로그인จวบจนรุ่งสาง แสงอรุณสาดส่องผ่านช่องโหว่ของหลังคา ปลุกให้สรรพสิ่งมีชีวิตตื่นขึ้นจากนิทรา หยางจิ้งอวี่ลืมตาขึ้นในความเงียบ ดวงตาของนางกระจ่างใสไร้ซึ่งร่องรอยของความง่วงงุน
‘หรือว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นเพียงความฝัน?’
นางครุ่นคิดในใจ แต่แล้วก็ต้องสลัดความคิดนั้นทิ้งไป ความทรงจำเกี่ยวกับระบบแก้แค้นสุดเทพยังคงชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เอง
นางทดลองเรียกในใจอย่างเงียบๆ ‘ยังอยู่หรือไม่?’
[อรุณสวัสดิ์โฮสต์ที่รัก! ระบบผู้ยิ่งใหญ่พร้อมรับใช้ท่านเสมอ!]
เสียงที่ร่าเริงจนน่าขนลุกตอบกลับมาแทบจะในทันที ยืนยันว่าเรื่องประหลาดเมื่อคืนไม่ใช่จินตนาการของนางอย่างแน่นอน
จิ้งอวี่ถอนหายใจเบาๆ พลางยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า สายตาของนางกวาดมองไปรอบกาย ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ร่างของคนสองคนที่นอนหลับอยู่ไม่ไกล
แม้จะอยู่ในห้วงนิทรา แต่ร่างกายของคนทั้งสองก็ยังคงสั่นสะท้านเป็นพักๆ จากความหนาวเย็น ใบหน้าของพวกนางซูบตอบจนเห็นโหนกแก้มชัดเจน ผิวพรรณซีดเหลืองขาดเลือดฝาด ทุกครั้งที่หายใจเข้าออกจะมีเสียงไอแห้งๆ ดังตามมาเป็นระยะ เป็นสัญญาณของร่างกายที่อ่อนแอจากการขาดสารอาหารและตรากตรำทำงานหนักมานานหลายปี สภาพของพวกนางไม่ต่างอะไรจากตะเกียงที่ใกล้จะสิ้นน้ำมัน๑
ภาพนั้นทำให้หัวใจของจิ้งอวี่กระตุกวูบ ความรู้สึกหวงแหนและต้องการปกป้องซึ่งเป็นของเจ้าของร่างเดิมผุดขึ้นมาอย่างรุนแรง
‘ร่างกายของพวกนางอ่อนแอเกินไป หากปล่อยไว้เช่นนี้ ต่อให้ข้ามีแผนการที่ดีเพียงใดก็คงไร้ประโยชน์’ นางครุ่นคิดอย่างเฉยชา ‘สิ่งแรกที่ต้องทำ คือฟื้นฟูสุขภาพของพวกนางให้กลับมาแข็งแรงเสียก่อน’
แต่การจะทำเช่นนั้นได้ย่อมต้องใช้ยาบำรุงชั้นดีและอาหารเลิศรส ซึ่งทั้งหมดล้วนต้องใช้เงิน หากว่าพวกนางไม่มีเลยแม้แต่อีแปะเดียว
ราวกับอ่านความคิดของนางออก เสียงในหัวก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
[ไอโย่ว โฮสต์ผู้มีจิตใจเมตตา ข้ามองเห็นความต้องการของท่านแล้ว ความกังวลของท่านย่อมเป็นความกังวลของข้า!]
น้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นเข้าอกเข้าใจนั้นทำให้จิ้งอวี่รู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย
[ในร้านค้าระบบของข้ามียาสุดวิเศษที่สามารถแก้ปัญหาของท่านได้ในพริบตา มันคือยาฟื้นฟูพลังระดับต้น หนึ่งเม็ดสามารถขจัดความอ่อนล้า ฟื้นฟูพลังกาย และรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างชะงัด]
ข้อเสนอของระบบช่างหอมหวานจนน่าเหลือเชื่อ เป็นสิ่งที่นางต้องการที่สุดในตอนนี้
หยางจิ้งอวี่จึงถามกลับในใจอย่างระแวดระวัง ‘ต้องใช้อะไรแลกเปลี่ยน?’
ในโลกของนาง ไม่มีอาหารกลางวันที่ไหนให้กินฟรี๒ ทุกอย่างล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย
เสียงของระบบเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์เล็กน้อย
[แหม... โฮสต์ช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก เงื่อนไขนั้นง่ายแสนง่าย เพียงแค่ท่านเอ่ยชมข้าด้วยความจริงใจเท่านั้น!]
“...”
[เพียงแค่ท่านเอ่ยชมข้าว่าระบบช่างสุดยอดหาใครเปรียบ ข้าจะมอบยาฟื้นฟูพลังระดับต้นให้ท่านทันที 1 เม็ด เป็นอย่างไรเล่า? คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก]
คิ้วเรียวของจิ้งอวี่ขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม
ให้ตายเถอะ นี่มันระบบอะไรกันแน่? บ้ายอเสียยิ่งกว่าขันทีเฒ่าในวังหลวงเสียอีก สำหรับนางที่เคยเป็นถึงนักฆ่าอันดับหนึ่ง ผู้ที่ไม่เคยต้องก้มหัวให้ใคร การที่จะต้องมาเอ่ยคำเยินยอเลี่ยนๆ เช่นนี้ มันน่าอัปยศยิ่งกว่าการถูกบังคับให้คุกเข่าเสียอีก
นางเหลือบมองไปยังพี่สาวที่กำลังไอจนตัวโยนอีกครั้ง...
ภาพความทรงจำที่หยางเสวี่ยอิงคอยแบ่งปันอาหารน้อยนิดให้นางเสมอ ภาพที่นางใช้ร่างเล็กๆ ของตนเองบังหิมะให้ยามฤดูหนาว ภาพเหล่านั้นล้วนฉายชัดขึ้นมาในหัว
จิ้งอวี่หลับตาลงช้าๆ ศักดิ์ศรีหรือ? ในสถานการณ์เช่นนี้มันจะมีค่าอะไรกัน
เมื่อต้องเผชิญกับทางเลือกสองทางที่เลวร้ายไม่แพ้กัน ก็จำต้องเลือกทางที่ส่งผลเสียน้อยที่สุด การเสียศักดิ์ศรีเล็กน้อยเทียบไม่ได้เลยกับสุขภาพ และความปลอดภัยของพี่สาว
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคนั้นออกมาในใจด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ระบบ... ช่างสุดยอดหาใครเปรียบ”
แม้จะไร้ซึ่งอารมณ์ แต่ดูเหมือนว่าระบบจะไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
[ติ๊ง! ได้รับคำชมจากโฮสต์ ค่าความจริงใจ 75% ผ่านเกณฑ์ กำลังส่งมอบของรางวัล]
สิ้นเสียงนั้น ในห้วงความคิดของจิ้งอวี่ก็พลันสว่างวาบขึ้นด้วยแสงสีทองอันอบอุ่น แสงนั้นควบแน่นรวมตัวกันจนกลายเป็นยาเม็ดกลมๆ สีเขียวมรกตเม็ดหนึ่ง ก่อนที่มันจะปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของนางในโลกแห่งความเป็นจริง
หยางจิ้งอวี่เบิกตากว้าง จ้องมองโอสถในมือด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
ยาเม็ดนั้นมีขนาดเท่าเมล็ดเหลียนฮวา ส่งกลิ่นหอมสดชื่นราวกับสมุนไพรนับพันชนิดในยามเช้า พลังงานบริสุทธิ์แผ่ออกมาจากตัวยาจางๆ จนสัมผัสได้ จิ้งอวี่กำยาเม็ดนั้นไว้ในมือแน่น ดวงตาของนางทอประกายกล้าขึ้นมาอีกครั้ง
. . . . . .
ย่ำรุ่งของเช้าวันใหม่มาเยือนพร้อมกับไอหมอกบางเบาและอากาศที่เย็นชื้นกว่าเดิม หยางจิ้งอวี่ตื่นขึ้นก่อนใครเพื่อน นางขยับตัวลงจากเตียงอย่างแผ่วเบา เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการพักผ่อนของพี่สาวและบ่าวคนสนิท
นางหยิบยาฟื้นฟูพลังระดับต้นออกมาจากอกเสื้อ กลิ่นหอมสดชื่นของมันยังคงชัดเจน การจะให้คนทั้งสองกินยาเม็ดนี้เข้าไปโดยไม่ให้เกิดข้อสงสัย จำเป็นต้องอาศัยความแนบเนียนอยู่บ้าง
จิ้งอวี่เดินไปยังมุมห้อง หยิบถ้วยชาที่บิ่นไปใบหนึ่งกับก้อนหินเรียบๆ ที่นางเก็บไว้ขึ้นมา นางค่อยๆ วางยาเม็ดลงในถ้วยแล้วใช้ก้อนหินบดขยี้มันอย่างเบามือที่สุด ยาเม็ดที่ดูแข็งกลับถูกบดเป็นผงละเอียดสีเขียวมรกตได้อย่างง่ายดาย กลิ่นหอมยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ไม่นานนัก หลานจิงก็ตื่นขึ้นและออกไปก่อไฟเพื่อต้มโจ๊กสำหรับมื้อเช้า ซึ่งก็คือโจ๊กที่ใสราวกับน้ำล้างข้าวเช่นทุกวัน เมื่อหลานจิงนำโจ๊กสองถ้วยเข้ามาในห้อง จิ้งอวี่จึงรีบฉวยโอกาสนั้นทันที
นางแสร้งทำเป็นเดินโซเซเข้าไปหาพี่สาวที่เพิ่งจะลืมตาตื่น ก่อนจะยื่นมือที่กำผงยาไว้แน่นออกไปเบื้องหน้าคนทั้งสอง
“เจี่ยเจีย... หลานจิง... กิน... ยา...” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังคงติดขัดเล็กน้อย แววตาดูสับสนแต่ก็แฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นบางอย่าง
หยางเสวี่ยอิงกับหลานจิงมองหน้ากันอย่างงุนงง
“ยาอะไรหรือ อาอวี่?” เสวี่ยอิงถามอย่างอ่อนโยน พลางประคองร่างน้องสาวให้นั่งลง “เจ้าไปเอายามาจากที่ใดกัน?”
“ใน... ในฝัน...” จิ้งอวี่ตอบช้าๆ พยายามปั้นเรื่องราวที่น่าเชื่อถือที่สุด “ท่านแม่... ท่านแม่มาเข้าฝัน... บอกว่า... มียาสมุนไพร... อยู่ใต้หมอน... บอกให้... พวกเรา... กิน...”
คำพูดที่กระท่อนกระแท่นของนาง ประกอบกับแววตาที่ดูซื่อตรง กลับทำให้เรื่องราวที่ดูเหลือเชื่อนี้มีความน่าเชื่อถือขึ้นมาอย่างประหลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวข้องกับมารดาผู้ล่วงลับของพวกนาง
หยางเสวี่ยอิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อเห็นความตั้งใจจริงของน้องสาว นางก็ไม่อยากขัดใจ บางทีการที่น้องสาวเริ่มจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้ อาจเป็นเพราะนางคิดถึงท่านแม่มากจนเก็บไปฝันก็เป็นได้ ดั่งคำกล่าวที่ว่า คิดเรื่องใดในยามตื่น ย่อมฝันถึงเรื่องนั้นในยามหลับ๓
“เช่นนั้นหรือ ดีจริงที่เจ้าเริ่มจำเรื่องราวต่างๆ ได้แล้ว” เสวี่ยอิงลูบศีรษะน้องสาวเบาๆ “เอาเถิด ในเมื่อเป็นสูตรยาที่ท่านแม่บอก พวกเราก็จะกิน”
จิ้งอวี่แอบลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก นางค่อยๆ เทผงยาสีมรกตในมือ แบ่งครึ่งใส่ลงในถ้วยโจ๊กของพี่สาวและหลานจิงอย่างเท่าเทียมกัน ผงยานั้นละลายหายไปกับน้ำโจ๊กในทันที ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมจางๆ ที่กลมกลืนไปกับกลิ่นข้าวต้ม
ทั้งหยางเสวี่ยอิงและหลานจิงต่างก็กินโจ๊กเข้าไปโดยไม่ลังเล แม้รสชาติจะแปลกไปเล็กน้อย แต่พวกนางก็ไม่ได้เอะใจอะไร
ทว่าเพียงไม่กี่อึดใจหลังจากที่โจ๊กถ้วยนั้นหมดลง . . .
หลานจิงซึ่งมักจะไอค่อกแค่กอยู่เสมอพลันรู้สึกว่าอาการคันระคายคอที่เรื้อรังมานานได้หายเป็นปลิดทิ้ง นางลองสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่สามารถหายใจได้อย่างเต็มปอดโดยไม่รู้สึกเจ็บหน้าอก
“คุณหนูใหญ่!” นางอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง “อาการไอของบ่าว... หายไปแล้ว! หายไปจริงๆ เจ้าค่ะ!”
หยางเสวี่ยอิงเองก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน นางรู้สึกได้ถึงกระแสธารอันอบอุ่นสายหนึ่งที่แผ่ซ่านออกจากช่องท้อง ไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงทั่วทุกส่วนของร่างกาย ขับไล่ความหนาวเย็นและความอ่อนล้าที่เกาะกินนางมาแรมปีให้สลายไปสิ้น ใบหน้าที่เคยซีดเผือดเริ่มปรากฏสีเลือดฝาดจางๆ ขึ้นมาให้เห็น
พวกนางทั้งสองมองหน้ากันด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนจะหันไปมองหยางจิ้งอวี่เป็นตาเดียว แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและคำถามมากมาย
หยางเสวี่ยอิงรู้สึกราวกับมีก้อนสะอื้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ นางค่อยๆ คลานเข้าไปหาน้องสาว กุมมือนางไว้แน่น น้ำตาที่เก็บกลั้นไว้ไม่อยู่ไหลทะลักออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง
“อาอวี่... เจ้า...” เสียงของนางสั่นเครือจนแทบไม่เป็นคำ “เจ้า... เจ้าจำเรื่องราวของท่านแม่ได้แล้วหรือ?”
หยางจิ้งอวี่มองสบตาพี่สาว นางเห็นภาพสะท้อนของตนเองในดวงตาที่ชุ่มโชกไปด้วยหยาดน้ำตานั้น ชั่วขณะนั้นเอง หัวใจที่เคยด้านชาของนักฆ่าสาวก็พลันรู้สึกได้ถึงกระแสธารอันอบอุ่นที่ไหลเข้าสู่ใจเป็นครั้งแรก เป็นความรู้สึกที่นางไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต
ความอบอุ่นที่เรียกว่าครอบครัว . . .
นางไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่ทำเพียงพยักหน้าช้าๆ หนึ่งครั้ง
และเพียงเท่านั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้หยางเสวี่ยอิงปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นางโผเข้ากอดน้องสาวไว้แน่นราวกับกลัวว่าภาพตรงหน้าจะสลายไป
จิ้งอวี่ยอมให้นางกอดอย่างเงียบงัน นางยกมือขึ้นลูบหลังพี่สาวเบาๆ เป็นการปลอบประโลม
ในใจของนางได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า นับจากนี้ไป คนผู้นี้คือครอบครัวของนาง คนที่นางจะต้องปกป้องไว้ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม!
ณ สำนักตรวจการแผ่นดินสถานที่แห่งนี้นับเป็นดาบอาญาสิทธิ์ขององค์ฮ่องเต้ เป็นฝันร้ายของเหล่าขุนนางกังฉินทั่วทั้งแผ่นดิน บรรยากาศภายในนั้นเคร่งขรึมและน่าเกรงขามอยู่เสมอ ทุกย่างก้าว ทุกสายตา ล้วนเต็มไปด้วยความเที่ยงตรงและไร้ซึ่งการประนีประนอมและผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดของสถานที่แห่งนี้ก็คือ หลวงจางอี้บุรุษชราวัยหกสิบปลายผู้ได้รับสมญานามว่าจางหน้าเหล็ก เขาคือขุนนางตงฉินผู้ยึดมั่นในหลักการที่ว่า โอรสสวรรค์กระทำผิด ก็ต้องรับโทษทัณฑ์เช่นเดียวกับสามัญชน มาตลอดชีวิต เขาเกลียดชังการทุจริตคอร์รัปชันยิ่งกว่าอสรพิษร้าย และอุทิศทั้งชีวิตเพื่อถอนรากถอนโคนเหล่า หนอนบ่อนไส้ของแผ่นดิน ให้สิ้นซากเช้าวันนั้น ขณะที่หลวงจางอี้กำลังจะเริ่มตรวจสอบฎีการ้องเรียนกองโตที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา สายตาของเขาก็พลันไปสะดุดเข้ากับวัตถุชิ้นหนึ่งที่แปลกปลอมมันคือกล่องไม้สีดำสนิทที่ไม่มีลวดลายใดๆ วางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางโต๊ะ“ใครเป็นผู้นำสิ่งนี้เข้ามา!” เขาตวาดถามเสียงกร้าวองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องรีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด “ขะ ข้าน้อยไม่ทร
คลื่นลมจากการล่มสลายของตระกูลหลี่และการปราบปรามกบฏของอัครเสนาบดีมู่ได้ค่อยๆ สงบลง แต่สำหรับจวนหยางกั๋วกงแล้ว พายุที่แท้จริงยังมาไม่ถึงสภาพของสกุลหยางในยามนี้เปรียบเสมือน สุนัขที่ตกน้ำ ช่างน่าสมเพชและอ่อนแออย่างที่สุดการที่อนุหลี่ผู้กุมอำนาจในเรือนหลังถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรม ได้สร้างความสั่นคลอนอย่างรุนแรงต่อเสถียรภาพภายในจวน ชื่อเสียงที่เคยตกต่ำอยู่แล้ว บัดนี้กลับเหม็นเน่ายิ่งกว่าซากศพ กิจการค้าต่างๆ เริ่มซบเซา ไม่มีตระกูลใดอยากจะคบค้าสมาคมหรือเกี่ยวดองด้วยอีก หยางกั๋วกงผู้เคยหยิ่งผยอง กลับกลายเป็นตัวตลกในราชสำนัก เขาเอาแต่เก็บตัวดื่มสุราและระบายอารมณ์ใส่เหล่าบ่าวไพร่ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็ล้มป่วยด้วยความเจ็บใจจนลุกจากเตียงไม่ขึ้นจวนสกุลหยางที่เคยยิ่งใหญ่ ยามนี้ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ใหญ่ที่รากแก้วถูกตัดขาด แม้จะยังยืนต้นอยู่ได้ แต่ก็รอวันที่จะโค่นล้มลงมาเท่านั้น ณ จวนผิงหลางฝู่“นายหญิง สกุลหยางในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บแล้วขอรับ” อาหมิงรายงานสถานการณ์ล่าสุดให้หยางจิ้งอวี่ฟัง “กิจการของพวกเขากำลังจะล้มละลายในไม่
เพลิงพิโรธขององค์ฮ่องเต้เมื่อถูกลูบคมนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าพายุอัสนีบาต คำสั่งถูกส่งออกไปในคืนนั้น และปฏิบัติการก็เริ่มต้นขึ้นในยามรุ่งสาง กองกำลังองครักษ์หลวงที่นำโดยแม่ทัพใหญ่เคลื่อนพลด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าและสายลม พวกเขาบุกเข้าจู่โจมค่ายทหารร้างนอกเมืองอย่างรวดเร็ว ปลดอาวุธกองกำลังลับของอัครเสนาบดีมู่ได้โดยไม่มีการนองเลือดแม้แต่หยดเดียว ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทหารหลวงอีกกลุ่มก็ได้บุกเข้าตรวจค้นจวนของอัครเสนาบดีมู่และตำหนักขององค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง และในเช้าวันรุ่งขึ้น ราชโองการฉบับหนึ่งก็ได้ถูกประกาศขึ้นกลางท้องพระโรง สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดิน อัครเสนาบดีมู่จิ้งเทียนและพรรคพวก มีความผิดฐานซ่องสุมกำลังคน วางแผนก่อการกบฏ ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร! องค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง แม้จะไม่มีหลักฐานว่ารู้เห็นกับแผนการกบฏโดยตรง แต่ก็มีความผิดฐานร่วมมือใส่ร้ายองค์รัชทายาท ให้ปลดออกจากฐานันดรศักดิ์ ลดขั้นลงเป็นสามัญชน และให้คุมขังไว้ที่ศาลบรรพชนหลวงตลอดชีวิต และองค์รัชทายาทเจิ้งเฟิงเยวี่ยได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ ฮ่องเต้ทรงประท
ทันทีที่ทักษะวิเคราะห์จุดอ่อนศัตรูถูกเปิดใช้งาน โลกในความคิดของหยางจิ้งอวี่ก็พลันเปลี่ยนไป ข้อมูลจากม้วนสาส์นนับร้อยที่กองอยู่บนโต๊ะ ลอยขึ้นมาในเบื้องหน้าของนาง ก่อตัวขึ้นเป็นแผนผังอันซับซ้อน ทุกเส้นสาย ทุกจุดเชื่อมโยง ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจน [ติ๊ง! กำลังวิเคราะห์ข้อมูล... ตรวจสอบความขัดแย้ง] เสียงของระบบดังขึ้นอย่างเป็นกลาง [ตรวจพบความขัดแย้งในบัญชีรายจ่าย บันทึกระบุว่ามีการสั่งซื้อหยกโบราณและอัญมณีล้ำค่าจากร้านว่านเป่าเก๋อ ในวันที่สิบห้าเดือนที่แล้ว แต่สายข่าวของเราที่ฝังตัวอยู่ในร้านนั้นยืนยันว่า ตลอดเดือนที่ผ่านมา ร้านว่านเป่าเก๋อไม่มีการทำธุรกรรมใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นเลย] ‘เจอตัวแล้ว!’ จิ้งอวี่ลืมตาขึ้นทันที แววตาของนางคมกริบ นี่คือเส้นด้ายเส้นแรกที่หลุดลุ่ยออกมาจากอาภรณ์ที่ดูเหมือนจะถักทอไว้อย่างสมบูรณ์แบบ หลักฐานที่พวกมันสร้างขึ้น มีจุดที่เป็นเรื่องโกหก! “อาหมิง!” นางเรียกเสียงเฉียบขาด “ขอรับนายหญิง!” “ตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมดของกรมคลังที่เกี่ยวข้องกับเงินบรรเทาทุกข์อีกครั้ง!” นางสั่งการอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องสนใจบัญชีที่คุณชายรองนำไปถวายฮ่องเต้ แต่ให้ตามรอยเงินและเสบ
หยางจิ้งอวี่ไม่ได้กลับไปยังจวนผิงหลางฝู่ในทันที เพราะโรงเตี๊ยมเยว่หลันแห่งนี้ ได้แปรสภาพกลายเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราวของนางไปแล้วบรรยากาศที่เคยสงบสุขและเยือกเย็น กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเร่งรีบราวกับอยู่ในค่ายทหารก่อนออกศึก สายลับของหน่วยเย่ถิงเก๋อในชุดสามัญชนต่างวิ่งวุ่นเข้าออกห้องบัญชาการ นำม้วนสาส์นลับเข้ามาส่งและรับคำสั่งใหม่ออกไปอย่างไม่ขาดสาย อาหมิงยืนอยู่ข้างกายนาง ทำหน้าที่เป็นเสมือนแม่ทัพรอง คอยประสานงานและคัดกรองข้อมูลเบื้องต้นนางคือแม่ทัพ และนี่คือกองทัพเงาของนาง!“องค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย” จิ้งอวี่กล่าวขึ้นกับเหล่าหัวหน้าหน่วยที่มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่ดวงตากลับคมกล้าราวกับใบมีด “เบื้องหลังคืออัครเสนาบดีมู่และองค์รัชทายาทรองเจิ้งเฟิงหยาง พวกมันกำลังคิดจะโค่นล้มองค์รัชทายาท”นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบจับขั้วหัวใจ “การกระทำของพวกมันไม่ใช่แค่การชิงอำนาจในราชสำนัก แต่คือการท้าทายหอกระจายข่าวถูเป่าโหลวของเราโดยตรง!”นางกำลังผูกชะตากรรมขององค์รัชทายาทเข้ากับศักดิ์ศรีขององค์กร เป็นการปลุกใจที่ได้ผลที่สุดแววตาของทุก
ข่าวการถูกกักบริเวณขององค์รัชทายาทได้แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนัก แต่กลับถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนาไม่ให้เล็ดลอดออกมาสู่โลกภายนอก เมืองหลวงยังคงดูสงบสุข แต่เบื้องหลังกำแพงวังหลวงนั้น คลื่นลมแห่งการชิงอำนาจกำลังโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งณ โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่นี่ไม่ใช่โรงเตี๊ยมเยว่หลันที่โอ่อ่าและเป็นที่รู้จักทั่วไป แต่เป็นเพียงโรงน้ำชาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมในตรอกที่เงียบที่สุด มันคือหนึ่งในฐานลับสุดยอดของหอกระจายข่าวถูเป่าโหลว สถานที่สำหรับภารกิจที่สำคัญที่สุดเท่านั้นในห้องส่วนตัวชั้นบนสุด หยางจิ้งอวี่ในนามของเซวี่ยนหยิง กำลังนั่งพิจารณารายงานความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อาหมิงเพิ่งนำมาส่งให้ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจองค์รัชทายาทรองและอัครเสนาบดีมู่ในช่วงสองวันที่ผ่านมานั้น มันช่างเงียบสงบจนน่าประหลาดทันใดนั้นเอง! ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง!“นายหญิง!” สายลับผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน “มี... มีคนบาดเจ็บพยายามจะขอพบท่าน! เขาอ้างว่าถูกส่งมาจาก...”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ร่างของบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์สีเข้มที่ขาดวิ่นและเ







