Masuk“ขอรับ” เค่อลี่รับคำอย่างว่าง่าย เกาจูวางถ้วยยาลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปภายในโรงเตี๊ยม ปล่อยให้ทั้งสามกินข้าวกันตามสบาย “อย่าถือสาสิ่งใดจากเขาหรือคนในคณะ เจ้าจำเอาไว้ว่าทุกคน ล้วนมีมุมของตนเอง นายหญิงเองก็เช่นกัน เจ้าสามมารถเป้นตัวเจ้าได้ แค่อย่านำพาความเดือดร้อนมาให้ใคร” เฉากวงในฐานะผู้อาวุโสในตอนนี้ ชี้แนะชายหนุ่มอย่างใจเย็น ก่อนที่เขาจะคีบอาหารเข้าปากอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่ลืมจิบสุราไปด้วย เค่อลี่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย มันมิใช่ข้าวเหลือของคนในชุมโจร ที่จะเอามาเทให้เขากิน ภายนอกใคร ๆ ก็ริษยาในฐานะบุตรชายผู้นำ แต่เบื้องหลังที่หลายคไม่เคยได้เห็น เขาก็มิต่างจากสัตว์เลี้ยง “อะไรที่ผ่านไปแล้ว อย่านำมาทำลายช่วงเวลาดี ๆ” อู๋เหล่ยเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นดวงตาไหวระริกคล้ายคนกำลังจะร้องไห้ เขาพอจะเดาได้ว่าชีวิตของเจ้าหนูนี่ คงไม่ได้สวยงามอันใดนักหรอก ดูได้จากที่พ่อแท้ ๆ บุกมาเพื่อสังหารบุตรชาย “ข้าขอโทษขอรับ” เค่อลี่รีบเอ่บขอโทษในทันที เมื่อควารูสึกในใจของเขา ทำให้คนที่นั่งร่วมวงรู้สึกไม่ดี
“ที่นี่มีเพียงคนกันเอง ไม่ต้องมากพิธี” เมื่อเห็นอาหารของน้องชาย หญิงสาวจึงหันไปเอ่ยกับผุ้ร่วมโต๊ะคนใหม่ ก่อนจะคีบอาหารเข้าปากหนึ่งคำ แล้วค่อยคีบวางในถ้วยของน้องชาย จากนั้นโม่เชี่ยหาน จึงยื่นตะเกหียบไปคีบอาหารมาวางในถ้วยของตนเอง ชายหนุ่มผู้คุ้นชินกับธรรมปฏิบัติระหว่างชนชั้น ไม่อาจหายที่จะทำตัวเสมอนายจนเกินไป “ยามบ่ายข้าน้อยมีเรื่องต้องไปจัดการ พระชายาจะออกไปข้างนอก ข้าจะให้คนติดตามไปนะขอรับ” “ได้” หญิงสาวไม่ได้คิดปฏิเสธ เพราะอย่างไรเสียเรื่องเหล่านี้ ก็คือหน้าที่อของเขาอยู่แล้ว หากรั้นไม่ยอมรับ ก็รังแต่สร้างความขุ่นเคืองต่อกันเสียเปล่า “ขอบคุณขอรับที่พระชายาเข้าใจข้าน้อย” “กินกันต่อเถอะ” หญิงสาวชี้ชวนให้ชายหนุ่มกินข้าวต่อ เพราะถ้าเขาและนางหยุดสนทนา คนอื่น ๆ ในโต๊ะก็พลอยนิ่งไปด้วย มื้ออาหารเป็นไปอย่างเงียบ ๆ ต่างจากเมื่อก่อนที่ล้วนมีคำหยอกเย้า แต่เพื่อให้ครอบครัวถูกตำหนิ คนจากจวนหลินจึงจำต้องวางตัวให้ดี ด้านโรงพักม้า ต้านเค่อที่ตอนนี้อาการโดยรวม ยังคงไม่นับว่าดีเท่าใดนัก เขาได้ลุกขึ้นนั่ง พิงกับขอนไม่ที่ใช้
เช้าวันถัดมา ภายในโรงเตี๊ยมดูคักยิ่งนัก และดูเหมือนว่าคนของวาที่สามี จะทำงานได้ดีเกินคาด ขนาดหาคนมาทำหน้าที่ในโรงเตี๊ยมแทนได้อย่างแนบเนียน หญิงสาวยืนมองทุกอย่างด้วยแววตานิ่งเรียบ นางไม่ได้อยากมีปัญหากับผู้ใดเลย แต่เป็นคนเหล่านี้ ที่สอดเท้ามาในพื้นทีของนางไม่หยุด“คุณหนูขอรับ ก่อนรุ่งสาง คนของท่านอ๋องกับทางการเมืองชุ่ย ได้เข้าไปที่ชุมโจร ทำการกวาดล้างจนสิ้นแล้วขอรับ สตรีและเด็กคนชรา ถูกนำไปอยู่เขตกักกันนักโทษขอรับ มิได้สังหาร”อู๋เหล่ย เข้ามารายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับคนของท่านอ๋อง ที่ตั้งใจมองดูพวกเขาถูกลอบทำร้าย แล้วมาเอาหน้าในตอนท้าย“หึ ๆ เขาทำงานได้ว่องไวนัก ผลงานครั้งนี้ ท่านเจ้าเมืองย่อมซาบซึ้งในน้ำใจของลู่จิ้งอ๋อง ภายหน้าจะใช้สอยก็สะดวกขึ้น”หญิงสาวรู้อยู่แล้ว ว่าค่ำคืนที่ผ่านมาคนของลู่จิ้งอ๋อง จะลงมือทำสิ่งใด เพราะโม่เชี่ยหานหาใช่คนเขลา นางเอ่ยเป็นนัยยะให้เขาขบคิดเอง ใช้เวลามิทันข้ามคืน เขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อย นับว่าเป็นมือดีของลู่หย่งไท้ คงจะมีเพียงโรงเตี๊ยมนี้ที่เขายังไม่แตะต้อง คงรอให้งูตัวใหญ่โผล่หางออกมากระมัง ถึงได้ยังชักชวนให้นางพักต่ออีกสักคืน สุดท้ายโม่เชี่ยหลาน ก็
“ดึกแล้ว ข้ายังต้องอาบน้ำอีกรอบ ช่างเป็นความทรมานเกินไปแล้ว”เกาจูเริ่มที่จะบ่นเสียงดัง เมื่อเขาหย่อนก้นลงนั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยนิสัยรักสะอาด ทำให้ตอนนี้ร่างกายของเขา เหมือนจะมีกลิ่นเหงื่อ มันคือความไม่สบายใจอย่างที่สุด หากร่างกายของเขาจะไม่สะอาดก่อนก้าวขึ้นเตียงนอนซึ่งมันมิใช่แค่นิสัยของเกาจูคนเดียว ซึ่งแน่นอนว่าทุกคน ไม่ชอบให้ตัวเองนอนแบบมีกลิ่นกาย มันไม่สบายตัวและจมูกยิ่งนัก แต่อากาศยามค่ำคืน มันหนาวเกินกว่าจะหย่อนเท้าลงน้ำเสียนี่ และนั่นคือการต่อสู้กับร่างกาย ที่โหยหาการชำระคราบไคล แต่อีกส่วนคือความหนาวเหน็บ ที่ไม่อยากจะสัมผัสกับน้ำ “คืนเดียวเอง เจ้าก็ทน ๆ เอาหน่อยก็แล้วกัน” เฉากวง ยื่นไหสุราไปตรงหน้าเกาจู ก่อนจะไหวไหล่น้อย ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรับไหสุราไปดื่มแก้หนาว ทว่าเกาจูยังไม่มีทีท่าว่าจะรับไหสุรานั้นไปเสียที แต่เขายังคงทำหน้าบุดบึ้งอย่างคนเอาแต่ใจอยู่ “เจ้าก็พูดได้สิ กลิ่นกายเจ้ามันเหม็นหึ่งไหด้วยสุรา” เกาจู ย้อนด้วยเรื่องที่เฉากวงยากจะปฎิเสธได้ “เจ้าอย่าได้กล้าวหาข้าเช่นนั้นนะ ถึงข้าจะดื่มหนัก แต่ข้าก็อาบน้ำทุกวัน ตกลงจะดื่มไหม”
ต้านเจ่อ ช้อนสายตาขึ้นมองไปยังคนถาม แสงไฟที่กระทบไหวบนใบหน้านาง มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ชายหนุ่มมองเลยไปยังน้องชายต่างมารดา ทำไม! เจ้าสวะนี่จึงมีปีกที่แข็งแกร่งกางปกป้องมัน ในวันที่มันพลาดตกลงไปในห้วงความตายแล้วแท้ ๆ แต่ยังมีคนมาอุ้มชูมันเอาไว้ได้อีก “แก...ต้านเค่อ แกมันคนไร้ค่า” เสียงที่เปล่งออกมา แม้จะเต็มไปด้วยโทสะ ทว่ามันกลับเบากว่าเสียงยุงบินเสียอีก “เจ่อเอ๋อร์!!” ชายหนุ่มได้ยินเสียงบิดาอยู่ไกล ๆ ก่อนที่เขาจะคลี่ยิ้มอย่างสิ้นหวัง ผั๊วะ! เสียงที่ลั่นอยู่ข้างหู มันช่างอื้ออึงยิ่งนัก ก่อนที่สติทั้งหมดจะสิ้นไป พร้อมกับร่างที่ล้มลงกระแทกพื้นดิน ปลายท่อนไม้ไผ่ มีเลือดหยดลงราวกับเวลามันหยุดอยู่ตรงนั้น สำหรับผู้นำชุมโจร เมื่อบุตรชายอันเป็นที่รัก ล้มลงด้วยน้ำมือสตรี ทางด้านหลินเสวียนนั้นหลับตานิ่ง ตั้งแต่ได้รับสัญญาณมือจากเถาเถาแล้ว ต่างจากคนเป็นพี่ ที่มองด้วยแววตาเย็นชานัก ต้านเค่อที่มองดูพี่ตายสิ้นใจไปต่อหน้า หาได้สาแก่ใจแม้แต่น้อย กลับกันเขากำลังกลัวอย่างถึงที่สุด นี่ขนาดแค่สาวใช้ ยังสังหารคนตาไม่กระพริบ แล้วคุณหนูผู้เป็นนายของเขาเล่า นางจะมากฝีมือเพี
“เอาเยี่ยงไรดีขอรับท่านผู้นำ” ซือถูเอ่ยถามด้วยความกังวล เพราะดูท่าแล้วคุณหนูผุ้นี้ ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ หากคิดที่จะลงมือต้องมั่นใจว่าชนะเท่านั้น หาไม่แล้วก้มิต่างเอาชีวิตไปทิ้งใต้คมกาบ ของนางและผู้ติดตาม “ท่านพ่อ ข้าว่าเราไม่ควรชะล่าใจนะขอรับ หากต้านเค่อแค้นเราขึ้นมา พาทางการกลับไปที่ชุมโจร เราทุกคนยากจะหนีรอดนะขอรับ” บุตรชายคนรองที่ขอติดตามบิดามา เพื่อจะได้เห็นกับตา ว่าน้องชายที่เคยเป้นดั่งแก้วตาของบิดา ได้ตายไปแล้วจริง ๆ แม้บิดาจะไม่รักต้านเค่อแล้ว แต่ใจของบิดายังคะนึงหาภรรยาคนที่สาม ซึ่งได้หนีกลับเมืองหลวงไปหาครอบครัวของนาง “เจ้าลงมือเสีย อย่างให้เขารอดกลับไปได้” ผู้นำชุมโจรเอ่ยกับบุตรชายคนรอง ด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งสายสัมพันธ์ต่อบุตรชายอีกคน “ขอรับ” เมื่อได้รับคำอนุญาตจากบิดา ชายหนุ่มนำลูกศรมาทาบคันธนู ก่อนจะน้าวสายธนูจนตึง ดวงตาดุคมรี่ลงจนเล็กเรียว สายตาจับจ้องไปยังเป้าหมาย เขาค่อย ๆ ขยับกายอย่างเงียบกริบ เพื่อให้ผลของศรดอกนี้สัมฤทธิ์ผลที่สุด เขาต้องการให้ดอกเดียวปลิดชีพน้องชาย โดยไม่ต้องเสียเวลาซ้ำเป็นครั้งที่สอง “คิดดีแ







