Share

ปีศาจ?

หยูเจียงเมื่อรับรู้ได้ถึงความจริงใจของชาวบ้านเช่นนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำในการตัดสินใจให้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ไม่คิดเปลี่ยนใจมากขึ้น

            แต่ทว่าที่ดินผืนนี้เล็กเกินไปสำหรับการสร้างบ้านของครอบครัวตนที่มีกันอยู่หลายชีวิต

“ท่านเผย ท่านจะอยู่กับข้าหรือว่าจะจากไปอย่างนั้นเหรอ” หยูเจียงเอ่ยถามชายวัยเดียวกัน เนื่องจากเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้คิดอย่างไรจึงได้ถามออกมา คำถามอันแสนตรงไปตรงมาของหยูเจียงทำให้ยงเผยมีสีหน้าครุ่นคิดไปชั่วครู่

ในขณะที่ยงเผยกำลังจะอ้าปากตอบคำถามของบัณฑิตหนุ่มดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเสียก่อน เมื่อมองเห็นร่างบางของหญิงสาวนางหนึ่งเดินจูงมือเด็กชายตัวน้อยมายังทิศทางที่ตนยืนอยู่

หญิงสาวคนนั้นเองก็มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน นางรีบอุ้มบุตรชายของตนเหน็บเข้าที่เอวพร้อมกับหันหลังเพื่อเตรียมจะวิ่งหนี

ทว่ายงเผยจะปล่อยให้นางสมประสงค์ได้อย่างไร ชายหนุ่มจึงรีบใช้วิชาตัวเบากระโจนมาทางนางอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านหลายคนต่างตกตะลึงเช่นเดียวกับหนิงอัน ‘โอ้! เจอเร็วกว่าที่คิดแฮะ’ นางคิดพร้อมกับมองไปยังภาพตรงหน้า

ยงเผยไม่คิดเหลือศักดิ์ศรีของตนเขารีบคุกเข่าลงทันที หญิงคนนั้นทั้งตกใจและคาดไม่ถึงว่าชายผู้ที่เคยเย่อหยิ่งจองหองจะยอมทำเช่นนี้ต่อหน้าตนนางจึงรีบวางลูกชายลงยืนกับพื้น

“ท่านทำอะไร ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้อยากให้คนอื่นมองว่าข้าเป็นหญิงแพศยาหรือท่านถึงได้ทำเช่นนี้” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความโกรธเช่นเดียวกับใบหน้า

“เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะจูเอ๋อร์ ข้าลุกแล้ว” ชายหนุ่มหมายจะจับมือเล็กของหญิงสาว ทว่านางรีบนำมือของตนซ่อนไปด้านหลังอย่างว่องไว

เด็กชายวัยหกขวบมองชายหนุ่มหน้าหนวดผู้ที่กล้าหาญมาเรียกชื่อมารดาอย่างสนิทสนม สีหน้าแสดงความไม่พอใจหัวคิ้วของเขาหมวดมุ่นเข้าหากันแน่น

“ท่านลุง ออกไปห่าง ๆ แม่ข้า” น้ำเสียงเล็ก ๆ นั้นพูดขึ้นอย่างไม่พอใจพร้อมกับเอามือเล็กผลักไปยังต้นขาของชายหนุ่ม

ยงเผยมองการกระทำของเด็กชายอย่างพึงใจ ก่อนถามหญิงสาวน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “จูเอ๋อร์ เด็กคนนี้คือลูกของเราใช่หรือไม่”

เมื่อเด็กชายได้ยินคำว่าลูกออกมาจากปากของชายร่างใหญ่ใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเครา

เขาก็รู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมาก ‘เนื่องจากมารดามักบอกว่าบิดาของเขานั้นรูปงาม รูปร่างองอาจสง่าผ่าเผยแต่ที่เห็นในตอนนี้มันช่างแตกต่างจากที่ตนจินตนาการไว้มากเหลือเกิน’ เขาคิดก่อนที่จะโพล่งสวนออกไป

“ท่านพูดอะไร ท่านแม่เคยบอกว่าบิดาของข้านั้นรูปงาม สง่าผ่าเผยแล้วดูตัวท่านสิ ท่านอย่ามาโป้ปด” เด็กชายตะเบ็งเสียงดังแย้งขึ้นทันที

ยงเผยคิ้วกระตุกกับถ้อยคำของบุตรตัวน้อย พลางคิดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า ‘เจ้าบุตรคนนี้มารดามันเถอะกล้ามาดูถูกคนอย่างข้า’

“เสี่ยวฮ่าว!” หมิงจูเรียกชื่อบุตรชายเสียงเย็นทำให้เด็กชายตัวเล็กยอมสงบปากของตนลง

ชาวบ้านกลุ่มใหญ่หลังจากได้ยินคำกล่าวของคนทั้งสามทำให้พวกเขาพากันสับสน

“หมิงซื่อ[1] สิ่งที่ชายคนนั้นพูดออกมานั้นเป็นจริงหรือไม่ หาไม่แล้วพวกเราจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเจ้าที่ถูกเขาสบประมาท” แม่เฒ่าชราชี้นิ้วไปทางยงเผยเอ่ยถามหญิงสาวผู้พลัดถิ่นอย่างอาทร

หญิงสาวนามหมิงจูแม้ใจไม่อยากจะยอมรับ แต่เมื่อคิดว่าหากปฏิเสธออกไปชาวบ้านผู้น่ารักและแสนใจดีเหล่านี้จะต้องช่วยเหลือตนตามที่พูดเป็นแน่ นางจึงได้แต่กัดปากของตนพยักหน้าอย่างจำใจ

“เขาเป็นสามีของข้า พ่อของฮ่าวเอ๋อร์[2] จริงเจ้าค่ะ” คำพูดของนางเสมือนสายฟ้าฟาดใส่เด็กชายแต่กลับนำพามาซึ่งความยินดีให้กับชายหน้าหนวดยังไม่ทันที่ชายคนนี้จะดีใจ

“ไม่!!..ต้องไม่ใช่ข้าไม่ยอมรับ” ยงฮ่าวน้ำตาไหลอาบแก้มตะโกนจนสุดเสียง

จากนั้นเขาก็วิ่งหนีเข้าป่าข้างทางไปอย่างรวดเร็วไม่ทันให้ใครได้ตั้งตัว การกระทำของเด็กน้อยนั้นนำพามาซึ่งความเจ็บปวดให้ผู้เป็นบิดาเป็นอย่างมาก

“ข้าจะไปตามเขาเอง เจ้าวางใจเถอะ” ยงเผยรีบวิ่งตามเด็กชายไปทันที หนิงอันรู้สึกว่าเหตุการณ์ช่างผิดแปลกไปอย่างสิ้นเชิง

‘แทนที่เด็กชายตัวน้อยจะดีใจเมื่อพบหน้าบิดาแล้วเป็นสะพานเชื่อมให้เขากับมารดาได้คืนดีกันตามเนื้อเรื่องเดิม แต่นี่ลืมไปเถอะสรุปได้ว่าข้าไม่ได้อยู่ในโลกแห่งนิยายของตนอีกต่อไปแล้ว’ หนิงอันแหงนหน้ามองฟ้ากล่าวในใจ

“อาไท่ เจ้าคิดว่าพวกเราควรจะช่วยกันออกตามหา         ฮ่าวเอ๋อร์ดีหรือไม่ นี่ก็บ่ายคล้อยแล้วหากฟ้ามืดข้าเกรงจะเกิดอันตราย” เฒ่าชรากล่าวออกมาอย่างเป็นห่วงเด็กชายคนนั้น

“เรื่องนี้” ในขณะที่อานไท่กำลังลังเลอยู่นั้นเสียงของหยูเจียงก็เอ่ยขึ้นมา “ท่านอาพวกข้าก็จะไปช่วยขอรับ ท่านรีบไปตามคนอื่นเถอะ เด็กตัวแค่นั้นอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้”

ครั้นแล้วอาไท่จึงพยักหน้ารับพร้อมกับรีบขี่ม้าจากไป ทางด้านหยูเจียงจึงได้หันหน้าไปสั่งพ่อบ้านของตน

“เราทั้งสองคนก็ไปช่วยกันตามหาเด็กคนนั้นเถอะ ส่วนเจ้าพ่อจะไปส่งให้อยู่กับแม่ก่อนอย่าดื้อเข้าใจหรือไม่” หยูเจียงบ่ายหน้าไปทางบุตรสาวกล่าวย้ำ

“ท่านพ่อ ให้ข้าไปตามหาเขาด้วยเถอะเจ้าค่ะ อย่างน้อยหากเขายังดื้อดึงข้าเป็นเด็กเหมือนกันน่าจะคุยกับเขาได้ง่ายกว่า” หนิงอันกล่าวประโยคนี้ออกมาหลังจากคิดดีแล้ว

หยูเจียงแม้ไม่อยากจะทำตามคำขอข้อนี้ แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากมายทำให้เขาเชื่อมั่นในตัวบุตรสาวอย่างไม่มีข้อสงสัย “ก็ได้ แต่เจ้าจงจำไว้ว่าต้องเชื่อฟังพ่อ” หยูเจียงยังไม่วายกำชับ

หนิงอันพยักหน้าราวลูกเจี๊ยบจิกข้าวสารทำให้ชาวบ้านยิ่งรู้สึกว่าเด็กน้อยคนนี้ช่างน่ารักน่าเอ็นดูมากขึ้นไปอีก

เฒ่าชราแม้จะมีอาการเจ็บเอวอยู่แต่เรื่องของเด็กชายผู้ที่ตนเห็นมาตั้งแต่เล็กนั้นเขาจะทำเป็นนิ่งเฉยไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงอาสานำทางให้กับพวกหยูเจียงเองโดยไม่รออานไท่

สองป่าข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่กำลังยืนต้นเหี่ยวเฉาคล้ายรอวันแห้งตาย

เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูเหมันต์แม้อากาศจะยังไม่หนาวจัดแต่คงเย็นอยู่มาก อีกอย่างน้ำในลำธารใหญ่ก็เหือดแห้งจนหนิงอันที่กำลังเดินผ่านได้แต่งุนงง ‘เอาไว้ค่อยมาสำรวจภายหลัง’ นางคิดในขณะที่กำลังเดินตามผู้ใหญ่ทั้งสามคน

สองเท้าเล็กของเด็กหญิงเร่งเดินตามผู้ใหญ่จนเหนื่อยหอบ กระนั้นนางก็ไม่ปริปากบ่นออกมา

หยูเจียงรู้สึกสงสารบุตรสาวเป็นอย่างมากเขาจึงนั่งยองหันหลังให้บุตรสาว “อันอันมาขี่หลังพ่อเถิด ข้าจะแบกเจ้าเอง”

หนิงอันมองแผ่นหลังกว้างอย่างลังเล ในที่สุดนางจึงได้แนบลำตัวของตนติดแผ่นหลังกว้างของบิดาผู้มีรูปร่างบอบบางทว่าเขากลับดูแข็งแกร่งในความรู้สึกของนางเป็นอย่างมาก

หยูเจียงผู้มีบุตรสาวอยู่บนหลังหาได้ความเร็วลดลงไม่ แม้ว่าเขาจะเป็นบัณฑิตแต่เนื่องจากตอนยังเด็กทำงานหนักมาไม่น้อยดังนั้นการแบกเด็กตัวเล็กจึงไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก

            คนทั้งสองของครอบครัวหยูต่างเดินตามผู้เฒ่าอย่างไม่ลดละ อย่าดูถูกชายชราอายุเจ็ดสิบกว่าคนนี้เด็ดขาดแม้จะอายุมากทว่าสองเท้าของเขากลับเดินได้อย่างคล่องแคล่ว

            อีกทั้งการแกะรอยของเขานั้นก็แม่นยำ เพราะในตอนนี้พวกเขาทั้งสี่คนได้มาเจอยงเผยแล้วนั่นเอง

ชายหนุ่มได้แต่ยืนคอตกอยู่หน้าโพรงที่เล็กกว่าตัวของเขาแต่ใหญ่กว่าตัวของหนิงอันเล็กน้อยด้านหน้า

            “เสี่ยวฮ่าวล่ะ” น้ำเสียงแหบแห้งของชายชราถามขึ้นทันทีเมื่อมองไม่เห็นเด็กชายตัวน้อย ยงเผยยกนิ้วชี้ข้างขวาไปทางโพรงแห่งนั้น

            “เล็กขนาดนี้จะเข้าไปยังไง” พ่อบ้านรุ่ยเอ่ยขึ้นน้ำเสียงไม่ดีนัก ในขณะเดียวกันก็กวาดสายตามองสำรวจด้านในไปด้วย

            “ท่ายยงแน่ใจหรือว่าเด็กคนนั้นเข้าไปในนี้” หยูเจียงถามชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังมีใบหน้าหม่นอย่างที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน

            ยงเผยทำเพียงพยักหน้ารับภายในใจรู้สึกหวาดกลัวเนื่องจากเขาไม่รู้ว่าด้านในนั้นจะมีสัตว์อันตรายอยู่หรือไม่

            “ท่านพ่อให้ข้าเข้าไป” หนิงอันพูดขึ้น ครั้งนี้หยูเจียงไม่คิดทำตามคำขอของบุตรีด้วยกลัวจะเกิดอันตรายเขาจึงนิ่งเฉยให้กับคำขอของนาง

            ยงเผยดวงตาสว่างวาบแต่แล้วก็อับแสงลงอีกครั้ง ‘ข้าจะให้ใครมาเสี่ยงเรื่องของตนไม่ได้อย่างเด็ดขาด’ เขาค้านในใจ

            หนิงอันขยับตัวไปมาด้านหลังของบิดาทำให้หยูเจียงจำใจต้องให้นางยืนลงกับพื้นเพราะกลัวว่าเจ้าตัวเล็กจะตกลงมา

            “ท่านพ่อ ได้โปรดเชื่อใจข้า” เด็กหญิงนำมือเล็กของตนประคองไปที่หน้าของบิดาพูดอย่างแน่วแน่

            “ตะ...” หยูเจียงกำลังจะเอ่ยค้านทว่าก็ไม่ทันความเร็วของบุตรสาวที่วิ่งลับหายเข้าไปในโพรงเสียแล้ว

            โพรงแห่งนี้สำหรับเด็กตัวเล็กอย่างหนิงอันกับยงฮ่าวถือว่าไม่เล็กแต่ไม่ใช่สำหรับผู้ใหญ่ตัวโต สองเท้าของเด็กหญิงก้าวเดินอย่างระมัดระวังตามแสงสว่างที่ลอดผนังถ้ำลงมาจากด้านบน

            “พี่ชายท่านอยู่ไหน ตอนนี้ข้ากลัวมากเลยออกมาช่วยข้าหน่อย” หนิงอันป้องปากตะโกนร้องเรียกหาเด็กชายผู้อายุมากกว่า ส่วนสองตาก็คอยสาดส่ายไปจนทั่ว

            ยังไม่ทันที่นางจะพบเข้ากับเด็กชายตัวน้อยก็เห็นของดีเข้าเสียก่อน “จะใช่ไหมนะ” อันอันรีบสาวเท้าน้อย ๆ ของตนเดินไปยังจุดที่เห็นทันทีด้วยใจลุ้นระทึก

            “โฮะ ๆ สวรรค์ก็ไม่ใจร้ายกับข้านัก” เสียงหัวเราะคล้ายกับตัวร้ายดังสะท้อนไปทั่วทั้งโถงถ้ำ

ทำให้ยงฮ่าวผู้กำลังนั่งก้มหน้ากอดเข่าตัวสั่นอย่างหวาดกลัว ‘ต้องเป็นปีศาจแน่ ๆ เสียงหัวเราะแหลมสูงขนาดนี้      ข้าจะทำยังไงดี ทำยังไง ท่านแม่ช่วยลูกด้วย’ เด็กชายยิ่งเอามือโอบกอดเข่าของตนแน่นคิดอย่างหวาดหวั่น

ส่วนหนิงอันตัวน้อยผู้ไม่รู้ว่าได้ทำอะไรลงไปก็กำลังคิดหาวิธีนำเทพเจ้าแห่งชีวิตออกไปด้านนอก

‘ข้าเจอของดีแต่จะเอาออกไปได้ยังไง ทำไมข้าไม่เขียนให้เด็กคนนี้มีมิติหรือตัวช่วยวิเศษนะ ยัยอันอันจอมบื้อ’

อันอันนั่งอยู่หน้าเห็ดหลินจือที่มีทั้งสีน้ำตาลแดง สีเหลือง สีขาวทั้งเล็กและใหญ่อย่างเจ็บใจน้ำตาจวนเจียนจะหยด

ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า “หนูน้อยเจ้ามาช่วยข้าสิ สิ่งที่เจ้าอยากได้ข้าจะทำให้เป็นจริง” เสียงเล็ก ๆ นั้นพูดหลอกล่อ

[1] ซื่อในที่นี้หมายถึงคำต่อท้ายเรียกหญิงที่แต่งงานแล้ว

[2] เอ๋อร์ในที่นี้หมายถึงใช้เรียกบุคคลที่อายุน้อยกว่าตน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   ตอนที่ 9 น้องสาว

    เมื่อรับรู้ว่าตอนนี้พวกเขาได้กลับมายังหมู่บ้านแล้วเด็กชายจึงเริ่มดิ้นรนออกจากอ้อมแขนแกร่งของคนที่โอบอุ้มยงเผยจำต้องปล่อยให้เขาลงยืนอยู่บนพื้นด้วยเกรงว่าเด็กคนนี้จะตกลงมาแล้วบาดเจ็บในจังหวะเดียวกันนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าแม่ของเด็กชายได้เดินมาทางเขาสีหน้าเต็มไปด้วยความกลัวและจะกล้าลงมือกับเด็กตัวน้อยได้ลงคอเสียงเผียะ! ดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปยังต้นเสียงเป็นตาเดียว “แม่เคยบอกเจ้าว่าอย่างไรเหตุใดถึงไม่ฟัง” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวเจือด้วยเสียงสะอื้นของผู้ยังมีไม้เรียวเล็กอยู่ในมืออันสั่นเทาข้างนั้นพูดกับเด็กชายเสียงดัง “ฮือ ๆ ท่านแม่ข้าขอโทษเป็นข้าผิดเองท่านอย่าร้องไห้อีกเลย ต่อไปนี้ข้าให้สัญญาว่าจะไม่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้อีก” เด็กน้อยผู้ถูกตีน้ำตาไหลอาบแก้มมอมทั้งสองข้างโอบเอวของมารดาแน่นกล่าวสำนึกผิดทั้งน้ำตา หญิงสาวคนนั้นรีบทิ้งไม้ในมือของตนลงก่อนย่อตัวลงนั่งโอบกอดเด็กชายตัวเล็กแน่นไม่แพ้กันส

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   ตอนที่ 8 ไม่ยอมรับจริง?

    อันอันหยุดน้ำตาของตัวเองลงอย่างฉับพลัน มองซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวังพลางตะโกนถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ“เจ้าเป็นใครคนหรือผี” ใจเต้นตุบตับในอกข้างซ้ายรัวเหมือนกลองศึกก็ไม่ปาน “เจ้าสิผี ข้าไม่ใช่ทั้งมนุษย์และผีนั่นแหละ ข้าคือผู้รับใช้ของเทพเสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่เลยนะเจ้าเด็กมนุษย์ตัวเหม็น” น้ำเสียงอันหยิ่งผยองโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน อันอันคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของสิ่งมีชีวิตตัวนั้น ทำให้นางผู้ปากไวอดที่จะย้อนออกไปไม่ได้เช่นกัน“แหม ๆ ท่านเทพผู้รับใช้เสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่หากท่านเก่งกาจจริงดั่งที่ว่าเห็นทีคงไม่ต้องร้องขอให้เด็กอย่างข้าช่วยหรอกกระมั้ง” สิ้นคำของเด็กหญิงสัตว์เทพก็ถึงกับอยากจะกระอักเลือดออกมา ‘หน็อยยัยเด็กตัวแสบกล้ายอกย้อนข้าเชียวหรือ หากหลุดออกไปได้ข้าจะทรมานเจ้าให้หนำใจเลย’สัตว์ตัวเล็กคิดอย่างเดือดดาลโดยลืมคำเตือนทั้

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   ปีศาจ?

    หยูเจียงเมื่อรับรู้ได้ถึงความจริงใจของชาวบ้านเช่นนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำในการตัดสินใจให้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ไม่คิดเปลี่ยนใจมากขึ้น แต่ทว่าที่ดินผืนนี้เล็กเกินไปสำหรับการสร้างบ้านของครอบครัวตนที่มีกันอยู่หลายชีวิต“ท่านเผย ท่านจะอยู่กับข้าหรือว่าจะจากไปอย่างนั้นเหรอ” หยูเจียงเอ่ยถามชายวัยเดียวกัน เนื่องจากเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้คิดอย่างไรจึงได้ถามออกมา คำถามอันแสนตรงไปตรงมาของหยูเจียงทำให้ยงเผยมีสีหน้าครุ่นคิดไปชั่วครู่ในขณะที่ยงเผยกำลังจะอ้าปากตอบคำถามของบัณฑิตหนุ่มดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเสียก่อน เมื่อมองเห็นร่างบางของหญิงสาวนางหนึ่งเดินจูงมือเด็กชายตัวน้อยมายังทิศทางที่ตนยืนอยู่หญิงสาวคนนั้นเองก็มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน นางรีบอุ้มบุตรชายของตนเหน็บเข้าที่เอวพร้อมกับหันหลังเพื่อเตรียมจะวิ่งหนีทว่ายงเผยจะปล่อยให้นางสมประสงค์ได้อย่างไร ชายหนุ่มจึงรีบใช้วิชาตัวเบากระโจนมาทางนางอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านหลายคนต่างตกตะลึงเช่นเดียวกับหนิงอัน ‘โอ้! เจอเร็วกว่าท

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   เป็นมิตร

    เสียงฝีเท้าม้าผสานกับเสียงล้อเกวียนของตัวรถบด ถนนดินลูกรังเดินเข้ามาในหมู่บ้านอย่างเชื่องช้า หนิงอันจึงเปิดหน้าต่างออกดูแต่แล้ว “แค่ก ๆ” เสียงไอยามฝุ่นฟุ้งเข้าปากและจมูกทำให้เด็กหญิงผู้มีวิญญาณมาจากอนาคตจำต้องปิดหน้าต่างทันที “เจ้าช่างซนเสียจริง” ผู้เป็นย่าเอ่ยติงแกมสงสารยามเห็นท่าทางของหลานสาวผู้กำลังไอหน้าดำหน้าแดง ผู้เป็นมารดาจึงได้นำผ้าเช็ดหน้าของตนมาเช็ดใบหน้าอันเลอะฝุ่นสีแดงให้ลูกน้อยอย่างเบามือ“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เจ้าตัวเล็กกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างทำให้หญิงต่างวัยทั้งสองอดรู้สึกเอ็นดูในความน่ารักนี้ไม่ได้จึงทำให้พวกนางยิ้มออกมา ยงเผยบังคับรถม้าจนกระทั่งมองเห็นชาวบ้านชายหนุ่มจึงได้หยุดรถม้าลง ชาวบ้านวัยกลางค

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   ข้ายังอยู่ในนิยายของตนหรือไม่?

    เช้าวันรุ่งขึ้นคณะการเดินทางของครอบครัวหยูก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงศาลาเอ้อเทียน ยงเผยกับศิษย์เอกทั้งสองรวมถึงหยูเจียงก็มองเห็นเพียงความรกร้างว่างเปล่า ไร้ซึ่งร่องรอยใด ๆ ว่าสถานที่แห่งนี้เคยเกิดเรื่องร้ายใดขึ้น ย้อนกลับไปกลางดึกของเมื่อคืน หลังจากพระอาทิตย์ลาลับแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาแทนที่ คนของทางการร่วมกับคนคุ้มกันของคนสกุลติงกลุ่มหนึ่งต่างโอบล้อมจัดการกลุ่มโจรร่วมร้อยโดยที่ไม่ให้พวกมันทันได้รู้ตัว เสียงฟาดฟันประหัต ประหารกันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของราตรีกาล ครั้นแล้วโจรกลุ่มใหญ่ก็ตกเป็นผู้แพ้ให้กับคนของทางการและกลุ่มคนคุ้มกันแม้ทางฝ่ายผู้บุกรุกจะมีบาดเจ็บบ้าง แต่ไม่เหมือนกับเหล่าโจรโฉดที่เหล่าพี่น้องของมันตกตายกันหลายคน หลังจากจัดการกับกลุ่มคนชั่วเรียบร้อยหัวหน้าคนของทางการก็จัดการเก็บกวาดจนไม่มีผู้ใดคิดว่าสถานที่แห่งนี้เคยเกิดเรื่องร้ายขึ้นกลับมายังปัจจุบัน หลังครอบครัวหยูเดินทางผ่านศาลาเอ้อเทียนจุดนี้มาแล้ว พวกเขากำลังจอดรถม้าตรงบริเวณหน้าทางแยกแห่งหนึ่ง

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   ไม่เหมือนเดิม

    “ขอรับ ข้าน้อยจะทำตามที่นายท่านว่า” พ่อบ้านวัยกลางคนรับคำ ครั้นแล้วเขาก็รีบไปทำตามคำสั่งทันทีด้านยงเผยหลังจากได้ทราบเรื่องที่พ่อบ้านรุ่ยมาบอก แม้ภายในจะประหวั่น ทว่าใบหน้านั้นกลับเก็บอาการไม่แสดงออกมา“เรื่องนี้ข้าจะเป็นผู้จัดการเอง ท่านอย่าได้ห่วง” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่นพ่อบ้านทำเพียงพยักหน้ารับไม่ถามสิ่งใดให้มากความจึงได้กลับไปรายงานผู้เป็นนายตามตรงคล้อยหลังพ่อบ้านรุ่ย ชายหนุ่มหนวดเคราครึ้มจึงได้เดินไปยังสัมภาระของตน เขารีบเขียนจดหมายอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครทันได้สังเกตจากนั้นจึงได้เรียกหาศิษย์เอกอันดับหนึ่ง “เสี่ยวจือเจ้ารีบควบม้าไปทางศาลาเอ้อเทียนให้เร็วที่สุด จงนำจดหมายฉบับนี้ไปให้หัวหน้าต่ง จำไว้ว่าต้องให้ถึงมือ เข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มกำชับกับศิษย์ของตนด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเช่นเดียวกับคำพูด“ขอรับท่านอาจารย์” เด็กชายวัยสิบหกประสานมือรับคำเน้นหนักเสียงกุบกับของม้าตัวใหญ่วิ่งฝ่าความมืดท่ามกลางแสงจันทร์สลัวออกไปโดยมีสายตาของผู้เป็นอาจ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   คิดสิคิด

    ในจังหวะที่หนิงอันกำลังมองพิจารณาเด็กหนุ่มทั้งสองอยู่ “คุณหนู นายท่านเรียกหาเจ้าค่ะ” เด็กหญิงรับใช้วัยสิบสามปีกระซิบข้างหูผู้เป็นนายเสียงเบาเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือน หนิงอันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันหน้าไปสั่งพ่อบ้านวัยกลางคนอย่างสุภาพ “ท่านพ่อบ้านรุ่ยรถม้าทั้งสามคันในช่องลับให้แบ่งสิ่งของที่ข้าจัดเรียงไว้ใส่ลงไปเท่า ๆ กัน เรื่องนี้ท่านต้องเป็นผู้ตรวจสอบอย่าให้ตกหล่นนะเจ้าคะ” “ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนรับคำ เนื่องจากเขารู้ดีว่าสิ่งที่คุณหนูจัดเตรียมไว้นั้นมีอะไรบ้างของมีค่ามีอยู่ไม่มากหากเทียบกับหมึก กระดาษ ตำราของนายท่านที่ล้วนเป็นของมีค่าสำหรับบัณฑิต ย้อนกลับไปในขณะที่หนิงอันปรึกษาคนในครอบครัวในการจัดเก็บข้าวของ “ท่านแม่เจ้าคะ บ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   ข้าลิขิตใหม่ก็ได้

    ในขณะที่หนิงอันกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย “ลูกรักของแม่ เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ” เสียงนั้นดังขัดความคิดของเจ้าตัว ทำให้เด็กหญิงรีบลุกจากเก้าอี้เดินมายังเตียงนอนพร้อมปีนกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว“ละเมอหรอกหรือ” เด็กหญิงมองไปยังใบหน้าของหญิงสาวที่เป็นมารดาของร่างเดิมอย่างสงสารและเห็นใจ“ต่อไปนี้ท่านคือแม่ของข้า” อันอันกล่าวออกมาอีกครั้ง จากนั้นเธอก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนเช้าวันต่อมา เสียงนกส่งเสียงเจื้อยแจ้วทำให้ร่างเล็กขยับเปลือกตาก่อนจะลืมตากลมโตมองเพดานห้องนอนอย่างครุ่นคิด ว่าเรื่องเมื่อคืนของตนเป็นเพียงฝันหรือเรื่องจริง กระนั้นเจ้าตัวจึงได้หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาซึ่งเป็นลายมือของตนไม่ผิดแน่“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ข้าน้อยจะไปเรียนฮูหยิน” สาวใช้อายุเจ็ดปีกล่าวอย่างดีใจพร้อมก้าวเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่อันอันได้แต่มองตามตาปริบ ๆ‘อะไรจะรวดเร็วปานนั้นแม่คู๊ณ’ อันอันได้แต่มองตามแผ่นหลังของร่างนั้นโดยไม่ทันได้ปริปากเด็กหญิงกึ่งนั่งกึ่งนอน

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   กรรมของอันอัน

    “ในที่สุดก็จบสักที คราวนี้จะนอนพักให้ชุ่มปอดเลย เหนื่อยมาหลายวันขอสักตื่นเถอะ” น้ำเสียงแสดงความโล่งอกถอนหายใจยาวก่อนที่เธอจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะโดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวที่ตนได้ขีดเขียนเอาไว้นั้นจะทำให้ตัวละครในเรื่องขอแลกวิญญาณให้เจ้าของเรื่องได้เข้ามาใช้ชีวิตแทนตนเองหนิงอันคือชื่อของเจ้าของร่างที่กำลังหลับสนิทอยู่ในขณะนี้ เธอมีอาชีพแต่งนิยายแม้จะไม่ถึงกับโด่งดังแต่ก็มีผลงานออกมาให้นักอ่านได้เสพความสุขกันอย่างต่อเนื่องนิสัยส่วนตัวเป็นคนชอบความสงบเฉกเช่นชื่อของตน ดังนั้นหลังจากพ่อแม่เสียชีวิตไปจึงอาศัยอยู่คนเดียวมาโดยตลอด มีเพื่อนอยู่หนึ่งคนซึ่งก็คือบ.ก.สำนักพิมพ์ที่กำลังรอผลงานเรื่องที่แต่งค้างอยู่ในเช้าวันต่อมามีเสียงเคาะประตูหน้าห้องพักของหญิงสาวผู้สันโดษทว่าไร้ซึ่งการตอบรับ ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากขาดการติดต่อจากเจ้าของห้องไปตั้งแต่เมื่อวาน ภายในห้อง ร่างโปร

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status