หลังจากที่ส่งมอบที่ตากเนื้อแห้งล็อตสุดท้ายให้แก่ลุงเพิ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สายเมฆกับรุจน์ก็พากันนำตัวอย่างสินค้าชุดใหม่สำหรับเจ๊จวงไปให้ดูที่ตลาดในเมืองทันที ส่วนทางด้านศจีที่อยู่บ้านก็เริ่มภารกิจสำคัญ นั่นคือการพยายามหาคนที่ไว้ใจได้และมีฝีมือดีมาช่วยงานที่ตากเนื้อแห้งตามแผนที่สายเมฆวางไว้
ขณะที่ศจีกำลังครุ่นคิดและกลุ้มใจว่าจะไปหาใครที่เหมาะสมได้จากที่ไหน ทันใดนั้น เจ้าธง หลานชายของป้าแจ่ม ก็เดินแบกถังใส่ข้าวสารใบใหญ่มาที่บ้าน ศีรษะมีเหงื่อซึมตามไรผม บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า ข้าวสารในถังนั้นคือค่าตอบแทนที่สายเมฆช่วยเข็นข้าวเปลือกไปสีที่โรงสีเมื่อหลายวันก่อน ศจีมองเห็นเจ้าธงแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ เด็กหนุ่มคนนี้ดูมีหน่วยก้านดี ร่างกายแข็งแรง และเป็นคนขยันขันแข็ง เธอจึงตัดสินใจเอ่ยถามขึ้น “เจ้าธง... ระหว่างรอเกี่ยวข้าวที่นา มีอะไรทำรึเปล่าลูก?” เจ้าธงยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบ 32 ซี่ พลางเกาหัวอย่างเขิน ๆ “ก็ว่าจะเข้าไปหางานรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเมืองจ้ะน้า อยู่ที่บ้านก็ไม่มีงานอะไรทำ ว่าง ๆ ก็เบื่อเหมือนกัน” ศจีจึงถือโอกาสนี้ชวนทันที “พอดีเลย... บ้านน้ากำลังต้องการคนช่วย น้าต้องทำที่ตากเนื้อแห้งส่งตลาดในเมือง ลำพังครอบครัวน้าคงทำไม่ทันแน่ ๆ สนใจจะมาทำกับน้ารึเปล่าจ๊ะ? ค่าจ้างอาจจะไม่เท่ากับที่เข้าไปรับจ้างในเมืองนัก แต่ถ้าร้านของเราทำสินค้าขายได้ดี ก็จะได้ส่วนแบ่งเพิ่มอีกต่างหากนะ” เมื่อเจ้าธงได้ยินว่ามีงานทำ เขาก็ดีใจจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ ใบหน้าฉายแววความตื่นเต้นอย่างชัดเจน เขารีบกล่าวขอบคุณศจีเสียงดังฟังชัด ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปที่บ้านทันที เพื่อนำข่าวดีนี้ไปบอกกับครอบครัวของเขา พอถึงตอนบ่ายแก่ ๆ สายเมฆและรุจน์ก็กลับมาถึงบ้านหลังจากเสร็จธุระที่ตลาดในเมือง พวกเขาเดินเข้ามาพร้อมกับใบสั่งของแผ่นใหญ่ที่พับไว้อย่างดี รุจน์ยื่นมันให้กับข้าวหอม “โอ้โห! สั่งขนาดละห้าร้อยชิ้นเลยนะเนี่ย!” ข้าวหอมอุทานเสียงดัง ดวงตากวาดมองรายละเอียดบนกระดาษ “มีสามขนาดก็พันห้าร้อยชิ้นเลยสิ กำหนดส่งของห้าครั้ง ครั้งละสามร้อยชิ้น กำหนดส่งของครั้งแรกอีกแค่สองอาทิตย์เอง!” เธอคำนวณตัวเลขในหัวคร่าว ๆ อย่างรวดเร็ว คาดการณ์ว่ากำไรที่พวกเขาจะได้รับต่อรอบน่าจะอยู่ที่ประมาณเกือบสามพันบาท ซึ่งถือเป็นจำนวนมหาศาลสำหรับพวกเขาในตอนนี้ “ว่าแต่คุณป้าหาคนที่ไว้ใจได้มาช่วยงานแล้วหรือยังครับ?” สายเมฆหันไปถามศจีด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีแล้วคนนึงล่ะ” ศจีตอบพลางยิ้มเล็กน้อย “เจ้าธงหลานป้าแจ่มน่ะ มันดูขยันขันแข็งดี เชื่อมือได้เลย แต่คนอื่นยังหาไม่เจอเลยลูก” ขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอย่างออกรสอยู่นั้น เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นจากหน้าบ้าน ป้าแจ่ม ซึ่งเป็นหญิงชราที่มักจะมีเรื่องให้ชาวบ้านประหลาดใจอยู่เสมอ ก็เดินลากตัวเจ้าธงเข้ามาที่บ้านพอดี ใบหน้าของป้าแจ่มดูจริงจัง ผิดกับเจ้าธงที่ดูหงอยลงไปถนัดตา “ตารุจน์!” ป้าแจ่มเอ่ยเรียกเสียงดังฟังชัด “ไอ้เจ้าธงนี่มันบอกว่าแกมีงานให้มันทำใช่ไหม? หรือมันแค่ไม่อยากไปทำงานในเมืองก็เลยเอาชื่อพวกแกมาอ้างน่ะ?” ป้าแจ่มถามด้วยความไม่แน่ใจว่าหลานชายตัวดีของตนได้รับข้อเสนอเรื่องงานจริง ๆ หรือแค่ขี้เกียจออกไปหางานทำไกลบ้านกันแน่ “จริงจ้ะป้า” รุจน์ตอบป้าแจ่มด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเป็นการยืนยัน ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้สายเมฆรับหน้าที่อธิบาย สายเมฆจึงเล่ารายละเอียดข้อตกลงกับเจ๊จวง และแผนการผลิตที่ตากเนื้อแห้งจำนวนมหาศาลให้ป้าแจ่มฟังอย่างใจเย็น เมื่อฟังจบ ป้าแจ่มก็ยิ้มแก้มปริด้วยความดีอกดีใจ “โอ๊ย! ดีใจด้วยนะตารุจน์! อย่างงี้ก็รวยเละเทะกันเลยสิ!” หลังจากความกังวลแรกคลี่คลาย ศจีก็ถือโอกาสเอ่ยถามป้าแจ่มเรื่องคนที่จะมาช่วยงานเพิ่มเติม ใบหน้าของเธอดูจริงจัง “ป้าแจ่มจ้ะ... พอจะมีใครแนะนำบ้างไหมคะ? ฉันอยากได้คนที่ซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ และที่สำคัญคือต้องตั้งใจทำงาน ไม่เกียจคร้านน่ะค่ะ” ป้าแจ่มนั่งคิดทบทวนอยู่พักใหญ่ คิ้วขมวดเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาของเธอจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อนึกถึงใครบางคนได้ “หนูแก้วไงจ๊ะ! ลูกสาวลุงเพิ่มเจ้าของร้านชำนั่นแหละ!” ศจีและรุจน์มองหน้ากันเล็กน้อย เพราะต่างรู้จัก แก้ว ดีในฐานะลูกสาวที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง “เห็นนางเป็นอย่างนั้นนะ ศจี” ป้าแจ่มกล่าวต่อเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของทั้งคู่ “นางทำงานเก่งนะลูก ขยันขันแข็ง ทำงานละเอียดเรียบร้อยทุกอย่างนั่นแหละ เพียงแต่งานร้านชำมันหนัก ต้องยกของเยอะแยะ นางเลยไม่ค่อยได้ช่วยพ่อมากเท่าไหร่” ป้าแจ่มพูดถึงแก้วที่ขาไม่ค่อยมีแรงนักจากการเป็นโปลิโอ ทำให้กล้ามเนื้อขาไม่สามารถช่วยลุงเพิ่มในร้านชำได้เต็มที่เหมือนคนปกติ แก้วเคยเรียนชั้นเดียวกับเจ้าธง เลยรู้จักกับป้าแจ่มเป็นอย่างดี และทุกครั้งที่ป้าแจ่มไปที่ร้าน ก็จะสังเกตเห็นแก้วดูท่าทางเงียบเหงาและไม่สบายใจ ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่เหมือนคนอื่น ข้าวหอมที่นั่งฟังอยู่ด้วยตลอด ได้ยินเรื่องราวของแก้วแล้วก็รู้สึกเห็นใจอย่างมาก เธอจินตนาการถึงความรู้สึกของแก้วที่อยากทำงานแต่มีข้อจำกัดทางร่างกาย ‘คงรู้สึกไม่ดีน่าดูเลยสินะ’ ความคิดที่จะช่วยเหลือให้แก้วได้มีโอกาสพิสูจน์คุณค่าในตัวเองผุดขึ้นมาในใจ “คุณป้าคะ” ข้าวหอมเอ่ยเรียกป้าแจ่ม “งั้นรบกวนคุณป้าไปพูดกับลุงเพิ่ม แล้วก็ถามความสมัครใจของแก้วให้หน่อยได้ไหมคะ? หนูว่างานที่ตากเนื้อแห้งน่าจะเหมาะกับแก้วนะคะ ไม่ต้องใช้แรงมาก แต่เน้นความละเอียดประณีต” สายเมฆพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของข้าวหอม เขามองข้าวหอมด้วยแววตาชื่นชมในความมีน้ำใจของเธอ เมื่อทุกคนได้ข้อสรุปเรื่องแก้วแล้ว เจ้าธงที่นั่งฟังมาตลอดก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความลังเลเล็กน้อย “แล้ว... ถ้าผมจะแนะนำเพื่อนผมอีกคนมาช่วยด้วยได้ไหมครับ? เขาก็ต้องไปหางานในเมืองพร้อมกับผมอยู่แล้ว เพื่อนผมคนนี้ชื่อ แซม เป็นลูกครึ่งครับ แต่พ่อทิ้งไปตั้งแต่ยังแบเบาะ ตั้งแต่จำความได้ก็อยู่กับแม่สองคนมาตลอดเลย” ป้าแจ่มแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยทันที สีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “เพื่อนแกจะไว้ใจได้เรอะ? เดี๋ยวจะเป็นคนเหลวไหล ทำหนูข้าวหอมเสียการเสียงานเปล่า ๆ นะเจ้าธง!” “ไม่หรอกครับป้า!” เจ้าธงรีบยืนยันเสียงหนักแน่น “แซมมันเป็นคนดีจริง ๆ ครับป้า ขยัน ตั้งใจทำงาน เขาก็อยากมีงานทำที่มั่นคงเหมือนกัน” เจ้าธงพยายามอธิบายอย่างเต็มที่ “ที่ผมอยากให้แซมมาทำที่นี่ก็เพราะเขาเคยปรับทุกข์กับผมว่า ไม่ค่อยอยากไปทำงานในเมืองไกล ๆ เท่าไหร่ เพราะกลัวจะทิ้งให้แม่อยู่บ้านคนเดียว ไม่มีใครดูแลน่ะครับ” ศจีฟังแล้วก็รู้สึกเห็นใจในสถานการณ์ของแซม เธอเข้าใจดีถึงความรู้สึกเป็นห่วงคนในครอบครัว “ถ้าอย่างนั้นก็เอาสิเจ้าธง” ศจีตัดสินใจรับปาก “แล้วถ้าแม่ของแซมสนใจอยากมาช่วยงานด้วยก็ให้มาด้วยก็ได้นะจ๊ะ” น้ำเสียงของศจีเต็มไปด้วยความเมตตา เมื่อได้กำหนดจำนวนและรายชื่อผู้ช่วยคนใหม่แล้ว ศจีก็ได้ขอให้ป้าแจ่มกับเจ้าธงไปทาบทามคนที่เลือกไว้ให้ และนัดแนะให้ทุกคนมาเจอกันที่บ้านอีกสามวันข้างหน้า เพื่อพูดคุยรายละเอียดและเริ่มงานกันอย่างจริงจัง เตรียมพร้อมรับมือกับออเดอร์มหาศาลจากเจ๊จวงหลังจากเปิดร้านในกรุงเทพฯ ได้เพียงสามปี ร้านเสื้อผ้าของข้าวหอ ก็โด่งดังในหมู่ชนชั้นสูงอย่างรวดเร็ว จนเธอต้องขยายสาขาเพิ่มอีกสามแห่ง รวมถึงมีสาขาในห้างสรรพสินค้าชื่อดังอีกด้วยส่วนโรงงานที่รุจน์และศจี พ่อแม่ของเธอดูแลก็ขยายใหญ่โต จนต้องซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อสร้างโรงงานใหม่ ส่วนโรงงานเดิมถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นที่ผลิตเสื้อผ้าสำหรับร้านของ แก้ว ซึ่งตอนนี้ได้แต่งงานกับธงแล้วข้าวหอมกลายเป็นสาวเนื้อหอมประจำเมืองหลวง ทั้งจากรูปร่างหน้าตา กิริยาวาจาที่งดงาม และรสนิยมการแต่งกายอันโดดเด่น ภาพของเธอปรากฏตามหน้านิตยสารและหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน รวมถึงข่าวซุบซิบเรื่องหนุ่มไฮโซ ดารา ที่พากันมาขายขนมจีบเธอไม่ขาดสายสายเมฆมองดูความสำเร็จของครอบครัวข้าวหอมและทุกคนที่เขาเคยอยู่ด้วย เขารู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง ‘นี่คงถึงเวลาที่เราต้องไปแล้วสินะ’ เขาพึมพำถามตัวเองในใจ“ใช่แล้ว! เจ้าบื้อ!” เสียงดังมาจากด้านหลังสายเมฆ ทำให้เขาต้องหันไปมอง ก็พบว่าพายุ เทวดาผู้คุมกฎของเขายืนอยู่ตรงนั้น“มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมดเลย” สายเมฆบ่น “แล้วท่านมาทำไมตอนนี้ มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”“ก็มาหานายนั่นแหละ” พายุตอบพร้อมรอ
ที่ร้านตัดเสื้อของข้าวหอม หลังจากลูกค้าช่วงเช้าที่คึกคักทยอยกลับไปหมด ข้าวหอมกำลังเตรียมตัวจะตักอาหารเที่ยงใส่จาน จู่ ๆ องุ่นก็ก้าวเข้ามาในร้าน“ข้าวหอมหนูกินข้าวก่อนก็ได้จ้ะ เดี๋ยวชั้นนั่งรอ” องุ่นเอ่ยอย่างเกรงใจ เมื่อเห็นข้าวหอมเตรียมจะวางช้อน“ไม่เป็นไรค่ะคุณองุ่น” ข้าวหอมยิ้มและเดินผละออกจากโต๊ะอาหารตรงไปหา “คุณองุ่นมาดูแบบเสื้อใหม่เหรอคะ”“ใช่จ้ะข้าวหอม” องุ่นพยักหน้า “ครั้งก่อนชั้นตามสามีเข้าไปกรุงเทพฯ ใส่ชุดของหนูไปงานเลี้ยง มีแต่คนชมชุดหนูนะ รอบนี้สามีมีงานที่กรุงเทพฯ อีก เลยจะมาดูแบบใหม่ ๆ ไว้เตรียมตัว” องุ่นพูดพลางเปิดดูแคตตาล็อกชุดที่วางบนโต๊ะ “จะว่าไปแล้วก็น่าเสียดายนะจ๊ะ ถ้าร้านหนูอยู่ในกรุงเทพฯ คงมีคนเข้าออกไม่ขาดสายเลยทีเดียว”“ไม่แน่นะคะ หนูอาจย้ายไปในกรุงเทพฯ ก็ได้ค่ะ” ข้าวหอมเอ่ยด้วยความมั่นใจ ความคิดนี้เคยแวบเข้ามาในหัวเธอหลายครั้งแล้ว เพียงแต่รอเวลาที่กิจการในอำเภอจะเข้าที่เข้าทางเสียก่อน“จริงเหรอ!” องุ่นอุทานด้วยความแปลกใจระคนยินดี ดวงตาเป็นประกาย“จริงค่ะ แต่อาจต้องใช้เวลานิดหน่อย” ข้าวหอมอธิบายแผนคร่าว ๆ “เพราะต้องหาที่เปิดร้าน หาพนักงานเพิ่ม และรอจัดระเบียบร้า
“ข้าวหอม อยู่มั้ยจ๊ะ!” เสียงเรียกดังขึ้นแต่เช้า ทำให้ ข้าวหอม ต้องรีบออกมาดู เจ๊จวง ซึ่งตอนนี้เป็นพันธมิตรคู่ค้าสำคัญของโรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูปของข้าวหอมยืนอยู่หน้าบ้าน สีหน้าค่อนข้างเป็นกังวล“อยู่ค่ะเจ๊จวง มีอะไรรึเปล่าคะ อย่าบอกนะว่าชุดล็อตล่าสุดหมดแล้ว” ข้าวหอมทักอย่างอารมณ์ดี เพราะหลังจากโรงงานเสร็จ กิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปก็ไปได้ดีมาก ร้านค้าจากในตัวจังหวัดและต่างอำเภอต่างมาสั่งของเพื่อนำไปขาย ส่วนในอำเภอที่ข้าวหอมอยู่ เธอเลือกส่งให้ร้านเจ๊จวงเพียงที่เดียว เพื่อตอบแทนที่เคยช่วยเหลือกันมา“มีปัญหาแล้วล่ะข้าวหอม ดูนี่สิ!” เจ๊จวงไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับหยิบถุงกระดาษที่ถือมาออกมา แล้วดึงเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่อยู่ในถุงให้ข้าวหอมดูข้าวหอมรับเสื้อมาพินิจ เสื้อที่อยู่ในมือมีตะเข็บที่แตกออก ด้ายที่เย็บบางตัวก็ไม่เรียบร้อย รังดุมบางตัวด้ายก็หลุดรุ่ย เธอขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจที่เจอเสื้อไม่ได้มาตรฐานจากโรงงานของตัวเอง แต่เมื่อลองสังเกตดูดี ๆ เธอก็พบว่ากระดุมที่ใช้ รวมถึงซิปและตะขอ แม้จะมีรูปแบบคล้ายกับของโรงงานเธอ แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว“เจ๊ไปเอามาจากไหนคะเนี่ย” ข้าวหอมถามเจ๊จวงด้วยความแ
“ปัง ปัง ปัง ปัง!”เสียงจุดประทัดดังกึกก้องทั่วซอย บ่งบอกถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่เป็นมงคล วันนี้เป็นวันเปิดร้านเสื้อผ้าของข้าวหอม หลังจากที่เธอได้ออกแบบร้านด้วยตัวเองแล้ว ลุงเพิ่มก็จัดหาช่างฝีมือดีมาลงมือก่อสร้างตามแบบที่ได้รับ ร้านของข้าวหอมออกแบบตามรสนิยมและความชอบของเธอ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ด้านการช้อปปิ้งของเธอเมื่อชาติที่แล้ว ทำให้ร้านมีดีไซน์ที่ดูแปลกตา ล้ำสมัย และน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก บรรยากาศภายในร้านโปร่งโล่งสบาย มีการจัดวางชุดเสื้อผ้าอย่างเป็นระเบียบ ชวนให้ลูกค้าอยากเดินเข้ามาชม“ข้าวหอม ยินดีด้วยนะจ๊ะ” คุณองุ่น เดินถือแจกันดอกไม้สวยงามเข้ามาแสดงความยินดีเป็นคนแรก ตามมาด้วยบรรดาภรรยาข้าราชการระดับต่าง ๆ และผู้มีฐานะอีกหลายท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่งเพียงไม่นาน ร้านของข้าวหอมก็ขึ้นชื่อในหมู่คนมีฐานะว่าตัดเย็บเสื้อผ้าได้ประณีตและออกแบบได้ไม่ซ้ำใคร ทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องและจำนวนมาก ช่างตัดเสื้อที่เดิมมีเพียง สาลี่ และแก้ว ซึ่งทำงานกันเองในบ้าน ก็เริ่มจะทำงานไม่ทันตามยอดสั่งซื้อที่เข้ามา ข้าวหอมจึงตัดสินใจขอร้องให้ลุงเพิ่มช่
วันนี้หลังจากเรียน กศน. เสร็จ ทุกคนก็กลับมาพร้อมกันที่บ้าน และเริ่มจับกลุ่มคุยกันถึงงานกลุ่มและการบ้านที่ได้รับมอบหมาย“มันยากจังเลยครับลุง! ยากกว่าตอนเรียนประถมอีก” ธง ที่นั่งก้มหน้าทำการบ้านไปได้สักพักก็บ่นออกมา พร้อมกับทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก แก้วซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ชะโงกหน้าเข้าไปดูสมุดของธง แล้วเริ่มอธิบายตรงจุดที่ธงติดขัดอย่างใจเย็น“อดทนหน่อยนะเจ้าธง” รุจน์ เห็นท่าทางของธงแล้วก็อดปลอบไม่ได้ “อย่างน้อยขอให้ได้วุฒิ ม.3 ไปก่อน แล้วค่อยมาดูว่าจะเรียนต่อ ปวส. ปวช. หรือจะเรียนสายสามัญต่อ แต่ยังไงก็ต้องเรียนนะ มีความรู้ติดตัวไว้ก็ไม่เสียหายหรอก”“ครับลุง ผมจะพยายามครับ” ธงตอบรับรุจน์อย่างคนหมดแรง“ธงอยากทำอะไรในอนาคตเหรอ” ข้าวหอม เอ่ยถามธงขึ้นมาเบา ๆธงนั่งคิดอยู่นานก็หัวเราะออกมาอย่างขำขันตัวเอง “ไม่รู้สิข้าวหอม ผมไม่เคยมีความคิดความฝันอยากเป็นอะไรเลย ก่อนมาเจอข้าวหอม ผมก็แค่อยากหางานทำเพื่อจะได้มีเงินไปใช้จ่าย ไม่ต้องรบกวนทางบ้านน่ะ” เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองข้าวหอม “แล้วข้าวหอมล่ะ มีความฝันอยากเป็นอะไร?”“ข้าวหอมรักเงิน” ข้าวหอมตอบความฝันตัวเองไปด้วยสายตาเป็นประกายแห่งความสุข “ข้
วันถัดมาหลังจากงานเลี้ยงต้อนรับนายตำรวจจบลง บรรยากาศภายในซอยบ้านของข้าวหอมก็เริ่มคึกคักผิดหูผิดตา มีรถยนต์ส่วนตัวเข้ามาจอดเทียบท่าไม่ขาดสาย ตลอดทั้งวัน ข้าวหอมยังคงดำเนินแผนการโชว์สินค้าในรูปแบบเดิม เธอจัดวางเสื้อผ้าบนราวอย่างเป็นระเบียบ แล้วนำมาให้ลูกค้าผู้หญิงที่แต่งกายภูมิฐานซึ่งทยอยกันเข้ามาชมทีละราว เธออธิบายรายละเอียดของชุดแต่ละชุดอย่างคล่องแคล่ว เมื่อลูกค้าเลือกชุดที่ถูกใจก็จะเขียนหมายเลขชุดที่ต้องการ ก่อนจะไปวัดตัวกับสาลี่ เพื่อปรับขนาดให้พอดีและจ่ายเงินมัดจำเป็นการยืนยันการสั่งซื้อด้วยความที่การช้อปปิ้งและแฟชั่นคือความชอบส่วนตัวของเธอ ข้าวหอมจึงทำหน้าที่นำเสนอสินค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติและไหลลื่น เธออธิบายด้วยรอยยิ้มสดใส พลางแนะนำจุดเด่นของชุดแต่ละชุดอย่างละเอียดลออ สิ่งเหล่านี้สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ชุดสวยแล้ว ยังได้รับคำแนะนำที่เป็นกันเองจากเจ้าของร้านอีกด้วยศจีและรุจน์ มองดูลูกสาวคนเก่งอยู่ห่าง ๆ จากมุมหนึ่งของห้องโถง ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้เป็นอย่างมาก ส่วนสายเมฆนั้น เขายืนพิงกรอบประตู มองดูข้าวหอมที่กำลั