เข้าสู่ระบบ"ให้เข้ามาได้"
"คารวะซื่อจื่อ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพรุ่งนี้ยามซื่อ (09.00-10.59น) พะยะค่ะ" เจากงกงลูกศิษย์ของเกากงกงได้รับมอบหมายให้มาแจ้งรับสั่งในยามดึก
"เข้าใจแล้ว มีอะไรอีกหรือไม่"
"ไม่มีแล้วขอรับ ข้าน้อยขอตัวก่อน"
"หยวนคัง พรุ่งนี้เจ้ากลับจวนไปก่อน ไม่ต้องตามข้าเข้าวัง" ไป๋หยวนคังเป็นบุตรชายของไป๋ซานพ่อบ้านใหญ่ตำหนักชินอ๋องเดิมทีพ่อบ้านใหญ่นั้นเป็นทหารในสังกัดของชินอ๋องมาก่อนแต่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ ชินอ๋องจึงได้เสนอให้มาเป็นพ่อบ้านใหญ่ ตอนนี้ดำรงตำแหน่งนายกองอีกทั้งยังเป็นคนสนิทของจ้าวหนานหลิงอีกด้วย
"ขอรับซื่อจื่อ งั้นข้าน้อยขอตัวก่อน" หยวนคังนั้นพึ่งกลับมาจากเมืองกุ๋ย ก่อนที่จ้าวหนานหลิงจะเดินทางกลับมาเมืองหลวงนั้นได้สั่งให้ไป๋หยวนคังจับตาดูสถานการณ์ที่เมืองกุ้ย หลังจากที่ตนเดินทางออกจากเมือง
'เฮ้อ... เสด็จลุงคงเรียกข้าเข้าไปด่าอีกกระมัง' นึกถึงการเข้าเฝ้าครั้งก่อนแล้วจ้าวหนานหลิงก็ได้แต่ถอดถอนใจ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจขัดรับสั่งไม่เข้าไปได้
....
ยามซื่อ (09.00-10.59น) หนานหลิงนั้นนั่งรอฮ่องเต้อยู่เพียงครู่ พระองค์ก็เสด็จมา ไม่ได้ให้รอนานกว่าค่อนวันดังคราวที่แล้ว
"ถวายพระพรฝ่าบาท ของจงทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปีพะยะค่ะ" จ้าวหนานหลิงคุกเข่าถวายความเคารพตามพิธีการ สีหน้าไม่สู้ดีนักด้วยเกรงว่าจะถูกตำหนิจากเรื่องเดิม เขามัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการสะสางงานที่ค่าย หากเสด็จลุงถามไถ่ความคืบหน้าขึ้นมาคงมิแคล้วว่าต้องถูกตำหนิเป็นแน่ จึงได้แต่ก้มหน้า มิกล้าสบตากับฮ่องเต้แม้แต่น้อย
ฮ่องเต้จ้องมองหลานชายที่คุกเข่าอยู่เป็นนานเพราะได้รับรายงานมาว่า เจ้าหลานชายตัวดีนั้นยังไม่คิดที่จะสืบเสาะเรื่องราวใดๆเลยหลังจากประทับบนพระที่นั่งก็มองเขาอยู่นานกว่าจะสั่งให้ลุกขึ้นได้"ลุกขึ้น"
"ข้าจะให้เจ้าไปเฝ้าชายแดนแทนแม่ทัพซูอันเทียนพี่ชายภรรยาเจ้า ออกเดินทางภายในสามวัน" จากเดิมที่ลุกขึ้นแล้วได้แต่ก้มหน้าก้มตาก็รีบเงยหน้าขึ้นมามองฮ่องเต้ทันที
"เสด็จลุง..ข้า" จ้าวหนานลิงได้แต่พึมพำยังไม่ทันจบประโยค'ข้าพึ่งกลับมา' องค์ฮ่องเต้ก็รับสั่งต่อรวดเดียว
"ห้ามเจ้าพานังจิ้งจอกอนุของเจ้าไปด้วยเป็นอันขาด หากฝ่าฝืนข้าจะให้คนบั่นคอนางเสีย"
"อ่ออีกเรื่องซินหยางนางต้องการหย่ากับเจ้า ข้าให้โอกาสเจ้าแค่สามเดือน จัดการเรื่องของตนเองให้เรียบร้อย ทั้งเรื่องไปเฝ้าชายแดน ทั้งจัดการเรื่องส่วนตัวไปด้วย เจ้าสามารถจัดการได้เองกระมัง ข้าหวังว่าเจ้าจะกลับมาเป็นหลานชายที่ข้าภูมิใจได้ในเร็ววัน"
"ได้อย่างไรกัน นางแต่งให้ข้าแล้วต่อให้ตายก็ยังต้องเป็นภรรยาข้า อย่างไรข้าก็ไม่หย่า" เมื่อฮ่องเต้กล่าวจบประโยคสุดท้ายจ้าวหนานหลิงก็ตื่นตระหนกทันที ไม่ได้สนใจคำที่ว่าจะบั่นคออนุรักแม้แต่น้อย อันใดคือซินเอ่อจะหย่ากับเขา ครานั้นที่ท่านพ่อตาฝากพ่อบ้านมาบอกเขาเพียงคิดว่านางแค่น้อยใจ เดี๋ยวคงกลับมาเอง
"เห๊อะ เจ้าคิดว่าบุตรีของแม่ทัพไร้พ่ายจะยอมอยู่กับเจ้าเยี่ยงคนไร้ศักดิ์ศรีหรือไร นางไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ต่อ ไม่มีเจ้า นางกับลูกก็อยู่ได้ แม่ทัพซูรักนางปานแก้วตาดวงใจ เดิมทีนางก็ยินยอมให้เจ้ารับอนุแล้ว แต่เจ้ากลับสั่งให้คนทำร้ายนางเพื่ออนุที่พึ่งรับเข้าตำหนัก ที่เจ้ารอดจากคมดาบแม่ทัพมาได้เจ้าควรต้องขอบคุณข้ากับพ่อของเจ้าที่เป็นสหายของเขา"
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้พระองค์ก็ได้แต่ปวดเศียร เดิมทีที่เรียกมาว่ากล่าวครานั้นแทนที่เจ้าหลานชายจะรีบกลับไปสืบความให้กระจ่าง แต่กลับดีนักมัวแต่หลงอนุแล้วก็ไปค่ายทหาร
"ต่อให้พระองค์พูดอย่างไรข้าก็ไม่หย่า" ประโยคนี้ของจ้าวหนานหลิงเหมือนกับจะบอกกล่าวแก่ฮ่องเต้ แต่เขารู้ดีว่าเขากำลังพูดกับตนเอง
"ดียิ่ง ข้าไม่สนเพราะข้าลั่นวาจาไว้แล้ว ภายในสามเดือนนี้หากเจ้าจัดการให้นางพอใจไม่ได้ข้านี่แหล่ะจะออกราชโองการหย่าให้นางเอง ไสหัวไป!!" เมื่อฮ่องเต้เห็นแววตาตื่นตระหนกพูดพึมพำกับตนเองหลังจากที่หนานหลิงได้ยินว่าซูซินหยางจะหย่าก็รีบไล่ให้เขาออกไปทันที เพราะพระองค์รับไม่ได้ที่หลานชายเหมือนไม่เป็นตัวเองเช่นนี้
"เกากงกง เจ้าส่งคนไปสืบเรื่องอนุนางนั้นที่บ้านเกิดนางแล้วใช่หรือไม่"
"ทูลฝ่าบาท กระหม่อมส่งคนไปแล้วพะยะค่ะ หากมีความคืบหนากระหม่อมจะรีบรายงานทันทีพะยะค่ะ" ฮ่องเต่ได้แต่ทอดสายตามองไปทางประตูที่หนานหลิงเดินจากไป
...
หลังจากออกมาจากราชวัง จ้าวหนานหลิงที่พยายามข่มอารมณ์ตื่นตระหนกไว้ ก็รีบควบม้าไปที่จวนตระกูลซูทันที บ่าวที่เฝ้าประตูจวนเมื่อเห็นว่าผู้ใดมา คนนึงก็รีบวิ่งเข้าไปรายงานพ่อบ้าน คนนึงก็คอยกันจ้าวหนานหลิงไม่ให้เข้าไปโดยพละการ
"คารวะซื่อจื่อ ข้าน้อยขอเรียนถามซื่อจื่อต้องการมาพบผู้ใดหรือขอรับ ข้าน้อยจะได้ให้บ่าวเข้าไปรายงาน"
'เหตุใดบ่าวพวกนี้เรียกข้าว่าซื่อจื่อ ไม่ใช่ท่านเขย' จ้าวหนานหลิงได้แต่คิดถึงความเปลี่ยนแปลงที่บ่าวไพร่จวนแม่ทัพซูมีต่อตนเอง
"เจ้ารีบไปรายงาน ข้าต้องการพบฮูหยินของข้า"
"เรียนซื่อจื่อ คุณหนูสามได้แจ้งไว้ว่าตอนนี้นางไม่สะดวกให้ผู้อื่นพบเนื่องจากยังต้องรักษาตัวอยู่ ข้าน้อยต้องขออภัยด้วย"
"เจ้าๆ... คุณหนูสามอันใด นางยังเป็นเมียข้าอยู่ต้องเรียกนางว่าจ้าวฮูหยินซิ"
"ข้าน้อยต้องขออภัยด้วยขอรับคุณหนูสั่งไว้ว่าให้เรียกตามนี้ พวกข้าน้อยต้องปฏิบัติตาม"
ก่อนที่จะมีการโต้เถียงไปมากกว่านี้แม่ทัพซูที่พาหลานชายไปขี่ม้าเล่นก็กลับมาพอดี "ซื่อจื่อต้องการพบบุตรสาวข้าด้วยเรื่องอันใด"
"คารวะท่านพ่อตา ข้า."
"โอ๊ะ มิกล้าๆ ข้ามิกล้ารับการคารวะของซื่อจือหรอก แล้วอีกอย่างข้าเองก็ไม่อยากเป็นพ่อตาท่านแล้วด้วย"
เมื่อเห็นว่าพูดกับพ่อตาไปก็มีแต่จะทำให้ขุ่นเคืองใจจ้าวหนานหลิงจึงหันไปพูดกับบุตรชาย "อวี้เอ่อร์ มาหาพ่อมา พ่อคิดถึงเจ้ายิ่งนัก" เมื่อจ้าวเฉิงอวี้ได้ยินดังนั้นก็รีบไปหลบอยู่ด้านหลังท่านตาของตนทันที
"ข้าไม่คิดถึงท่านหรอก ท่านตีท่านแม่ข้า ข้าเกลียดท่าน!!"
เมื่อเห็นแววตาของบุตรชายเต็มไปด้วยความชิงชังและคำพูดที่แสดงออกมาว่าเกลียดตนจริงๆ ก็เหมือนดั่งฟ้าผ่าลงกลางใจ จ้าวหนานหลิงเหมือนจะซวนเซเล็กน้อย คลับคล้ายว่ามีหมอกบางๆบังตาอยู่ หากเขาไม่รีบขจัดหมอกนั้นออกไปเกรงว่าจะสายเกินแก้
เมื่อแม่ทัพซูเห็นว่าหลานชายกล่าวคำไม่น่าฟังออกมาก็จำต้องเอ่ยปาก เพราะถึงอย่างไรนั่นก็คือบิดา จึงรีบดึงหลานชายออกมาจากด้านหลังตนเอง "อวี้เอ่อร์เด็กดี รีบขอโทษท่านพ่อเร็วเข้า"
"ข้าขอโทษ" แม้จะรู้สึกโกรธเพียงใด แต่จ้าวเฉิงอวี้นั้นก็เป็นแค่เด็กคนนึงที่เชื่อฟังคำสั่งสอนจากผู้ใหญ่มาตลอด
"อวี้เอ่อร์ลูกพ่อ" จ้าวหนานหลิงกำลังจะยื่นมือไปกอดบุตรชาย แต่บุตรชายกลับวิ่งไปหลบหลังท่านตาอีกครั้ง แม่ทัพซูจึงเอ่ยกับหลานชาย "อวี้เอ่อร์เจ้าเข้าไปหาท่านแม่ก่อนไป พ่อบ้านเจ้าพาหลานข้าเข้าไปก่อน ไปถามคุณหนูด้วยว่าซื่อจื่อต้องการจะเข้าพบ คุณหนูอนุญาติให้เข้าพบหรือไม่"
"ขอรับ คุณชายน้อยไปกับบ่าวนะขอรับ" จ้าวเฉิงอวี้รีบเดินไปกับพ่อบ้านทันทีไม่หันมามองบิดาที่กำลังมองตามด้วยแววตาที่เศร้าหมองเลย
"เฮ้อ..ซื่อจื่อเข้าไปคุยกับข้าในห้องรับรองก่อนแล้วกัน" แม่ทัพซูสังเกตุเห็นแววตาสำนึกผิดของจ้าวหนานหลิงจากจึงได้ใจอ่อนช่วยได้แค่ส่งคนไปสอบถามบุตรสาว ส่วนจะให้พบหรือไม่ก็ให้นางตัดสินใจเอง
"ขอบพระคุณขอรับท่านพ่อตา"
"ท่านเรียกข้าว่าแม่ทัพซูดีกว่า ยิ่งเรียกข้าว่าพ่อตาจะยิ่งทำให้ข้ารู้สึกผิดที่ส่งบุตรสาวไปให้ท่านโบยตีซะเปล่าๆ"
จ้าวหนานหลิงได้แต่เดินตามแม่ทัพซูเข้าไปที่ห้องรับรอง "นางสบายดีหรือไม่ขอรับ"จ้าวหนานหลิงเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นว่าอยู่ตามลำพังกับแม่ทัพซู
"นางสบายดี สภาพจิตใจดีขึ้นมากแล้ว สภาพบาดแผลก็ใกล้หายแล้ว แต่แผลเป็นต้องใช้เวลา ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าหากเจ้าไม่รักนางแล้วแค่ส่งนางกลับมาหาข้า อย่าได้ทุบตีนาง เหตุใดเจ้าถึง... เจ้ารู้หรือไม่ว่านางสลบไปสามวัน " แม่ทัพซูได้แต่ชี้หน้าว่ากล่าวจ้าวหนานหลิง แต่ก็ด่าได้ไม่เต็มคำเพราะตนเองก็มีส่วนผิดที่มองคนไม่กระจ่างแจ้ง
เขาเองก็ทราบดีว่าการจะหาสามีที่รักเดียวใจเดียวแบบที่ตนมีให้ฮูหยินนั้นมันยาก เขาขอแค่บุตรเขยให้เกียรตินางในฐานะภรรยาเอก ไม่ทุบตีนางแค่นั้น แต่คนผู้นี้กลับดีนักทั้งไม่ให้เกียรตินางทั้งสั่งโบยนางสลบไปสามวัน ดีเท่าใดแล้วที่นางฟื้นขึ้นมา ไม่อยากคิดเลยว่า หากนางไม่ฟื้นขึ้นมาคงสูญเสียบุตรสาวคนนี้ไปแล้ว
"ท่านพ่อตา..ท่านแม่ทัพข้าขอโทษ" จ้าวหนานหลิงรีบคุกเข่าขออภัยต่อหน้าพ่อตา เขาเองก็พึ่งทราบว่าซูซินหยางสลบไปสามวันจากคำบอกเล่าของแม่ทัพซู เขาจำได้ว่าหลังจากสั่งโบยนางก็เรียกหมอที่ไปตรวจนางมาถามอาการ หมอหญิงผู้นั้นบอกว่านางฟื้นแล้ว อาการดีขึ้นแล้วเขาจึงไม่ได้สนใจ
ก่อนที่แม่ทัพซูจะระบายความอัดอั้นตันใจไปมากกว่านี้พ่อบ้านก็เข้ามาแจ้งว่าคุณหนูสามอนุญาตให้ซื่อจื่อเข้าพบได้
"เจ้าไปเถอะ หากเป็นไปได้เจ้าก็ส่งนางคืนข้ามาเถิด แล้วเจ้าจะมีรักใหม่อีกกี่ครากี่หนก็ตามใจเจ้าเลย อย่าได้เอาลูกกับหลานข้าไปทรมารเลย"
"ท่านแม่ทัพ ขออภัยด้วยนางเป็นภรรยาข้าแล้ว ข้าไม่คืนนางให้ท่านแน่"
"เห๊อะ ช่างเถิด ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็รับปากข้าไว้แล้วข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะคืนหรือไม่คืน อ่ออีกอย่างข้าจะบอกให้นะ ว่านางโดนวางยาพิษ หากเจ้ายังมีไมตรีต่อนางจริงๆละก็ จงรีบคืนนางให้ข้าเสียเถิด รีบไปพบนางเถอะ เสร็จแล้วก็รีบกลับไปซะ"
จ้าวหนานหลิงถึงกับเหม่อลอย อันใดคือภรรยาข้าโดนวางยาพิษกัน ใครกันที่กล้าวางยานาง จ้าวหนานหลิงตกตะลึงกับคำที่พ่อตาได้เอ่ยออกมา เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับภรรยาตนเองได้
เมื่อเดินมาถึงห้องรับรองในเรือนของซินหยาง จ้าวหนานหลิงที่ไม่ได้เจอหน้าภรรยามากว่าครึ่งเดือน เมื่อมาพบเจออีกครั้งก็ได้เห็นถึงความอิดโรย หน้าซีดไร้สีเลือด แววตาแสดงถึงความเฉยชา ไม่ยินดียินร้ายกับการเจอเขาแม้แต่น้อย เมื่อเห็นดังนั้นในใจจ้าวหนานหลิงราวกับโดนมีดกรีดลึกลงไปทีละเล่ม
ตำหนักชินอ๋องหลังจากที่เมิ่งเหลียนฮวาออกจากจวนไปได้สามเค่อ ชินอ๋องจ้าวจื่อเหวินและพระชายาฮั่วเย่วอิงก็เดินทางมาถึงตำหนักในยามเว่ย(13.00-14.59น) ทั้งสองนั้นมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เนื่องจากระหว่างที่เดินทางใกล้ถึงเมืองหลวงต่างก็มีเรื่องโจษจันกันว่าบุตรชายนั้นลุ่มหลงอนุภรรยาที่พึ่งรับเข้ามาจนถึงขนาดสั่งโบยภรรยาที่ตบแต่งมาด้วยเกี้ยวแปดคนหามนานกว่าห้าปีโดยไม่กระพริบตาและตอนนี้ทั้งลูกสะใภ้และหลานชายของพวกตนนั้นก็ได้ขนย้ายข้าวของออกจากตำหนักกลับไปยังบ้านเดิมแล้ว โดยมีแม่ทัพซูเป็นผู้มารับเอง ดีเท่าใดแล้วที่ทางบิดาของลูกสะใภ้ไม่ลงมือสั่งสอนบุตรเขยคนนี้หากว่าจ้าวหนานหลิงมิใช่บุตรชายของสหายสนิทเช่นตนเกรงว่าป่านนี้คงนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปนานแล้วเมื่อชินอ๋องและพระชายาลงมาจากรถม้าก็มีบุตรชายจ้าวหนานหลิงสองพ่อลูกแซ่ไป๋และบรรดาบ่าวไพร่ออกมายืนต้อนรับ "ถวายพระพรเสด็จพ่อเสด็จแม่พะยะค่ะยินดีต้อนรับบ้านพะยะค่ะ" จ้าวหนานหลิงกล่าวทักทายคนทั้งสองด้วยความปิติยินดีที่
เมื่อพ่อบ้านไป๋ออกไปแล้ว จ้าวหนานหลิงก็ได้แช่น้ำชำระกาย คิดถึงเรื่องถุงหอมตอนที่เขาจะไปที่ค่าย ไม่ได้บอกกล่าวแก่เมิ่งเหลียนฮวา นางถึงขั้นสั่งให้บ่าวนำถุงหอมมาให้ตนเองถึงที่ค่ายทหาร ครานั้นเขาก็เพียงรับมาสูดดมแล้วก็พกติดตัวอยู่ตลอด ไม่ว่าจะทำสิ่งใด เพราะกลิ่นนี้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจริงๆเขาไม่เตยสังเกตุว่าตนเองมักจะคนึงหาแต่เมิ่งเหลียนฮวาทุกครา บางครั้งยามที่อยู่คนเดียวก็มักจะนั่งเหม่อลอยแต่ถุงหอมใบนั้นก็อยู่กับเขาได้ไม่ถึงสองวันก็มีเหตุให้ฉีกขาดระหว่างกำลังฝึกทักษะต่อสู้บนหลังม้าให้ทหารใหม่เมื่อขาดไปแล้วก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอันใด เพียงแต่เขากลับรู้สึกเมื่อยล้า ไม่มีกำลังและมักจะหงุดหงิด นอนหลับไม่สนิท ในทุกคืนก็สะดุ้งตื่นบ่อยครั้งเพราะในฝันนั้นมีเสียงสตรีนางนึงเอ่ยกับเขาว่า 'ท่านเป็นของข้า จงมาหาข้า จงปกป้องข้าจงเชื่อฟังข้า!'หลายวันเข้างานที่ต้องทำเสร็จแล้วกลับล่าช้าลงแต่ทุกอาการที่เกิดขึ้นนี้เขานั้นไม่ได้มีความรู้สึกคนึงหาเมิ่งเหลียนฮวาเลย จนกระทั่งวันนี้ที่เขาได
"คารวะซื่อจื่อ ขออภัยที่ข้ามิอาจลุกขึ้นคารวะท่านได้ตามพิธีการ" น้ำเสียงที่ฟังดูห่างเหิน อีกทั้งถ้อยคำที่กล่าวออกมานั้นราวกับนางนั้นไม่ได้กำลังสนทนาอยู่กับสามีร่วมผูกผมแต่นางกำลังสนทนาอยู่กับคนแปลกหน้า"ซินเอ่อร์ เจ้า..เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" จ้าวหนานหลิงน้ำเสียงสั่นแววตาเริ่มแดงก่ำภายในอกของเขาตอนนี้กำลังอัดอั้นเจียนจะขาดใจอย่างถึงที่สุด"เรียนซื่อจื่อ ข้าน้อยสบายดี รบกวนซื่อจื่อเรียกข้าว่าคุณหนูสามเถิด ข้าน้อยมิอาจเอื้อมจะสนิทกับซื่อจื่อได้หรอกเจ้าค่ะ" ตลอดทุกถ้อยคำที่นางเอ่ยออกมานั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขาเลย"ข้า..." จ้าวหนานหลิงนั้นไม่สามารถพูดประโยคหลังออกมาได้ว่า 'เป็นสามีเจ้าใยต้องเรียกเจ้าว่าคุณหนูสาม' เพราะประโยคนี้มันจุกอยู่ในอก สามีอะไรกันถึงทำกับภรรยาตนเองเช่นนั้น"ซื่อจื่อมาพอดีเลย คราแรกข้าตั้งใจว่าจะให้ท่านพ่อนำหนังสือหย่านี้ไปให้ท่านลงนาม แต่ฝ่าบาทขอเวลาไว้สามเดือน ข้ามาคิดดูแล้วเห็นว่าไม่
ในคืนวันเดียวกันยามห้าย(21.00-22.59น) หลังจากเมื่อยล้าอยู่กับการสะสางงานต่างๆที่ค้างคาระหว่างที่ตนไปจัดการราชกิจให้แก่ฮ่องเต้กำลังจะเตรียมเข้านอน ก็มีทหารเข้ามารายงานว่ามีกงกงจากในวังขอเข้าพบ"ให้เข้ามาได้""คารวะซื่อจื่อ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพรุ่งนี้ยามซื่อ(09.00-10.59น) พะยะค่ะ" เจากงกงลูกศิษย์ของเกากงกงได้รับมอบหมายให้มาแจ้งรับสั่งในยามดึก"เข้าใจแล้ว มีอะไรอีกหรือไม่""ไม่มีแล้วขอรับ ข้าน้อยขอตัวก่อน""หยวนคัง พรุ่งนี้เจ้ากลับจวนไปก่อน ไม่ต้องตามข้าเข้าวัง" ไป๋หยวนคังเป็นบุตรชายของไป๋ซานพ่อบ้านใหญ่ตำหนักชินอ๋องเดิมทีพ่อบ้านใหญ่นั้นเป็นทหารในสังกัดของชินอ๋องมาก่อนแต่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ ชินอ๋องจึงได้เสนอให้มาเป็นพ่อบ้านใหญ่ ตอนนี้ดำรงตำแหน่งนายกองอีกทั้งยังเป็นคนสนิทของจ้าวหนานหลิงอีกด้วย"ขอรับซื่อจื่อ งั้นข้าน้อยขอตัวก่อน" หยวนคังนั้นพึ่งกลับมาจากเมือ
"ทูล..ทูลรัชทายาท เป็นๆแผนการของฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณหนูรองเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการช่วยให้คุณหนูรองได้หมั้นหมายกับหว่างซื่อจื่อ" จูถิงลนลานรีบสารภาพทันที ถ้านางไม่สารภาพตอนนี้ ก็คงต้องโดนทรมารเป็นแน่ จูจินเองเมื่อเห็นว่าสหายสารภาพแล้วตนก็สารภาพบ้าง"เดิมทีนายหญิงผู้เฒ่าไม่ชอบฮูหยินใหญ่ ต้องการให้เจียงอี๋เหนี๋ยงหลานสาวของตนมาเป็นฮูหยินเอก จึงได้ทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้างยามที่อี๋เหนี๋ยงวางยาให้ฮูหยินใหญ่ตายเมื่อสามปีก่อน เพราะอี๋เหนี๋ยงต้องการให้คุณหนูรองหมั้นหมายกับหว่างซื่อจือ แต่ตอนนั้นคุณหนูรองยังไม่ปักปิ่น วิธีเดียวที่จะหยุดการหมั้นหมายได้และตำแหน่งฮูหยินราชครูจะว่างลงคือให้ฮูหยินใหญ่ตายเจ้าค่ะ" จูจินสารภาพทุกสิ่งที่ตนรู้ออกมาจนหมดไส้หมดพุงเมื่อได้ยินคำสารภาพของจูจินแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจากที่คราแรกนั้นเกรงกลัวรัชทายาทอยู่แล้ว ซ้ำตอนนี้ยังมาโดนเปิดเผยเรื่องที่ตนเองทำมาก่อนจึงเป็นลมทันที "พวกเจ้าใส่ร้ายข้า กล้าป้ายสี หักหลังข้า เนรคุณเลี้ยงไม่เชื่อง ท่านพ่อ
ในขณะที่ลู่จื่อหลานสิ้นหวังว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสรอดแล้วจึงเตรียมที่จะกัดลิ้นตาย ทันใดนั้น 'ปัง' บานประตูถูกถีบให้เปิดออกโดยชายผู้หนึ่ง ลู่จื่อหลานเริ่มสะอื้นพยายามร้องขอให้ช่วยด้วยเสียงอู้อี้ ม่านน้ำตาคลออยู่ทำให้นางมองไม่ชัดนักว่าเป็นผู้ใด"พวกเจ้าช่างกล้าไม่เบา ถึงกับกล้าทำร้ายคุณหนูใหญ่ของจวนราชครู " "เจ้าเป็นใครกัน คุณชายนี่ไม่ใช่เรื่องของท่าน" ว่าแล้วต้าหลางกับเอ่อหลางก็พุ่งเข้าไปทำร้ายรัชทายาท องค์รักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่รีบออกจากที่มืดมาคอยคุ้มกันผู้เป็นนายทันทีอีกมุมนึงลู่จื่อหลานที่โดนฤทธิ์ธูปปลุกกำหนัดก็นั่งขดอยู่ที่มุมนึงของเตียงนางพยายามทำให้ตนเองมีสติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าตนเองนั้นจะทำเรื่องน่าอายอันใดออกไป องค์รักษ์เงาจัดการสองพี่น้องอันธพาลได้ภายในพริบตาจึงคุมตัวออกไปที่นอกห้องรอเจ้านายสั่งการ รัชทายาทเห็นว่าจัดการคนร้ายเรียบร้อยแล้วกำลังจะเดินตามออกไปเช่นกัน แต่ก็ต้องชะงักเพราะตนเองนั้นเริ่มมีอาการของคนโดนพิษปลุกกำหนัด เมื่อหันไปมองรอบห้องจึงเห็นว่ามีธูปถูกจุดอยู่จึงได้หันไปหยิบฝากาน้ำชานำไปครอบไว้ เพราะถ้าใช้น้ำสาดควันก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นขณะที่ก







