LOGIN‘…ไม่อยากเรียนหมอแต่ยังสอบติดหมอได้ คนหรืออเวนเจอร์’
‘แต่สอบเข้ากับเรียนจริงมันไม่เหมือนกันนะ นี่ขนาดโกงแล้วยังสอบตกคิดดู…’
‘เรียนอย่างมีความสุข ได้เป็นเดือนคณะสื่อสารมวลชน แถมจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอีกต่างหาก…’ นี่คือสิ่งที่หลายคนรู้เกี่ยวกับของลูกชายคนสุดท้องผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนเก่ง
‘หลักฐานกล้องวงจรปิดชี้ชัดว่าคุณธาวินเจตนาทุจริตการสอบนะครับ แต่เห็นแก่อาจารย์เดชดำรงค์ ทางเราเลยขอแจ้งเป็นการส่วนตัวนะครับ อีกอย่างมีนิสิตที่เป็นพยานยืนยันได้ด้วยครับ” หนึ่งในคณะกรรมการคุมสอบแจ้งอย่างตรงไปตรงมา แต่ขอไม่กล่าวพยานบุคคล
นายแพทย์เดชดำรงค์เป็นทั้งชายชาติทหารและแพทย์ผู้ชำนาญการต้องมารับรู้เรื่องการโกงข้อสอบของลูกชาย จะโดนครหาได้ว่าสอนทุกคนได้ยกเว้นลูกตัวเอง
เขาเค้นความจริงจากธาวินจนรู้ว่าว่าพยานคนดังกล่าวคือนิสิตแพทย์ตัวท็อปของรุ่น เดชดำรงค์จึงเรียกจักรทัศน์มาพูดคุยเป็นการส่วนตัว ทีแรกเข้าใจว่าเห็นแก่หน้าอาจารย์จึงยอมปล่อยผ่าน
“อย่างที่เจย์เล่าเลยครับ แต่คณะกรรมการทราบได้ไง อันนี้ไม่ทราบจริง ๆ ครับ แต่เจย์ไม่ได้เป็นคนพูดแน่นอน”
“เพราะไบเบิ้ลตอบผิดด้วยหรือเปล่า ในทางกลับกันถ้าตอบถูกก็จะแจ้งกรรมการเลยใช่มั้ย”
“ไม่แจ้งอยู่ดีครับ เจย์กับเพื่อน ๆ เหนื่อยกับการทบทวนบทเรียนมาก เพื่อนคนหนึ่งลากเสาสายน้ำเกลือเข้ามาในห้องสอบเลย อีกคนก็เครียดลงกะเพราะยอมทนปวดท้องเป็นชั่วโมงระหว่างนั่งสอบ ทุกคนไม่ควรติดร่างแหไปกับเรื่องนี้ เจย์สงสารเพื่อนน่ะครับ ขอโทษที่เจย์ไม่ทำตามกฏนะครับอาจารย์”
ชัดเจนว่าไม่ได้เห็นแก่อาจารย์แต่อย่างใด เดชดำรงค์ใบหน้าถอดสี กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก กำปั้นหนาสั่นด้วยความเหลืออด เป็นอาจารย์หมอมานานยังไม่เคยถูกมองข้ามขนาดนี้มาก่อน
“แต่กฏมีไว้ควบคุมสังคม ไม่ได้มีไว้หาช่องโหว่นะ คุณจะแหกกฏโดยอ้างความเห็นอกเห็นใจไปตลอดไม่ได้หรอกนะ” เพราะไม่เห็นใจลูกชายตนหรืออย่างไร?
“ถ้าทุกคนเคารพระเบียบข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัดก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความเห็นอกเห็นใจหรอกครับ” สุดท้ายถึงได้รู้ว่าพยานที่ไปฟ้องคณะกรรมการคือเพื่อนสนิทของธาวินที่โกรธแค้นเพราะโพยผิดเถึงสอบไม่ผ่าน
หลายปีต่อมาการแหกกฏก็กันก็เกิดขึ้นอีกจนได้ รอบนี้โชคดีที่มีคนช่วยออกหน้าให้ ไม่งั้นก็ถูกทำทัณฑ์บนหรือไม่ก็พักงานไปตามระเบียบ
เดชดำรงค์รู้แก่ใจว่าคืนนั้นจักรทัศน์โกหก
จากนี้ไปคงต้องจับตาพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด แม้เพื่อนร่วมงานจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจักรทัศน์ตั้งใจทำงานมากก็ตาม
โรงพยาบาลคือพื้นที่สำหรับทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีเวลาไปโรงพยาบาล เรื่องนี้เป็นที่รู้กันในกลุ่มพนักงานประจำคอนโดมิเนียมว่า ‘ปวดหัว ตัวร้อนไม่มีเวลาออกให้บอกหมอเจย์’
“ลุงถือกระดาษใบนี้ไปที่ร้านขายยาที่เจย์บอกนะ บอกว่ามาหาลิลด๊อจ…” แพทย์หนุ่มเน้นย้ำตรงท้ายประโยคช้า ๆ ชัด ๆ อีกฝ่ายขมวดหัวคิ้วเป็นปมขณะพยายามออกเสียงตาม
“ลิล…! ด๊อจ…! ลิลด๊อจ ลิลด๊อจ ชื่อแปลกจังเลยคุณหมอ”
“มันชื่อด๊อจเฉย ๆ แหละลุง แต่มันคือรหัสลับที่รู้กันว่าเจย์เป็นคนสั่งยาให้จริง ๆ เดี๋ยวด๊อจมันจะจัดยาและแนะนำวิธีการทานให้” เขาส่งแผ่นเรียงเบอร์ตรวจหวยให้!?
หลังตรวจอาการให้หลายชาย รปภ. ที่นอนซมเพราะไข้หวัดใหญ่ที่กำลังระบาดในพื้นที่
“ขอบคุณครับหมอเจย์ ผมเกือบต้องหยุดงานแล้วแบกไอ้ต้นกล้าไปโรงบาล” รปภ.รุ่นลุงยกมือไหว้ท่วมหัวด้วยความซาบซึ้ง แกจำได้ขึ้นใจว่าเป็นไปได้อย่าซื้อยามากินเองเพราะเสี่ยงอาการหนักจะกว่าเดิม ครั้งหนึ่งมีช่างไฟฟ้าที่คอนโดฯ บ่นปวดหลัง
พอจักรทัศน์ซักถามไม่กี่ข้อแล้วแตะหลังนิดหน่อยก็สั่งให้ไปโรงพยาบาลเพื่อเอ็กซเรย์ทันที สรุปเป็นเนื้องอกกดทับเส้นประสาทเสี่ยงจะเป็นอัมพาตในอนาคต
เขาเชื่อมั่นว่าเจตนาที่ดีไม่ถือว่าขัดจรรยาบรรณแพทย์
“ลุงไม่ต้องไหว้เจย์หรอกครับ มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว แต่ต้องไปร้านที่เจย์บอกเท่านั้นนะครับ เพราะไปร้านอื่นเจย์ไม่แน่ใจว่าเขาจัดยาให้หรือเปล่าเพราะมันต้องมีตราประทับโรง’บาลกำกับ” กระดาษใบนั้นคือใบสั่งยาแบบไม่เป็นทางการ ส่วนเภสัชกรที่ร้านยาก็ซี้ปึ๊กกันตั้งแต่สมัยออกค่ายอาสาพัฒนาชุมชน
แต่ก็ไม่บ่อยนักที่จักรทัศน์สั่งจ่ายยาควบคุมเช่นนี้
ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาอะไร
เด็กน้อยหายเป็นปกติภายในไม่กี่วันแล้วเพื่อนสนิทก็ล้มป่วยด้วยโรคเดียวกัน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงนำกระดาษที่มีชื่อยาไปให้พร้อมพิกัดร้านยาแต่เภสัชกรคนเดิมกลับปฏิเสธ
เมื่อรอไม่ได้จึงไปร้านอื่นจนได้ยาที่ต้องการ
จากนั้นใบสั่งยามหัศจรรย์ก็ถูกส่งต่อเหมือนจดหมายลูกโซ่
ตัวยาควบคุมกับลายเซ็นเด่นหรากำลังจะกลายเป็นหลักฐานมัดตัวในไม่ช้า ทุกอย่างเริ่มต้นจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็กชายคนหนึ่ง
…………….
“ดวงจันทร์โคจรรอบโลกทำให้เกิดกระแสน้ำขึ้นน้ำลง…” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กประถมที่กำลังทำการบ้านที่โถงทางเดินทำให้จักรทัศน์ฉุกคิดขึ้นได้ว่านี่ก็เกือบสามอาทิตย์ที่ไม่มีดาวจันทร์จากแดนไกลโคจรรอบตัว
‘เธออาจไม่มาอีกแล้วก็เป็นได้…หรือเราจะเห็นภาพหลอนจริง ๆ’ เมื่อวานซือก็เพิ่งไปประเมินอากการทางจิตเวชมาซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จักรทัศน์ผ่อนลมหายใจอย่างเสียไม่ได้ ขณะก้มไปหยิบเอสเพรสโซ่จากตู้อัตโนมัติ
เวรบ่ายยังอีกยาวไกลคงต้องพึ่งพาคาเฟอีนสักหน่อย
“มันอ่านว่าอะไร หนูอ่านไม่ออกน่ะพ่อ” เด็กชายหันไปถามผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“มันเป็นภาษอังกฤษ พ่อก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน ถามพี่หมอสุดหล่อดูสิ!” ชายวัยกลางคนบุ้ยใบ้มาทางคนรูปหล่อที่ยืนอยู่ไม่ห่าง จักรทัศน์ก็ตอบรับคำร้องขอด้วยความเต็มใจ
เวลา 22.50 น. ณ ห้องตรวจหมายเลข 13
“หมอ…มองอะไร หมอเห็นใช่มั้ย หมอเห็นอย่างที่ใคร ๆ ก็เห็นใช่มั้ย” บุรุษพยาบาลร่างบึกบึนผิวเข้มตามแบบฉบับบ่าวปักษ์ใต้ เบิกตาโพล่งพลางกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ เหมือนเจอบางสิ่งที่น่าหวาดเกรงเข้า เมื่อจู่ ๆ แพทย์หนุ่มก็หรี่ตามองไปยังหน้าต่างที่อยู่หลังห้องตรวจ
“อ๋อ…คือ หมอเห็นแมวมันไล่กันกัดข้างนอกน่ะ” แมวตัวใหญ่มากแถมมาเมืองเหนืออันไกลโพ้น
“ก็แล้วไป นี่เขาว่ากันว่าใครมาอยู่เวรห้องตรวจนี้เจอดีทุกคน บางคนแทบจะไม่รับเวรกลางคืนเลยนะ” เขาพูดพลางยื่นแก้วกาแฟร้อนให้กับมือ
“ขอบคุณครับพี่ยศ แล้ว…เขาเจออะไรเหรอครับ”
“เจอผีครับ ผีห้อยหัวตรงหน้าต่าง” เป็นการเล่าเรื่องผีที่ต้องฟังไปกลั้นขำไป แต่คนเล่าท่าทางจริงจังกับตำนานห้องตรวจหมายเลข 13 เอามาก ๆ
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
“ไอยะ! พูดซะหมออยากเห็นเลย อยากเข้าไปดูใกล้ ๆ ว่าเป็นอะไรตายแล้วนึกไงมาห้อยต่องแต่งแบบนี้” อุตส่าห์จะพูดติดตลกเพื่อคลายเครียดกลายเป็นอีกฝ่ายจริงจังยิ่งกว่าเก่า
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
“ไม่ใช่เรื่องตลกนิ หมอจะไปจับหัวผีได้ไง เดี๋ยวโดนผีกระชากหนังหัวไม่รู้ด้วยนะ ฮาโรย…คนสมัยใหม่ไม่กลัวผีก็เงี้ย”
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
เสียงหัวเราะร่วนที่จักรทัศน์ได้ยินแค่คนเดียวดังต่อเนื่องตั้งแต่เล่าเรื่องผีห้อยหัวแล้ว อัยยาลิณณ์ขำจนเจ็บท้องนั่งคุดคู้อยู่หลังห้อง
“อะขำ ขำเข้าไป ขำให้ขาดใจตายไปเลย” เขาโผล่หน้ามาทักทายร่างเล็กใบหน้าแดงก่ำเพราะหัวเราะจนงอหาย
“หมอเจย์ก็ใช่ย่อยนะ กล้าดียังไงจะไปจับหัวผี! ผู้ชายไม่มีสักหน่อยจะจับได้ไง ฮ่า ๆ”
“งั้นขนมต้มปีนไปดูให้หน่อยสิว่ามีผีจริงหรือเปล่า”
“ไม่ไปตาลกลัวผี” เธอส่ายหน้าปฏิเสธ
“กลัวพวกเดียวกันได้ด้วยเหรอ” ทั้งสองลับฝีปากกันอย่างเมามันจนกระทั่งออกเวร
แน่นอนวันพรุ่งนี้ไม่เกินเที่ยงจะมีรถมารับตัวอัยยาลิณณ์ไปโรงพยาบาลเหมือนทุกที
บาร์รูฟท๊อปที่คืนนี้เต็มไปด้วยแสงไฟอบอุ่นและเสียงเปียโนคลอเบา ๆ เจมีไนน์ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ในสูทสีดำเข้ารูป เงาสะท้อนในแก้วคริสตัลทำให้ใบหน้าคมเข้มของเขาดูอ่อนกว่าที่เป็นจริงนิดหน่อย เขายิ้มต้อนรับลูกค้าเหมือนเช่นทุกคืน แต่สายตากลับสะดุดกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาหนุ่มคนนั้นอายุราว 26 – 27 ปี หน้าตาคมคายเหมือนจะเคยเห็นผ่านจอทีวีหรือบทสัมภาษณ์ทางออนไลน์ ที่สำคัญแววตาของเขายามสบกับตนมีแววเขินอายเล็ก ๆ จนคนที่ผ่านโลกมามากอย่างเจมีไนน์ยังเผลอหัวใจสะดุด“สายัณห์สวัสดิ์ครับคุณผู้ชาย จะรับอะไรดีครับ?” บาร์ทนเดอร์หนุ่มใหญ่เอ่ยเสียงนุ่ม“เอ่อ…เอาเป็น เอ่อ อะไรก็ได่แก้วนึงครับ” ชายหนุ่มยกยิ้มบางอย่างเก้ ๆ กัง ๆ คล้ายไม่คุ้นชินกับบรรยากาศบาร์หรู“ได้ครับ รบกวนรอสักครู่นะครับ”เจมีไนน์โชว์ลีลาการผสมเครื่องดื่มที่ใครเห็นก้ต้องหยุดมอง ครู่ต่อมาค็อกเทลสีอำพันจะถูกดันมาตรงหน้า หนุ่มใหญ่ยกยิ้มมุมปากพลางโน้มตัวลงเล็กน้อย แสงไฟนวลเหนือบาร์ทอดเงาบนกรอบหน้าคมเข้มที่แม้ผ่านกาลเวลามากว่า 50 ปี แต่ยังดูน่าหลงใหลไม่ต่างจากชายหนุ่มวัยกลางคนทั่วไปหรืออาจจะยิ่งกว่านั้น“ลองชิมดูสิครับ สูตรพิเศษคืนนี้
ปีแรกในนอร์เวย์คือการเดินทางที่โหดหินที่สุดของชีวิตอัยยาลิณณ์ที่นี่ไม่ใช่เชียงราย อุณหภูมิที่หนาวจัด การสื่อสารที่ไม่คล่องแคล่วและกระบวนการรักษาที่ซับซ้อนกว่ามาก ทำให้ทุกวันเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจทุกครั้งที่เข้าสู่การทดลองปรับคลื่นสมอง เธอต้องนอนในห้องแล็บสีขาวที่มีเครื่องมือรุงรังติดเต็มศีรษะ แสงไฟจ้าและเสียงเครื่องจักรดังต่อเนื่อง จนบางทีแอบน้ำตาไหลเงียบ ๆ ใต้ผ้าห่มแต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่เคยคิดถอย เพราะรู้ว่ามีใครบางคนที่เฝ้ามองจากแดนไกล[สู้ ๆ นะ ตาลเอ๊ย พ่อแม่กับต้มอยู่ตรงนี้เสมอ][อีกไม่นานนะตาล รอเจย์ก่อน]ข้อความจากครอบครัว เพื่อนฝูงและจักรทัศน์ในวิดีโอคอลคือกำลังใจสำคัญแม้บางคืนเธอจะหลับลึกไปโดยไม่ตั้งใจ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าวิญญาณก็ไม่เคยหลุดจากร่างอีกเลย มันคือสัญญาณว่าการรักษากำลังไปในทิศทางที่ถูกต้อง“อีกไม่นาน…เราจะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติแล้ว” อัยยาลิณณ์พึมพำกับตัวเองพร้อมกับกำมือแน่นและทุกครั้งที่เหนื่อยล้า ภาพรอยยิ้มของเขาก็จะปรากฏขึ้นในความคิดเสมอหนึ่งปีเต็มหลังยื่นเอกสารขอทุนเรียนต่อ ชีวิตของจักรทัศน์คือการวิ่งวนระหว่างงานโรงพยาบาล การสอนรุ่นน้องแ
วันนี้คฤหาสน์วิวทะเลอันดามันของเจมีไนน์บรรยากาศคึกคักกว่าทุกครั้งเพราะมีนัดถ่ายภาพครอบครัวประทานชัยเซ็ตใหม่ภาพที่มีสมาชิกพร้อมหน้าอย่างแท้จริงกล้องตั้งอยู่บนขาตั้งหันหน้าออกไปทางวิวทะเลสีคราม เด็กชายวัยสามขวบอย่างขุนพลซึ่งเป็นลูกชายของพลพยัคฆ์วิ่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่หน้ากล้องทำเอาทุกคนเรียกหาด้วยความเอ็นดู เขาพยายามจะอุ้มแต่ก็โดนลูกชายดิ้นหนีเล่นซ่อนหากับคุณพ่อแทนสมาชิกใหม่อีกหนึ่งคนที่วัยเพียงหกเดือนในอ้อมกอดของคุณปู่สุดเฮี๊ยบอย่างเอื้อมพัฒน์ที่ประกาศกร้าวว่า…คืนนี้จะไม่เมาทำเอาทุกคนส่ายหัวพร้อมกัน“ขอบใจที่ให้ยืมบ้านจัดปาร์ตี้นะแดน” เมธากรพูด“ยินดีครับพี่เรย์”เจมีไนน์เองก็ไม่นึกว่าจะได้มีช่วงเวลานี้ ขณะยืนมองทุกคนด้วยแววตาอิ่มเอม หันไปมองไดอาน่าแล้วเหลือบมาทางหลานฝาแฝด จักรทัศน์กับเจนีนที่กำลังจัดแจงยืนบังแสงไฟให้พอดี เขาสูดลมหายใจลึกรู้สึกเหมือนฝันที่ได้ยืนอยู่ตรงนี้“ในที่สุด…ก็ไม่ต้องใช้วิธีตัดต่อโง่ ๆ อีกแล้วเนอะ” เขาพูดพลางหัวเราะแห้ง ๆ แล้วสารภาพกับทุกคนว่าเคยหยิบภาพถ่ายจากคอนโดมาสแกนตัต่อดตัวเองลงไป เพื่อให้รู้สึกว่ามีส่วนอยู่ด้วยเจนีนที่นั่งแต่งหน้าเติมปากแดงอยู่ก็ร้อง
หนึ่งสัปดาห์สุดท้ายของอัยยาลิณณ์ก่อนเดินทางไปนอร์เวย์ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนน้ำไหลที่ไม่เคยหยุด ทุกวันเต็มไปด้วยการเตรียมตัว ทั้งด้านเอกสารและสภาพร่างกายเธอต้องจัดเก็บแฟ้มรายงานการรักษาที่ผ่านมาทั้งหมด เอกสารภาษาไทยที่ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ รวมถึงหนังสือรับรองแพทย์ที่จักรทัศน์ช่วยประสานมาให้อย่างละเอียดบนโต๊ะทำงานเล็ก ๆ ในห้องนอนมีกองเอกสารที่เรียงเป็นตั้ง ๆ พร้อมปากกาไฮไลท์ที่ใช้เน้นข้อความสำคัญทุกคืนก่อนนอนเธอจะนั่งตรวจเช็กทีละหน้าเหมือนกลัวว่าจะตกหล่นอะไรสักอย่างในอีกด้านหนึ่ง อัยยาลิณณ์ก็ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวอย่างเต็มที่ พ่อกับแม่แทบจะไม่ปล่อยให้ลูกสาวอยู่ห่างสายตา ทำอาหารโปรดให้แทบทุกมื้อ ตั้งแต่แกงฮังเลสูตรคุณแม่ ไปจนถึงข้าวซอยเนื้อที่พ่อภูมิใจนำเสนอบ่อยครั้งที่เธอนั่งหัวเราะทั้งน้ำตา เพราะรู้ดีว่าทุกจานคือความรักและความห่วงใยที่ครอบครัวอยากส่งมอบให้ก่อนที่จะจากบ้านไปไกลแสนไกลอธิพงษ์ก็คอยตามติดแทบตลอดเวลา ชวนพี่สาวดูหนัง ตัดต่อคลิปเล่น ๆ หรือแม้แต่เล่นเกมคอนโซลด้วยกันเหมือนสมัยเด็ก แม้จะเถียงกันหยอกล้อเหมือนเคย แต่ในแววตาของน้องชายก็เต็มไปด้วยความห่วงใยที่ปิดไม่มิดคื
สองอาทิตย์เต็ม ๆ นับจากวันที่ส่งเอกสารชุดสุดท้ายไปยังนอร์เวย์ อัยยาลิณณ์ค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด อาการเหนื่อยล้าเมื่อเดินไม่กี่ก้าวลดลง กล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงกลับมามีเรี่ยวแรงมากขึ้น แม้แพทย์จะยังย้ำว่าเธอควรใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง แต่อัยยาลิณณ์ก็รู้สึกเหมือนได้กลับมาหายใจเต็มปอดอีกครั้งส่วนจักรทัศน์ แม้งานโรงพยาบาลที่ภูเก็ตจะรุมเร้า ทั้งเวรกลางวันกลางคืน แต่เขาไม่เคยพลาดจะโทรหรือวิดีโอคอลหาอัยยาลิณณ์ บางวันคุยเพียงไม่กี่นาทีก่อนเขาเข้าเคสฉุกเฉิน บางวันคุยนานจนเสียงหัวเราะของเธอดังไปทั้งบ้าน เหมือนทุกวินาทีของวันไม่วุ่นวายเกินกว่าจะหาเวลาให้กันได้กระทั่งคืนหนึ่ง ที่ห้องพักแพทย์“หือ ใครอะ!?” จักรทัศน์สะดุ้งเฮือก เมื่อหันมาเห็นเงาคนยืนอยู่ข้างเตียง“ตาลไง จะใครเล่า” ร่างเล็กมือเล็กไขว้ไว้ด้านหลัง รอยยิ้มหวานส่งมาให้“อ๋อ ตาลเองเหรอ เอ่อ…อืม ๆ เดือนนึงแล้วสินะ” เขาดันร่างขึ้นจากที่นอนพร้อมใบหน้าสะลืมสะลือ แต่ยังจำรายละเอียดได้แม่น วันนี้ครบเดือนพอดี หลังการหลับยาวจนเข้าขั้นวิกฤตของเธอ“ไหน ๆ ตาลก็มาคือตาลมีเรื่องจะสารภาพน่ะ ตาลพูดกับหมอก็ไม่ได้ พูดที่บ้านไม่ได้ มันอึดอัดมากเลย”
“หน๊อย! ไอ้ฝรั่งมึง”จักรทัศน์สบถออกมาโดยลืมไปว่าพ่อตัวเองก็เป็นฝรั่งกว่าจะรวบรวมเอกสารได้ครบก็ปาเข้าไปเกือบสองสัปดาห์ ครอบครัวอัยยาลิณณ์ช่วยกันแทบทุกวัน ทั้งถ่ายเอกสาร เก็บแฟ้ม เรียงผลตรวจย้อนหลังตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอมีอาการ ทุกคนเห็นพ้องกันว่ามันยุ่งยากสิ้นดี แต่ถ้านี่คือความหวังเดียวที่จะช่วยให้เธอหายขาด ทุกคนก็ยอมกัดฟันสู้โชคดีที่ระหว่างนั้นอัยยาลิณณ์ไม่ได้หลับลึกเพิ่ม อาการยังทรงตัวเมื่อเอกสารครบ ทุกอย่างก็ถูกสแกนส่งไปศูนย์วิจัยนอร์เวย์ ทุกคนถอนหายใจโล่งอก คิดว่าต่อจากนี้ก็เหลือเพียงรอผลการพิจารณาเท่านั้นแต่แล้วอีเมลตอบกลับก็มาพร้อมรายการยาวเหยียด ทั้งรายละเอียดเพิ่มเติม หนังสือรับรอง และที่สำคัญที่สุดคือ หนังสือยืนยันจากผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเชียงราย ว่าอัยยาลิณณ์เข้ารับการรักษาที่นั่นจริงปัญหาคือผู้อำนวยการเดินทางไปสัมมนาต่างประเทศและกว่าจะกลับอีกก็เกือบสองสัปดาห์ จักรทัศน์อ่านข้อความซ้ำไปซ้ำมาจนแทบขึ้นใจ แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง“นี่มันอะไรกันนักหนา…หรือพวกนั้นกำลังเล่นตุกติก”“ถ้าต้องรออีกสองอาทิตย์…ตาลก็รอได้” อัยยาลิณณ์ถอนหายใจเบา ๆ“สองอาทิตย์?” จักรทัศน์เงยหน้าขึ







