เสียงนกร้องต้อนรับวันใหม่ นาเดียงัวเงียกระพริบตาถี่ๆไล่ความง่วง รู้สึกถึงความหนักหน่วงทาบทับอยู่บนร่างกาย เป็นแขนของพี่เจคนั่นเอง เขากอดก่ายร่างเธอให้แนบไปกับอกแกร่งของเขา วางลำแขนให้เธอได้นอนต่างหมอน ความร้อนระอุจากร่างกายมนุษย์แผ่ซ่านมาที่ตัวเธอ ใช่แล้ว... เมื่อคืนเราผลัดกันรุก ผลัดกันรับ มอบความสุขสมให้แก่กันและกันครั้งแล้วครั้งเล่าจนผล็อยหลับไป
ใบหน้านวลเห่อร้อนเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ความทรงจำบางอย่างคล้ายจะกลับเข้ามาในหัว
เสียงนกร้อง....
ร่างกายเปลือยเปล่าในยามเช้า...
ใช่แล้ว... วันแรกที่เธอได้เจอเขาไง
แต่วันนี้มันต่างกันนิดหน่อย ตรงที่เธอตื่นมาพบกับความสุข... ไม่ใช่ความผิดพลาด หญิงสาวกระชับกอดร่างหนาจนเขารู้สึกตัวตื่น มือหนาออกแรงดึงคนตัวเล็กให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแนบแน่น
“ป่านนี้รถบัสของโรงพยาบาลคงกลับไปแล้วมั้งคะ” นาเดียหมายถึงรถคันที่เธอนั่งมาจากกรุงเทพ เวลานัดหมายคือ 6 โมงเช้า แต่ดูจากแสงแดดตอนนี้ คงไม่ต่ำกว่า 8 โมงแน่
“สนใจทำไมล่ะ เป็นเมียผ.อ.นะ ไม่ต้องไปทำงานยังได้”
ดูคนเอาแต่ใจพูดเข้า...
“บ้าเหรอคะ เดียก็ต้องทำงานเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่นะ บ้านหนูไม่ได้รวยเหมือนพี่นะ” คนตัวเล็กเง้างอนเสียงแข็งจนคนตัวโตต้องผละหน้ามามองเธอ
“แค่เดียกับพ่อแม่เดีย พี่เลี้ยงไหวอยู่แล้ว แต่อย่ากินเยอะมากละ เดี๋ยวจะเลี้ยงไม่ไหว” เจคอปฉีกยิ้ม สีหน้าชวนหมั่นไส้จนอดหยิกพุงเขาไม่ได้
“ไม่ต้องมาพูดเล่นเลยค่ะ เรากลับกันเถอะ” ร่างบางทำท่าจะลุก แต่กลับถูกอีกฝ่ายกอดรัด เขามองเธอด้วยแววตาจริงจัง
“พี่ไม่ได้พูดเล่นสักหน่อย” นาเดียใจเต้นแรง แววตาและน้ำเสียงหนักแน่นทำให้เธออดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ เขาพูดเหมือนกำลังจะขอเธอแต่งงานเลย แต่บ้าน่า พวกเธอพึ่งจะรู้จักกันไม่นานเองนะ
“ไม่ต้องมาทำหน้าดุเลยนะ หนูรู้นะคะว่าพี่ขี้เซา ลุกเดี๋ยวนี้ พี่เจค ลุกมาาา” คนตัวเล็กพยายามดึงแขนแต่อีกฝ่ายไม่ยอมขยับเลยสักนิด
“ไหนๆวันนี้ก็กลับไปไม่ทันแล้ว ไปเที่ยวกันดีกว่า อยากไปเสม็ดไหมครับ เคยไปรึยัง” ร่างสูงนอนตะแคงมองหญิงสาวดึงผ้าห่มขึ้นปิดบังร่างกาย ทั้งที่เปลือยแบบนั้นก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ
“ยังค่ะ หนูยังไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลย” แววตาหญิงสาวเป็นประกายขึ้นมาทันทีจนเขาอดยิ้มไม่ได้
“งั้นไปอาบน้ำแต่งตัวสิปะ เดี๋ยวพี่พาไปเสร็จที่เสม็ด” สีหน้าคนตัวเล็กมีเครื่องหมายคำถามแปะอยู่ที่หน้าอันเบ้อเร้อ เจคอปแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ “เอ๊ะ ทำไมต้องเสร็จที่เสม็ดคะ” คิ้วเธอผูกกันจนเป็นโบว์ ดูแล้วตลกเป็นบ้า
“ก็เสม็ด... เสร็จทุกรายไง” เขาว่าพลางฉุดร่างบางเข้ามานอนอยู่ใต้ร่าง ก่อนจะโลมเลียแม่สาวน้อยช่างยั่ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะยั่วเขา แต่เพราะความน่ารักของเธอนั้นแหละ ที่ทำให้เขาอดใจเอาไว้ไม่อยู่
“อ๊ะ เดี๋ยวสิคะพี่เจค ไปอาบน้ำสิ ไหนบอกจะพาไปเที่ยวไง อ๊ะ... อย่าค่ะ” ปลายผมถูลู่ไปตามร่างเปลือยเมื่อศีรษะเคลื่อนตัวลงสู่ด้านล่าง
“ไปสิ ไปแน่ แต่ขอพี่ทานมื้อเช้าก่อน” พูดจบ เขาก็จับขาเรียวอ้าออกจากกัน แต่ยังไม่ทันได้ทักทาย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดจังหวะหวาดเสียวพอดิบพอดี เจคอปจำต้องกลืนน้ำลายด้วยความเสียดาย เขาปิดโทรศัพท์สำหรับเรื่องงานไปแล้ว หากว่ามันดังขึ้น ก็คงจะมีแต่คนในครอบครัวของเขาเท่านั้น
นาเดียจำต้องหุบขานอนนิ่งด้วยความเสียดาย กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้วเชียว
“ฮัลโหล...” ปากร้อนเริ่มไล่วนอยู่บนลำคอระหง ทั้งๆที่เขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้อารมณ์เธอค้างเติ่ง
“อืออออ” ร่างบางกัดฟันห้ามเสียงสยิวเอาไว้ กลัวมันจะเล็ดลอดออกไปให้คู่สายเขาได้ยิน จะไม่ให้เธอเผลอครางได้ยังไง ในเมื่อนิ้วใหญ่ของเขากำลังชักเข้าชักออกด้านล่างอยู่ คนร้ายกาจ❤️
“อะไรนะ!”
น้ำเสียงตกใจหยุดทุกการกระทำ เจคอปลุกพรวดขึ้นจากเตียง
นาเดียตกใจกับท่าทีร้อนรนของเขาจนต้องลุกขึ้นมาด้วย เธอมองเห็นเพียงแผ่นหลังของเจคอป แต่ก็รับรู้ได้ว่ามันคงเป็นเรื่องสำคัญมาก มากเสียจน... “ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงฉันจะไปถึงที่นั้น”
เขากดวางสาย สั่งผู้หญิงอีกคนโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
“เปลี่ยนชุดเร็ว พี่ต้องกลับกรุงเทพเดี๋ยวนี้”
เจคอปใช้เวลาจัดการตัวเองไม่ถึง 10 นาที ก่อนทั้งสองคนจะพร้อมอยู่บนรถ ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เขาดูร้อนรนจนเธออดสงสัยไม่ได้ เกิดเรื่องอะไรขึ้น มีเรื่องสำคัญอะไรเขาถึงได้รีบร้อนขนาดนี้ เขาไม่แม้แต่จะหันมามองเธอ ไม่แม้แต่จะพูดอะไรออกมาสักคำ แล้วเรื่องที่จะพาเธอไปเที่ยวล่ะ?
ปรี๊นนนนนนนนนนนนนนนน
เสียงบีบแตรไล่รถคันข้างหน้าดังลั่นจนร่างเล็กสะดุ้ง เจคอปเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วสูงจนร่างบางนั่งแทบไม่ติดเบาะ ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงกับอีกไม่ถึงสิบนาที เจคอปก็พาตัวเองมาถึงโรงพยาบาล
“ห้อง 1101 นะ” เขาหันมาบอกนาเดียแค่นั้น ก่อนตัวเองจะวิ่งนำออกไป เพียงแค่เสี้ยววินาที นาเดียก็มองตามแผ่นหลังของเขาไม่ทันแล้ว เธอต้องพยายามกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ในใจก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้
นาเดียยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้อง 1101 มาพักใหญ่ เธอไม่แน่ใจว่าควรจะเปิดประตูเข้าไปหรือไม่ เธอไม่รู้ว่าคนในห้องคือใครและคงจะไม่มีใครรู้จักเธอเช่นเดียวกัน
ในขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรดี บานประตูก็ถูกเปิดออกมาจากด้านใน ถึงเธออยากจะหลบแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“อ๊ะ...!”
“อ้าว นาเดีย” ต่างฝ่ายต่างชะงักงัน
คนที่เปิดประตูคือเจมส์มาร์นั้นเอง แม้เขาจะเห็นเธอ แต่เขากลับดูไม่มีท่าทีตกใจแต่อย่างใด “มากับพี่เจคใช่ไหม เข้ามาสิ” เจมส์มาร์เปิดประตูรับคนตัวเล็กที่ยืนเก้ๆกังๆ คำถามของเจมส์มาร์ทำให้ร่างบางอดใจเต้นไม่ได้ หรือว่าพี่เจมส์จะรู้เรื่องของเรากับพี่เจคแล้ว?
นาเดียจำต้องเดินเข้าไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ และภาพที่เห็นก็ทำให้หญิงสาวลืมหายใจ
รอบเอวของเจคอปมีท่อนแขนบอบบางของใครบางคนโอบกอดอยู่ พี่เจคกำลังลูบผมคนในอ้อมกอดแผ่วเบา ท่าทางทะนุทะนอมราวกับไข่ในหิน “ไม่ร้องนะเด็กดีของพี่” เสียงอ่อนโยนเช่นเดียวกับที่เคยพูดกับเธอ แต่พอได้ยินเขาพูดกับผู้หญิงคนอื่น ทำไมมันถึงฟังแล้วเจ็บปวดนักก็ไม่รู้ นาเดียไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเผลอกำหมัด
ใครกัน!
ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน!
“ฮื้อออ พี่เจค หนูเกลียดคุณพ่อ คุณพ่อใจร้าย ฮึ้กก ฮื้ออ” เสียงใสกังวานฟังดูคล้ายจะคุ้นหู เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่ก็เหมือนจะไม่เคยได้ยิน มันคับคล้ายคับคลา แต่ก็ไม่มั่นใจซะทีเดียว
ใครกันนะ หรือจะเป็นน้องสาวเขา เขาถึงอ่อนโยนกับเธอนัก!
“ไม่เอานะครับน้องมิน ไม่พูดอย่างนั้น คุณอาท่านคงมีเหตุผลที่ทำแบบนี้” ตึกตึก ตึกตึก ตึกตึก
น้องมิน? คุ้นชื่อนี้จัง เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน?
“อะแฮ่ม! พี่เจค” เป็นเสียงของเจมส์มาร์นั่นเอง เขาทนมองสีหน้าเจ็บปวดของนาเดียไม่ไหว บางทีเธออาจจะยังไม่รู้ว่าทำไมพี่ชายเขาถึงรีบร้อนกลับมาขนาดนี้ ดูจากนิสัยของเจคอปแล้ว เผลอๆคงจะไม่ได้พูดหรืออธิบายอะไรกับนาเดียเลยด้วยซ้ำ
เสียงขัดจังหวะของเจมส์มาร์ทำให้คนตัวสูงผละออกจากผู้หญิงในอ้อมกอด วินาทีนั้นเองที่นาเดียมองเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น
แม้ใบหน้าของหล่อนจะดูโตขึ้นมากแล้ว แต่ต้องใช่แน่ๆ
ต้องเป็นคนเดียวกันแน่! เป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับที่อยู่ในรูปถ่าย
‘You're my first love and always will’
เธอผู้เป็นรักแรกของฉันและจะเป็นแบบนั้นตลอดไป
“น้องเดีย นี่มินตรา ว่าที่คู่หมั้นที่พี่เคยเล่าให้ฟังไง” เจมส์กระซิบบอก เขาไม่อยากให้หญิงสาวเข้าใจพี่ชายของเขาผิด แต่คำพูดของเจมส์ กลับยิ่งทำให้นาเดียสับสน คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวนับไม่ถ้วน
คู่หมั้นพี่เจมส์?
รักแรกของพี่เจค?
มินตรา? ผู้หญิงที่ยืนจูบกับผู้ชายอีกคนที่บันไดหนีไฟ?
ทุกเหตุการณ์ตีกันมั่วซั่วอยู่ในหัว นาเดียรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง มองหน้าเจคอปสลับกับผู้หญิงที่ชื่อมินตรา ...ยังงี้นี่เอง ยังรักมันอยู่สินะ ถึงได้รีบร้อนกลับมาขนาดนี้!
“......เดีย.........นาเดีย!”
“ขะ.....คะ!” เสียงเรียกของเจคอปเรียกสติของเธอให้กลับคืนมา เธอรีบก้มหน้างุดเพราะรู้สึกผิดที่เผลอคิดอะไรร้ายกาจออกมา เธอรู้สึกเหมือนตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่เธอควรอยู่ รู้สึกเจ็บปวดข้างใน
“นอนพักนะมิน เจมส์ พี่ฝากแกอยู่เป็นเพื่อนมินตราด้วยนะ” ร่างบางยืนมองร่างสูงลูบผมปลอบปะโลมหญิงสาวที่ยังคงอยู่ในอาการเศร้าโศกเสียใจ ใบหน้าหล่อนเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ขอบตาบวมช้ำและอยู่ในอาการเหม่อลอยเสียเป็นส่วนใหญ่
“กลับกันเถอะเดีย” เจคอปมองคนที่เอาแต่ก้มหน้า เขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของเธอ
นาเดียเดินตามเจคอปออกมาจากห้อง เธอเอาแต่เดินก้มหน้าเงียบกริบไม่ยอมพูดจาอะไรสักคำ ทั้งที่ในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
แต่เธอก็ไม่กล้าถาม...
“อยากถามอะไรรึเปล่า” เขาสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ แต่เขาไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร
“ไม่มีค่ะ”
มีสิ! มีเพียบเลยแหละ!
“งั้นเหรอ” เจคอปทำได้แค่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ในเมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่มี ก็คงจะไม่มีอะไร แต่เธอกลับเอาแต่นั่งเงียบมาตลอดทาง ท่าทีเฉยเมยของนาเดียทำให้เขาอดหงุดหงิดไม่ได้
เป็นอะไรของเขานะ
โกรธ?
น้อยใจ?
ไม่พอใจ?
เรื่อง? ที่เขาไม่พาไปเที่ยวเหรอ?
แต่เขามีเรื่องด่วนจริงๆนี่นา เธอก็ได้เห็นอาการของมินตราแล้ว ยัยมินเป็นคนในครอบครัวของเขา เป็นเด็กที่เขาเลี้ยงมาเองกับมือตั้งแต่หล่อนอายุ 2 ขวบ หรือจะไม่ใช่เรื่องนี้ หรืออาจจะไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ?
แล้วทำไมถึงเอาแต่เงียบ!?
ทำไมผู้หญิงถึงได้เข้าใจยากนักนะ!?
“พี่เจคพาหนูมาคอนโดทำไมคะ ทำไมไม่ไปส่งที่หอ” นาเดียชะเง้อมองภายนอกทันทีที่รถจอด คงเพราะเธอเอาแต่นั่งเหม่อมาตลอดทางจึงไม่รู้ตัวเลยว่าทางที่ขับมาเป็นทางกลับคอนโดของเจคอป
“ออกจากหอซะ แล้วย้ายมาอยู่กับพี่ที่นี่”
เขายังคงเอาแต่ใจตัวเองไม่มีเปลี่ยน! ตัวเองยังรักผู้หญิงคนนั้นอยู่แท้ๆ แล้วยังจะมาบอกรักเราอีก หึ่มมมมมม!
“เนี่ย ทำหน้าไม่พอใจเห็นๆ แล้วก็มาโกหกพี่ว่าไม่มีอะไร ตกลงเป็นอะไรกันแน่ บอกพี่มาเดี๋ยวนี้!”
นาเดียตกใจกับสีหน้าคาดคั้นของเขา เธอลังเล มันเป็นคำถามที่เธอควรจะถามแน่เหรอ? แล้วถ้าคำตอบจากเขาคือ... เขายังไม่ลืมผู้หญิงคนนั้นล่ะ? ไม่ยอม! เธอไม่ยอมเด็ดขาด!
“พี่เจคคิดยังไงกับคุณมินตราคะ”
เธอกลั้นใจถามออกไปจนได้ เห็นสีหน้าของเจคอปนิ่งไป ก่อนเขาจะถอนหายใจออกมา
ป๊อก!
“โอ๊ยยยยย หนูเจ็บนะ” นาเดียรีบเอามือกุมศีรษะบริเวณที่ถูกร่างสูงใช้มือเขกลงมาเบาๆ ก่อนเธอจะเห็นรอยยิ้มจากคนเบื้องหน้า มันทำให้เธอรู้สึกโล่งใจอย่างน่าประหลาด
“มินเขาเป็นน้องสาวพี่ หึงรึไง ฮึ่ม?” รอยยิ้มทะเล้นจนร่างบางอยากจะบิดให้แก้มเขียว
ก็ใช่นะสิ! จะไม่ให้หึงได้ไง! แล้วรูปถ่ายใบนั้นมันคืออะไรกัน!?
“เอ่อ” เธออยากจะถาม แต่ก็รู้ว่าไม่สมควร “หนูรักพี่นะคะ”
“...”
เจคอปมองท่อนแขนของตัวเองถูกอีกฝ่ายวิ่งเข้ามากอด
ไม่คิดเลยว่าโตจนอายุจะ 40 อยู่แล้ว แต่กลับต้องมาแพ้ทางเด็กผู้หญิงอายุ 22 “ขึ้นห้องเถอะ อยากต่อจากเมื่อเช้าจะแย่แล้ว”
เสียงกระซิบข้างใบหูทำเอานาเดียหน้าแดงเถือก “บ้า! >///<“
ไม่เป็นไรหรอก... ยังไงตอนนี้พี่เจคก็รักเธอ
ยังไงตอนนี้เขาก็เห็นเธอสำคัญที่สุด
เธอต้องเชื่อใจเขา ต้องเชื่อมั่นในความรักของเขา!
เสียงบรรเลงบทเพลง Classic จากวง orchestra ชื่อดังระดับโลกกำลังประสานเสียงจากเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดขับกล่อมออกมาในบทเพลง 'Four Season'บทเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะที่ฟังกี่ครั้งก็ยังคงตราตรึงหัวใจคนฟัง เหล่าบรรดาคนดังของประเทศอเมริกา ทั้งนายแบบนางแบบชื่อดัง ทั้งเหล่าคณะรัฐมนตรี รวมไปถึงบรรดาไฮโซทั้งหลาย ต่างพร้อมใจกันมารวมตัว ณ Hall ขนาดใหญ่ที่จุคนได้นับหมื่น และหนึ่งในบรรดาคนดังเหล่านั้น ก็รวมถึงศาสตราจารย์ดอกเตอร์นายแพทย์เจคอป บดินพิทักษ์ นายแพทย์ชื่อดังที่พึ่งได้รับการยกย่องจากองกรค์แพทยสภาของอเมริกาให้เป็นนายแพทย์ผู้มากความสามารถซึ่งเป็นแกนนำหลักสำคัญในการพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพราะในช่วง 15 ปีนับตั้งแต่ที่เขากลับมาดูแลกิจการต่อจากผู้เป็นบิดา เขาก็ค่อยๆขยายสาขาไปจนครอบคลุมทั่วทุกรัฐในอเมริกา ทำให้ชื่อเสียงของเขากลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในฉายา'อาชาแห่งวงการแพทย์'ทั้งๆที่ได้รับเกียรติจากท่านคณะรัฐมนตรีกลาโหมโดยตรงสำหรับตั๋วที่นั่งชั้นลอยระดับวีไอพี แต่แขกคนสำคัญคนดังกล่าวกลับไม่ได้นั่งอยู่ในที่ที่ถูกจัดไว้ให้หลังม่านพลิ้วไหวบนชั้นลอยระดับวีไอพี ปรากฏร่างของชายหญิง
ตอนพิเศษเล็กๆเจคอปผละออกจากร่างบาง “แต่งตัวสิ”เขาลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับเดินไปหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ที่ดูเป็นทางการออกมาจากตู้เสื้อผ้า“จะไปไหนเหรอคะ” นาเดียเอ่ยถามด้วยความสงสัย มองแผ่นหลังที่กำลังยัดแขนลงไปในเสื้อเชิ้ต“กลับบ้านเดียไง” เขาพูดโดยไม่ได้หันมามองหน้าคนตัวเล็ก จึงไม่เห็นว่าร่างบางมีสีหน้าอึ้งกับคำพูดของเขาแค่ไหน แต่เขาก็พอจะเดาได้ จึงหันกลับมาทั้งที่ยังติดกระดุมไม่เสร็จ “ไปขอลูกสาวจากท่านทั้งสองไง” รอยยิ้มร้ายปรากฏบนใบหน้าคนสูงวัยเขาไม่มีเวลามากพอจะจัดพิธีรีตองอะไรมากมาย เพราะอีกไม่นานก็ต้องกลับอเมริกาแล้ว เขาอดใจรอที่จะบอกข่าวดีให้กับพ่อแม่ที่รออยู่ทางโน้นแทบไม่ไหว อายุจนปูนนี้แล้ว พึ่งจะรู้สึกอยากเลี้ยงลูก“ตอนนี้พี่อายุ 37 คงต้องรีบมีน้องอีกคนไวไวแล้วล่ะ เดี๋ยวแก่เกินจะเดินตามลูกไม่ทัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าร่างสูง แต่คนตัวเล็กกลับมีสีหน้าแดงก่ำกับคำพูดชวนทะลึ่ง“บะ บ้าเหรอคะ” นาเดียยิ้มจนแก้มแทบปริ ก่อนร่างกายจะถูกโอบอุ้มจนตัวลอยขึ้นจากพื้น เจคอปถูไถใบหน้ากับหน้าท้องแบนราบ ก่อนจะประทับจูบอย่างแผ่วเบา “ขอให้เป็นลูกสาวทีเถอะ”เจคอปค่อยๆวางคนตัวเล็กลงบนพื้นอย่างท
ย้อนกลับไปเมื่อราวสองเดือนก่อนหน้านี้…เจคอปรับสายจากทางไกล เป็นหมายเลขที่โทรมาจากอเมริกา“ครับป๊า”“ป๊ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจค ตอนนี้โรงพยาบาลที่อเมริกากำลังเกิดปัญหาอย่างหนัก ป๊าอยากให้ตาเจมส์หรือเจค เราคนใดคนหนึ่งกลับมาดูแลกิจการที่นี่ แต่ใจป๊าอยากให้ตาเจมส์เป็นคนกลับมา เพราะที่นี่ไม่ได้มีสาขามากมายเหมือนที่ประเทศไทย เจ้าคนเสเพลอย่างตาเจมส์คงจะจัดการได้ไม่เหนือบ่ากว่าแรง” เรื่องสำคัญจากปากคนเป็นพ่อทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินอยู่ อดนึกถึงน้องชายไม่ได้ จริงอย่างที่พ่อเขาว่า ที่ประเทศไทยมีโรงพยาบาลที่อยู่ใต้อาณัติของครอบครัวเขาอยู่ทั่วเกือบทุกจังหวัด ทำให้ปัญหาและภาระงานที่ต้องรับผิดชอบมีมากมายกว่าที่โน้นมากโข แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า...“แล้วเรื่องงานหมั้นระหว่างหนูมินกับตาเจมส์ไปถึงไหนแล้ว ป๊าอยากให้หมั้นเช้าแล้วก็แต่งเย็นไปเลยทีเดียว ตอนตาเจมส์กลับมาจะได้พาหนูมินกลับมาด้วย ซินดี้เขาคิดถึงหนูมินน่าดู” ในที่สุดคำถามที่ผมกลัวคนเป็นพ่อจะถามก็หลุดออกมาจนได้ ทั้งๆที่งานหมั้นระหว่างตาเจมส์กับยัยมินควรจะเสร็จลุล่วงเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แต่เพราะปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ยังคา
“อ๊ะ พะ... พี่เจค” ไม่ทันที่ร่างบางจะทันได้เอ่ยความใน ปากหนาก็ชิงประกบจาบจ้วงเอาทุกคำที่คิดว่าร่างบางจะเอ่ยคำปฏิเสธออกมา นาเดียเบิกตามองเขาด้วยความตื่นตะลึง เขาหมายความว่าอะไร เขารู้แล้วเหรอว่าเธอท้อง แต่เขาจะรู้ได้ยังไง“อื้มมม อ่ะ...พะ... อื้มมม” ครั้นจะส่งเสียงอะไรก็ตามที่คิดอยากจะพูด เจคอปจะคอยส่งลิ้นเข้าหาเพื่อห้ามปรามเธอเสียทุกครั้งไป จนร่างบางหมดความพยายามที่จะเอ่ยถามข้อสงสัย ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขสมที่เขาปรนเปรอให้ มือเล็กที่เคยดันอยู่ตรงแผงอกเปลี่ยนไปโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ ท่าทางเหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธเรื่องลูกของเขาทำให้นาเดียเกิดความหวังเล็กๆขึ้นในใจเจคอปหลับตาแน่นก่อนจะคำรามออกมาเบาๆเมื่อได้ปลดปล่อยน้ำเชื้อพันธุ์ดีเข้าสู่ร่างกายคนตัวเล็กสมดังตั้งใจ เขาแช่ร่างกายค้างไว้ในตัวเธอ หวังให้ลูกๆนับพันล้านตัววิ่งเข้าไปหาไข่ใบเล็กๆเพียงใบเดียวที่อยู่ในร่างกาย เขาตั้งใจจะผูกมัดเธอด้วยวิธีที่เห็นแก่ตัว โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาได้ทำสำเร็จไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ตั้งใจแล้ว“ถ้ามีเจคอปน้อยอยู่ในท้องเธอ เธอก็จะหนีพี่ไปไหนไม่ได้อีก” เขากระซิบความในใจแสนชั่วร้ายข้างใบหูคนตัวเล็ก และนั่นทำให้เธ
เปลือกตาปิดสนิทค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นแววตาที่สะท้อนแต่เพียงความเจ็บปวด เขายังไม่ได้หลับ เขาแค่รอดูว่ายัยตัวเล็กกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่เขารู้ตัวตั้งแต่ตอนที่เปิดตู้เสื้อผ้าแล้ว มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเสื้อผ้าของนาเดียหายไป เขาเหลือบมองไปยังโต๊ะก็พบว่าข้าวของต่างๆของเธอหายไปด้วย เธอกำลังคิดจะไปจากเขาบางทีการที่ต้องทนอยู่กับผู้ชายอารมณ์ร้อนอย่างเขามันคงทำให้เธอมีแต่ความทุกข์ บางทีสิ่งที่เขาพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอดมันคงยังไม่ดีพอสำหรับเธอ บางทีความรักของเขามันคงไม่มีค่าพอจะเหนี่ยวรั้งเธอไว้บางที... เขาคงต้องปล่อยเธอไปเสียทีหัวใจดวงน้อยบีบรัดรุนแรงจนเกิดอาการเจ็บปวดรวดร้าว ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาพร่าเบลอเพราะเจ้าของดวงตามองมันผ่านม่านน้ำตาท้วมท้น นาเดียกวาดตามองไปรอบๆ คอนโดขนาดใหญ่ที่สร้างความทรงจำให้กับเธอมากมายทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตา...หญิงสาวค่อยๆปิดเปลือกตาลง คล้ายจะเป็นการตัดใจจากผู้ชายอีกคนที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง มือเล็กเอื้อมไปจับลูกบิดประตูก่อนจะคาทิ้งไว้อย่างนั้นประตูบานเดียวกันนี้ที่เธอเคยเปิดมันออกเพื่อพาตัวเองออกไปจากห้องที่ไม่เคยอยากจะทนอยู่แม้
กิจวัตรยามเช้าระหว่างนาเดียกับเจคอปยังคงดำเนินไปตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแค่ไม่มีการสนทนาระหว่างทั้งคู่ไม่มีการเดินจับมือลงมาจากคอนโดไม่มีการจูบลาก่อนจะแยกกันไปทำงานไม่มีการส่งข้อความหาตลอดทั้งวันและไม่มีเธอหลงเหลืออยู่ในสายตาของเขาอีกแล้วก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานของเจคอปดังขึ้น “เข้ามา”คำอนุญาตจากเจ้าของห้องทำให้คนที่อยู่ด้านนอกเปิดประตูเข้าไปด้านใน เจมส์มาร์มองพี่ชายของตัวเองกำลังง่วนอยู่กับเอกสารกองโต เจคอปยังอยู่ในสภาพเดิมเหมือนที่เขาแวะมาเมื่อตอนเช้าก่อนเข้าผ่าตัดไม่มีผิด และสภาพของผู้หญิงอีกคนที่เขาเห็นเมื่อสักครู่ ใบหน้าหมองเศร้าไม่ต่างกันเลย นี่คงจะยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันอีกสินะ“มีธุระอะไร” น้ำเสียงเย็นชาแบบที่อีกฝ่ายมักจะใช้เวลามีเรื่องทุกข์ใจหรืออยากซ่อนความรู้สึก มีหรือที่คนเป็นน้องอย่างเขาจะดูไม่ออก“เมื่อวานพี่คุยกับนาเดียรึยังครับ” เจมส์มาร์เอ่ยถามโดยไม่เกรงใจ เขานั่งลงโดยไม่รอให้คนตรงหน้าอนุญาต อยู่กับเจคอปมาร่วม 30 ปี พึ่งจะเคยเห็นพี่ชายมีความรัก แล้วน้องชายอย่างเขาจะยอมให้มันพังทลายลงเพียงเพราะความเย็นชาของคนตรงหน้าได้อย่างไร“ไม่มีอะไรต