로그인ความเงียบที่หนักอึ้งกดทับบรรยากาศภายในห้อง หยางเสวี่ยอิงยังคงนิ่งค้างอยู่ในท่านั้น ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองน้องสาวของตนเองราวกับเห็นภูตผีปีศาจ ความหวาดระแวงและความหวังตีรวนกันอยู่ในอกจนแทบคลั่ง
“อา... อาอวี่?” นางเอ่ยเรียกด้วยเสียงที่สั่นเทาและแผ่วเบาราวกระซิบ พลางยื่นมือที่สั่นระริกไปหวังจะสัมผัสใบหน้าของน้องสาวเพื่อยืนยัน
จังหวะนั้นเองที่บ่าวคนสนิท ‘หลานจิง’ ก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในเรือนหลังจากไปต้มโจ๊กข้าวฟ่างในครัวเล็กๆ หลังเรือน นางเพิ่งจะได้ยินเสียงร่ำไห้ของหยางเสวี่ยอิงที่กลับมาเมื่อครู่
“คุณหนูใหญ่! เกิดเรื่องอะไรขึ้น... ว้าย!” หลานจิงร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นคุณหนูสามที่นอนซมมาหลายวัน บัดนี้กลับลืมตาตื่นขึ้นแล้ว นางทิ้งถ้วยโจ๊กในมือจนหล่นแตกกระจาย จากนั้นก็วิ่งโผเข้าไปคุกเข่าข้างเตียงด้วยความดีใจสุดขีด
“คุณหนูสาม! ท่านฟื้นแล้ว! สวรรค์เมตตา! ท่านฟื้นแล้วจริงๆ!” น้ำตาแห่งความปีติยินดีไหลอาบแก้มของบ่าวผู้ภักดี
เสียงร้องของหลานจิงดึงสติของหยางเสวี่ยอิงกลับมาได้ในที่สุด นางรีบคว้ามือของจิ้งอวี่มาแนบอก สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของเลือดเนื้อที่ไหลเวียนอยู่จริงๆ “อาอวี่! เจ้าฟื้นแล้ว! เจ้าได้ยินเจี่ยเจียหรือไม่!”
ท่ามกลางความดีใจและสับสนวุ่นวายนั้น มีเพียงคนเดียวที่จิตใจสงบ
สมองของนักฆ่าสาวประมวลผลสถานการณ์ด้วยความเร็วสูงสุด นางวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม มีบิดาผู้ไร้หัวใจ ครั้นยังมีย่าผู้ลำเอียง เหล่าอนุ กับพี่น้องต่างมารดาที่คอยหาโอกาสเหยียบย่ำพวกนางสองคนอยู่เสมอ การที่นางฟื้นจากไข้หนักราวปาฏิหาริย์ แถมยังหายจากอาการปัญญาอ่อนที่เรื้อรังมานับสิบปีในชั่วข้ามคืนได้นั้น หากข่าวนี้แพร่ออกไป มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี แต่จะกลายเป็นเรื่องน่าประหลาดที่ชวนให้ผู้คนขุดคุ้ยและจับตามองเสียมากกว่า
ยอดไม้ที่สูงเด่นในป่า ย่อมถูกลมพัดโค่นก่อนเสมอ
ในสถานการณ์ที่นางยังอ่อนแอและไร้ซึ่งอำนาจต่อกรใดๆ การเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงออกไปก็ไม่ต่างจากการหาที่ตายให้ตนเอง ทางรอดเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้ก็คือการเล่นละครต่อไป
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว แววตาที่คมกริบของจิ้งอวี่ก็พลันหม่นแสงลง กลายเป็นความสับสนและเลื่อนลอยอีกครั้ง นางกะพริบตาช้าๆ มองหน้าพี่สาวและบ่าวคนสนิทสลับกันไปมา เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าและติดขัด
“เจี่ย... เจี่ยเจีย...” คำพูดสั้นๆ เพียงพยางค์เดียว แต่กลับทำให้หยางเสวี่ยอิงและหลานจิงดีใจจนแทบสิ้นสติ
“ใช่แล้ว! เจี่ยเจียเอง! เจี่ยเจียอยู่นี่แล้ว!” หยางเสวี่ยอิงตอบรับทั้งน้ำตา “เจ้าจำเจี่ยเจียได้หรืออาอวี่!”
จิ้งอวี่ไม่ตอบ แต่ทำเพียงพยักหน้าช้าๆ แสร้งทำเป็นว่ายังเรียบเรียงความคิดไม่ถูก
“เจ็บ... หัว...” นางยกมือขึ้นกุมศีรษะ ท่าทีเซื่องซึมแต่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว” เสวี่ยอิงรีบกอดปลอบน้องสาว “เจ้าเพิ่งฟื้นไข้ ยังอ่อนเพลียอยู่มาก เดี๋ยวเจี่ยเจียป้อนโจ๊กให้นะ”
หลานจิงรีบวิ่งไปยกโจ๊กถ้วยใหม่มา ทั้งสองช่วยกันประคองจิ้งอวี่ขึ้นพิงกับหัวเตียงแล้วค่อยๆ ป้อนโจ๊กที่เหลวจนแทบจะเป็นน้ำให้นางทีละคำ จิ้งอวี่ก็ยอมกินแต่โดยดีอย่างว่าง่าย ขณะที่แสร้งทำเป็นเหม่อลอยนั้น ดวงตาของนางกลับลอบสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องอย่างรวดเร็ว ทั้งรอยรั่วบนหลังคา กำแพงดินที่ผุพัง หรือเสื้อผ้ามอซอราวกับขอทานของพี่สาว ข้อมูลทุกอย่างถูกบันทึกไว้ในสมองเพื่อรอวันชำระบัญชี
นางสัมผัสได้ถึงความรักและความห่วงใยที่แท้จริงจากคนทั้งสอง นี่นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าเพียงชิ้นเดียวที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้ และนางจะปกป้องมันไว้ด้วยชีวิต
ขณะที่บรรยากาศภายในห้องกำลังเต็มไปด้วยความหวังและความอบอุ่น ประตูไม้ผุๆ ก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรงพร้อมกับน้ำเสียงห้วนจัด จนคนฟังขมวดคิ้ว
“มัวทำอะไรกันอยู่! ถึงเวลากินข้าวเย็นแล้ว!”
บ่าวหญิงร่างท้วมสองคนจากเรือนใหญ่เดินเข้ามา พวกนางมองภาพสามนายบ่าวด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะวางถาดอาหารลงบนโต๊ะเสียงดังปึงปัง
บนถาดนั้นมีเพียงโจ๊กหนึ่งถ้วยที่ใสจนมองเห็นเงาสะท้อนก้นชาม กับผักดองสองสามชิ้นที่ส่งกลิ่นเปรี้ยวเหม็นจนน่าคลื่นไส้ สิ่งของพวกนี้เป็นอาหารสำหรับคนสามชีวิตในแต่ละวัน ไม่สิ... ต้องเรียกว่าอาหารสำหรับสุกรถึงจะถูก
“คุณหนูสามฟื้นแล้วรึ ดีจริง” บ่าวคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก “เช่นนั้นก็รีบกินเสียเถิดเจ้าค่ะ จะได้มีแรงลุกขึ้นมาทำตัวให้เป็นประโยชน์เสียบ้าง”
คำพูดที่เสียดแทงนั้นทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของหยางเสวี่ยอิงและหลานจิงจางหายไปในทันที พวกนางได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่กล้าตอบโต้
หยางจิ้งอวี่ช้อนตามองบ่าวทั้งสองชั่วแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วเพื่อซ่อนประกายตาที่เปลี่ยนไป
เส้นผมที่ปรกหน้าลงมาได้ปิดบังแววตาของนางไว้อย่างมิดชิด
ไม่มีใครเห็นว่าในดวงตาที่ก้มต่ำลงนั้น บัดนี้ไม่ได้มีความหวาดกลัวหรือสับสนหลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว กลับมีเพียงแววอำมหิต
ราตรีเคลื่อนคล้อยสู่ยามจื่อ๒ สรรพสิ่งล้วนหลับใหล มีเพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของหยางเสวี่ยอิงและหลานจิงที่นอนขดตัวอยู่บนฟูกบางๆ อีกฝั่งของห้องเท่านั้น
ทว่าบนเตียงไม้แข็งกระด้าง หยางจิ้งอวี่กลับยังคงลืมตาโพลงอยู่ในความมืด
นางนอนนิ่งไม่ไหวติง ท่วงท่าผ่อนคลายแต่แฝงไว้ด้วยความเตรียมพร้อมอยู่เสมอ จิตใจของนางในยามนี้กระจ่างใส ปราศจากความง่วงงุน นี่คือนิสัยที่ติดตัวมาจากการเป็นนักฆ่าในชาติก่อน
นางทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอีกครั้ง สกุลหยางในยามนี้เปรียบเสมือนรังอสรพิษที่พร้อมจะฉกกัดพวกนางสามคนให้ตายได้ทุกเมื่อ การจะนอนบนกองฟืนลิ้มรสดีขม๓ เพื่อรอวันแก้แค้นในสถานที่แห่งนี้ นับเป็นทางเลือกที่โง่เขลาและเสี่ยงเกินไป
เป้าหมายแรก
คือต้องพาพี่หญิงใหญ่และหลานจิงออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแต่การจะจากไปก็ต้องมีเงินทุน ความทรงจำเลือนรางเกี่ยวกับหีบสมบัติเล็กๆ ของมารดาที่ซ่อนไว้ใต้แผ่นกระดานผุๆ ผุดขึ้นมาในหัว
[ติ๊ง]
เสียงแหลมเล็กราวกับโลหะกระทบกันพลันดังขึ้นในหัวของนางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
มันเป็นเสียงสังเคราะห์ที่แปลกประหลาดและไม่เข้ากับยุคสมัยนี้โดยสิ้นเชิง จิ้งอวี่ตกใจจนร่างกายแข็งทื่อ สัญชาตญาณนักฆ่าถูกปลุกขึ้นมาในทันที นางดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเงียบกริบ ประสาทสัมผัสทั้งห้าตื่นตัวถึงขีดสุด ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบห้องที่มืดสลัว
ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ลมหายใจของพี่สาวและหลานจิงยังคงสม่ำเสมอ นอกหน้าต่างมีเพียงเงาไม้ที่ไหวเอนไปตามแรงลม ไม่มีร่องรอยของผู้บุกรุก
นางขมวดคิ้วแน่น พยายามตั้งสติวิเคราะห์ หรือว่าพิษไข้ยังไม่หายดีจนทำให้นางเกิดอาการหูแว่วขึ้นมา?
ไม่เพียงแต่นั้น เสียงสังเคราะห์ที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ก็ดังขึ้นในหัวของนางอีกครั้ง ครั้นชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
[กำลังสแกนหาโฮสต์ที่เหมาะสม...]
[ตรวจสอบค่าความแค้น... 18… 56… 98% ผ่านเกณฑ์]
[ตรวจสอบค่าความอำมหิต... 25… 75… 99% ผ่านเกณฑ์]
[ตรวจสอบความแน่วแน่ของจิตวิญญาณ... ระดับ SSS คุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขอย่างสมบูรณ์แบบ]
[ระบบแก้แค้นสุดเทพผูกพันธะกับโฮสต์หยางจิ้งอวี่สำเร็จ]
คราวนี้จิ้งอวี่มั่นใจแล้วว่านางไม่ได้หูแว่ว มันมีบางสิ่งอยู่ในหัวของนางจริงๆ หากแต่สิ่งนี้คืออะไรกันแน่ เป็นเคล็ดวิชาพิสดารของโลกนี้ หรือเป็นวิญญาณร้ายที่ต้องการจะยึดร่างของนาง?
ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม สิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ถือเป็นภัยคุกคาม!
จิตสังหารอันเย็นเยียบพลันแผ่ออกมาจากร่างของนางในทันที นางรวบรวมสมาธิทั้งหมด จิตของนางตะโกนก้องออกไปอย่างเกรี้ยวกราด
“เจ้าเป็นใคร! แสดงตัวออกมา!”
นางคาดหวังว่าจะได้รับการตอบสนองที่ชั่วร้าย หรืออย่างน้อยก็ความเงียบที่น่าอึดอัด แต่สิ่งที่นางได้รับกลับทำให้สมองที่เคยประมวลผลได้อย่างรวดเร็วของนางต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ . . .
เพราะเสียงสังเคราะห์ที่เคยเย็นชานั้น ได้แปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่ร่าเริงสดใสจนน่าหมั่นไส้
[ในที่สุดท่านก็ยอมคุยกับข้าเสียที โฮสต์ที่เคารพ!]
“...”
[เมื่อครู่ท่านถามว่าข้าเป็นใครใช่หรือไม่? โอ้! คำถามยอดเยี่ยมมาก!] เสียงนั้นดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด [ข้าคือระบบสุดเทพ! ผู้ช่วยอัจฉริยะหนึ่งเดียวในสวรรค์และปฐพี! ถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือให้โฮสต์คนงามได้แก้แค้นทุกคนที่เคยทำร้ายท่านยังไงล่ะ!]
ความเงียบเข้าครอบงำจิตใจของจิ้งอวี่อีกครั้ง นางไม่เคยเจอสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเท่านี้มาก่อนในชีวิต ทั้งชีวิตในชาติก่อนและชาตินี้
นางพยายามเรียบเรียงคำพูด พลันเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงทางจิตที่ยังคงเย็นชา
“ระบบ? แก้แค้น? เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
[หมายความตามที่พูดเลยโฮสต์ ท่านอยากจะให้คนที่เคยรังแกท่านต้องคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตหรือไม่? อยากจะให้คนที่เคยเหยียบย่ำท่านต้องคลานอยู่แทบเท้าท่านหรือไม่? อยากจะให้สกุลหยางที่เนรคุณนี่พังพินาศย่อยยับหรือไม่? ข้าช่วยท่านได้ทั้งหมด!]
เสียงนั้นยังคงพูดเจื้อยแจ้วต่อไปอย่างกระตือรือร้น
[เพียงแค่ท่านทำภารกิจง่ายๆ ที่ข้ามอบให้ และคอยเอ่ยชมข้าบ่อยๆ เท่านั้น เริ่มจากตอนนี้เลยเป็นเช่นไร? ลองเรียกข้าว่าระบบผู้ยิ่งใหญ่สิ แล้วข้าจะมอบของขวัญต้อนรับสุดพิเศษให้ท่านทันทีเลยนะ!]
จิ้งอวี่ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาจ้องมองออกไปในความมืดอย่างว่างเปล่า
นางรอดตายจากการลอบสังหารนับครั้งไม่ถ้วน เผชิญหน้ากับสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาแล้วทั่วทุกมุมโลก แต่นางกลับไม่เคยเตรียมใจรับมือกับสิ่งนี้มาก่อนเลย
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่?
ณ สำนักตรวจการแผ่นดินสถานที่แห่งนี้นับเป็นดาบอาญาสิทธิ์ขององค์ฮ่องเต้ เป็นฝันร้ายของเหล่าขุนนางกังฉินทั่วทั้งแผ่นดิน บรรยากาศภายในนั้นเคร่งขรึมและน่าเกรงขามอยู่เสมอ ทุกย่างก้าว ทุกสายตา ล้วนเต็มไปด้วยความเที่ยงตรงและไร้ซึ่งการประนีประนอมและผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดของสถานที่แห่งนี้ก็คือ หลวงจางอี้บุรุษชราวัยหกสิบปลายผู้ได้รับสมญานามว่าจางหน้าเหล็ก เขาคือขุนนางตงฉินผู้ยึดมั่นในหลักการที่ว่า โอรสสวรรค์กระทำผิด ก็ต้องรับโทษทัณฑ์เช่นเดียวกับสามัญชน มาตลอดชีวิต เขาเกลียดชังการทุจริตคอร์รัปชันยิ่งกว่าอสรพิษร้าย และอุทิศทั้งชีวิตเพื่อถอนรากถอนโคนเหล่า หนอนบ่อนไส้ของแผ่นดิน ให้สิ้นซากเช้าวันนั้น ขณะที่หลวงจางอี้กำลังจะเริ่มตรวจสอบฎีการ้องเรียนกองโตที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา สายตาของเขาก็พลันไปสะดุดเข้ากับวัตถุชิ้นหนึ่งที่แปลกปลอมมันคือกล่องไม้สีดำสนิทที่ไม่มีลวดลายใดๆ วางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางโต๊ะ“ใครเป็นผู้นำสิ่งนี้เข้ามา!” เขาตวาดถามเสียงกร้าวองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องรีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด “ขะ ข้าน้อยไม่ทร
คลื่นลมจากการล่มสลายของตระกูลหลี่และการปราบปรามกบฏของอัครเสนาบดีมู่ได้ค่อยๆ สงบลง แต่สำหรับจวนหยางกั๋วกงแล้ว พายุที่แท้จริงยังมาไม่ถึงสภาพของสกุลหยางในยามนี้เปรียบเสมือน สุนัขที่ตกน้ำ ช่างน่าสมเพชและอ่อนแออย่างที่สุดการที่อนุหลี่ผู้กุมอำนาจในเรือนหลังถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรม ได้สร้างความสั่นคลอนอย่างรุนแรงต่อเสถียรภาพภายในจวน ชื่อเสียงที่เคยตกต่ำอยู่แล้ว บัดนี้กลับเหม็นเน่ายิ่งกว่าซากศพ กิจการค้าต่างๆ เริ่มซบเซา ไม่มีตระกูลใดอยากจะคบค้าสมาคมหรือเกี่ยวดองด้วยอีก หยางกั๋วกงผู้เคยหยิ่งผยอง กลับกลายเป็นตัวตลกในราชสำนัก เขาเอาแต่เก็บตัวดื่มสุราและระบายอารมณ์ใส่เหล่าบ่าวไพร่ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็ล้มป่วยด้วยความเจ็บใจจนลุกจากเตียงไม่ขึ้นจวนสกุลหยางที่เคยยิ่งใหญ่ ยามนี้ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ใหญ่ที่รากแก้วถูกตัดขาด แม้จะยังยืนต้นอยู่ได้ แต่ก็รอวันที่จะโค่นล้มลงมาเท่านั้น ณ จวนผิงหลางฝู่“นายหญิง สกุลหยางในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บแล้วขอรับ” อาหมิงรายงานสถานการณ์ล่าสุดให้หยางจิ้งอวี่ฟัง “กิจการของพวกเขากำลังจะล้มละลายในไม่
เพลิงพิโรธขององค์ฮ่องเต้เมื่อถูกลูบคมนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าพายุอัสนีบาต คำสั่งถูกส่งออกไปในคืนนั้น และปฏิบัติการก็เริ่มต้นขึ้นในยามรุ่งสาง กองกำลังองครักษ์หลวงที่นำโดยแม่ทัพใหญ่เคลื่อนพลด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าและสายลม พวกเขาบุกเข้าจู่โจมค่ายทหารร้างนอกเมืองอย่างรวดเร็ว ปลดอาวุธกองกำลังลับของอัครเสนาบดีมู่ได้โดยไม่มีการนองเลือดแม้แต่หยดเดียว ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทหารหลวงอีกกลุ่มก็ได้บุกเข้าตรวจค้นจวนของอัครเสนาบดีมู่และตำหนักขององค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง และในเช้าวันรุ่งขึ้น ราชโองการฉบับหนึ่งก็ได้ถูกประกาศขึ้นกลางท้องพระโรง สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดิน อัครเสนาบดีมู่จิ้งเทียนและพรรคพวก มีความผิดฐานซ่องสุมกำลังคน วางแผนก่อการกบฏ ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร! องค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง แม้จะไม่มีหลักฐานว่ารู้เห็นกับแผนการกบฏโดยตรง แต่ก็มีความผิดฐานร่วมมือใส่ร้ายองค์รัชทายาท ให้ปลดออกจากฐานันดรศักดิ์ ลดขั้นลงเป็นสามัญชน และให้คุมขังไว้ที่ศาลบรรพชนหลวงตลอดชีวิต และองค์รัชทายาทเจิ้งเฟิงเยวี่ยได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ ฮ่องเต้ทรงประท
ทันทีที่ทักษะวิเคราะห์จุดอ่อนศัตรูถูกเปิดใช้งาน โลกในความคิดของหยางจิ้งอวี่ก็พลันเปลี่ยนไป ข้อมูลจากม้วนสาส์นนับร้อยที่กองอยู่บนโต๊ะ ลอยขึ้นมาในเบื้องหน้าของนาง ก่อตัวขึ้นเป็นแผนผังอันซับซ้อน ทุกเส้นสาย ทุกจุดเชื่อมโยง ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจน [ติ๊ง! กำลังวิเคราะห์ข้อมูล... ตรวจสอบความขัดแย้ง] เสียงของระบบดังขึ้นอย่างเป็นกลาง [ตรวจพบความขัดแย้งในบัญชีรายจ่าย บันทึกระบุว่ามีการสั่งซื้อหยกโบราณและอัญมณีล้ำค่าจากร้านว่านเป่าเก๋อ ในวันที่สิบห้าเดือนที่แล้ว แต่สายข่าวของเราที่ฝังตัวอยู่ในร้านนั้นยืนยันว่า ตลอดเดือนที่ผ่านมา ร้านว่านเป่าเก๋อไม่มีการทำธุรกรรมใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นเลย] ‘เจอตัวแล้ว!’ จิ้งอวี่ลืมตาขึ้นทันที แววตาของนางคมกริบ นี่คือเส้นด้ายเส้นแรกที่หลุดลุ่ยออกมาจากอาภรณ์ที่ดูเหมือนจะถักทอไว้อย่างสมบูรณ์แบบ หลักฐานที่พวกมันสร้างขึ้น มีจุดที่เป็นเรื่องโกหก! “อาหมิง!” นางเรียกเสียงเฉียบขาด “ขอรับนายหญิง!” “ตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมดของกรมคลังที่เกี่ยวข้องกับเงินบรรเทาทุกข์อีกครั้ง!” นางสั่งการอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องสนใจบัญชีที่คุณชายรองนำไปถวายฮ่องเต้ แต่ให้ตามรอยเงินและเสบ
หยางจิ้งอวี่ไม่ได้กลับไปยังจวนผิงหลางฝู่ในทันที เพราะโรงเตี๊ยมเยว่หลันแห่งนี้ ได้แปรสภาพกลายเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราวของนางไปแล้วบรรยากาศที่เคยสงบสุขและเยือกเย็น กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเร่งรีบราวกับอยู่ในค่ายทหารก่อนออกศึก สายลับของหน่วยเย่ถิงเก๋อในชุดสามัญชนต่างวิ่งวุ่นเข้าออกห้องบัญชาการ นำม้วนสาส์นลับเข้ามาส่งและรับคำสั่งใหม่ออกไปอย่างไม่ขาดสาย อาหมิงยืนอยู่ข้างกายนาง ทำหน้าที่เป็นเสมือนแม่ทัพรอง คอยประสานงานและคัดกรองข้อมูลเบื้องต้นนางคือแม่ทัพ และนี่คือกองทัพเงาของนาง!“องค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย” จิ้งอวี่กล่าวขึ้นกับเหล่าหัวหน้าหน่วยที่มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่ดวงตากลับคมกล้าราวกับใบมีด “เบื้องหลังคืออัครเสนาบดีมู่และองค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง พวกมันกำลังคิดจะโค่นล้มองค์รัชทายาท”นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบจับขั้วหัวใจ “การกระทำของพวกมันไม่ใช่แค่การชิงอำนาจในราชสำนัก แต่คือการท้าทายหอกระจายข่าวถูเป่าโหลวของเราโดยตรง!”นางกำลังผูกชะตากรรมขององค์รัชทายาทเข้ากับศักดิ์ศรีขององค์กร เป็นการปลุกใจที่ได้ผลที่สุดแววตาของทุก
ข่าวการถูกกักบริเวณขององค์รัชทายาทได้แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนัก แต่กลับถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนาไม่ให้เล็ดลอดออกมาสู่โลกภายนอก เมืองหลวงยังคงดูสงบสุข แต่เบื้องหลังกำแพงวังหลวงนั้น คลื่นลมแห่งการชิงอำนาจกำลังโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งณ โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่นี่ไม่ใช่โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่โอ่อ่าและเป็นที่รู้จักทั่วไป แต่เป็นเพียงโรงน้ำชาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมในตรอกที่เงียบที่สุด มันคือหนึ่งในฐานลับสุดยอดของหอกระจายข่าวถูเป่าโหลว สถานที่สำหรับภารกิจที่สำคัญที่สุดเท่านั้นในห้องส่วนตัวชั้นบนสุด หยางจิ้งอวี่ในนามของเซวี่ยนหยิง กำลังนั่งพิจารณารายงานความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อาหมิงเพิ่งนำมาส่งให้ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจองค์รัชทายาทรองและอัครเสนาบดีมู่ในช่วงสองวันที่ผ่านมานั้น มันช่างเงียบสงบจนน่าประหลาดทันใดนั้นเอง! ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง!“นายหญิง!” สายลับผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน “มี... มีคนบาดเจ็บพยายามจะขอพบท่าน! เขาอ้างว่าถูกส่งมาจาก...”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ร่างของบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์สีเข้มที่ขาดวิ่นและเ







