เวลาผ่านไป…จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนก็ล่วงเลยมาหนึ่งปี
โม๋เอ๋อร์รู้สึกได้ว่า การตัดสินใจออกจากป่ามาในครานี้เป็นสิ่งที่ดีเหลือเกิน นางคิดไม่ผิดเลยสักนิด
เพราะว่านางได้เจอสหายเปี่ยมไมตรีอย่างหยูเสวี่ย และท่านป้าเปี่ยมเมตตาอย่างวั่นหรง
ทั้งสองดูแลนางอย่างดีเลิศ พวกเขามอบเสื้อผ้าสวยงามมากมาย มีอาหารรสล้ำให้กินไม่เคยขาด นางมีความสุขมาก ถึงแม้ว่าชุดที่นางสวมจะงดงามไม่เท่าชุดของหยูเสวี่ย แต่นางก็หาได้ขัดเคืองไม่ ด้วยมิใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยอันใดทั้งนั้น และยิ่งไม่คิดมากกับเรื่องหยุมหยิมเยี่ยงนี้ แค่ไม่ต้องทนสวมชุดจิ้งจอกขนเงิน ชุดหนังเสือ ขนห่านป่า หรือแม้กระทั่งหางนกยูง ก็พอแล้ว
จวนโหวแห่งนี้ใหญ่โตโอ่อ่า เครื่องเรือนครบครัน ทั้งยังสะอาดสะอ้าน มีผู้คนอาศัยอยู่รวมกันเยอะแยะเต็มไปหมด
ไม่เหมือนกลางป่าที่นางจากมา ที่นั่นมีแต่สัตว์ป่าดุร้าย คุยด้วยไม่รู้เรื่อง อาหารก็ไม่อร่อย เสื้อผ้าแพรพรรณก็ไม่มี
โม๋เอ๋อร์ชอบชีวิตในเมืองยิ่งนัก ไม่คิดกลับป่าแน่นอน...
รอยยิ้มพึงใจประดับตรงมุมปากของเด็กสาวตลอดเวลา นางกำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้อยู่กับหยูเสวี่ยเหมือนเช่นทุกวัน สร้างรอยยิ้มละมุนละไมประดับใบหน้าให้คุณหนูรองแห่งจวนโหวไม่น้อย
“โม๋เอ๋อร์ เจ้าหยุดยิ้มสักครึ่งเค่อได้หรือไม่?” หยูเสวี่ยอดมิได้ที่จะเอ่ยเย้าสาวใช้ที่ตนนับเป็นสหายด้วยนิสัยถูกคอถูกใจนางยิ่งนัก
“ข้าจะยิ้มให้กว้างกว่านี้ เพราะข้าชอบเจ้า ข้าชอบแม่เจ้า และข้าก็ชอบที่นี่” โม๋เอ๋อร์เอ่ยเสียงใส เดินหมุนตัวไปมา เพื่อกระโปรงชุดใหม่จะได้พลิ้วสะบัดอย่างเริงร่า
ทำเอาหยูเสวี่ยถึงกับหลุดกิริยาหัวเราะออกมาเสียงดัง
ไม่ง่ายเลยจริงๆ ที่จะสอนมารยาทให้โม๋เอ๋อร์ แต่ก็ไม่ยากเลยสักนิดที่ตนเองจะเสียจริตถึงเพียงนี้ หยู่เสวี่ยได้แต่ทอดถอนใจอย่างปลดปลง
คุณหนูรองจวนโหวต้องรีบหันซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง ด้วยเกรงว่าใครจะมาเห็นนางกับโม๋เอ๋อร์ทำกิริยาไม่เหมาะสม
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่ามารดาบังคับขู่เข็ญให้โม๋เอ๋อร์ฝึกฝนทุกสิ่งที่สตรีพึงมีพร้อมๆ กับนาง หากถูกจับได้ว่าทำกิริยาไม่งาม ต้องถูกมารดาบ่นยาวเหยียดแน่ๆ
อันที่จริง หยูเสวี่ยก็ไม่ค่อยจะเข้าใจมารดาเท่าใดนัก ที่บังคับโม๋เอ๋อร์ให้ฝึกมารยาร้อยแปดที่แสนสาหัสสำหรับสตรีตระกูลใหญ่ แต่นางเห็นโม๋เอ๋อร์ไม่เหน็ดเหนื่อยทั้งยังชอบมาก นางก็รู้สึกยินดี นางเองก็ชอบที่มีเพื่อนฝึกฝนเรื่องพวกนั้นเช่นกัน
หนึ่งปีที่อยู่ด้วยกันมา หยูเสวี่ยรู้มาว่าโม๋เอ๋อร์เติบโตมาอย่างไร มารดาตายจากเมื่อแรกคลอด บิดาตรอมใจด่วนจากไปเมื่อเยาว์วัย นางจึงนึกเห็นใจอีกฝ่ายเหลือเกิน นางจึงคิดจะดูแลโม๋เอ๋อร์ตลอดไป ไม่คิดแบ่งแยกชนชั้นอันใดทั้งนั้น
หยูเสวี่ยคิดเช่นนั้น โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าโม๋เอ๋อร์เองก็คิดเช่นเดียวกัน
เด็กสาวจึงเป็นสหายที่รู้ใจกัน และดูแลกันดังพี่น้องมากกว่าเจ้านายกับบ่าวไพร่ ซึ่งโหวฮูหยินก็ไม่เคยว่ากล่าวสิ่งใด กลับเห็นดีเห็นงามตามใจธิดา
“โม๋เอ๋อร์ เจ้าระวังกิริยาหน่อยเถิด หากใครเห็นเข้า เอาไปฟ้องท่านแม่ พวกเรามีหวังถูกคัดบทบัญญัติสตรีร้อยจบแน่ๆ”
หยูเสวี่ยอดห่วงเรื่องนี้มิได้ หลายครั้งเชียวที่นางถูกทำโทษให้คัดหนังสือจนปวดมือไปหมด
โม๋เอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้ายู่ปากยื่น ทุกสิ่งของที่นี่นางชอบทั้งหมด ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียวนี่ล่ะ!
ในขณะที่เด็กสาวทั้งสองพากันปรับเปลี่ยนกิริยาเริงร่าเกินงามให้กลับมาเป็นกิริยาแช่มช้อยงดงาม เสียงหนึ่งพลันดังแหวกอากาศอยู่ตรงเบื้องหลัง
“สตรีชั้นต่ำย่อมมิอาจสูงส่ง แค่บ่าวคนหนึ่งพี่รองต้องเหนื่อยถึงเพียงนี้เพื่อเหตุใด”
สิ้นเสียงพูด โม๋เอ๋อร์และหยูเสวี่ยจึงหันไปได้เห็นดรุณีน้อยนางหนึ่งยืนเชิดหน้าคอตั้งส่งสายตาดูแคลนเข้มข้น
ดรุณีนางนี้คือหยูเจวียน น้องสาวคนที่สามของบ้านโหว เป็นบุตรีของฮูหยินรองคนงามที่บิดารักมาก นางจึงผยองพองขนยิ่งนัก เพราะบิดาเองก็รักนางมากเช่นกัน เป็นฮูหยินใหญ่และบุตรสาวของฮูหยินใหญ่แล้วอย่างไร ในเมื่อน้ำหนักในใจของบิดาล้วนเอนเอียงมาทางนางสองแม่ลูก
น้ำเสียงเย้ยหยันของหยูเจวียนยังคงดังออกมา “เป็นไปได้ว่า พี่รองเองก็กำลังถูกฉุดให้ต่ำลงเช่นกัน”
กล่าวจบก็หัวเราะเสียงเหยียดในลำคอ นางรู้สึกชิงชังพี่สาวของนางเหลือเกิน หากไม่มีวั่นหรงและหยูเสวี่ย นางกับมารดาย่อมครองตำแหน่งใหญ่ที่สุดในเรือน
กับสาวใช้ของหยูเสวี่ยที่เก็บมาจากต่างถิ่น นางก็ไม่ชอบขี้หน้า ทั้งยังชิงชังหนักหนา
สตรีอันใดงามเกินหน้าเกินตาเจ้านาย หึ!
ความคิดเช่นนั้น หยูเสวี่ยมีหรือจะไม่รู้แจ้ง แม้ภายนอกนางดูอ่อนโยนและอ่อนหวาน ทั้งยังอ่อนแอบอบบางยอมทุกคน
หากแต่นางก็ไม่จำเป็นต้องโอนอ่อนตลอดเวลายามอยู่ลับหลังผู้ใหญ่นี่นา
“น้องสามกล่าวออกมาเช่นนี้คงไม่ดีนัก คำพูดไม่ดีไม่ควรมีในสตรีสูงส่ง อ้อ...พี่สาวลืมไป ว่าเจ้าเองก็มิได้สูงส่งสักเท่าใด”
หยูเสวี่ยกล่าวจบก็ยกยิ้มหวานหยดวาดไปถึงดวงตา
แน่นอนว่ามารยาเช่นนี้ล้วนมีในกระแสเลือด เด็กสาวกระทำได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ แม้กระทั่งตนเองยังไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าจักทำได้ ทุกครั้งนางก็มักจะเลือกทำยามอยู่ลับหลังผู้ใหญ่
และคำพูดเช่นนั้นก็ทำเอาน้องสามของบ้านถึงกับเบิกตากว้างกระทืบเท้าขัดใจ “พี่รองช่างปากร้ายนัก ข้าจะฟ้องท่านพ่อ”
หยูเสวี่ยเพียงยกยิ้มเย็นชา “เจ้าจะฟ้องว่าอย่างไรหรือ?”
หยูเจวียนยกนิ้วชี้หน้าโม๋เอ๋อร์ “พี่รองรวมหัวกับสาวใช้ชั้นต่ำเยี่ยงคางคกที่วันๆ เอาแต่ทำตัวเป็นห่านฟ้า รังแกข้า”
จบคำก็ร้องไห้โฮ ในจังหวะที่หางตาเหลือบไปเห็นนายท่านโหวเดินมาพอดิบพอดี
“เกิดสิ่งใด? พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?”
โหวเซินเดินมาเห็นลูกรักถูกรังแกจึงเอ่ยถามทันที เขาตรงมาที่หยูเจวียนทันใด สายตาส่งผ่านความห่วงใยไม่ปิดบัง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาสตรีอันเป็นที่รักมักตกเป็นรอง และลูกรักก็ต้องตกเป็นรองเช่นกัน เขาจับไหล่บอบบางของบุตรสาวตัวน้อยเบาๆ อย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยถามเสียงขรึมเผยคำตำหนิในแววตาชัดเจนมาทางหยูเสวี่ย
“เจ้าทำอันใดน้อง เสวี่ยเอ๋อร์”
นายท่านโหวเป็นชายที่มีจิตใจเอนเอียงจริงอย่างมิต้องสงสัย หยูเสวี่ยย่อมรู้ดีแก่ใจ นางจึงยืนเงียบไปไม่พูดจา เอาแต่ก้มหน้าด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
ส่วนหยูเจวียนได้ทีจึงรีบเงยหน้าหมายจะฟ้องร้องใส่ร้ายอีกฝ่ายให้มากที่สุด
แต่ทว่า สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด
จู่ๆ เด็กสาวก็จุกที่ทรวงอก เจ็บที่ลำคอ ปวดแสบปวดร้อนไปหมด ทำให้ไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้ อยากฟ้องสิ่งใดก็ได้แต่นิ่งไป ยิ่งกว่านั้นยังยิ้มแย้มออกมาแล้ววิ่งอย่างร่าเริงคล้ายร่ายระบำจากไปเสียอย่างนั้น
“...!?”
โหวเซินถึงกับยืนนิ่งจ้องมองบุตรสาวสุดที่รักด้วยอาการอึ้งงัน ก่อนจะเดินจากไปอย่างฉงน ไม่คิดสืบสาวอันใดอีก ด้วยเห็นว่าเด็กๆ ก็มักจะเป็นเช่นนี้ ซุกซนเข้าใจยาก
หยูเสวี่ยเองก็งุนงงไม่ต่างกัน เด็กสาวไม่รู้นางคิดไปเองหรือไม่ ว่าระยะนี้น้องสาวของนางเปลี่ยนไป ดูไม่ค่อยจะจริงจังในการกลั่นแกล้งนางเหมือนเมื่อก่อน
น่าแปลกยิ่ง!
ท่ามกลางความไม่รู้แจ้งของทุกคน มีเพียงโม๋เอ๋อร์เท่านั้นที่รู้ดีกว่าใคร แต่คำสั่งของบิดายังคงรัดรึงอยู่ในใจ
‘พลังวิเศษใดๆ ล้วนนำภัย จงเก็บงำเอาไว้มิอาจเผย’
นำภัยหรือเปล่านางไม่รู้ แต่แน่นอนว่านางมิอาจเปิดเผย
นางแค่ส่งกระแสปราณพลังจิตชนิดหนึ่งสั่นคลอนประสาทของหยูเจวียนก็เท่านั้น
ทุกครั้งนางก็แค่แอบทำ หึหึ!
“เซียนเอ๋อร์”“อาเหอ...ข้าไม่ไหวแล้ว”ยามนั้น ทั่วทั้งบ่อน้ำส่องแสงสีทองสลับสีแดงชนิดเข้มข้น ยังผลให้ผู้จ้องมองแสบตาจนมิอาจฝืน เฉินเหอไท่พยายามเหลือเกินที่จะเพ่งพิศภรรยา ทว่าก็ไม่อาจทำได้ ทั้งยังคล้ายกับว่าตัวเขาถูกพลังบางอย่าง ผลักจนกระเด็นออกจากบ่อน้ำ ทำได้เพียงแข็งขึงหยัดยืนให้ร่างสูงตระหง่านอยู่ริมบ่อเท่านั้นรอบกายของเขาคล้ายมีพายุหมุน เส้นแสงแสบตาพาให้ไม่สามารถทอดมองสิ่งใดสายลมดังอู้ๆ สองหูอื้ออึง นัยน์ตายังพร่ามัว ทั้งสมองยังขาวโพลน ผ่านไปนานเท่าใดมิอาจรู้ เมื่อพลังเร้นลับมหาศาลสลายหายไป เฉินเหอไท่จึงได้โอกาสลืมตา ทว่าเมื่อได้เห็นลำตัวหนาแกร่งพลันชาวาบในบ่อน้ำร้อนปราศจากร่างภรรยา…“เซียนเอ๋อร์”ชายหนุ่มกระโจนลงน้ำ แหวกว่ายพร้อมร้องเรียกอย่างตื่นตระหนกในแบบที่ไม่เคยเป็น“เซียนเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่ใด”บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้กว้างมาก ทั้งยังลึกยิ่ง เฉินเหอไท่ดำน้ำลงไป แล้วว่ายขึ้นมา ดำลงไปอีก มองหา ขึ้นมา ดำลงไป วนเวียนอยู่เช่นนั้น เขาดำน้ำวกวนทั่วก้นบ่อ ก็ยังไม่พบภรรยา จากนั้นก็ว่ายขึ้นมาแล้วตะโกนก้อง“เซียนเอ๋อร์ ตอบข้า”ยิ่งนานเสียงเรียกยิ่งร้อนรนขึ้นทุกที“ได้โปรด เซียนเอ๋อร์”แต่ก
สายลมโชยผ่าน ม่านแดดที่คลี่คลุมเจือจางลง แทนที่ด้วยอาทิตย์อัสดงเมื่อคำนวณเวลาว่าภรรยาตื่นนอน ร่างสูงจึงเดินเข้าเรือน ก็เจอคนงามพาท้องกลมใหญ่เดินแช่มช้าออกมาจากห้องแล้ว“หิวหรือไม่?”เสียงทุ้มเอ่ยถาม ยามเข้าจับประคองอย่างถนอม“หิวเจ้าค่ะ” เซียนเซียนแย้มยิ้มตอบ พลางซุกซบหาไออุ่นเฉินเหอไท่พาร่างขาวอวบกลมไปเอนหลังกับเบาะนุ่ม ก่อนโน้มตัวก้มหน้าจรดริมฝีปากร้อนชื้นกับหน้าผากกลมมน“รอครู่เดียว”ยามเอ่ยยังลูบหน้าท้องภรรยาแผ่วเบาอย่างรักใคร่ ทั้งยังไม่ลืมลูบไล้ลงต่ำไปที่เนินเนื้ออุ่นนุ่มที่บัดนี้บวมตึงยิ่งนัก ส่วนสงวนของนางบ่งบอกได้ว่า ใกล้กำหนดคลอดแล้วชายหนุ่มละฝ่ามือออกจากใต้กระโปรงภรรยาแล้วประทับจุมพิตที่แก้มสาวอีกครั้ง บอกเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังว่า“เจ้าทนอีกไม่นาน”“อืม...”“กินให้อิ่ม หลับให้สบาย เข้าใจหรือไม่?”เซียนเซียนคลี่ยิ้มละมุนตาเอ่ยปากรับคำเนิบช้า“เจ้าค่ะ ท่านพี่”เฉินเหอไท่กดจูบที่กลีบปากนุ่มแดงแรงๆ หนึ่งทีแล้วลุกขึ้นไปจัดเตรียมอาหารเมื่อกินเสร็จ ชายหนุ่มยังจับหญิงสาวขึ้นอุ้มแนบอก พาเดินชมทิวทัศน์ยามราตรี รับสายลมเย็นฉ่ำชั่วครู่ ก็พาเข้านอนทุกวันหมุนเวียนไปเ
เฉินเหอไท่กักเก็บตัวตนนางเอาไว้ด้วยอ้อมแขนอบอุ่น แลกลมหายใจผะผ่าวเข้าผสาน นับเป็นการยับยั้งปราณเย็นขั้นสุดขั้วเอาไว้ได้ด้วยปราณร้อนระอุแห่งเขา ให้เปลี่ยนเป็นความร้อนแรงแห่งรักชายหนุ่มนับเป็นมนุษย์ที่มีพลังหยางเข้มข้น กระทั่งไอมารของเทพปีศาจยังต้องสยบอย่างยินดีเซียนเซียนอ่อนระทวยอยู่ใต้ร่างสามี กลายร่างเป็นเพียงภรรยาแสนดี ซุกซบไออุ่นอย่างออดอ้อนหญิงสาวมักจะเปล่งเสียงสดใสฉอเลาะ เรียกรอยยิ้มละมุนให้เกิดจากใบหน้าหยาบกระด้าง นำพาความอ่อนโยนแทนที่ความกร้าวแกร่งได้อย่างเหลือร้ายไม่นานต่อมา ฝ่ายภรรยาก็เริ่มมีอาการผิดปกติ นางเบื่ออาหารที่ชอบกินและง่วงนอนตลอดเวลา ไม่ชอบเอ่ยคำหวานออดอ้อนฉอเลาะอีกแล้ว แต่มักจะพร่ำบ่นดินฟ้าอากาศอย่างหงุดหงิดอันไร้เหตุผล ฝ่ายสามีแรกเริ่มก็อดทนไม่คิดขัดใจ กระทั่งรู้ว่านางตั้งครรภ์ นำพาความดีใจจนแทบเนื้อเต้น แต่กลับไม่อาจทนเห็นนางเบื่ออาหารทั้งไม่อาจให้นางปฏิเสธการกินอีกต่อไปไม่ว่าคนงามจะงอแงโวยวายอย่างไร เขาก็ได้แต่อมยิ้ม แล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายหยอกเย้า ออดอ้อนฉอเลาะให้นางอารมณ์ดี จะได้กินอาหารบำรุงได้มากหน่อย คืนวันแห่งวสันต์จึงเปลี่ยนเป็นหวานฉ่ำด้วยการหยอกเอินหลอ
กลางป่ารกทึบแมกไม้เขียวขจีดอกไม้บานสะพรั่งสัตว์ป่าน้อยใหญ่เคลื่อนกายแวะเวียนเซียนเซียนถูกเฉินเหอไท่พามาไกลหลายพันลี้จากแคว้นต้าซ่งจนถึงแคว้นต้าหมิง เพื่อเร้นกายอยู่ด้วยกัน ไม่สนใจนรกหรือสวรรค์ทั้งนั้นเขามีบ้านหลังใหญ่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ ด้านซ้ายมีน้ำตกด้านขวาเป็นทิวทัศน์ร่มไม้ไหว ด้านหลังยังมีบ่อน้ำพุร้อนสราญใจสถานที่แห่งนี้คือหนึ่งในแผนการที่เกี่ยวข้องกับการโค่นล้มเฉินหย่งจื้อที่วางเอาไว้ ชายหนุ่มสั่งลูกน้องฝีมือดีเข้ามาจัดการปลูกสร้างเนิ่นนานแล้ว เรียกได้ว่าเป็นดินแดนสำหรับภรรยาที่เขาลอบสรรสร้างเพื่อนางโดยเฉพาะใต้ร่มไม้ปลายน้ำตก ละอองเย็นฉ่ำฟุ้งกระจายผสานสายลมโบกโชย กลีบดอกไม้ปลิวละลิ่วเคล้าแสงตะวัน มีร่างสองสายแนบชิดสนิทเนื้อแทบแยกไม่ออก“ข้าชอบที่นี่” เซียนเซียนแย้มยิ้มงดงาม สดใสมีชีวิตชีวา แนบแผ่นหลังบอบบางกับแผงอกอบอุ่นของเฉินเหอไท่ ปล่อยร่างอรชรเข้าสู่วงแขนแข็งแรงราวสตรีไร้กระดูกชายหนุ่มจรดปลายจมูกกับเรือนผมเรียบลื่น เอ่ยเสียงนุ่ม “แน่นอนว่าเจ้าต้องชอบ”หญิงสาวเงยหน้าจูบปลายคางคมสันเบาๆ ส่งกระแสร้อนวาบให้ซาบซ่านถึงหัวใจ แล้วก้มหน้าซุกซบอยู่ในอ้อมกอดคล้ายแมวน้อยแสนเชื่อง คว
ดวงเนตรพญามังกรสีรัตติกาลเบิกขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ เฉินเหอไท่นำทัพออกหน้าไปตามแผนการที่วางเอาไว้ ทำการศึกห่างออกไปไกล ปิดเส้นทางมิให้ผู้ใดเข้ามาระรานยามที่เขาไม่อยู่ตัวเขาต้องจัดการทุกสิ่งให้เสร็จสิ้นที่ข้างนอก จึงป้องกันอาณาเขตแห่งนี้เอาไว้ให้อยู่อย่างปกติที่สุดทว่า...สิ่งที่เห็นทำให้เฉินเหอไท่นึกตระหนกไม่น้อย ถึงแม้ว่าแผนการยึดอำนาจเบ็ดเสร็จของเฉินเหอไท่จะสำเร็จลุล่วง หากแต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือเฉินหย่งจื้อส่งคนเข้ามาบุกโจมตีคฤหาสน์ จนเกิดศึกนองเลือดตลบหลัง เป้าหมายคือสะบั้นดวงใจแห่งเขาชายหนุ่มให้ได้คิดว่าเขาดูเบาความต่ำช้าของน้องชายผู้นี้มากจนเกินไปเสียแล้วเรื่องที่เขามีหญิงคนรักและแต่งงาน เจ้าเฉินหย่งจื้อกลับนำมาเป็นเครื่องมือหมายกำจัดเขาอย่างต่ำตมสิ้นคิดซึ่งแน่นอนว่าหากเซียนเซียนเป็นเพียงสตรีธรรมดาย่อมต้องกลายเป็นตัวประกันเข้าทางศัตรู แล้วถูกนำมาข่มขู่เขาทว่าความจริงกลับมิใช่เช่นนั้น เฉินเหอไท่ย่อมรู้ดีกว่าใครสายตาคมเข้มกวาดมองไปทั่ว มีแววร้อนรนผสานอยู่อย่างไม่อาจระงับ ยิ่งเดินเข้ามายิ่งเห็นคราบเลือดข้นคลั่กปานธารารินไหล ก็ยิ่งหลั่งเหงื่อเย็นที่ฝ่ามือประเมินดูแล้วถึง
ค่ำคืนแห่งการรื่นเริงภายในพระราชวังต้าซ่งยังมีต่อเนื่องสามวันสามคืน หลังศึกปราบกบฏเสร็จสิ้นเมื่อฮ่องเต้ทรงอารมณ์ดีเต็มที่ จึงเรียกสนมถึงสองนางมาปรนนิบัติอย่างสุขสมบนเตียงบรรทมในตำหนักส่วนพระองค์ มีเสียงครวญครางถึงสามเสียงด้วยกันนอกจากเส้นเสียงรัญจวน ยังมีเสียงหัวเราะร่วนที่ร่วมกันเหยียดหยันอ๋องโง่บัดซบผู้หนึ่ง สนมทั้งสองล้วนด่าทอเฉินเหอไท่เพื่อเอาใจเฉินหย่งจื้อ ว่าสมควรตายเพียงใด ต่ำช้าแค่ไหนชั่วจังหวะที่เฉินหย่งจื้อกำลังปลดปล่อยตัวตนร้อนผ่าวเข้าสู่กายสาวของสนมคนงาม ลำคอพลันเจ็บแปลบ กรามพลันหลุดออก ความรู้สึกชาหนึบพลันถาโถมสองตาของฮ่องเต้ต้าซ่งเหลือกถลน เปล่งวาจามิได้ อึกอักอึดใจก็เห็นสนมคนหนึ่งตายอยู่หัวเตียงเมื่อใดมิอาจทราบ ส่วนอีกคนที่อยู่ใต้ร่างก็นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ลูกนัยน์ตาปูนโปนแทบออกมานอกเบ้า กลีบปากอ้าค้าง ยามใดก็สุดรู้ไร้เสียงเล็ดลอด ตกตายเงียบเชียบ ว่องไวรวบรัดหรือว่าจะเป็น...ความคิดชั่ววูบเกิดขึ้นพร้อมกับเงาร่างหนาใหญ่ในอาภรณ์สีดำจัดปรากฏกายเบื้องหน้า สู่ครรลองสายตาเฉินหย่งจื้อยิ่งเบิกตาโพลงเฉินเหอไท่ทักทายน้องชายจอมตระบัดสัตย์ด้วยแววตาคมกริบที่มองสบนิ่งขรึม เผย