เข้าสู่ระบบตำหนักชินอ๋อง
หลังจากที่เมิ่งเหลียนฮวาออกจากจวนไปได้สามเค่อ ชินอ๋องจ้าวจื่อเหวินและพระชายาฮั่วเย่วอิงก็เดินทางมาถึงตำหนักในยามเว่ย(13.00-14.59น) ทั้งสองนั้นมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เนื่องจากระหว่างที่เดินทางใกล้ถึงเมืองหลวงต่างก็มีเรื่องโจษจันกันว่าบุตรชายนั้นลุ่มหลงอนุภรรยาที่พึ่งรับเข้ามาจนถึงขนาดสั่งโบยภรรยาที่ตบแต่งมาด้วยเกี้ยวแปดคนหามนานกว่าห้าปีโดยไม่กระพริบตา
และตอนนี้ทั้งลูกสะใภ้และหลานชายของพวกตนนั้นก็ได้ขนย้ายข้าวของออกจากตำหนักกลับไปยังบ้านเดิมแล้ว โดยมีแม่ทัพซูเป็นผู้มารับเอง ดีเท่าใดแล้วที่ทางบิดาของลูกสะใภ้ไม่ลงมือสั่งสอนบุตรเขยคนนี้ หากว่าจ้าวหนานหลิงมิใช่บุตรชายของสหายสนิทเช่นตน เกรงว่าป่านนี้คงนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปนานแล้ว
เมื่อชินอ๋องและพระชายาลงมาจากรถม้าก็มีบุตรชายจ้าวหนานหลิงสองพ่อลูกแซ่ไป๋และบรรดาบ่าวไพร่ออกมายืนต้อนรับ "ถวายพระพรเสด็จพ่อเสด็จแม่พะยะค่ะ ยินดีต้อนรับบ้านพะยะค่ะ" จ้าวหนานหลิงกล่าวทักทายคนทั้งสองด้วยความปิติยินดีที่ท่านพ่อท่านแม่เสด็จกลับตำหนักในรอบเกือบสองปี แม้การกลับมาครั้งนี้จะสร้างความขุ่นเคืองใจให้ท่านทั้งสองก็ตาม
"ถวายพระพรท่านอ๋องถวายพระพรพระชายาพะยะค่ะ/เพค่ะ ยินดีต้อนรับกลับตำหนักพะยะค่ะ/เพค่ะ" บรรดาบ่าวไพร่ต่างถวายการต้อนรับผู้นายสูงสุดของตำหนัก
"เอาหล่ะ ขอบใจพวกเจ้ามาก ใครมีหน้าที่อะไรก็ไปทำเถิด ส่วนเจ้าตามพวกข้ามา!!" จ้าวจื่อเหวินในวันสี่สิบปียังคงมีความน่าเกรงขามไม่เสื่อมคลาย กล่าวสั่งความกับบรรดาบ่าวไพร่ที่ออกมารับตนเองกับพระชายา จากนั้นก็หันไปพูดกับบุตรชายด้วยแววตาที่ไม่พอใจนัก เขาและพระชายาไม่อยู่เพียงสองปี เจ้าลูกตัวดีที่พระองค์ต่างก็ภูมิใจเหตุใดจึงสร้างเรื่องได้ถึงเพียงนี้
ตั้งแต่ลงมาจากรถม้าพระชายาฮั่วเย่วอิงในวัยสามสิบเจ็ดปีที่ยังคงความงามไว้ประนึงว่าการเวลาแทบจะไม่มีผลต่อพระนางเลย ในตอนนี้ไม่เอ่ยปากพูดอันใดกับบุตรชายสักคำ นางนั้นค่อนข้างผิดหวังในตัวบุตรชายเป็นอย่างมาก ไม่รู้ปีศาจตนใดเข้าสิงกันถึงได้สั่งโบยลูกสะใภ้ของนางได้ลงคอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้จ้าวหนานหลิงก็ไม่เคยมีทีท่าว่าจะออกนอกลู่นอกทางเลยแม้แต่น้อย แม้จะโกรธและผิดหวังเพียงใด ตอนนี้นางเองก็อยากที่จะฟังความจริงจากปากของบุตรชายก่อน
หลังจากทั้งสามเดินมายังห้องโถงตำหนักใหญ่ พ่อบ้านไป๋ก็ไล่บรรดาบ่าวไพร่ทั้งหมดให้ออกไป ส่วนตนนั้นอยู่รอรับใช้ที่หน้าห้อง "หนานหลิงเจ้าจงเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้พวกข้าฟัง" จากนั้นจ้าวหนานหลิงก็เริ่มเล่าตั้งแต่ตนได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้ไปตัดการราชกิจแทนพระองค์ที่เมืองกุ้ย แล้วพบเจอกับเมิ่งเหลี่ยนฮวาอย่างไร จนกระทั้งเหตุการที่ทำให้ตนสั่งโบยฮูหยิน อีกทั้งเล่าจนถึงตนพึ่งกลับมาจากจวนแม่ทัพซูจึงพึ่งทราบว่านางนั้นถูกวางยาพิษ"
"เพี๊ยะ"พระชายาฮั่วเย่วอิงสะบัดมือตบหน้าจ้าวหนานหลิงทันที หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจากปากบุตรชาย พระนางไม่อยากจะเชื่อว่า บุตรชายตนเองนั้นช่างโง่เง่ายิ่งนัก เพียงแค่เล่ห์เหลี่ยมเพียงเท่านี้ เขากลับมองไม่ออก
"ข้าขอถามเจ้า ...เหตุใดเจ้าช่างโง่เง่าถึงเพียงนี้!! เจ้ามองมารยานางไม่ออกหรือไรกัน ข้าขอประกาศไว้ ณ ตรงนี้ หากเจ้าไม่สามารถพาลูกสะใภ้กับหลานชายกลับมาคืนข้าได้ เจ้ากับข้าก็ไม่ต้องมาคุยกันอีก!!" หลังจากที่ชินอ๋องได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วกำลังจะเอ่ยปากด่าบุตรชาย แต่ก็ยังไม่ไวเท่าพระชายาของตนเองที่ลงมือตบหน้าบุตรชายพร้อมทั้งดุด่าด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างที่นางไม่เคยเป็นมาก่อน
"อิงเอ่อร์เจ้าใจเย็นๆก่อน ส่งมือมาให้ข้า เจ้าออกแรงถึงเพียงนั้นเจ็บหรือไม่ คราวหน้าอย่าได้ลงมือเองเด็ดขาด ส่วนเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะพาแม่เจ้าไปพักผ่อน เดี๋ยวข้าจะกลับมาจัดการเจ้า" ว่าแล้วจ้าวจื่อเหวินก็ดึงมือพระชายามาตรวจดู เมื่อเห็นว่าฝ่ามือนางนั้นแดงเถือกไปทั้งมือ จึงรีบพาพระชายากลับไปพักผ่อนที่ห้อง พระองค์ไม่ต้องการให้พระชายาของตนเองต้องโมโหไปมากกว่านี้เพราะกลัวจะกระทบต่อสุขภาพของนาง
"...." จ้าวหนานหลิงได้แต่หุบปากไม่กล่าวอันใด เกรงว่าถ้าพูดออกไปเพียงคำเดียวจะยิ่งทำให้เสด็จแม่มีโทสะขึ้น ครานี้ท่านพ่อได้เล่นงานเขาแน่ๆ
ส่วนพระชายาฮั่วเย่วอิงนั้นก็ได้แต่กลอกตามองบนในความห่วงใยเกินเหตุของพระสวามี นางก็แค่ป่วยเป็นหวัดระหว่างทางนิดหน่อยเท่านั้นเอง จากที่โมโหเจ้าลูกชายตัวดีอยู่ก็คลายลงไปไม่น้อยเลย
จ้าวจื่อเหวินได้พาพระชายากลับมาที่ห้องบรรทม "อิงเอ่อร์เจ้าอย่ามีโทสะไปเลย ประเดี๋ยวพี่ลองสืบหาความก่อนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นมันมีสาเหตุมาจากอันใด หากตัวต้นเหตุมาจากบุตรชายเราจริง ข้าจะให้เสด็จพี่จัดการส่งเขาไปอยู่ชายแดนไม่ต้องกลับมา ส่วนอนุผู้นั้นข้าไม่มีทางยอมรับนางเป็นลูกสะใภ้เด็ดขาด"
"ท่านพี่ข้ารู้สึกว่าหลิงเอ่อร์นั้นแปลกไปนะเพค่ะ ข้ามั่นใจว่าเขาไม่น่าใช่คนแบบนั้น" นางเป็นมารดาที่เลี้ยงดูจ้าวหนานหลิงมาตั้งแต่คลอดใยจะดูไม่ออกว่าบุตรชายนั้นผิดปกติจากเดิม แต่เมื่อได้ฟังจากปากบุตรชายใครบ้างจะไม่มีโทสะ
"ใช่พี่ก็รู้สึกเช่นกัน เอาเป็นว่าเจ้าพักผ่อนก่อนเถิด เดินทางมาเหนื่อยๆ" จ้าวจื่อเหวินกำชับบอกพระชายาเสร็จแล้วก็เตรียมจะไปพูดคุยกับบุตรชาย โดยไม่ลืมกำชับแม่นมอิ๋นที่ติดตามพระชายามาจากบ้านเดินให้ดูแลนางให้พักผ่อนให้ดี
"ท่านอ๋องพะยะค่ะ กระหม่อมมีเรื่องจะรายงาน" ในระหว่างที่กำลังเดินไปพบบุตรชายนั้นพ่อบ้านไป๋ก็เข้ามาเรียกตนไว้ก่อน "เจ้าตามข้าไปที่ห้องหนังสือเถิด ข้ามีเรื่องจะถามว่าในระหว่างที่ข้าไม่อยู่นั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง"
เมื่อทั้งสองมาถึงห้องหนังสือ จ้าวจื่อเหวินจึงนั่งลง รอให้พ่อบ้านไป๋รายงานเรื่องความผิดปกติของจ้าวหนานหลิงตั้งแต่ที่กลับมาเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เมื่อพ่อบ้านรายงานจบแล้ว จ้าวจื่อเหวินก็จับใจความได้ว่าตั้งแต่บุตรชายกลับมาก็มักจะอยู่ที่เรือนของอนุ ไม่พบหน้าฮูหยินและหลานชายเลยตลอดหนึ่งเดือนที่กลับมา จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้น
"เรียนท่านอ๋องมีอีกเรื่องพะยะค่ะ เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนที่ท่านจะมาถึงกระหม่อมเห็นซื่อจื่อกระอักเลือดออกมาเป็นสีดำพะยะค่ะ กระหม่อมจะตามหมอหลวงมาดูอาการแต่ซื่อจื่อไม่ยินยอม ซื่อจื่อบอกแค่ให้เตรียมจัดของเพราะฝ่าบาทมีบัญชาให้ไปเฝ้าชายแดนแทนแม่ทัพซูอันเทียนกำหนดออกเดินทางภายในสามวันพะยะค่ะ"
เมื่อจ้าวจื่อเหวินทราบว่าบุตรชายอาจถูกพิษจึงได้ให้พ่อบ้านไป๋นำป้ายไปตามหมอหลวงมาโดยเร็ว หากว่าถูกพิษจริงเขาจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทให้ยกเลิกคำสั่ง ครึ่งชั่วยามผ่านไป จ้าวหนานหลิงที่รออยู่ในห้องโถงก็ได้คิดถึงเรื่องที่ซูซินหยางนั้นต้องการหย่ากับตน ในแววตาของนางนั้นคล้ายกับตัดใจจากเขาได้แล้ว เขาไม่อยากคิดว่าหากตนนั้นไม่มีซูซินหยางและบุตรชายอยู่เคียงข้างเขานั้นจะเป็นเช่นไร
ในยามนี้จ้าวจื่อเหวินที่เดินเข้ามาในห้องโถงก็ได้เห็นภาพบุตรชายที่กำลังเหม่อลอย ปากก็พึมพำเบาๆว่าข้าไม่หย่า ก็ได้แต่ถอนหายใจ "หลิงเอ่อร์ เจ้าให้หมอหลวงตรวจอาการหน่อยเถิด เห็นพ่อบ้านว่าเจ้ากระอักเลือดถึงสองครั้ง"
"ท่านพ่อข้า..." จ้าวหนานหลิงที่พอจะเริ่มรู้ว่าตนอาจจะถูกพิษจึงไม่อยากให้เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ที่พึ่งกลับมาต้องเป็นกังวล
"ทำตามที่พ่อบอก เชิญท่านหมอ" จ้าวจื่อเหวินเห็นอาการดื้อดึงของบุตรชายก็ได้แต่ดุให้ทำตามอย่างว่าง่าย
"ซื่อจื่อกระหม่อมขอตรวจชีพขอรับ" หมอหลวงซงหานเป็นหมอหลวงประจำพระองค์ของฮ่องเต้ ยามใดก็ตามที่ผู้เป็นนายตำหนักชินอ๋องป่วยไข้ ก็มักจะได้รับพระเมตตาให้หมอหลวงผู้นี้มารักษาให้ ใช้เวลาจับชีพจรกว่าครึ่งเค่อจึงถามจ้าวหนานหลิงออกมา "เรียนถามซื่อจื่อ ก่อนหน้านี้ท่านได้พกสิ่งใดติดตัวตลอดเวลาหรือไม่ขอรับ"
"ข้าขอบอกตามตรง ว่าช่วงหลังมานี้ข้าพกถุงหอมที่อนุของข้ามอบให้ติดตัวตลอด แต่มีเหตุเกิดให้ถุงหอมนั้นฉีกขาดในวันที่ข้าไปค่ายได้เพียงสองวัน"
"ข้านั้นไม่ได้สนใจเพราะเห็นว่าเป็นแค่ถุงหอมใบนึง แต่ที่แปลกคือ ข้ามีอาการนอนไม่หลับ ปวดศรีษะบ่อยครั้ง พอหลับไปก็มักจะสะดุ้งตื่น เพราะเสียงที่บอกข้าว่า'ท่านเป็นของข้า จงมาหาข้า จงปกป้องข้า จงเชื่อฟังข้า!' "
"ท่านพอจะมีตัวอย่างถุงหอมใบนั้นหรือไม่ขอรับ ข้าน้อยขอตรวจดูสักหน่อย"
"ได้ หยวนคังนำถุงหอมที่ข้าบอกเข้ามา" ในระหว่างที่หมอหลวงพูดคุยสอบถามอาการกับจ้าวหนานหลิงนั้น จ้าวจื่อเหวินก็คลายกังวลลงไปได้มากทีเดียว ที่เห็นว่าความจริงแล้วที่บุตรชายเลอะเลือนไปนั้นอาจจะมีสาเหตุที่ไม่คาดคิดก็เป็นได้
เมื่อหมอหลวงรับถุงหอมมาจากไป๋หยวนคังก็เริ่มทำการตรวจสอบ ถุงหอมใบนี้เดิมทีจ้าวหนานหลิงจะให้ไป๋หยวนคังนำไปตรวจสอบแบบลับๆ เขาเกรงว่าหากตนเองไม่รอบคอบก็อาจจะทำให้ซูซินหยางและบุตรชายอยู่ในอันตรายอีกครั้ง
แต่ในเมื่อตอนนี้ท่านพ่อเสด็จกลับมาแล้ว เขาก็มั่นใจได้ว่าหากต้องเดินทางไปชายแดนทั้งฮูหยินและบุตรชายของเขาจะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ตอนนี้จ้าวหนานหลิงนั้นเกรงว่าอาจจะมีหนอนบ่อนไส้อยู่ภายในตำหนัก
"เรียนท่านอ๋อง กระหม่อมคิดว่ามีความเป็นไปได้เก้าในสิบส่วนที่ซื่อจื่อจะถูกวางยาพิษพะยะค่ะ"
เมื่อจ้าวหนานหลิงได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มมีรอยยิ้มบางๆขึ้นมาที่มุมปาก
ตำหนักชินอ๋องหลังจากที่เมิ่งเหลียนฮวาออกจากจวนไปได้สามเค่อ ชินอ๋องจ้าวจื่อเหวินและพระชายาฮั่วเย่วอิงก็เดินทางมาถึงตำหนักในยามเว่ย(13.00-14.59น) ทั้งสองนั้นมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เนื่องจากระหว่างที่เดินทางใกล้ถึงเมืองหลวงต่างก็มีเรื่องโจษจันกันว่าบุตรชายนั้นลุ่มหลงอนุภรรยาที่พึ่งรับเข้ามาจนถึงขนาดสั่งโบยภรรยาที่ตบแต่งมาด้วยเกี้ยวแปดคนหามนานกว่าห้าปีโดยไม่กระพริบตาและตอนนี้ทั้งลูกสะใภ้และหลานชายของพวกตนนั้นก็ได้ขนย้ายข้าวของออกจากตำหนักกลับไปยังบ้านเดิมแล้ว โดยมีแม่ทัพซูเป็นผู้มารับเอง ดีเท่าใดแล้วที่ทางบิดาของลูกสะใภ้ไม่ลงมือสั่งสอนบุตรเขยคนนี้หากว่าจ้าวหนานหลิงมิใช่บุตรชายของสหายสนิทเช่นตนเกรงว่าป่านนี้คงนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปนานแล้วเมื่อชินอ๋องและพระชายาลงมาจากรถม้าก็มีบุตรชายจ้าวหนานหลิงสองพ่อลูกแซ่ไป๋และบรรดาบ่าวไพร่ออกมายืนต้อนรับ "ถวายพระพรเสด็จพ่อเสด็จแม่พะยะค่ะยินดีต้อนรับบ้านพะยะค่ะ" จ้าวหนานหลิงกล่าวทักทายคนทั้งสองด้วยความปิติยินดีที่
เมื่อพ่อบ้านไป๋ออกไปแล้ว จ้าวหนานหลิงก็ได้แช่น้ำชำระกาย คิดถึงเรื่องถุงหอมตอนที่เขาจะไปที่ค่าย ไม่ได้บอกกล่าวแก่เมิ่งเหลียนฮวา นางถึงขั้นสั่งให้บ่าวนำถุงหอมมาให้ตนเองถึงที่ค่ายทหาร ครานั้นเขาก็เพียงรับมาสูดดมแล้วก็พกติดตัวอยู่ตลอด ไม่ว่าจะทำสิ่งใด เพราะกลิ่นนี้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจริงๆเขาไม่เตยสังเกตุว่าตนเองมักจะคนึงหาแต่เมิ่งเหลียนฮวาทุกครา บางครั้งยามที่อยู่คนเดียวก็มักจะนั่งเหม่อลอยแต่ถุงหอมใบนั้นก็อยู่กับเขาได้ไม่ถึงสองวันก็มีเหตุให้ฉีกขาดระหว่างกำลังฝึกทักษะต่อสู้บนหลังม้าให้ทหารใหม่เมื่อขาดไปแล้วก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอันใด เพียงแต่เขากลับรู้สึกเมื่อยล้า ไม่มีกำลังและมักจะหงุดหงิด นอนหลับไม่สนิท ในทุกคืนก็สะดุ้งตื่นบ่อยครั้งเพราะในฝันนั้นมีเสียงสตรีนางนึงเอ่ยกับเขาว่า 'ท่านเป็นของข้า จงมาหาข้า จงปกป้องข้าจงเชื่อฟังข้า!'หลายวันเข้างานที่ต้องทำเสร็จแล้วกลับล่าช้าลงแต่ทุกอาการที่เกิดขึ้นนี้เขานั้นไม่ได้มีความรู้สึกคนึงหาเมิ่งเหลียนฮวาเลย จนกระทั่งวันนี้ที่เขาได
"คารวะซื่อจื่อ ขออภัยที่ข้ามิอาจลุกขึ้นคารวะท่านได้ตามพิธีการ" น้ำเสียงที่ฟังดูห่างเหิน อีกทั้งถ้อยคำที่กล่าวออกมานั้นราวกับนางนั้นไม่ได้กำลังสนทนาอยู่กับสามีร่วมผูกผมแต่นางกำลังสนทนาอยู่กับคนแปลกหน้า"ซินเอ่อร์ เจ้า..เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" จ้าวหนานหลิงน้ำเสียงสั่นแววตาเริ่มแดงก่ำภายในอกของเขาตอนนี้กำลังอัดอั้นเจียนจะขาดใจอย่างถึงที่สุด"เรียนซื่อจื่อ ข้าน้อยสบายดี รบกวนซื่อจื่อเรียกข้าว่าคุณหนูสามเถิด ข้าน้อยมิอาจเอื้อมจะสนิทกับซื่อจื่อได้หรอกเจ้าค่ะ" ตลอดทุกถ้อยคำที่นางเอ่ยออกมานั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขาเลย"ข้า..." จ้าวหนานหลิงนั้นไม่สามารถพูดประโยคหลังออกมาได้ว่า 'เป็นสามีเจ้าใยต้องเรียกเจ้าว่าคุณหนูสาม' เพราะประโยคนี้มันจุกอยู่ในอก สามีอะไรกันถึงทำกับภรรยาตนเองเช่นนั้น"ซื่อจื่อมาพอดีเลย คราแรกข้าตั้งใจว่าจะให้ท่านพ่อนำหนังสือหย่านี้ไปให้ท่านลงนาม แต่ฝ่าบาทขอเวลาไว้สามเดือน ข้ามาคิดดูแล้วเห็นว่าไม่
ในคืนวันเดียวกันยามห้าย(21.00-22.59น) หลังจากเมื่อยล้าอยู่กับการสะสางงานต่างๆที่ค้างคาระหว่างที่ตนไปจัดการราชกิจให้แก่ฮ่องเต้กำลังจะเตรียมเข้านอน ก็มีทหารเข้ามารายงานว่ามีกงกงจากในวังขอเข้าพบ"ให้เข้ามาได้""คารวะซื่อจื่อ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพรุ่งนี้ยามซื่อ(09.00-10.59น) พะยะค่ะ" เจากงกงลูกศิษย์ของเกากงกงได้รับมอบหมายให้มาแจ้งรับสั่งในยามดึก"เข้าใจแล้ว มีอะไรอีกหรือไม่""ไม่มีแล้วขอรับ ข้าน้อยขอตัวก่อน""หยวนคัง พรุ่งนี้เจ้ากลับจวนไปก่อน ไม่ต้องตามข้าเข้าวัง" ไป๋หยวนคังเป็นบุตรชายของไป๋ซานพ่อบ้านใหญ่ตำหนักชินอ๋องเดิมทีพ่อบ้านใหญ่นั้นเป็นทหารในสังกัดของชินอ๋องมาก่อนแต่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ ชินอ๋องจึงได้เสนอให้มาเป็นพ่อบ้านใหญ่ ตอนนี้ดำรงตำแหน่งนายกองอีกทั้งยังเป็นคนสนิทของจ้าวหนานหลิงอีกด้วย"ขอรับซื่อจื่อ งั้นข้าน้อยขอตัวก่อน" หยวนคังนั้นพึ่งกลับมาจากเมือ
"ทูล..ทูลรัชทายาท เป็นๆแผนการของฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณหนูรองเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการช่วยให้คุณหนูรองได้หมั้นหมายกับหว่างซื่อจื่อ" จูถิงลนลานรีบสารภาพทันที ถ้านางไม่สารภาพตอนนี้ ก็คงต้องโดนทรมารเป็นแน่ จูจินเองเมื่อเห็นว่าสหายสารภาพแล้วตนก็สารภาพบ้าง"เดิมทีนายหญิงผู้เฒ่าไม่ชอบฮูหยินใหญ่ ต้องการให้เจียงอี๋เหนี๋ยงหลานสาวของตนมาเป็นฮูหยินเอก จึงได้ทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้างยามที่อี๋เหนี๋ยงวางยาให้ฮูหยินใหญ่ตายเมื่อสามปีก่อน เพราะอี๋เหนี๋ยงต้องการให้คุณหนูรองหมั้นหมายกับหว่างซื่อจือ แต่ตอนนั้นคุณหนูรองยังไม่ปักปิ่น วิธีเดียวที่จะหยุดการหมั้นหมายได้และตำแหน่งฮูหยินราชครูจะว่างลงคือให้ฮูหยินใหญ่ตายเจ้าค่ะ" จูจินสารภาพทุกสิ่งที่ตนรู้ออกมาจนหมดไส้หมดพุงเมื่อได้ยินคำสารภาพของจูจินแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจากที่คราแรกนั้นเกรงกลัวรัชทายาทอยู่แล้ว ซ้ำตอนนี้ยังมาโดนเปิดเผยเรื่องที่ตนเองทำมาก่อนจึงเป็นลมทันที "พวกเจ้าใส่ร้ายข้า กล้าป้ายสี หักหลังข้า เนรคุณเลี้ยงไม่เชื่อง ท่านพ่อ
ในขณะที่ลู่จื่อหลานสิ้นหวังว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสรอดแล้วจึงเตรียมที่จะกัดลิ้นตาย ทันใดนั้น 'ปัง' บานประตูถูกถีบให้เปิดออกโดยชายผู้หนึ่ง ลู่จื่อหลานเริ่มสะอื้นพยายามร้องขอให้ช่วยด้วยเสียงอู้อี้ ม่านน้ำตาคลออยู่ทำให้นางมองไม่ชัดนักว่าเป็นผู้ใด"พวกเจ้าช่างกล้าไม่เบา ถึงกับกล้าทำร้ายคุณหนูใหญ่ของจวนราชครู " "เจ้าเป็นใครกัน คุณชายนี่ไม่ใช่เรื่องของท่าน" ว่าแล้วต้าหลางกับเอ่อหลางก็พุ่งเข้าไปทำร้ายรัชทายาท องค์รักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่รีบออกจากที่มืดมาคอยคุ้มกันผู้เป็นนายทันทีอีกมุมนึงลู่จื่อหลานที่โดนฤทธิ์ธูปปลุกกำหนัดก็นั่งขดอยู่ที่มุมนึงของเตียงนางพยายามทำให้ตนเองมีสติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าตนเองนั้นจะทำเรื่องน่าอายอันใดออกไป องค์รักษ์เงาจัดการสองพี่น้องอันธพาลได้ภายในพริบตาจึงคุมตัวออกไปที่นอกห้องรอเจ้านายสั่งการ รัชทายาทเห็นว่าจัดการคนร้ายเรียบร้อยแล้วกำลังจะเดินตามออกไปเช่นกัน แต่ก็ต้องชะงักเพราะตนเองนั้นเริ่มมีอาการของคนโดนพิษปลุกกำหนัด เมื่อหันไปมองรอบห้องจึงเห็นว่ามีธูปถูกจุดอยู่จึงได้หันไปหยิบฝากาน้ำชานำไปครอบไว้ เพราะถ้าใช้น้ำสาดควันก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นขณะที่ก







