ไม่รู้ว่าคนดีหลับไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็เช้าวันใหม่แล้ว เธอลุกจากเตียงนอนชั้นที่ 2 ก่อนจะปีนบันไดลิงลงมา พลันเห็นว่าปันกลับมาแล้ว เธอนอนคว่ำหน้าอยู่ที่เตียงชั้นล่างและยังคงอยู่ในชุดเดิมที่เจอเมื่อวานนี้ หลังจากที่เข้าห้องน้ำทำกิจวัตรประจำวันเสร็จสรรพพลันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เอาอะไรออกมาจากบ้านเลยแม้กระทั่งเสื้อผ้า ยังไงซะเธอก็ต้องกลับไปเอาของใช้จำเป็นออกมาก่อน คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็รีบออกจากห้องแล้วรีบบึ่งไปที่บ้านในทันที
“หึ กูว่าแล้วเชียวยังไงมึงก็ต้องกลับมา”
เสียงแหลมเล็กของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่แท้ๆ เอ่ยทักหลังจากที่เห็นว่าคนดีเดินเข้ามาในบ้านโดยที่เธอกำลังนั่งดูละครจักรๆวงศ์ๆอยู่ที่ข้างล่างอย่างสบายใจ พลันเห็นหน้าลูกสาวก็รู้สึกหงุดหงิดในทันที
“หนูแค่กลับมาเอาเสื้อผ้าน่ะจ้ะ เก็บเสร็จหนูก็จะไปแล้ว”
เธอพูดบอกก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนบ้านโดยไม่ได้สนใจเสียงที่ตะโกนมาตามหลัง ไม่คิดสนใจคำด่าพวกนั้น ทว่าต่อให้เธอหลอกตัวเองไม่ให้คิดมันก็อดไม่ได้อยู่ดี
“กูก็นึกว่าจะแน่ คิดว่าตัวเองวิเศษวิโสกว่าชาวบ้าน สุดท้ายก็กลับมาตายรังอยู่ดี”
คว้าอะไรได้ก็รีบยัดใส่กระเป๋า พลันเอาหลังมือเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ นึกน้อยใจคำดูถูกของผู้เป็นมารดา มีไหมที่เธอจะได้รับคำชมหรือแม้กระทั่งคำพูดดีๆ จากปากของผู้หญิงคนนี้บ้าง จนบางครั้งเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอใช่ลูกจริงๆหรือเปล่า ทำไมถึงทำเหมือนกับเธอไม่ใช่ลูกแบบนั้น
เดินลงมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม แต่แทนที่คนตรงข้ามจะสงสาร กลับทำหน้าหงุดหงิดใส่
“ฮึก ต่อจากนี้แม่ดูแลตัวเองด้วยนะจ๊ะ หนูไปล่ะ” ปาดน้ำตากล่าวลาพร้อมกับยกมือไหว้เป็นครั้งสุดท้าย
“มึงไม่ต้องมาไหว้กู ออกไปก็อย่ากลับมานะอีคนดี อีลูกเวร เลี้ยงเสียข้าวสุก แทนที่จะอยู่ดูแลกูให้กูสุขสบายตอนแก่บ้าง นี่อะไรคิดจะออกจากบ้านท่าเดียว ถ้าท้องไม่มีพ่อก็อย่ากลับมาให้กูเลี้ยงนะ กูไม่เอา”
“ขอหนูถามครั้งสุดท้ายได้ไหมจ๊ะ ฮึก แม่เคยเห็นหนูเป็นลูกอยู่หรือเปล่า ทำไมแม่ทำกับหนูเหมือนหนูไม่ใช่ลูกแม่เลย” คนดีขอถามเรื่องที่เธอยังคาใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะไป
“กูเป็นแม่มึง กูคลอดมึงมากับมือ มึงเป็นลูกแต่มึงไม่เคยทำอะไรให้กูชื่นใจเลยสักครั้ง แล้วแบบนี้จะให้กูพูดดีกับมึงได้ยังไง” หญิงวัยกลางคนเริ่มพูดอ่อนลง
“การที่จะให้หนูเหมือนกับแม่เหรอ ฮึก แม่รู้ไหมว่าหนูต้องอยู่คนเดียวมานานหลายปีส่วนหนึ่งก็เพราะมัน ฮึก เพราะมันไม่ใช่เหรอที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องไปนอนอยู่ในคุกตั้งหลายปี”
“อีคนดี กูเป็นแม่มึงนะ ไม่ต้องมาสั่งสอนกู มึงเอาตัวเองให้รอดก่อนที่จะมาสั่งสอนคนอย่างกูดีกว่า ถ้ามึงหมดคำถามแล้วก็เชิญไสหัวออกไปจากบ้านกูเดี๋ยวนี้ แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก” ชี้นิ้วไล่ลูกสาวให้ออกไป
“จ้ะ หนูไปนะ”
ปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนที่หญิงสาวจะหมุนตัวและรีบสาวเท้าออกจากบ้านโดยไม่สนใจสายตาชาวบ้านที่มองตามหลัง แต่มีหรือที่เธอจะอาย คนที่อายต้องเป็นคนที่ทำผิดและนั่นไม่ใช่เธออย่างแน่นอน เธอไม่สนใจหรอกว่าใครจะซุบซิบนินทาว่าร้ายยังไง คำพวกนั้นมันไม่ได้ช่วยให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้นเลยสักนิด
คิดได้ดังนั้นสัญญากับตัวเองว่าจะไม่กลับมาเหยียบบ้านนี้อีกแน่นอน ต่อให้เธอยอมขายศักดิ์ศรีตัวเองเพื่อความอยู่รอดก็ตาม
ค่ำคืนแรกของการทำงาน เธอถูกเปียจับแต่งตัวเป็นคนใหม่จนแทบจะจำตัวเองก่อนหน้านี้ไม่ได้ ชุดเดรสเกาะอกสีดำเผยเนินอวบอิ่มเกินตัว ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางหวาน ผมดำยาวสลวยถึงกลางหลัง นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มไร้ซึ่งแว่นตาหนา แต่แทนที่ด้วยคอนแทคเลนส์เหมาะสำหรับสายตา ยืนมองตัวเองในกระจกที่ห้องแต่งตัวด้วยความอึ้ง นี่ใช่เธอจริงๆ หรือ
“อึ้งล่ะสิ ฝีมือการแต่งหน้าของเจ๊ยังไม่ตกนะ”
เปียพูดบอกอย่างภาคภูมิใจ โดยปกติแล้วเด็กใหม่ที่เข้ามาไม่จำเป็นต้องดูแลเหมือนคนดีเลยสักคน หลายคนที่เข้ามาก็ดูจะเป็นงานด้วยกันทั้งนั้น แต่ไม่ใช่สำหรับคนดี ที่เธอเห็นแววของเด็กคนนี้ต้องแต่พบกันครั้งแรก
“ขอบคุณนะคะเจ๊” หญิงสาวพนมมือไหว้คนแก่กว่า
“ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าพรุ่งนี้เราต้องทำเองแล้วนะ แต่เจ๊จะช่วยดูช่วยเทรนไปก่อนจนกว่าจะเป็นงานเข้าใจไหม”
คนดีพยักหน้าเข้าใจ พร้อมกับมองตัวเองในกระจกอีกครั้ง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พำพึมกับตัวเองในกระจกว่าต้องทำได้สิ งานแค่นี้เอง แค่ทำยังไงก็ได้ให้แขกยอมควักเงินออกมาซื้อดริ๊งก์ก็พอแล้ว ยอมดื่มแค่แก้วสองแก้วก็คงไม่เมาหรอกมั้ง
เอาจริงๆ เธอดื่มเหล้าไม่เป็น และไม่คิดว่าจะลอง แต่วันนี้เธอต้องมาทำงานที่ต้องใช้มันเป็นเครื่องมือทำมาหากิน อยากจะเขกหัวตัวเองแรงๆ ถ้ารู้ว่าต้องมาทำงานนี้ เธอคงฝึกดื่มไว้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว
“เจ๊จะบอกอะไรให้อย่างนะคนดี เวลาอยู่ต่อหน้าแขกเราต้องมีความมั่นใจ เราต้องมั่นใจให้มากกว่านี้ เขามาที่นี่ก็เพื่อพักสมองจากเรื่องเครียดๆ ที่พวกเขาเจอในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นเราต้องมั่นใจว่าเราสามารถมอบความสุขให้แก่พวกเขาได้เข้าใจไหม”
“...”
“อย่าคิดว่าอาชีพของเราไม่มีศักดิ์ศรี อาชีพนี้เป็นอาชีพสุจริตอาชีพหนึ่ง เรามาทำงานเพื่อกอบโกยเงินให้มากที่สุดก็พอ”
จับมือบางให้กำลังใจ ก่อนที่เธอจะลุกออกไปทำหน้าที่ของเธอตามปกติ
ร้าน Popcorn bar เป็นเลาจน์ขนาดกลางเพราะพึ่งเปิดใหม่ได้ไม่ถึงสองปี ที่ร้านนี้มีชื่อเสียงโด่งดังส่วนหนึ่งก็เพราะพูดกันปากต่อปากว่าเด็กที่นี่เรียกได้ว่าสวยระดับตัวท็อป และเจ๊เปียเจ้าของนั้นสายตาแหลมคมคัดสรรแต่เด็กหน้าตาดีเข้าร้าน จนสามารถสร้างรายได้เข้าร้านเป็นกอบเป็นกำ ส่วนราคาดริ๊งก์ของร้านนี้เริ่มต้นก็ดริ๊งก์ล่ะสามร้อยเก้าสิบเก้าบาทจนถึงหลักพัน ขึ้นอยู่กับเรตติ้งและคารมในการเรียกลูกค้าของแต่ละคน ส่วนเด็กใหม่อย่างคนดีนั้นจะเปิดที่ดริ๊งก์ละห้าร้อยเก้าสิบเก้าบาทขั้นต่ำสิบดริ๊งก์ ซึ่งเธอต้องทำให้แขกเรียกเธอไปนั่งให้ได้ในคืนนี้
“ตื่นเต้นเหรอ”
หญิงสาวใบหน้าคมเดินมาเอ่ยทักคนดี ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นรูมเมทของเธอ วันนี้เธออยู่ในชุดเดรสสีเงินเกาะอกกับใส่วิกผมสีน้ำตาลสั้นถึงติ่งหู ปันเป็นคนมีเสน่ห์มาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น อย่าว่าแต่ผู้ชายจะชอบเลย ขนาดคนดีเป็นผู้หญิงด้วยกันยังรู้สึกเขินเลยเมื่ออยู่ใกล้เธอ
“นิดหน่อยน่ะ ปันล่ะ...ไม่ตื่นเต้นเหรอ”
ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไร คนดีจึงเอ่ยถามปันไปแบบนั้น ดูจากหน้าตาแล้วปันน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ แต่ติดตรงที่ว่าปันเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ถึงจะอยู่ห้องเดียวกัน แต่อาณาเขตในการใช้พื้นที่นั้นเธอแบ่งอย่างชัดเจน
“รุ่นนี้แล้ว ไม่ตื่นเต้นแล้วล่ะ”
“ปันทำงานที่นี่นานแล้วเหรอ”
“ก็ตั้งแต่ร้านเปิดน่ะ”
คนดีพยักหน้าอย่างเข้าใจ ร้านนี้เปิดมาได้ปีกว่าแล้ว ซึ่งนั้นก็เท่ากับอายุงานของปันเช่นกัน
“แต่ว่านะ...ถ้าคิดว่าจะยึดอาชีพนี้ถาวร เตือนว่าอย่าดีกว่า แขกแต่ละคนก็มีเด็กประจำ ถ้าไม่อยากโดนเขม่นก็อยู่เงียบๆ ไว้ล่ะ อย่าหาว่าปันไม่เตือน” ยกยิ้มที่มุมปากก่อนก็เดินออกไป ทิ้งท้ายไว้ให้กับเด็กใหม่ได้คิด
ยังไม่ทันไรคนดีก็รู้สึกเหมือนเธอถูกเกลียดเสียแล้ว เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะมาตัดช่องทำมาหากินของใคร เพียงแต่เธอแค่มาทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เธอตั้งใจไว้แล้ว หากผ่านเดือนนี้ไปได้ เธอคงหางานอื่นทำอย่างแน่นอน
ไม่นานนักแขกก็เรียงรายกันเข้ามาในร้านไม่ขาดสาย เหล่าบรรดาเด็กๆ ในร้านออกไปต้อนรับผู้มาเยือน และเรียกร้องให้ชวนเธอไปบริการให้ ผิดกับคนดี...เธอได้แต่นั่งนิ่งเฉยและไม่รู้จะทำตัวยังไงดี จึงทำได้แต่เพียงนั่งมองเหล่ารุ่นพี่ต้อนรับแขกไปพลางๆ แต่ก็มีบางจังหวะที่ลูกค้าเดินมาหาเธอ แต่ก็ถูกบรรดาเด็กที่เคยดิวดักไว้เสียก่อน ถึงอย่างนั้นเธอเชื่อว่าอีกไม่นานเธอก็ต้องได้รับเลือกเหมือนคนอื่นๆ
“เดี๋ยวอีกสิบนาทีคุณมังกรจะเข้าร้าน ขอให้เด็กๆ ทุกคนเตรียมตัวนะครับ”
เสียงประกาศจากลำโพงดังขึ้นทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ไม่ใช่ว่าเธอจะตื่นเต้นเพราะจะได้โชว์ตัวครั้งแรก แต่เพราะชื่อของแขกกระเป๋าหนักที่จะขอดูเด็กนั้นดันเหมือนชื่อของพี่ชายเพื่อนสนิทของคนดี
‘คงไม่หรอกมั้ง ชื่อนี้ใครๆ ก็ใช้กันถมเถไป คงไม่บังเอิญมาเจอคนรู้จักในนี้หรอก’
ปลอบใจตัวเองพลันส่ายหัวตั้งสมาธิขอให้แขกคนนี้เรียกเธอไปนั่งด้วยเถอะ ตั้งแต่เปิดร้านมาก็ไม่มีแขกคนไหนเรียกตัวเธอไปนั่งเลยด้วยซ้ำ อย่างว่าแหละ แขกที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นขาประจำกันทั้งนั้น อีกทั้งยังมีเด็กประจำอยู่แล้ว ไม่แปลกที่เธอยังจะไม่ถูกเรียกตัว
พอถึงเวลาตามนัด เหล่าบรรดาเด็กในร้านก็เข้ามารวมตัวกันอยู่ในสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นห้องสำหรับคนที่เปิดบิลตั้งแต่ห้าหมื่นบาทขึ้นไป หญิงสาวหน้าตาดีหลายคนต่างเข้ามายืนเบียดเสียดและทำตัวเองให้เด่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหวังว่าพวกเธอจะได้เป็นผู้ที่ถูกเลือกในค่ำคืนนี้
ส่วนคนดีเองเข้ามาในห้องเกือบเป็นคนสุดท้ายเลยก็ว่าได้ เพราะคนในห้องมีมากเกินไป และไฟในห้องก็ค่อนข้างมืด ทำให้เธอแทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย ทว่าขณะที่เธอกำลังเพ่งมองคนที่นั่งอยู่โซฟาตัวยาว หญิงสาวถึงกับผงะไปเมื่อเห็นเจ้าของดวงตาเฉี่ยว ใบหน้าขรึม ผมดำ ในชุดดำเผยแผงอกรอยสักรูปหัวมังกรด้านซ้ายกับรูปปลาคราบทางอกด้านขวาเพียงแค่นี้เธอก็รู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าเธอนั้นคือใคร และที่สำคัญยังเป็นคนที่เธอไม่อยากเจอหน้าอีกด้วย
.
.
.
“เฮียมังกร”