๑
ฤทธิ์สุรา
ฟ้าครึ้มได้ไม่นาน ฝนก็พรำลงมา ร่างอ้อนแอ้นในชุดเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงขายาวเดินแกมวิ่งกลับเข้าห้องพร้อมกับเสื้อผ้าที่ตากเอาไว้ เด็กสาวหันไปมองแม่ใหญ่ของตนพร้อมกับวางเสื้อผ้าลงบนพื้นห้อง
“ฮัดเช้ย!” นางเรียมจามออกมา พร้อมอาการปวดหัวตุบๆ
“เป็นไงบ้างแม่ใหญ่ ยังปวดหัวอยู่อีกเหรอ” สาวน้อยเอ่ยถามแม่ใหญ่ ขณะที่อีกฝ่ายมีสีหน้าอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด
“ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหัวนิดๆ” นางเรียมเปรย น้ำเสียงเริ่มเปลี่ยน “เดี๋ยวนี้อากาศมันแปลกๆ นะว่าไหม เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวก็ฝนตก”
ตอบพลางนั่งลงบนพื้นช่วยหลานสาวพับผ้า เด็กสาวหันมองออกนอกหน้าต่างพลางตอบ
“ดูท่าจะตกเยอะด้วยนะแม่ใหญ่” บอกแล้วหันมามองแม่ใหญ่ด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง จะออกไปหาหมอตอนนี้คงไม่ได้แน่ “เดี๋ยวแม่ใหญ่กินยาแก้แพ้ก่อนนอนด้วยนะจ๊ะ”
คนที่ช่วยหลานสาวพับผ้ายิ้มอ่อน
“อืม แม่ใหญ่เตรียมเอาไว้แล้ว” นางเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง “ตอนออกไปเก็บผ้าเห็นพวกคุณๆ เขาบ้างไหม”
นางเรียมหมายถึงภพธรและเพื่อนๆ ที่นั่งกินนั่งดื่มอยู่บริเวณลานหน้าบ้าน
“เห็นจ้ะ แต่พวกเขาย้ายข้าวของขึ้นไปอยู่ที่ระเบียงแล้ว ตอนแรกหนูกับน้าแสงจะไปช่วย แต่คุณหนึ่งบอกว่าพวกเขากับเพื่อนๆ ทำกันเองได้ ให้หนูกับน้าแสงเข้านอนได้เลย ไม่ต้องห่วงจ้ะ”
นางเรียมพยักหน้ารับรู้ แม้จะเป็นเจ้านายแต่ ภพธรไม่เคยทำตัวข่มพวกตนซึ่งเป็นเพียงลูกจ้าง ส่วนคุณนายงามตาแม้จะดูไว้ตัว แต่ก็ไม่เคยมาก้าวก่ายหรือสุงสิงกับพวกตนมากนัก ทั้งยังมีน้ำใจหยิบยื่นสิ่งของเงินทองให้อยู่บ่อยครั้ง รวมถึงส่งเสียกอหญ้าให้ได้ร่ำเรียนตั้งแต่นางพามาอยู่ด้วยกันที่นี่
“คุณหนึ่งแกก็ดีมีน้ำใจแบบนี้เสมอ ถือว่าคุณนายมีบุญเยอะ มีลูกชายคนเดียวก็ได้ดั่งใจนึก” นางเรียมเปรยไปตามเรื่องตามราว ส่วนเด็กสาวยกตะกร้าผ้านำไปใส่เอาไว้ในตู้ด้านล่าง จากนั้นอีกพักใหญ่สองยายหลานก็พากันเข้านอน
ประมาณห้าทุ่มครึ่ง เสียงลมพัดตึงตัง หอบเอาฝนเม็ดโตเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา กอหญ้าสะดุ้งตื่นแล้วหันไปมองแม่ใหญ่ที่นอนหลับอยู่ข้างๆ จึงยื่นมือไปอังที่หน้าผาก ตัวท่านรุมๆ เด็กสาวจึงลุกจากเตียงนอน เนื่องจากห้องน้ำอยู่ด้านนอกจึงต้องหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินออกไปนอกห้อง ระหว่างที่กำลังจะเข้าห้องน้ำก็มีเสียงไอดังออกมาจากในครัว เสียงคุ้นหูนัก พอเสียงนั้นดังออกมาอีกครั้งเด็กสาวก็จำได้ทันที
“คุณหนึ่งเหรอ ยังไม่นอนอีกหรือไง” เด็กสาวพึมพำด้วยความแปลกใจ จึงเดินเข้าไปในครัว
คนตัวโตร่างสูงยืนหันหลังให้ เขาก้มอยู่ที่อ่างน้ำไหลซู่อยู่ครู่หนึ่งจึงปิด พร้อมกับร่างสูงที่โงนเงนเบาๆ คล้ายกับจะเซไปอีกทาง กอหญ้าเห็นดังนั้นก็รีบปราดเข้าไปพยุงเขาด้วยความตกใจ
“ระวังค่ะคุณหนึ่ง!”
ภพธรชะงักลงเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงพร้อมกับสัมผัสของอีกฝ่ายที่ตะครุบเขาเข้ามาทันควัน
“ใคร” ภายในครัวนั้นเลือนราง แต่ที่พอมองเห็นนั้นเป็นเพราะได้แสงไฟจากด้านนอกสาดส่องเข้ามา
เด็กสาวถอนหายใจยาว เขาก็เหลือเกิน ทำไมถึงไม่เปิดไฟนะ คิดแล้วก็นิ่วหน้าพลางย่นจมูก เหม็นกลิ่นเหล้า...
“หญ้าเองค่ะคุณหนึ่ง คุณหนึ่งเดินไหวไหมคะ”
คนที่มึนๆ งงๆ สติเหลือน้อยนิดสูดกลิ่นหอมนวลเข้าปอด เสียงหวานฉ่ำที่ดังขึ้นคล้ายดนตรีขับกล่อมให้เขานอนหลับสบาย
“ฮือ หิวน้ำ” เขาบอก ลมหายใจพร่าหนัก
เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็หันรีหันขวางแล้วพยายามพยุงคนตัวโตที่หนักอึ้งเพราะเขาดันทิ้งน้ำหนักเอนมาทางหล่อนจนเกือบหมด
“คุณหนึ่งนั่งก่อนนะคะ เดี๋ยวหญ้ารินน้ำให้ค่ะ”
“อือ” ภพธรตอบรับในลำคอ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ทำท่าจะตกเก้าอี้แต่เด็กสาวก็คว้าไว้ได้ทัน
“ว้าย! คุณหนึ่ง” สาวน้อยใจหายใจคว่ำ “นั่งดีๆ สิคะ”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมาจากคนเมาแอ๋ตรงหน้าทำให้เด็กสาวเผลอค้อนขวับ ดีที่ค่อนข้างมืดเขาจึงไม่เห็น แต่ถึงเห็นก็คงจะไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำไปว่าหล่อนทำหน้าแบบไหนใส่เขา
หญิงสาวเลื่อนมือขึ้นโอบกอดรอบลำตัวหนาของสามี เผยอรับปากจุมพิตอ่อนหวานของเขาอย่างเต็มใจ นานแล้วที่หล่อนและเขาไม่ได้ทำอะไรกันท่ามกลางแสงเดือนและแสงจันทร์สว่างจ้า ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง แล้วหันไปปิดตะเกียงโซลาร์เซลล์ ใช้ความสว่างของดวงดาวนำทางแทน ลมหายใจพร่าลง เมื่อร่างกำยำของสามีเปลือยเปล่าท่ามกลางหมู่ดาวที่เกลื่อนฟ้า ขณะที่หล่อนเองก็ไม่ได้น้อยหน้าเขาสักนิด เพราะถูกเขาเปลื้องออกเช่นเดียวกัน ร่างใหญ่ทาบทับลงมาบนร่างนุ่ม มือแกร่งลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างขาวผ่อง ริมฝีปากบดจูบดูดดื่ม ก่อนเคลื่อนต่ำลงไปช้า ๆ แล้วครอบครองยอดทรวงเคร่งครัด “อืม…” เสียงหวานครางแผ่ว สองมือกอดรัดรอบศีรษะ ใบหน้างามสะบัดเริดยามเขาฉกปลายลิ้นลงบนผิวกายเนียนนุ่ม “คุณหนึ่ง” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนที่ครางชื่อเขาออกมา แล้วผลักท่อนขาอวบอิ่มแยกจากกัน กอหญ้าสูดลมหายใจยาวแล้วผ่อนออกมาหนักหน่วงหอบพร่า มือที่กดศีรษะของเขาเอาไว้เปลี่ยนเป็นขยุ้มกองผ้าข้างกายแทน เมื่อเปิดเปลือกตา จึงพบว่าหมู่ดาวที่เกลื่อนฟ้าช่างงดงามเกินบรรยาย เช่นเดียวกับความรู้สึกซาบซ่านที่พลุ่งพล
พิเศษใส่ใจอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้ภพธรรู้สึกเหมือนกับตายทั้งเป็น แต่ทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมาเขาจะพบกับใบหน้าของมารดาที่ยิ้มให้เสมอ เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เขาต่อสู้กับความเจ็บปวดเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป... เมื่อกอหญ้ากลับมา เขาก็ได้รู้อีกว่าเขายังมีสัญญาที่ให้ไว้กับหล่อนและต้องทำให้สำเร็จ เด็กสาวที่ครั้งหนึ่งเขาเผลอไผลย่ำยี นับจากนั้นเขาเฝ้าดูแลหล่อนอยู่ไกลๆ วันเวลาที่ผ่านไปทำให้เขาเกิดความผูกพันกับหล่อนทีละน้อย จนในที่สุดก็รู้ตัวว่าหัวใจของเขาไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป ครั้งแรกที่เขาลืมตาขึ้นมาเจอกอหญ้า ยิ่งตอกย้ำให้เขารู้ว่ามีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อใคร น้ำเสียงที่ไล่ไปตามตัวอักษรบนหนังสือหลายต่อหลายเล่ม ตามเข้าไปอยู่ในฝันของเขาทุกคืนวัน กำลังใจที่จะหายจากอาการที่เป็นอยู่มีเพิ่มขึ้น จนในที่สุด ดวงตาของเขาก็เริ่มจะเห็นรางๆ ในตอนนั้นเขาดีใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ไม่นานความดีใจถูกบดบังอีกครั้ง เขายอมปล่อยให้หญิงสาวไปตามทางที่หล่อนตั้งใจเอาไว้แต่แรก ทว่าในค่ำคืนนั้นก่อนจากลา หล่อนทำให้เขาต้องจดจำอย่างไม่มีวันลืม เรือนร่างแน่งน้อยที่เคลื่อนไหวบนร่างของเขา
พระอาทิตย์มีขึ้นและลง พระจันทร์ส่องแสงในกลางคืน แล้วลาลับในยามเช้า เช่นเดียวกับชีวิตของผู้คน ที่มีหลับมีตื่น ดำเนินต่อและจากไปในเวลาสมควร... เช่นเดียวกับชีวิตครอบครัวของภพธร เมื่อสิ้นมารดาที่รักยิ่ง จึงทุ่มเทความรักทั้งหมดให้กับภรรยาและลูกๆ เขาตระหนักชัดว่าชีวิตนี้แสนสั้น จึงไม่ยอมให้อะไรมาพรากความสุขของคนที่รักไปง่ายๆ กิจการที่อยู่ตัวดีแล้ว ทำให้เขาหันมาทุ่มเทเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น เพราะในเวลานี้ ทั้งเขาและภรรยาต่างไม่เหลือใครให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงหันมายึดเหนี่ยวดวงใจของกันและกัน มอบความรัก ความอบอุ่นให้กับลูกๆ อย่างเสมอภาคเท่าเทียม ทุกวันหยุดเขาจะพาเด็กๆ ออกไปท่องเที่ยวตามธรรมชาติ เรียนรู้วิถีชีวิตชุมชน บางครั้งก็พาบินลัดฟ้า เปิดโลกทัศน์ที่กว้างใหญ่กว่าให้พวกเขารู้ว่าชีวิตของคนเราไม่ได้มีแค่ที่บ้าน แต่ยังมีอะไรอีกมากที่ไม่รู้จัก ไม่เคยพบเจอ ร่างสูงเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างภรรยา หญิงสาวยิ้มหวานพร้อมกับยกแก้วน้ำส่งให้สามี “เหนื่อยไหมคะ” เอ่ยถามพลางลูบบ่าของเขาเบาๆ เพื่อบรรเทาความอ่อนล้า “ไม่เหนื่อย” ตอบพลางวาดวงแขนขึ้นโอบไหล่ภรรยา
บทส่งท้ายตั้งแต่มีเด็กเพิ่มมาหนึ่งคน บ้านที่เคยกว้างก็ดูแคบลง ที่เคยเงียบเหงาก็กลับมาครื้นเครง ทุกอย่างดูสดใสขึ้นทันตา ทุกๆ เช้า กอหญ้าจะต้องพาลูกสาววัยหนึ่งขวบไปให้คุณย่าของแกอุ้มเล่นที่ระเบียงบ้าน ตั้งแต่มีหลานสาวทำให้อาการป่วยของคุณนายงามตาทุเลาลง สุขภาพกายและสุขภาพใจดีขึ้นมาก ทั้งกอหญ้าและ ภพธรต่างยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น “พอน้องพายได้สักสามขวบ เรามีหลานให้คุณย่าอีกสักคนเนอะ” ภพธรบอกกับภรรยาขณะพาแม่หนู ดาราพายออกมาทำบุญให้กับคุณทวดเรียมที่วัดใกล้บ้าน คนตัวบางค้อนสามีก่อนยิ้มให้ ขณะหยุดยืนที่ทางเดินริมแม่น้ำ “ถ้าแม่ใหญ่ยังอยู่ก็คงจะดีนะคะ” หญิงสาวเปรยถึงนางเรียม ชายหนุ่มก้มมองสีหน้าของภรรยา อึดใจต่อมาจึงค่อยยิ้มได้ เพราะดวงหน้างามของกอหญ้าไม่เศร้าหมองอีกต่อไปยามคิดถึงนางเรียม หล่อนทำใจได้แล้วจริงๆ “ใช่ น้องพายคงจะติดคุณทวดเรียมน่าดู” ชายหนุ่มเปรยออกมาอย่างมั่นใจ จากนั้นจึงพาภรรยาและลูกสาวกลับบ้าน ทุกวันที่ผ่านไปยังคงราบรื่น ดาราพายโตวันโตคืน และเป็นเด็กที่สดใสร่าเริงเพราะความรักที่ทุกคนมอบให้ จนกระทั่งอายุได้สาม
“แล้วลูกล่ะคะ เป็นอะไรมากไหม” หญิงสาวคิดถึงเด็กน้อยหน้าตาคมคายคนนั้น ที่สามีเคยเอารูปมาให้หล่อนดูตอนแกคลอดใหม่ๆ กับภรรยาสาวสวยคนไทย “บาดเจ็บนิดหน่อยเท่านั้น” “คุณอย่าทำแบบนั้นนะคะ” ภพธรถึงกับเลิ่กลั่กเมื่อถูกภรรยามองอย่างจับผิด “ไม่ทำ” เขาส่ายหน้ารัว ทำให้หญิงสาวค้อนคมพลางบอก “ถ้าคุณคิดจะมีผู้หญิงอื่น บอกหญ้าดีๆ ก็พอ หญ้าจะเปิดทางให้แล้วไปดีๆ เลย” คนฟังนิ่วหน้า พลางคิดว่าเขาไม่น่าเล่าให้หล่อนฟังเลย แต่ถ้าไม่เล่าหญิงสาวก็ยิ่งคิดมาก เดี๋ยวจะหาว่าเขานอกลู่นอกทางเสียอีก “รักหญ้าจะแย่อยู่แล้ว จะมีใครอีกได้ไง” เขาบอก ทั้งกอดและหอมหนักหน่วง หญิงสาวตวัดค้อนก่อนจะยอมยิ้มออกมา “ไม่รู้สิคะ ก็รอดูกันต่อไป ถ้าคุณดีแบบนี้ไปเรื่อยๆ หญ้าก็จะดีกับคุณเหมือนกัน” คำพูดของหญิงสาวและสายตาที่มองมาทำให้ภพธรรู้ว่าภรรยาไม่ได้พูดเล่น ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ก่อนจะรั้งร่างอวบมากอด “รอดูไปตลอดชีวิตเลยนะ พนันเลยว่าหญ้าไม่ได้เห็นผู้หญิงอื่นแน่นอน” “เพราะคุณหนึ่งจะซ่อนเอาไว้ให้มิดชิด” หญิงสาวโต้ออกมาทันควัน แต่เมื่อสามีทำต
ผ่านไปอีกหนึ่งปีสำหรับการร่วมชีวิตระหว่างภพธรและ กอหญ้า ในที่สุดชายหนุ่มก็สามารถทำให้หญิงสาวตั้งครรภ์ลูกคนแรกของพวกเขาได้สำเร็จ แต่ยิ่งใกล้คลอด ว่าที่คุณแม่ก็ยิ่งรู้สึกเปราะบางเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านของความรู้สึกทางอารมณ์หรือว่าร่างกาย เจ้าของร่างอวบอิ่มเดินวนเวียนไปมาภายในห้องนอน เกือบห้าทุ่มแล้วแต่ภพธรยังไม่กลับบ้าน โทรศัพท์ไปก็ไม่ยอมรับสาย ทำให้หญิงสาวนอนไม่หลับเพราะความเป็นห่วง จนกระทั่งห้าทุ่มครึ่ง ชายหนุ่มก็กลับมาถึงบ้าน เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้คนที่เพิ่งดับไฟนอนลุกขึ้นนั่งพร้อมกับโคมไฟข้างเตียงที่สว่างจ้า ชายหนุ่มชะงักเท้าแล้วหันไปมองภรรยาที่กำลังมองมาด้วยสีหน้าค่อนข้างเรียบขรึม เขาจึงยิ้มให้แต่ยังไม่ยอมเดินเข้าไปหา “ทำไมกลับดึกนักล่ะคะ หญ้าโทร.ไปคุณก็ไม่ยอมรับสาย เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” ถามพลางกวาดสายตามองเขาอย่างจับผิด แล้วก็ทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นแอลกอฮอล์โชยมา “นี่คุณดื่มมาด้วยหรือคะ” สิ้นเสียงถาม คนที่ไม่ยอมเข้าใกล้ก็ถึงกับถอนหายใจ ยิ่งทำให้หญิงสาวหรี่ตามองอย่างคาดโทษ “พอดีเพื่อนแวะไปหาที่ร้าน ก็เลยออกไปดื่มกับมันนิดหน่อ