로그인
บนเตียงไม้แข็งกระด้างที่ปราศจากแม้แต่เบาะรองนอนนุ่มๆ ร่างของเด็กสาวในวัยสิบหกหนาว ‘หยางจิ้งอวี่’ นอนหายใจรวยรินอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางที่ปะชุนจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม ใบหน้าของนางแดงก่ำเหมือนกับสีของชาด ลมหายใจแผ่วระรินราวจะขาดห้วงไปทุกขณะ พิษไข้ลุกลามรุนแรงจนร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม
ข้างเตียงนั้น ‘หยางเสวี่ยอิง’ พี่สาวแท้ๆ ในวัยสิบแปดปี ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดเนื้อตัวของน้องสาวไม่หยุดหย่อน นางมีใบหน้าที่ซีดเผือดไม่ต่างกัน ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุยฝีปากแห้งแตกเป็นขุย ดวงตาคู่สวยบัดนี้แดงก่ำและบวมช้ำจากการร่ำไห้มาตลอดทั้งคืน
“อาอวี่... อดทนไว้นะ... เจี่ยเจียจะไปขอร้องพวกเขาอีกครั้ง” นางกระซิบเสียงสั่นเครือ ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืน รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีแล้ววิ่งออกจากเรือนไป
นางวิ่งตรงไปยังเรือนครัวหลัก ที่ซึ่งบ่าวรับใช้กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารเย็นอันหอมกรุ่นสำหรับเจ้านายในเรือนใหญ่ กลิ่นหอมของเนื้อตุ๋นลอยมาปะทะจมูก ทำให้นางที่ท้องว่างมาทั้งวันรู้สึกปั่นป่วนจนแทบจะอาเจียน
“หวังหมัวมัว!” หยางเสวี่ยอิงเรียกหาแม่นมอาวุโสผู้กุมอำนาจในเรือนครัวเสียงดัง “ข้าขอร้องท่านอีกครั้ง ได้โปรดไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเถิดว่าอาการของอาอวี่ปางตายแล้ว หากยังไม่ได้หมอมารักษานางต้องตายแน่แล้ว!”
หวังหมัวมัวซึ่งกำลังสั่งการบ่าวไพร่หันมามองนางด้วยหางตา แววตาเต็มไปด้วยความรังเกียจและสมเพช “คุณหนูใหญ่ นี่ท่านยังไม่เลิกคิดเรื่องนี้อีกหรือเจ้าคะ ข้าก็บอกท่านไปแล้วอย่างไรเล่า ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณหนูใหญ่กำลังปรึกษาเรื่องการจัดงานเลี้ยงชมดอกเหมย ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องไร้สาระพวกนี้หรอก”
“แต่นี่ชีวิตคนทั้งคนนะ!” หยางเสวี่ยอิงตะโกนกลับไปอย่างเหลืออด น้ำตาไหลทะลักออกมาอย่างไม่อาจกลั้น “อาอวี่เป็นหลานสาวของท่านย่า เป็นบุตรีของท่านพ่อนะ!”
“หึ หลานสาวรึ? บุตรีรึ?” หวังหมัวมัวแค่นเสียงหัวเราะ “สตรีปัญญาอ่อนที่อยู่ไปก็มีแต่จะขายหน้าวงศ์ตระกูลน่ะหรือคือหลานสาว? ตั้งแต่ที่มารดาของพวกท่านสิ้นไป พวกท่านก็ไม่ต่างอะไรจากมะพลับนิ่ม๑ ที่ไม่มีใครต้องการ เป็นเพียงคนที่ถูกลืมเลือน ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
คำพูดของนางเฉือดเฉือนหัวใจของหยางเสวี่ยอิงได้อย่างเจ็บแสบ ประหนึ่งสัจธรรมอันโหดร้ายว่าคนจรชาเย็น๒ โดยแท้ เมื่อมารดาผู้เป็นที่รักของบิดาสิ้นใจไป พวกนางสองพี่น้องก็ถูกผลักไสมาอยู่เรือนแห่งนี้ราวกับไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไข
“ในเมื่อพวกท่านไม่ยอมช่วย ข้าก็จะไปขอความเมตตาจากท่านพ่อด้วยตนเอง!”
หยางเสวี่ยอิงตัดสินใจเด็ดเดี่ยว นางวิ่งฝ่าสายตาดูแคลนของบ่าวไพร่ ตรงไปยังเรือนใหญ่อันโอ่อ่าและอบอุ่นซึ่งเป็นที่พำนักของบิดา
โดยไม่คาดฝัน เมฆทะมึนที่ตั้งเค้ามานานก็โปรยปรายหยาดพิรุณลงมาอย่างมิทันตั้งตัว ถึงกระนั้นหยางเสวี่ยอิงกลับไม่สนใจ นางทิ้งตัวลงคุกเข่าบนพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบหน้าประตูเรือนใหญ่ของบิดา ปล่อยให้หยาดฝนช่วยชะล้างร่างกายที่บอบช้ำและหัวใจที่แหลกสลาย
“ท่านพ่อ! ได้โปรดเมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ!” นางตะโกนก้อง ครั้นก้มศีรษะลงโขกกับพื้นจนหน้าผากแตกเป็นแผล “ท่านพ่อ! อาอวี่กำลังจะตายแล้ว! ขอเพียงท่านพ่อส่งคนไปตามท่านหมอมา นางอาจจะยังมีหวังนะเจ้าคะ! ท่านพ่อ!!!”
นางร่ำร้องอ้อนวอนอยู่เนิ่นนานจนเสียงแหบแห้ง มีเพียงเสียงวรุณที่ตกกระหน่ำ ความเงียบจากในเรือนนั้นไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด ในทางกลับกันความเฉยเมย หรือความไม่แยแสต่อความเป็นความตายของบุตรในไส้ต่างหากที่น่ากลัว
ท้ายที่สุดแล้ว เสียงทุ้มต่ำอันเย็นชาของหยางกั๋วกงก็ดังลอดออกมาจากบานประตูที่ปิดสนิทนั้น
“น่ารำคาญ! นางก็แค่แสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อเรียกร้องความสนใจ! อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ มีแต่จะนำความอัปยศมาสู่สกุลหยางไม่สิ้นสุด!”
หยางเสวี่ยอิงชะงักงัน หัวใจถูกบีบคั้นด้วยความผิดหวัง
“หากนางจะตาย ก็ปล่อยให้นางตายไปเถิด!!!!!”
นางทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง สะอื้นไห้จนไหล่ทั้งสองข้างสั่นสะท้าน โลกทั้งใบเหมือนพังทลาย
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น . . .
ร่างของหยางจิ้งอวี่ที่สั่นเทิ้มมาตลอดก็พลันสงบนิ่งลง ลมหายใจเฮือกสุดท้ายได้หลุดลอยออกจากริมฝีปากบางเบา สิ้นสุดแล้วซึ่งชีวิตอันน่าเวทนาของนาง
ทว่า ท่ามกลางความมืดมิดนั้น เปลือกตาที่ปิดสนิทของร่างที่ไร้วิญญาณไปแล้วก็พลันเบิกโพลงขึ้น
ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ขุ่นมัวหรือเลื่อนลอยเช่นคนใกล้ตายเฉกเช่นที่ผ่านมา แต่กลับฉายแสงคมกล้า และแฝงไว้ด้วยจิตสังหารที่สามารถทำให้ผู้คนแข็งเป็นหินได้
โลกหลังความตายมันควรจะมืดมิด
และเงียบสงัดมิใช่หรือ?หากแต่สิ่งที่จิ้งอวี่สัมผัสได้กลับไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นห้วงมิติอันสับสนอลหม่านที่เต็มไปด้วยแสงสีและเสียงกรีดร้องโหยหวน ภาพนับล้านฉายวาบผ่านไปมาราวกับคนชมบุปผาบนหลังม้า๓ เร็วเกินกว่าจะจับใจความได้
ภาพฉายมาที่เมืองใหญ่ที่มีตึกระฟ้าจำนวนมากตั้งเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น แสงนีออนบาดตา เสียงแตรดังระงม กลิ่นดินปืนคละคลุ้งในอากาศเย็นเยียบของเครื่องปรับอากาศ นางเห็นเงาสะท้อนของตนเองในกระจก เป็นหญิงสาวในชุดดำขลับ เรือนผมสั้นกุด ดวงตาเย็นชาเฉียบคม ในมือถือปืนเก็บเสียงกระบอกยาว นางเป็นนักฆ่ามือหนึ่งโค้ดเนมไคเมร่า
ก่อนที่ภาพจะฉายมาอีกที่หนึ่ง เรือนไม้โบราณที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยาจางๆ สัมผัสอ่อนโยนของฝ่ามืออบอุ่นที่ลูบศีรษะ รอยยิ้มของสตรีงดงามผู้หนึ่งที่นางเรียกว่าท่านแม่ แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็เริ่มซีดจางลง กลายเป็นเสียงไอและใบหน้าที่ซูบตอบ ความทรงจำถัดมาคือความหิวโหยที่กัดกินลำไส้ ไอเย็นของพื้นไม้ที่นอนทับ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของเหล่าพี่น้องและบ่าวไพร่ที่ตราหน้านางว่านางปัญญาอ่อน ทุกภาพล้วนพร่าเลือนและชุ่มโชกไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจ
“นี่คือที่ไหนกัน?” จิตของนักฆ่าสาวตั้งคำถาม “ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดหรอกเหรอ?”
ภาพความทรงจำทั้งสองสายเริ่มวิ่งเข้ามาปะทะกันอย่างรุนแรง เสียงระเบิดที่ปลิดชีวิตนางในโลกอนาคตดังประสานกับเสียงฟ้าร้องคำรามในอีกภพหนึ่ง แสงไฟจากปากกระบอกปืนสาดส่องทับซ้อนกับแสงตะเกียงน้ำมันที่ริบหรี่ ความเจ็บปวดจากการถูกทรยศหักหลังในชาติก่อน ผสมปนเปกับความรวดร้าวจากการถูกทอดทิ้งในชาตินี้
ท่ามกลางความสับสน จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของนักฆ่าสาวก็ได้มองเห็นแก่นแท้ของปัญหา นางเห็นดวงจิตอีกดวงหนึ่งที่อยู่ในห้วงสำนึกนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของแสงที่ริบหรี่และแตกสลาย ราวกับภาชนะดินเผาที่ร้าวรานจนไม่อาจประกอบคืนได้
นางก็เข้าใจได้ในทันที . . .
สาเหตุที่เจ้าของร่างเดิมสติปัญญาไม่สมประกอบ เป็นเพราะดวงจิตของนางไม่สมบูรณ์ ทั้งยังแตกสลายไปอีกส่วนหนึ่งตั้งแต่ที่มารดาสิ้นใจอย่างกะทันหัน ความบอบช้ำทางจิตใจนั้นรุนแรงเกินกว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ จะรับไหว ทำให้ดวงจิตของนางแหลกสลาย
และการมาถึงของนาง วิญญาณจากต่างโลกที่สมบูรณ์และแข็งแกร่ง ก็คือการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปนั้น
จิตวิญญาณของนักฆ่าสาวไม่ได้ขับไล่หรือกลืนกินดวงจิตเดิมอย่างไร้เยื่อใย แต่นางโอบล้อมเศษเสี้ยวที่น่าสงสารนั้นไว้ หลอมรวมมันเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับตนเอง ความทรงจำ ความเจ็บปวด ความรักความคิดถึงที่มีต่อมารดาของเจ้าของร่างเดิม บัดนี้ได้กลายเป็นของนางโดยสมบูรณ์
เมื่อจิตวิญญาณหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์แล้ว พลังลึกลับสายหนึ่งก็พลันบังเกิดขึ้น มันโคจรไปทั่วร่างที่เคยอ่อนแอ เป็นกระแสเย็นสดชื่นที่ขับไล่ความร้อนระอุของพิษไข้ออกไปจนหมดสิ้น ภายในร่างกายที่เสียหายจากการเจ็บป่วยและการขาดสารอาหารมานานนับปี กำลังได้รับการซ่อมแซมฟื้นฟูอย่างรวดเร็วราวกับการสลัดร่างเก่าเปลี่ยนกระดูกใหม่๔
ทางด้านนอก หยางเสวี่ยอิงที่ร่างกายเปียกปอนและใจสลายได้เดินโซซัดโซเซกลับมาถึงเรือนที่เรียกได้ว่าแทบจะร้าง ก่อนที่นางจะทรุดกายนั่งลงข้างเตียง มองดูร่างที่สงบนิ่งของน้องสาวด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
“อาอวี่... เจี่ยเจียขอโทษ... เจี่ยเจียช่วยเจ้าไม่ได้...” นางพึมพำเสียงแผ่วเบา น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วกลับมารินไหลอีกครั้ง แต่ครานี้มันไม่มีเสียงสะอื้นใดๆ เป็นเพียงหยาดน้ำตาที่มาจากความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด
นางก้มลงกุมมือน้องสาวที่เริ่มจะเย็นชืดไว้ ซบใบหน้าลงบนฝ่ามือเล็กๆ นั้น เตรียมใจที่จะยอมรับความจริงอันโหดร้าย
แต่แล้ว . . .
ฝ่ามือที่ควรจะเย็นชืดลงเรื่อยๆ กลับค่อยๆ มีความอบอุ่นไหลเวียนกลับคืนมา ร่างกายที่เคยสั่นเทิ้มก็หยุดนิ่งสนิท และที่สำคัญ ใบหน้าที่เคยแดงก่ำจากพิษไข้ บัดนี้กลับค่อยๆ ซีดจางลงจนกลับเป็นปกติ
หยางเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก และนั่นเป็นชั่วขณะที่นางได้สบตากับน้องสาวของตนเอง
เปลือกตาของหยางจิ้งอวี่เปิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
มันไม่ได้เลื่อนลอยหรือว่างเปล่าเช่นที่เคยเป็นมาตลอดสิบปี แต่มันกลับกระจ่างใสราวกับผืนน้ำในฤดูสารท เย็นชาเหมือนน้ำแข็งหมื่นปี และลุ่มลึกจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด โดยหากว่าแววตาเช่นนั้นไม่ควรจะปรากฏอยู่ในดวงตาของเด็กสาวปัญญาอ่อนผู้หนึ่งได้เลย
หยางเสวี่ยอิงตกตะลึงจนลืมหายใจ นางจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของน้องสาว ราวกับกำลังจ้องมองคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง
ณ สำนักตรวจการแผ่นดินสถานที่แห่งนี้นับเป็นดาบอาญาสิทธิ์ขององค์ฮ่องเต้ เป็นฝันร้ายของเหล่าขุนนางกังฉินทั่วทั้งแผ่นดิน บรรยากาศภายในนั้นเคร่งขรึมและน่าเกรงขามอยู่เสมอ ทุกย่างก้าว ทุกสายตา ล้วนเต็มไปด้วยความเที่ยงตรงและไร้ซึ่งการประนีประนอมและผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดของสถานที่แห่งนี้ก็คือ หลวงจางอี้บุรุษชราวัยหกสิบปลายผู้ได้รับสมญานามว่าจางหน้าเหล็ก เขาคือขุนนางตงฉินผู้ยึดมั่นในหลักการที่ว่า โอรสสวรรค์กระทำผิด ก็ต้องรับโทษทัณฑ์เช่นเดียวกับสามัญชน มาตลอดชีวิต เขาเกลียดชังการทุจริตคอร์รัปชันยิ่งกว่าอสรพิษร้าย และอุทิศทั้งชีวิตเพื่อถอนรากถอนโคนเหล่า หนอนบ่อนไส้ของแผ่นดิน ให้สิ้นซากเช้าวันนั้น ขณะที่หลวงจางอี้กำลังจะเริ่มตรวจสอบฎีการ้องเรียนกองโตที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา สายตาของเขาก็พลันไปสะดุดเข้ากับวัตถุชิ้นหนึ่งที่แปลกปลอมมันคือกล่องไม้สีดำสนิทที่ไม่มีลวดลายใดๆ วางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางโต๊ะ“ใครเป็นผู้นำสิ่งนี้เข้ามา!” เขาตวาดถามเสียงกร้าวองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องรีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด “ขะ ข้าน้อยไม่ทร
คลื่นลมจากการล่มสลายของตระกูลหลี่และการปราบปรามกบฏของอัครเสนาบดีมู่ได้ค่อยๆ สงบลง แต่สำหรับจวนหยางกั๋วกงแล้ว พายุที่แท้จริงยังมาไม่ถึงสภาพของสกุลหยางในยามนี้เปรียบเสมือน สุนัขที่ตกน้ำ ช่างน่าสมเพชและอ่อนแออย่างที่สุดการที่อนุหลี่ผู้กุมอำนาจในเรือนหลังถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรม ได้สร้างความสั่นคลอนอย่างรุนแรงต่อเสถียรภาพภายในจวน ชื่อเสียงที่เคยตกต่ำอยู่แล้ว บัดนี้กลับเหม็นเน่ายิ่งกว่าซากศพ กิจการค้าต่างๆ เริ่มซบเซา ไม่มีตระกูลใดอยากจะคบค้าสมาคมหรือเกี่ยวดองด้วยอีก หยางกั๋วกงผู้เคยหยิ่งผยอง กลับกลายเป็นตัวตลกในราชสำนัก เขาเอาแต่เก็บตัวดื่มสุราและระบายอารมณ์ใส่เหล่าบ่าวไพร่ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็ล้มป่วยด้วยความเจ็บใจจนลุกจากเตียงไม่ขึ้นจวนสกุลหยางที่เคยยิ่งใหญ่ ยามนี้ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ใหญ่ที่รากแก้วถูกตัดขาด แม้จะยังยืนต้นอยู่ได้ แต่ก็รอวันที่จะโค่นล้มลงมาเท่านั้น ณ จวนผิงหลางฝู่“นายหญิง สกุลหยางในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บแล้วขอรับ” อาหมิงรายงานสถานการณ์ล่าสุดให้หยางจิ้งอวี่ฟัง “กิจการของพวกเขากำลังจะล้มละลายในไม่
เพลิงพิโรธขององค์ฮ่องเต้เมื่อถูกลูบคมนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าพายุอัสนีบาต คำสั่งถูกส่งออกไปในคืนนั้น และปฏิบัติการก็เริ่มต้นขึ้นในยามรุ่งสาง กองกำลังองครักษ์หลวงที่นำโดยแม่ทัพใหญ่เคลื่อนพลด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าและสายลม พวกเขาบุกเข้าจู่โจมค่ายทหารร้างนอกเมืองอย่างรวดเร็ว ปลดอาวุธกองกำลังลับของอัครเสนาบดีมู่ได้โดยไม่มีการนองเลือดแม้แต่หยดเดียว ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทหารหลวงอีกกลุ่มก็ได้บุกเข้าตรวจค้นจวนของอัครเสนาบดีมู่และตำหนักขององค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง และในเช้าวันรุ่งขึ้น ราชโองการฉบับหนึ่งก็ได้ถูกประกาศขึ้นกลางท้องพระโรง สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดิน อัครเสนาบดีมู่จิ้งเทียนและพรรคพวก มีความผิดฐานซ่องสุมกำลังคน วางแผนก่อการกบฏ ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร! องค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง แม้จะไม่มีหลักฐานว่ารู้เห็นกับแผนการกบฏโดยตรง แต่ก็มีความผิดฐานร่วมมือใส่ร้ายองค์รัชทายาท ให้ปลดออกจากฐานันดรศักดิ์ ลดขั้นลงเป็นสามัญชน และให้คุมขังไว้ที่ศาลบรรพชนหลวงตลอดชีวิต และองค์รัชทายาทเจิ้งเฟิงเยวี่ยได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ ฮ่องเต้ทรงประท
ทันทีที่ทักษะวิเคราะห์จุดอ่อนศัตรูถูกเปิดใช้งาน โลกในความคิดของหยางจิ้งอวี่ก็พลันเปลี่ยนไป ข้อมูลจากม้วนสาส์นนับร้อยที่กองอยู่บนโต๊ะ ลอยขึ้นมาในเบื้องหน้าของนาง ก่อตัวขึ้นเป็นแผนผังอันซับซ้อน ทุกเส้นสาย ทุกจุดเชื่อมโยง ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจน [ติ๊ง! กำลังวิเคราะห์ข้อมูล... ตรวจสอบความขัดแย้ง] เสียงของระบบดังขึ้นอย่างเป็นกลาง [ตรวจพบความขัดแย้งในบัญชีรายจ่าย บันทึกระบุว่ามีการสั่งซื้อหยกโบราณและอัญมณีล้ำค่าจากร้านว่านเป่าเก๋อ ในวันที่สิบห้าเดือนที่แล้ว แต่สายข่าวของเราที่ฝังตัวอยู่ในร้านนั้นยืนยันว่า ตลอดเดือนที่ผ่านมา ร้านว่านเป่าเก๋อไม่มีการทำธุรกรรมใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นเลย] ‘เจอตัวแล้ว!’ จิ้งอวี่ลืมตาขึ้นทันที แววตาของนางคมกริบ นี่คือเส้นด้ายเส้นแรกที่หลุดลุ่ยออกมาจากอาภรณ์ที่ดูเหมือนจะถักทอไว้อย่างสมบูรณ์แบบ หลักฐานที่พวกมันสร้างขึ้น มีจุดที่เป็นเรื่องโกหก! “อาหมิง!” นางเรียกเสียงเฉียบขาด “ขอรับนายหญิง!” “ตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมดของกรมคลังที่เกี่ยวข้องกับเงินบรรเทาทุกข์อีกครั้ง!” นางสั่งการอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องสนใจบัญชีที่คุณชายรองนำไปถวายฮ่องเต้ แต่ให้ตามรอยเงินและเสบ
หยางจิ้งอวี่ไม่ได้กลับไปยังจวนผิงหลางฝู่ในทันที เพราะโรงเตี๊ยมเยว่หลันแห่งนี้ ได้แปรสภาพกลายเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราวของนางไปแล้วบรรยากาศที่เคยสงบสุขและเยือกเย็น กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเร่งรีบราวกับอยู่ในค่ายทหารก่อนออกศึก สายลับของหน่วยเย่ถิงเก๋อในชุดสามัญชนต่างวิ่งวุ่นเข้าออกห้องบัญชาการ นำม้วนสาส์นลับเข้ามาส่งและรับคำสั่งใหม่ออกไปอย่างไม่ขาดสาย อาหมิงยืนอยู่ข้างกายนาง ทำหน้าที่เป็นเสมือนแม่ทัพรอง คอยประสานงานและคัดกรองข้อมูลเบื้องต้นนางคือแม่ทัพ และนี่คือกองทัพเงาของนาง!“องค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย” จิ้งอวี่กล่าวขึ้นกับเหล่าหัวหน้าหน่วยที่มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่ดวงตากลับคมกล้าราวกับใบมีด “เบื้องหลังคืออัครเสนาบดีมู่และองค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง พวกมันกำลังคิดจะโค่นล้มองค์รัชทายาท”นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบจับขั้วหัวใจ “การกระทำของพวกมันไม่ใช่แค่การชิงอำนาจในราชสำนัก แต่คือการท้าทายหอกระจายข่าวถูเป่าโหลวของเราโดยตรง!”นางกำลังผูกชะตากรรมขององค์รัชทายาทเข้ากับศักดิ์ศรีขององค์กร เป็นการปลุกใจที่ได้ผลที่สุดแววตาของทุก
ข่าวการถูกกักบริเวณขององค์รัชทายาทได้แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนัก แต่กลับถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนาไม่ให้เล็ดลอดออกมาสู่โลกภายนอก เมืองหลวงยังคงดูสงบสุข แต่เบื้องหลังกำแพงวังหลวงนั้น คลื่นลมแห่งการชิงอำนาจกำลังโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งณ โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่นี่ไม่ใช่โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่โอ่อ่าและเป็นที่รู้จักทั่วไป แต่เป็นเพียงโรงน้ำชาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมในตรอกที่เงียบที่สุด มันคือหนึ่งในฐานลับสุดยอดของหอกระจายข่าวถูเป่าโหลว สถานที่สำหรับภารกิจที่สำคัญที่สุดเท่านั้นในห้องส่วนตัวชั้นบนสุด หยางจิ้งอวี่ในนามของเซวี่ยนหยิง กำลังนั่งพิจารณารายงานความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อาหมิงเพิ่งนำมาส่งให้ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจองค์รัชทายาทรองและอัครเสนาบดีมู่ในช่วงสองวันที่ผ่านมานั้น มันช่างเงียบสงบจนน่าประหลาดทันใดนั้นเอง! ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง!“นายหญิง!” สายลับผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน “มี... มีคนบาดเจ็บพยายามจะขอพบท่าน! เขาอ้างว่าถูกส่งมาจาก...”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ร่างของบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์สีเข้มที่ขาดวิ่นและเ







