ตามมาเอาเรื่องถึงบ้าน
"ท่านแม่ คือว่าท่านพี่...เอ่อ...ท่านพี่"
"แม่เฒ่าหวัง! แม่เฒ่าหวัง! อยู่หรือไม่"
ยังไม่ทันที่อาฉีจะได้อธิบาย เสียงดุดันของบุรุษก็ดังขึ้นมาก่อน ทำให้ลู่เสียนละสายตาจากอันฉีเดินออกไปดูหน้าบ้าน ข้างนอกนั้น ลู่จิว จางหย่ง และอู๋ห่างผู้เป็นบิดายืนเรียงแถวหน้ากระดานกันอยู่ นางหวังที่กำลังอยู่ในครัวได้ยินเสียงคนมาร้องเรียกก็เดินออกมาดู
"มีอะไรหรือเถ้าแก่หยวน"
หยวนอู๋ห่าง พ่อหม้ายหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบหนาว ประกอบอาชีพค้าขายหนังสัตว์และขนสัตว์ เขามีรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าดุดัน พอลู่จิวนำเรื่องที่ถูกเจียอีถีบตกน้ำไปฟ้องอู๋ห่างก็รีบแจ้นมาที่บ้านนางหวังโดยทันที หมายจะมาเอาเรื่องเจียอีที่กลั่นแกล้งลูกสาวของตนให้ถึงที่สุด
"ไหน หลานสาวเจ้าอยู่ที่ใด หลานสาวเจ้าผลักลูกสาวข้าตกน้ำ"
"ถีบ ถีบเจ้าค่ะ ไม่ใช่ผลัก" ลู่จิวพูดแทรก
"เจียอีนะหรือผลักลูกสาวท่านตกน้ำ เจียอีเจ้ามานี่"
ลู่เสียนกวักมือเรียกลูกชายและลูกสาวให้มาอธิบายเรื่องราว เจียอีแกล้งเดินเข้ามาด้วยท่าทางนอบน้อมเรียบร้อย แสร้งทำเป็นอ่อนแอคล้ายจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ ในขณะที่น้ำยังเปียกชุ่มเสื้อผ้าหยดติ๋ง ๆ
"นั่นไงเจ้าคะ นางนั่นแหละที่ผลักข้าตกน้ำ"
ลู่จิ่วชี้มาที่เจียอี กระทืบเท้าสองข้างสลับไปมาเหมือนเด็ก อุปนิสัยของนางนั้นมักจะเอาแต่ใจและดื้อรั้น ทุกคนในหมู่บ้านรู้กันดี ที่นางเป็นแบบนี้สาเหตุหลักก็มาจากอู๋ห่างตามใจนางเกินไปจนเสียคน ตั้งแต่แม่ของนางตกตายเมื่อห้าปีที่แล้วอู๋ห่างก็ตามใจนางเป็นพิเศษ ไม่ว่าลูกสาวจะทำอย่างไรก็เห็นดีเห็นงามไปเสียหมด ผิดกับลูกชายที่ไม่ค่อยตามใจและยังไม่ค่อยได้รับการเอาใจใส่เท่าที่ควร โชคดีที่จางหย่งเป็นคนซื่อ ๆ ไม่ได้มีพิษสงร้ายกาจอย่างเช่นน้องสาว
"คุณหนูลู่จิว ท่านใส่ความข้าแล้ว แค่ก ๆ ถึงท่านจะไม่ชอบข้าแต่การพูดจาใส่ความหาเรื่องให้ผู้ใหญ่ต้องผิดใจกันนั่นไม่ใช่เรื่องที่บุตรควรกระทำ ตัวข้าทั้งอ่อนแอและบอบบางจะเอากำลังที่ไหนทำเจ้าตกน้ำ แค่ก ๆ เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่โยนรองเท้าข้าลงน้ำ ทำให้ข้าต้องลงไปตามเก็บขึ้นมาสภาพข้าจึงเปียกปอนแบบนี้ ส่วนตัวเจ้าก็ลื่นตะไคร่น้ำตกลงไปเองจนเปียก"
"หา...เจ้า เจ้าพูดโกหก"
ลู่จิวโก่งคอเถียง ทว่าเมื่ออู๋หางมองไปที่ร่างเปียกโชกของเจียอีก็เริ่มสงสัยในตัวลูกสาวแล้วว่าที่นางเอาเรื่องไปฟ้องเขา ให้เขามาจัดการคนบ้านหวังนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง
"พวกท่านคงจำเรื่องเมื่อปีที่แล้วได้ ในปีนั้นข้าก็ถูกนางผลักตกน้ำ ในปีนี้ข้าก็ยังโดนกระทำแบบเดิมอยู่อีก ช่างไม่ยุติธรรมกับข้ายิ่งนัก แม่นางลู่จิว ข้าอยากถามว่าเจ้าไม่พอใจอะไรถึงทำกับข้าแบบนี้"
เจียอีตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จแล้วคว้าแขนเสื้อเปียก ๆ มาซับน้ำตาที่ไม่มีสักหยด แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังส่งเสียงสะอื้นไห้กระซิก ๆ ทำเหมือนว่าจำนนต่อโชคชะตาที่ตนเองเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว นั่นยิ่งเรียกร้องคะแนนสงสารจากผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี
"ท่านพ่อ อย่าไปเชื่อนาง ถามท่านพี่จางหย่งดูสิ ท่านพ่อถามท่านพี่ดู"
"เอาล่ะ ๆ ว่าอย่างไรล่ะจางหย่ง น้องสาวเจ้าโยนรองเท้านางลงน้ำแล้วเจียอีนางเป็นคนเก็บขึ้นมาจริงหรือไม่"
ภาพเหตุการณ์ที่ลู่จิวโยนรองเท้าเจียอีลงน้ำ และเจียอีก็เป็นคนเก็บขึ้นมาเองค่อย ๆ ฉายขึ้นมาเป็นฉาก ๆ จางหย่งเป็นคนซื่อตรง เมื่อบิดาถามเท่านั้นเขาก็ตอบเท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึงฉากที่เจียอีถีบลู่จิวตกลงไปในน้ำ
"ลู่จิวเป็นคนโยนรองเท้าของนางจริง แล้วแม่นางน้อยบ้านหวังก็เป็นคนไปเก็บขึ้นมาจริงขอรับ"
"หา ท่านพี่!"
เมื่อเห็นว่าจางหย่งไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่ตนเองตกน้ำลู่จิวก็รู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม นางอ้าปากจะพูดแต่ผู้เป็นพ่อก็ทึกทักไปแล้วว่าสิ่งที่คนซื่ออย่างจางหย่งพูดมานั้นมีความเป็นไปได้ จึงทำมือห้ามปรามลู่จิวไว้ไม่ให้นางพูดต่อ เท่านี้เขาก็อับอายมากพอแล้ว
"เช่นนั้นเป็นเรื่องของเด็กเล่นกัน เราเป็นผู้ใหญ่แล้วก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลย วันนี้ข้าขออภัยที่มารบกวน เช่นนั้นแม่เฒ่าหวังข้าคงไม่รบกวนแล้ว"
"เฒ่าแก่หยวน ให้เรื่องมันแล้วไป จะได้ไม่ผิดใจกันเพราะเรื่องเด็กเล่น"
"ไป ลู่จิว จางหย่งกลับบ้าน"
เฒ่าแก่หยวนที่ตั้งใจจะมาเอาเรื่องให้ถึงที่สุด พอสถานการณ์พลิกกลับบอกว่าเป็นเรื่องของเด็ก แต่เจียอีก็นึกขอบคุณจางหย่งไม่น้อยที่เขาได้ช่วยนางไว้ในครั้งนี้ นางเผลอมองแผ่นหลังของจางหย่งจนกระทั่งเขาหันกลับมายิ้มให้ เมื่อนั้นนางถึงรีบหลบสายตาทำเหมือนว่าเมื่อครู่ไม่ได้กำลังมองเขาอยู่
"เจ้าเองก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว ดูเจ้าสิเปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำ ไปเถิดเดี๋ยวจะไม่สบาย"
"เจ้าค่ะ"
บอกลูกสาวแล้วลู่เสียนก็เดินไปที่หลังบ้าน นางเดินผ่านบ่อน้ำเห็นรอยเปียกที่พื้นดินพร้อมกับรอยเท้าคน นางจึงหันกลับไปมองเจียอีด้วยแววตาสงสัย แต่เนื่องด้วยนิสัยเดิมของเจียอีไม่ใช่คนดื้อรั้น ดังนั้นลู่เสียนจึงสลัดความคิดไม่ดีเกี่ยวกับลูกสาวทิ้งไป
เจียอีผลัดเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อย เดินออกมานอกบ้านเพื่อรดน้ำเห็ดฟาง วันนี้ครบ 15 วันพอดีหลังจากปลูก เมื่อเปิดผ้าออกดูนางแย้มยิ้มอย่างดีอกดีใจ ใต้ผ้านั้นเห็ดฟางขึ้นเป็นจำนวนมาก กำลังเป็นดอกตูมมีทั้งดอกเล็กดอกใหญ่ เจียอีเดินกลับมาเอาตะกร้าในครัวไปเก็บเห็ดฟาง ครั้งนี้นางไม่มีความคิดอยากเอาเห็ดฟางไปขายตลาด แต่อยากเอาไปทำเป็นอาหารมื้อค่ำมากกว่า
"เจียเอ๋อร์ อีก 3 วันก็จะถึงวันปักปิ่นของเจ้า พรุ่งนี้แม่จะพาเจ้าไปเลือกปิ่นสวย ๆ ที่ตลาดสักอัน"
"เจ้าค่ะ"
"ต้องโทษที่แม่อ่อนแอเกินไป หากได้สินเดิมติดตัวมามากกว่านี้อย่างน้อยเจ้าก็คงได้ปิ่นปักผมดี ๆ เป็นของขวัญในวันปักปิ่น"
"อย่าพูดเช่นนั้นเจ้าค่ะ ถึงข้าจะไม่ได้ใช้ปิ่นปักผมที่เป็นมรดกตกทอดก็ไม่เป็นไร เก็บปิ่นปักผมที่ท่านพ่อให้ท่านแม่ไว้เถิดเจ้าค่ะ สักวันหนึ่งอาฉีจะต้องใช้มอบให้หญิงสาวที่เขาชื่นชอบ"
"ไม่นะท่านแม่ ข้าอยากอยู่กับท่านแม่และท่านพี่ตลอดไป"
อันฉีงอแงตามประสาเด็ก นางหวังและตงซิ่วจึงหัวเราะเบา ๆ แล้วอธิบายให้เด็กน้อยฟัง
"ฉีเอ๋อร์เอ้ย แม่กับพี่สาวเจ้าอยู่กับเจ้าไปไม่ได้ตลอดชีวิตหรอกนะ สักวันหนึ่งพี่สาวเจ้าก็จะต้องแต่งออกไป แล้ววันหนึ่งแม่เจ้าก็จะแก่ชราลงเหมือนตากับยาย"
"แต่ข้ารักท่านแม่กับท่านพี่มากไม่อยากแยกจากขอรับ"
"...เมื่อเจ้าโตขึ้นเจ้าก็จะเข้าใจเอง"
สามวันต่อมา ลู่เสียนพาเจียอีและอันฉีมาหาเลือกซื้อปิ่นปักผมที่ตลาด นางหยิบปิ่นจากร้านขายเครื่องประดับข้างทางพลิกไปพลิกมาหลายครั้ง ปิ่นปักผมที่นางถูกใจประดับด้วยมุกห้าสีสวยงามแวววาว บ่งบอกว่าช่างฝีมือที่เป็นคนทำปิ่นนี้ขึ้นมาตั้งใจทำออกมาอย่างประณีตบรรจง มองดูแล้วงดงามไร้ที่ติ
"เถ้าแก่ปิ่นปักผมอันนี้ราคาเท่าไร"
"อันนี้ 30 อีแปะแม่นาง สวยมากเลยนะอันนี้ของเพิ่งมาใหม่"
"...เอ่อ แล้วอันนี้ล่ะ"
นางหยิบอีกอันที่ดูไม่ค่อยแวววาวเหมือนอันก่อน เป็นปิ่นประดับด้วยหยกขาวเล็ก ๆ หากแต่เป็นปิ่นที่เรียบง่ายไม่หวือหวาแต่ก็สวยงามไม่แพ้กัน
"อันนี้ 20 อีแปะ แต่ข้าว่าปิ่นปักผมมุกห้าสีเหมาะกับแม่นางน้อยมากกว่านะ"
"เช่นนั้น...เจียเอ๋อร์ เจ้าว่าอย่างไร"
พิจารณาจากราคาแล้วเจียอีก็ตัดสินใจได้ในทันที นางชี้ไปที่ปิ่นปักผมที่ประดับด้วยหยกขาว เพราะต้องการประหยัดเงินช่วยลู่เสียน แต่ลู่เสียนไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของเจียอีมากนัก นั่นก็เพราะว่านางอยากให้ลูกเลือกสิ่งที่ดีกว่า หาใช่เลือกเพราะราคาที่ต่ำกว่า
"เจ้าแน่ใจหรือ แต่แม่ว่าปิ่นมุกนี่"
"ท่านแม่เจ้าคะ ข้าชอบปิ่นหยกมากกว่าจริง ๆ เจ้าค่ะ หากท่านแม่ตั้งใจจะซื้อปิ่นมุกในราคา 30 อีแปะให้ข้าจริง เช่นนั้นข้าเอาปิ่นหยกในราคา 20 อีแปะ แล้วข้าอยากจะขอท่านแม่อีกสัก 5 อีแปะได้ไหมเจ้าคะ"
"...ก็ได้ เจ้าชอบอันไหนก็เอาอันนั้นเถิด" ลู่เสียนวางปิ่นมุกลงที่เดิมแล้วยื่นปิ่นหยกให้พ่อค้าห่อผ้าให้
"ข้าเอาอันนี้"
"ได้เลยแม่นาง"
เมื่อจ่ายเงินพ่อค้าแล้วลู่เสียนก็ยื่นเงินมาให้เจียอี 5 อีแปะ เจียอีรับมาแล้วฉีกยิ้มหน้าบาน นางคว้ามืออันฉีวิ่งมาหน้าร้านขายขนม เลือกขนมกุ้ยฮวาที่อันฉีอยากกินมาหนึ่งอัน แล้วก็ซื้อขนมน้ำตาลด้วยหนึ่งไม้ ลู่เสียนที่เพิ่งจะตามมาถึงหน้าร้านมองลูกทั้งสองแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ที่แท้เจียอีนางก็แค่อยากเสียสละเพื่อให้น้องได้กินขนมนี่เอง
เงิน 5 อีแปะที่ขอลู่เสียนมายังเหลืออีก 3 อีแปะ อย่างไรก็ไม่มีสิ่งของที่อยากได้แล้ว ดังนั้นเจียอีจึงมอบเงินที่เหลือคืนลู่เสียน ทั้งสามเดินผ่านร้านขายของแห้ง เห็นเฟิ้งหรั่นที่หน้าร้านพอดีเจียอีจึงรีบกล่าวทักทาย
"พี่เฟิ้งหรั่น"
"อ้าว เจียอี อาฉี แล้วนั่น...เอ่อ"
"นี่ท่านแม่ข้าเองเจ้าค่ะชื่อลู่เสียน ท่านแม่เจ้าคะนี่พี่เฟิ้งหรั่น เถ้าแก่เนี้ยคนสวยร้านขายของแห้งที่ข้าเคยเล่าให้ฟัง" เจียอีแนะนำหญิงทั้งสองให้รู้จักกัน
"คารวะพี่สาว"
"ยินดีที่ได้เจอน้องเฟิ้งหรั่น"
"เออ จริงสิเจียอี เหม่งสุ้นที่เจ้าฝากข้าวางขายไม่น่าเชื่อว่ามีคนสนใจซื้อไปลองทำกินเยอะเลย เจ้าพอจะมีมาวางอีกหรือไม่ ครั้งหน้าข้าขอซื้อขาดเลย"
"จริงหรือเจ้าคะ"
"อื้ม นี่เงินส่วนที่ขายออกไปแล้วเจ็ดส่วนของเจ้า ข้าเองก็เอาไปให้แม่ครัวลองทำให้กินดูตามวิธีที่เจ้าบอก มันอร่อยมากเลย"
เฟิ้งหรั่นยื่นเงินจำนวน 25 อีแปะให้เจียอี แล้วเจียอีก็ยื่นต่อให้ลู่เสียน มาถึงตอนนี้เจียอีเริ่มมีความหวังมากขึ้น อย่างน้อยสินค้าของนางก็เริ่มเป็นที่ยอมรับของผู้คนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือรักษาคุณภาพแล้วกระจายสินค้าให้ได้มากยิ่งขึ้น
"เอาไว้อีกไม่เกินห้าวันข้าจะนำเหม่งสุ้นมาส่งให้เจ้าค่ะ ขอบคุณพี่เฟิ้งหรั่นที่ช่วยแนะนำเหม่งสุ้นให้ลูกค้ารู้จัก วันนี้ข้ากับแม่และน้องต้องขอลา"
"อื้ม เดินทางกลับดี ๆ นะ"