ณ ห้องประชุม
"เป็นอย่างไงบ้างริชชี่ การประชุมวันนี้มีเรื่องอะไรที่สำคัญบ้างไหม" ผมเปิดประเด็นทันที
"เฮ้อ งานยากเลยล่ะทุกคน" ยัยริชชี่ตอบพร้อมกับทำหน้าแห้ง ๆ
"ยากยังไงวะ" เพื่อนในห้องถามขึ้น
"นั่นสิ" เพื่อนอีกคนเริ่มถามกลับบ้างที่ยัยริชชี่ไม่ยอมตอบสักที
"คืองี้ ไอ้ที่ว่ายากอะ พวกแกรู้กันใช่ปะ ว่าคณะวิศวะของเราชนะการเป็นเดือนและดาวมหา’ลัยทุกปี" ริชชี่พูด
"ก็ใช่ไงครับ แล้วมันยากยังไงล่ะ" ไอ้เหนือถาม
"เพราะว่าเราชนะทุกปีไง ปีนี้ถึงได้มีกฎเกณฑ์บ้า ๆ นี่ขึ้นมา และทุกคณะต้องทำตามด้วย หากคณะไหนไม่ทำตามก็จะปรับแพ้ทันที" ยัยริชชี่หยุดพักหายใจก่อนที่จะพูดต่อ
"ไอ้กฎที่ว่าคือ ปีนี้ให้ทุกคณะคัดเลือกเดือนกับดาวอย่างรวดเร็วที่สุดโดยห้ามให้คนนอกรู้ ที่สำคัญยังต้องหาคนที่เป็นตัวแทนลงแข่งในรายการเพิ่มใหม่อีกสามรายการและพวกแกก็รู้ใช่ไหมว่าปีนี้คณะเรารับน้องกับบริหารเป็นปีแรก ทางกรรมการการประชุมจึงเห็นสมควรให้เราคัดเด็กทั้งสองคณะส่งเป็นตัวแทนมาประกวดแค่ 5 คนเท่านั้น แต่ให้คัดเดือนดาวของคณะปกติ เพียงแต่ตอนส่งมาประกวดเราต้องจับมือกับบริหารส่งเด็กมาแข่ง"
"ฮะ อะไรนะ"
"นั่นสิ เป็นไปได้ยังไง" เสียงเพื่อน ๆ ในรุ่นต่างออกความคิดเห็นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหยุดพูดเพราะผมส่งสายตาให้เงียบและฟังต่อ
"แข่งอะไร" ผมถาม
"คือนักร้องหนึ่งคน เซ็กซี่หนึ่งคน และ เต้นบวกแรปอีกหนึ่งคน แต่ที่ว่ายากน่ะ มันไม่ใช่เราเพิ่มน้องลงรายการแข่ง แต่มันอยู่ที่ทุกอย่างต้องเป็นความลับ รู้แค่ในคณะเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องทำคลิปเปิดตัวจะเป็นคลิปเสียงหรือจะทำออกมายังไงก็ได้ แต่โจทย์ในการทำคลิปคือร้องเพลง และต้องใช้เพลงนั้นเปิดตัวในวันประกวด คณะละสองเพลง แบบนี้มันไม่เข้าทางนิเทศกับดนตรีเหรอวะ ใครแม่งก็รู้ว่าทั้งสองคณะต้องทำเพลงเองแน่นอนอะ จะไม่ให้กูเครียดได้ยังไง" ทันทีที่ริชชี่พูดจบก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย ในห้องมีแต่ความเงียบ
"ทำไมเป็นงี้วะ"
"คราวนี้แหละ คณะนิเทศดนตรีได้ข่มคณะเราแน่ เพราะปีนี้ดนตรีกับนิเทศรับน้องร่วมกัน"
"เออ ตั้งกฎบ้าบออะไร งั้นก็เท่ากับว่าเราสามารถแต่งหรือเอาเพลงคนอื่นมาร้องก็ได้สองเพลง แต่อย่าให้ต่างคณะรู้อย่างงั้นเหรอ"
"ประสาท"
"บ้าบอฉิบเป๋ง"
"เอาละ เงียบ ๆ ก่อน เรียกปีสองมาคุยสิ" ผมพูด ไม่เกินครึ่งชั่วโมงประธานปีสองก็เข้ามา พร้อมกับกะเทยสุดซี้ของริชชี่ก็เข้ามาด้วย จากนั้นริชชี่ก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง พวกน้องมันดูตกใจนะ
"โคตรเหนือความคาดหมายเลยครับ" ไอ้ก้องพูด
"นั่นสิ" อีกสองคนก็ประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน
"เฮ้อ เครียด"
"เอาละ วันนี้ฉันไม่ได้ไปเข้าเชียร์ลงว้าก เลยไม่รู้ว่าใครหน้าตาเป็นยังไงบ้าง น้องก้อง อีตุ๊ดฝึกหัดลองพูดมาสิใครบ้าง" ยัยริชชี่พูด
"หน้าตาดีน่ารักทั้งผู้ชายผู้หญิงก็มีเยอะครับ" ไอ้ก้อง
"แต่ที่เด่นสะดุดตาสุดก็แก๊งนางฟ้า" น้องมันพูดเห็นว่าชื่อรันนี่มั้ง
"ใช่ค่ะคุณแม่ แก๊งนี้มีครบ หวาน น่ารัก เซ็กซี่ ห้าว เราเอามาสแกนกันดีไหมคะ"
"ไม่ได้!!!"
ผม/ไอ้เหนือ/ไอ้วิน/ไอ้ดิน ทันทีที่เห็นว่าน้องชื่อปูเป้อะไรนั่นพูดจบ ผมสี่คนก็ตะโกนขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำให้ทั้งห้องมองพวกผมอย่างตกใจก่อนที่ยัยริชชี่จะกระตุกยิ้มมุมปากมาให้ผม มันย่อมรู้ว่าพวกผมคิดอะไร แหงสิอยู่ด้วยกันมาสามปี และมันก็คือเพื่อนคนเดียวที่พวกผมให้ความสนิทด้วยมากที่สุด
"งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะเข้าห้องเชียร์ลานเกียร์ดีกว่า อ้อ อย่าลืมบอกพวกน้อง ๆ คัดเลือกกันเองไว้ก่อนด้วยล่ะ ปะ เลิกประชุมเถอะ หิว" ทันทีที่ริชชี่พูดจบคนอื่น ๆ ก็ทยอยออกไปจากห้องจนหมด
"แหม อะไรกันจะหนุ่ม ๆ มองริชชี่น่ากลัวเชียว" พวกผมสี่คนมองริชชี่ตาเขียว ถึงผมจะมองมันนิ่ง ๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความไม่พอใจ แต่มันไม่กลัวพวกผมเลยสักนิด
"ไอ้ริท" ผมพูดนิ่ง ๆ
“ไม่เอาไม่โกรธสิคะ”
"อีริท กูไม่ยอม มึงจะมาเอาว่าที่คนของกูขึ้นเวทีไม่ได้" ไอ้เหนือพูดไอ้นี่มันออกตัวแรงว่ะ แต่ก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องพูด
"เสียใจยะ คณะสำคัญที่สุด" ยัยริชชี่มันตอบกวน ผมก็ได้แต่ฟังนิ่งทั้งที่ในใจกระวนกระวายจะตายห่าอยู่ละ
"โอเค ถ้าไม่มีอะไรก็กลับแล้วนะ มายเฟรนด์ บาย" มันพูดพร้อมขยิบตาส่งให้พวกผม
จะเอายัยปากดีมาเป็นตัวแทน จะไหวเหรอวะ ท่าทางก็ออกจะห้าว ๆ คำพูดหรือก็ไม่เข้าหู ดูท่าน้องมันคงไม่ค่อยชอบคนเยอะนะถ้าให้ผมเดา เพราะฉะนั้นผมหายห่วงครับ เพราะถึงยังไงผมก็เชื่อว่าน้องมันไม่มีวันยอม แน่นอน
ติ๊ง…
ติ๊ง…
โอ๊ย ไลน์รัวขนาดนี้ใครตายวะแม่ง และนี่มันเพิ่งจะหกโมง โอ๊ย หกโมงเช้า ให้ตายเหอะ ใครมันไลน์มาวะ คนยิ่งนอนดึก ๆ อยู่ ไม่ต้องสงสัยกันนะคะ ว่าทำไมฉันนอนดึก ก็เมื่อคืนนี้น่ะสิคะ แม่หญิงการะเกดกับคุณพี่หมื่นสุนทรทำข้าติดหนัก นอนดูตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนที่สี่รวดเดียว เป็นไงล่ะ กว่าจะได้นอน เที่ยงคืน แล้วนี่ก็ไลน์มาจัง อารมณ์เสีย
rrrrrrrrrrr นั่นไงไลน์กันมาไม่พอ โทรมาอีก
"โหล มีอะไรนักหนาวะฮะ!"
"โอ๊ย อีมนต์นี่แกยังไม่ตื่นใช่ไหมฮะ!" เสียงนี่มัน ยัยทิพย์หนิ
"เออ มีไรวะ คนยิ่งง่วง ๆ อยู่" ฉันพูดออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจ
"เอ้า นี่แกยังไม่อ่านไลน์ใช่ปะ"
"เออ มีอะไรก็ว่ามา ลีลา"
"โอ๊ย แกนี่ คืองี้เพื่อน ประธานรุ่นเรานัดรวมเจ็ดโมงตรง เนื่องจากมีเรื่องแจ้งจากรุ่นพี่ แล้วเราปีหนึ่งก็ต้องสรุปให้พี่เขาให้ได้ภายในวันนี้ ส่วนเรื่องอะไรนั้น เดี๋ยวไอ้แดนมันบอกที่มอ แค่นี้นะ บาย"
"ยัย ฮึ่ม" ทันทีที่มันพูดจบมันก็ตัดสายทันที ส่วนไอ้แดนคือประธานรุ่นฉันเอง หมอนี่จัดได้ว่าหล่อนะ แต่ไม่ใช่สเปกฉันเท่าไหร่ อย่างฉันต้องคุณพี่หมื่น นิ่ง ๆ โอ๊ย ละมุน เหลือบมองดูนาฬิกา หกโมงครึ่ง ฉันจึงลุกอาบน้ำแต่งตัวทันที
30 นาทีต่อมาก๊อก ก๊อก ก๊อกฉันเคาะประตูเรียกคนในห้อง แต่ก็ไม่ยอมออกมาเปิด ฉันยืนชั่งใจอยู่หน้าประตูสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้อง เข้าไปก็เห็นเขานอนหันหลังให้ประตูอยู่“ลุกขึ้นมาคุยกันก่อนค่ะ” ฉันเรียกแต่คนตัวโตก็ไม่ยอมขยับพรึบฉันพลิกร่างให้เขานอนหงายก่อนจะนั่งคร่อมเขาเอาไว้ แล้วไล้มือไปตามหน้าอกของเขาช้า ๆ เขามองการกระทำของฉันนิ่ง ๆ“มนต์ขอโทษ ทีหลังจะไม่ทำแบบนี้แล้วค่ะ” ฉันบอกเขาเสียงหวาน แล้วมองเขาด้วยสายตาเชิญชวนที่สุด“อย่ามายั่ว เดี๋ยวจะไม่ได้นอน” เขอพูดแล้วจับเอวจะให้ฉันลงจากตัวเขา แต่ฉันไม่ยอม นั่งบดเบียดให้ส่วนนั้นของเขากับฉันบดเบียดกันมากกว่าเดิม“น้ำมนต์”“หายโกรธมนต์สิคะ แล้วมนต์จะหยุด นะ นะคะ” เขามองฉันนิ่งก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา“มาง้อแบบนี้คิดดีแล้ว” เขาถามฉันจึงพยักหน้าเขิน ๆ ให้เขาไปพรึบอะ “ขอบคุณนะครับ” ตัวของฉันถูกกดลงบนเตียงนอน ในใจเต้นตึกตัก รอคอยสัมผัสจากเขา จมูกเธอได้กลิ่นครีมอาบน้ำที่เขาใช้ ทำไมนะทั้ง ๆ ที่ห้องของเขาและฉันใช้สบู่กลิ่นเดียวกัน แต่กลับรู้สึกว่าเมื่อมันอยู่บนตัวเขาแล้วมันดันหอมกว่าซะงั้นจุ๊บ จ๊วบเขาค่อย ๆ ไล่จูบฉันตั้งแต่
1 ปีผ่านไป ทุกคนคะตอนนี้ฉันขึ้นปีสองแล้วค่ะ ส่วนเฮียพายุก็อยู่ปีสี่แล้ว ปีนี้เฮียพายุฝึกงาน เราจึงไม่ค่อยได้เจอกันนัก เจอกันอาทิตย์ละสองถึงสามวันก็เท่านั้นเองแต่ฉันไม่เคยน้อยใจเขานะคะ เข้าใจเขาซะอีก เพราะงานเขาเยอะมาก ไหนงานที่จะต้องฝึก ไหนจะงานที่ผับเขาอีก เขาไม่ป่วยก็ดีสุด ๆ แล้วค่ะ ที่สำคัญถึงเราจะไม่เจอกัน แต่เฮียพายุเขาก็หาเวลาโทรมาคุยกับฉันทุกครั้ง ทุกครั้งที่โทรมาก็จะอ้อนนั่นอ้อนนี่ไปเรื่อยตามแบบฉบับเขานั่นแหละค่ะขออัปเดตเรื่องราวของเพื่อนสักหน่อย ยัยหวานกับพี่ดินก็หลังจากที่ผ่านการระหองระแหงกันคราวนั้นได้ก็รักกันปานจะกลืนกิน ชีวิตมีแต่สีชมพูไม่อมทุกข์โศกเหมือนใครเขาส่วนคู่พิ้งค์รายนั้นพี่วินก็ตามง้อขอคืนดีจนได้ แต่กว่ายัยพิ้งค์จะคืนดีด้วย ก็ตอนมาขึ้นปีสองนี่แหละค่ะ นางบอกว่าต้องดูให้แน่ใจก่อน จะให้โอกาสแต่ละครั้งต้องคิดดี ๆ เพราะไม่อยากเสียใจส่วนคู่ที่ฉันห่วงสุดคือยัยทิพย์กับพี่เหนือนี่แหละค่ะ ตอนนี้ทะเลาะกันหนักมาก ทะเลาะจนพี่เหนือขอห่างกับมันมาเป็นเดือนแล้ว มันเล่าให้ฟังพี่เหนือเขาเบื่อและรำคาญที่มันหึงเขากับน้องข้างบ้าน ทั้ง ๆ ที่เขาบอกว่ามันไม่มีอะไร แต่นางก็ยังหึง ฉั
อื้อฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อมีแสงเล็ดลอดผ่านม่านระเบียงห้องเขามา แสงแดดที่ส่องผ่าน ทำให้ฉันต้องกะพริบตาหลายครั้งเพื่อนให้คุ้นชินกับสภาพแสงในห้อง ฉันไล่สายตาไปรอบ ๆ ห้องอย่างไม่คุ้นชิน เพราะที่นี่มันไม่ใช่ห้องฉัน ก่อนจะก้มลงมองที่เอวเมื่อรู้สึกมีอะไรรัดเอวอยู่“เฮียพายุ”ทันทีที่ฉันก้มหน้าลงไปมองที่เอวก็เจอกับวงแขนที่กอดรัดเอวฉันไว้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร ว่าแต่ฉันมาอยู่ที่ห้องพี่พายุได้ยังไง นี่คอนโดเขาเหรอ เอ๊ะ ทำไมรู้สึกโหวงเหวงข้างในนะ“กรี๊ดดดด”ฉันกรี๊ดออมาอย่างตกใจ เมื่อก้อมหน้ามองดูที่คอเสื้อ ฉันไม่ได้ใส่เสื้อใน!“มนต์เป็นไร ใครทำอะไรครับ”“เฮียนั่นแหละทำอะไรมนต์”“อ๋อ นึกว่าเรื่องอะไร” เขาตอบแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ฉัน“เฮียคะ ไม่ตลกนะ”“แล้วเราคิดว่าเฮียทำอะไรละ”“เฮียจิ้มมนต์แล้วใช่ไหม”โป๊ก“โอ๊ย เฮียดีดหน้าผากมนต์ทำไม มนต์เจ็บนะ คนฉวยโอกาส”“คิดดี ๆ ถ้าเฮียจิ้มมนต์ เราจะมีแรงลุกมาโวยวายไหม” ฉันคิดตามที่เขาพูด แล้วตรวจสภาพตัวเองก็พบว่าทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิมขาดก็แต่เสื้อในเท่านั้นที่หายไป“แล้วเฮียทำอะไรบ้างละคะ” ฉันถามเขาพร้อมทำหน้างอ“จะให้พูดจริงเหรอ”“เฮีย!!” ฉันมองเขาทั้ง
ผมมองน้ำมนต์ด้วยความไม่พอใจไม่ใช่ว่าเธอตบรุ้งนะ แต่เพราะบนใบหน้าของเธอมีรอยแดง เป็นรอยนิ้วมือปรากฏอยู่ ผมเคยบอกเธอแล้ว ว่าอย่าทำให้ตัวเองเจ็บตัว แล้วดูตอนนี้สิหมับ“จะไปไหน”“...” เธอไม่ตอบแต่พยายามสะบัดแขนออกจากมือของผม นี่คงจะคิดเองเออเอง ว่าผมเข้าข้างรุ้งสินะ เหอะ ผมไม่ได้โง่เหมือนพระเอกในละครนะครับที่พอเห็นฉากที่นางเอกมีเรื่องกับนางร้าย แล้วจะเข้าข้างนางร้ายด่านางเอก ผมพายุครับ ผมไม่ได้โง่!!! ผมคบกับมนต์มาตั้งหลายเดือน คิดเหรอว่าผมจะไม่รู้ว่าแฟนตัวเองนิสัยยังไง“ปล่อย”“จะไปไหน อยู่คุยกันก่อน” ผมพูดกับคนที่เริ่มดื้อ คอยดูสิเดี๋ยวก็ร้องไห้ อะนั่นไงน้ำตาไหลแล้ว ผมยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย คิดมากไปเองอะมนต์“พี่พายุคะ รุ้งเจ็บ” ผมดึงมนต์เข้ามากอดไว้แน่น เมื่อเห็นเธอร้องไห้ แล้วมองไปที่ไอ้วินให้มันพยุงรุ้งขึ้นมา“แฟนผมก็เจ็บ”“พี่พายุ!” รุ้งเรียกผมอย่างไม่อยากจะเชื่อที่ผมเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเอง ส่วนยัยตัวแสบที่อยู่ในอ้อมกอดผมก็เงยหน้าขึ้นมามองผมทั้งน้ำตา จนผมต้องเอื้อมมือไปเช็ดหยดน้ำตาออกจากใบหน้าให้อย่างแผ่วเบา“แต่มนต์เขาทำร้ายรุ้งนะคะ พี่พายุควรจะปลอบรุ้งสิ”“ทำไมฉันต้องปลอบเธอ รุ้
วันสอบวันสุดท้าย“ไงพวกแกทำได้กันไหมวะ”“อื้อได้” ฉันเอ่ยถามเพื่อน ๆ ของฉัน หลังจากแกจากห้องสอบแล้วใช่ค่ะวันนี้เป็นวันที่พวกฉันสอบวันสุดท้าย ตลอดอาทิตย์นี้ ฉันกับพี่พายุก็ไม่ค่อยเจอกันเท่าไหร่เพราะว่าพี่เขาก็อ่านหนังสือเตรียมสอบเหมือน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็ทั้งโทรทั้งไลน์มาคุยกับฉันอยู่ดี"กลับเลยไหม ไหน ๆ ก็สอบเสร็จแล้ว”“พวกแกกลับก่อนเลย ฉันขอรอเฮียพายุก่อน เฮียเขาบอกให้รอ” ฉันตอบยัยพิ้งค์ พวกมันก็พยักหน้ารับก่อนที่จะเดินแยกออกไปขออัปเดตเรื่องราวของยัยพิ้งค์กับพี่วินหน่อยนะ ตอนนี้เขาสองคนเลิกกันแล้วละ สวนพี่วินก็พยายามตามง้อ แต่ยัยพิ้งค์ไม่ยอมคืนนี้ ฉันถามมันว่าทำไม มันบอกฉันว่า วันนั้นที่มันร้องไห้มันตั้งใจจะไปง้อพี่วิน เพราะพี่วินงอนนางอยู่ แต่พอเปิดประตูเข้าไปนางกลับโดนเซอร์ไพรส์ซะเองพี่วินนอนอยู่บนเตียงกับคู่หมั้นเสื้อผ้าไม่ได้ใส่ พี่วินก็พยายามจะอธิบาย แต่นางไม่ฟังวิ่งร้องไห้ออกมา จนในที่สุดนางก็ตัดสินใจบอกเลิกพี่วิน พี่วินตัดสินใจมาพูดคุยกับพวกฉัน ขอให้พวกฉันช่วยจนพวกฉันต้องบอกพี่วินไปตรง ๆ ว่าเรื่องนี้ช่วยอะไรไม่ได้ พี่วินผูกเองก็ต้องแก้เอง แล้วฉันยังบอกพี่วินอีกว่า คนอ
ผมนั่งมองคนที่นั่งนิ่งไม่ยอมขยับตั้งแต่รถเข้ามาจอดในบ้าน ตอน แรกก็เห็นว่ายิ้มออกแล้วไม่คิดว่าจะขนาดนี้ นั่งนิ่งเป็นหินเลย“ไปครับ ไปเจอครอบครัวเฮียได้แล้ว” ผมหันไปบอกคนที่ทำหน้าจะร้องไห้อยู่ ผมเลยเลือกที่จะลงรถแล้วลงไปเปิดประตูรถให้เธอก่อนที่จะจับมือเธอลงมาจากรถ“พวกท่านจะรักมนต์ เชื่อเฮียนะครับ” ผมบอกคนตัวเล็กอีกครั้ง“ไหน คนที่มั่นใจในตัวเองไปไหนแล้ว น้ำมนต์ที่ปากหมาคนนั้นอยู่ไหนครับ หืม” ผมแกล้งว่าให้คนตัวเล็กก่อนที่ผมจะได้ค้อนวงโตจากเธอ “ไปครับ” ผมยิ้มให้เธอก่อนจะจับมือเธอเดินเข้าไปในบ้าน ไม่รู้จะเกร็งอะไรขนาดนั้น ไม่ได้พามาฆ่าสักหน่อย“อ้าวมาแล้วเหรอตายุ”“ครับคุณพ่อ แล้วนี่คุณแม่กับคุณย่าไปไหนครับ” ผมถามเมื่อไม่เห็นท่านทั้งสองคน“เข้าครัวนะ ทำอาหารรับขวัญแฟนแก”“นี่น้ำมนต์ครับ มนต์นี่พ่อเฮีย”“สวัสดีค่ะคุณลุง”“เรียกพ่อเหมือนตายุเถอะหนูมนต์”“เอ่อ ค่ะ คุณพ่อ” ผมยิ้มออกมาเมื่อเธอยอมเรียกพ่อผมว่าพ่อ ส่วนพ่อก็มองผมด้วยสายตาที่รู้ทัน ผมก็มองคนตัวเล็กที่นั่งเกร็งไม่ยอมขยับ ไม่กล้าพูด น่าเอ็นดูจริง ๆ“อ้าวตายุมาแล้วเหรอ น้องล่ะ”“อยู่นี่ไงครับคุณแม่ มนต์นี่คุณย่ากับคุณแม่ของเฮียเอง”