้งเข้าปากและจมูกทำให้เด็กหญิงผู้มีวิญญาณมาจากอนาคตจำต้องปิดหน้าต่างทันที “เจ้าช่างซนเสียจริง” ผู้เป็นย่าเอ่ยติงแกมสงสารยามเห็นท่าทางของหลานสาวผู้กำลังไอหน้าดำหน้าแดง ผู้เป็นมารดาจึงได้นำผ้าเช็ดหน้าของตนมาเช็ดใบหน้าอันเลอะฝุ่นสีแดงให้ลูกน้อยอย่างเบามือ“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เจ้าตัวเล็กกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างทำให้หญิงต่างวัยทั้งสองอดรู้สึกเอ็นดูในความน่ารักนี้ไม่ได้จึงทำให้พวกนางยิ้มออกมา ยงเผยบังคับรถม้าจนกระทั่งมองเห็นชาวบ้านชายหนุ่มจึงได้หยุดรถม้าลง ชาวบ้านวัยกลางค
เช้าวันรุ่งขึ้นคณะการเดินทางของครอบครัวหยูก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงศาลาเอ้อเทียน ยงเผยกับศิษย์เอกทั้งสองรวมถึงหยูเจียงก็มองเห็นเพียงความรกร้างว่างเปล่า ไร้ซึ่งร่องรอยใด ๆ ว่าสถานที่แห่งนี้เคยเกิดเรื่องร้ายใดขึ้น ย้อนกลับไปกลางดึกของเมื่อคืน หลังจากพระอาทิตย์ลาลับแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาแทนที่ คนของทางการร่วมกับคนคุ้มกันของคนสกุลติงกลุ่มหนึ่งต่างโอบล้อมจัดการกลุ่มโจรร่วมร้อยโดยที่ไม่ให้พวกมันทันได้รู้ตัว เสียงฟาดฟันประหัต ประหารกันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของราตรีกาล ครั้นแล้วโจรกลุ่มใหญ่ก็ตกเป็นผู้แพ้ให้กับคนของทางการและกลุ่มคนคุ้มกันแม้ทางฝ่ายผู้บุกรุกจะมีบาดเจ็บบ้าง แต่ไม่เหมือนกับเหล่าโจรโฉดที่เหล่าพี่น้องของมันตกตายกันหลายคน หลังจากจัดการกับกลุ่มคนชั่วเรียบร้อยหัวหน้าคนของทางการก็จัดการเก็บกวาดจนไม่มีผู้ใดคิดว่าสถานที่แห่งนี้เคยเกิดเรื่องร้ายขึ้นกลับมายังปัจจุบัน หลังครอบครัวหยูเดินทางผ่านศาลาเอ้อเทียนจุดนี้มาแล้ว พวกเขากำลังจอดรถม้าตรงบริเวณหน้าทางแยกแห่งหนึ่ง
“ขอรับ ข้าน้อยจะทำตามที่นายท่านว่า” พ่อบ้านวัยกลางคนรับคำ ครั้นแล้วเขาก็รีบไปทำตามคำสั่งทันทีด้านยงเผยหลังจากได้ทราบเรื่องที่พ่อบ้านรุ่ยมาบอก แม้ภายในจะประหวั่น ทว่าใบหน้านั้นกลับเก็บอาการไม่แสดงออกมา“เรื่องนี้ข้าจะเป็นผู้จัดการเอง ท่านอย่าได้ห่วง” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่นพ่อบ้านทำเพียงพยักหน้ารับไม่ถามสิ่งใดให้มากความจึงได้กลับไปรายงานผู้เป็นนายตามตรงคล้อยหลังพ่อบ้านรุ่ย ชายหนุ่มหนวดเคราครึ้มจึงได้เดินไปยังสัมภาระของตน เขารีบเขียนจดหมายอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครทันได้สังเกตจากนั้นจึงได้เรียกหาศิษย์เอกอันดับหนึ่ง “เสี่ยวจือเจ้ารีบควบม้าไปทางศาลาเอ้อเทียนให้เร็วที่สุด จงนำจดหมายฉบับนี้ไปให้หัวหน้าต่ง จำไว้ว่าต้องให้ถึงมือ เข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มกำชับกับศิษย์ของตนด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเช่นเดียวกับคำพูด“ขอรับท่านอาจารย์” เด็กชายวัยสิบหกประสานมือรับคำเน้นหนักเสียงกุบกับของม้าตัวใหญ่วิ่งฝ่าความมืดท่ามกลางแสงจันทร์สลัวออกไปโดยมีสายตาของผู้เป็นอาจ
ในจังหวะที่หนิงอันกำลังมองพิจารณาเด็กหนุ่มทั้งสองอยู่ “คุณหนู นายท่านเรียกหาเจ้าค่ะ” เด็กหญิงรับใช้วัยสิบสามปีกระซิบข้างหูผู้เป็นนายเสียงเบาเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือน หนิงอันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันหน้าไปสั่งพ่อบ้านวัยกลางคนอย่างสุภาพ “ท่านพ่อบ้านรุ่ยรถม้าทั้งสามคันในช่องลับให้แบ่งสิ่งของที่ข้าจัดเรียงไว้ใส่ลงไปเท่า ๆ กัน เรื่องนี้ท่านต้องเป็นผู้ตรวจสอบอย่าให้ตกหล่นนะเจ้าคะ” “ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนรับคำ เนื่องจากเขารู้ดีว่าสิ่งที่คุณหนูจัดเตรียมไว้นั้นมีอะไรบ้างของมีค่ามีอยู่ไม่มากหากเทียบกับหมึก กระดาษ ตำราของนายท่านที่ล้วนเป็นของมีค่าสำหรับบัณฑิต ย้อนกลับไปในขณะที่หนิงอันปรึกษาคนในครอบครัวในการจัดเก็บข้าวของ “ท่านแม่เจ้าคะ บ
ในขณะที่หนิงอันกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย “ลูกรักของแม่ เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ” เสียงนั้นดังขัดความคิดของเจ้าตัว ทำให้เด็กหญิงรีบลุกจากเก้าอี้เดินมายังเตียงนอนพร้อมปีนกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว“ละเมอหรอกหรือ” เด็กหญิงมองไปยังใบหน้าของหญิงสาวที่เป็นมารดาของร่างเดิมอย่างสงสารและเห็นใจ“ต่อไปนี้ท่านคือแม่ของข้า” อันอันกล่าวออกมาอีกครั้ง จากนั้นเธอก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนเช้าวันต่อมา เสียงนกส่งเสียงเจื้อยแจ้วทำให้ร่างเล็กขยับเปลือกตาก่อนจะลืมตากลมโตมองเพดานห้องนอนอย่างครุ่นคิด ว่าเรื่องเมื่อคืนของตนเป็นเพียงฝันหรือเรื่องจริง กระนั้นเจ้าตัวจึงได้หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาซึ่งเป็นลายมือของตนไม่ผิดแน่“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ข้าน้อยจะไปเรียนฮูหยิน” สาวใช้อายุเจ็ดปีกล่าวอย่างดีใจพร้อมก้าวเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่อันอันได้แต่มองตามตาปริบ ๆ‘อะไรจะรวดเร็วปานนั้นแม่คู๊ณ’ อันอันได้แต่มองตามแผ่นหลังของร่างนั้นโดยไม่ทันได้ปริปากเด็กหญิงกึ่งนั่งกึ่งนอน
“ในที่สุดก็จบสักที คราวนี้จะนอนพักให้ชุ่มปอดเลย เหนื่อยมาหลายวันขอสักตื่นเถอะ” น้ำเสียงแสดงความโล่งอกถอนหายใจยาวก่อนที่เธอจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะโดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวที่ตนได้ขีดเขียนเอาไว้นั้นจะทำให้ตัวละครในเรื่องขอแลกวิญญาณให้เจ้าของเรื่องได้เข้ามาใช้ชีวิตแทนตนเองหนิงอันคือชื่อของเจ้าของร่างที่กำลังหลับสนิทอยู่ในขณะนี้ เธอมีอาชีพแต่งนิยายแม้จะไม่ถึงกับโด่งดังแต่ก็มีผลงานออกมาให้นักอ่านได้เสพความสุขกันอย่างต่อเนื่องนิสัยส่วนตัวเป็นคนชอบความสงบเฉกเช่นชื่อของตน ดังนั้นหลังจากพ่อแม่เสียชีวิตไปจึงอาศัยอยู่คนเดียวมาโดยตลอด มีเพื่อนอยู่หนึ่งคนซึ่งก็คือบ.ก.สำนักพิมพ์ที่กำลังรอผลงานเรื่องที่แต่งค้างอยู่ในเช้าวันต่อมามีเสียงเคาะประตูหน้าห้องพักของหญิงสาวผู้สันโดษทว่าไร้ซึ่งการตอบรับ ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากขาดการติดต่อจากเจ้าของห้องไปตั้งแต่เมื่อวาน ภายในห้อง ร่างโปร