หมู่บ้านเจียวจูแห่งนี้ ตั้งอยู่นอกเมืองหางโจว ด้านหน้าของหมู่บ้านเป็นถนนเส้นเล็กตัดผ่านเข้าไปยังถนนใหญ่เพื่อไปในเมือง ด้านหลังติดกับภูเขา
ชาวบ้านทำสวนผักผลไม้และทำนาบางพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเก็บเอาไว้กินเอง และขายบางส่วน
คนหนุ่มสาวเกือบทั้งหมดออกไปทำงานในเมือง หลายคนย้ายครอบครัวไปอยู่ในเมืองใหญ่ถาวรเพื่อทำงาน และให้ลูกหลานได้เรียนในโรงเรียนที่ดีกว่า และจะกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงวันหยุดยาว
ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จึงเป็นผู้สูงอายุกับเด็ก พวกเขาทำการเกษตรเท่าที่จะมีแรง และมีหนุ่มสาวไม่กี่คนที่ยังอาศัยอยู่ที่นี่และยังคงทำการเกษตรต่อไป เช่น เสี่ยวหลง เด็กหนุ่มที่พาคู่สามีภรรยาไปรักษากับจิงซิงอี้
นอกจากนี้ ถนนที่นี่ยังมีสภาพไม่ดี เป็นหลุมบ่อและเป็นโคลนในช่วงฤดูฝน ทำให้ไม่สามารถเดินทางและส่งพืชผักไปค้าขายในตลาดขนาดใหญ่ได้สะดวก เศรษฐกิจของคนในหมู่บ้านจึงไม่ดีนัก ลูกหลานจึงย้ายไปทำงานในเมืองใหญ่เป็นหลัก ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ของประเทศ
เช้าวันหนึ่ง ในระหว่างกลุ่มลุงป้ากำลังจับกลุ่มคุยกันเพื่อฆ่าเวลาอยู่นั้น พวกเขาก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าตาสวยงาม ปั่นจักรยานกลางเก่ากลางใหม่ตรงมายังลานที่พวกเขานั่งอยู่
เสี่ยวหลงที่กำลังกินอาหารเช้าและสนทนาอยู่กับแก๊งลุงป้า เห็นเขาเป็นคนแรก จึงรีบลุกขึ้นโบกมือเรียกให้เขาแวะมาทางนี้ด้วยความตื่นเต้น
จิงซิงอี้ขี่จักรยานมาจอดตรงหน้ากลุ่ม เขายิ้มและก้มหัวนิดๆให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ เมื่อเสี่ยวหลงถามว่า เขามาทำอะไร ชายหนุ่มจึงถามว่า
“เสี่ยวหลง รู้มั้ยว่าที่หมู่บ้านนี้มีตึกแถวตรงไหนจะขายหรือให้เช่าบ้างมั้ย ถ้าเป็นแถวตลาดหน้าหมู่บ้านได้ก็จะยิ่งดี”
พวกเขามองหน้ากันและทำท่าคิด ป้าหวังรีบถามขึ้นมาว่า “หมอจะเอาไปทำอะไรจ๊ะ ทำคลินิกรักษาคนหรือเปล่า”
จิงซิงอี้พยักหน้าและตอบรับว่าใช่ พวกเขาจึงหันมามองหน้ากันด้วยความดีใจ และรีบช่วยแนะนำพร้อมอาสาจะพาเขาไปดูด้วย เพราะพวกเขาก็ว่างกันอยู่แล้ว การมีอะไรทำแบบนี้จึงเป็นความบันเทิงของพวกเขาแบบหนึ่ง
จิงซิงอี้จูงจักรยานและเดินไปพร้อมกับกลุ่มลุงๆป้าๆ เพื่อไปยังหน้าหมู่บ้าน ในขณะที่เสี่ยวหลงขอตัวไปทำสวนต่อ
ที่หน้าหมู่บ้านมีตลาดขายของเฉพาะช่วงเช้าและช่วงบ่าย และมีตึกแถวสร้างเอาไว้สองสามตึก หลายห้องยังว่างอยู่
ในระหว่างที่เดินไปด้วยกันนั้น เขาก็ตอบคำถามไปด้วยอย่างใจเย็น จิงซิงอี้เล่าเกี่ยวกับตัวเองว่า เขาเป็นหลานของจิงเซียว
ก่อนหน้านี้เคยอาศัยและเรียนอยู่ในเมือง ช่วงปิดเทอมจะออกเดินทางไปหาประสบการณ์ และช่วยรักษาคนป่วยพร้อมกับคุณตาของเขา ทำให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับแพทย์แผนจีนมาตั้งแต่เด็ก
เมื่อคุณตาอายุมากขึ้นก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ และเขาก็แวะมาเยี่ยมบางครั้ง เพราะต้องเรียนหนัก จึงมาได้ไม่บ่อย และมาได้ไม่กี่วันก็ต้องกลับ จึงทำให้ไม่มีโอกาสได้พบกับใคร
ตอนนี้เขาเพิ่งเรียนจบด้านการแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีนพร้อมกัน จากมหาวิทยาลัยแพทย์อันดับหนึ่งในปักกิ่ง แต่เขาสนใจแพทย์แผนจีนมากกว่า และคิดว่าจะกลับมาเปิดคลินิกที่นี่ เพื่อสืบทอดวิชาจากหมอจิงเซียวด้วย
เมื่อถูกถามว่า ทำไมถึงไม่ไปเปิดคลินิกในเมืองใหญ่ ที่สามารถทำเงินได้มากกว่า จิงซิงอี้ยิ้มนิดๆ และตอบว่า “ผมชอบความสงบ”
ถึงแม้ว่าเขาจะมีบุคลิกที่นิ่งกว่าเด็กหนุ่มทั่วไป แต่กลุ่มลุงป้าของหมู่บ้านเจียวจู ก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนในตัวเขา เช่นเดียวกับหมอใหญ่จิงเซียว
หลังจากใช้เวลาเดินดู และสอบถามราคาจากเจ้าของตึกอยู่สองสามคน จิงซิงอี้ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าตึกแถวสองชั้นแห่งหนึ่ง ซึ่งมีห้องว่างอยู่สองสามห้อง แต่เขาสนใจห้องที่อยู่ซ้ายสุด
เขาคิดว่าตึกนี้เหมาะจะทำคลินิก ห้องที่อยู่ในแถวเดียวกันมีทั้งร้านขายของชำและร้านขายซาลาเปาและบะหมี่ มีลูกค้าอยู่ประปราย ที่เป็นคนในหมู่บ้านและคนนอกหมู่บ้าน
เจ้าของห้องที่จิงซิงอี้สนใจ เป็นลูกชายของผู้ใหญ่บ้านหวังคุน ซึ่งเป็นสามีของป้าหวังที่พาจิงซิงอี้มาดูตึกนั่นเอง
ตอนนี้ลูกชายของพวกเขา คือ หวังฮวย เป็นเจ้าหน้าที่รัฐดูแลด้านสาธารณสุขในระดับตำบล เขาจึงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากห้องแถวนี้
จิงซิงอี้ตัดสินใจจะซื้อห้องนี้ โดยผู้ใหญ่บ้านหวังคุนจะช่วยคุยกับลูกชายให้ หวังคุนเป็นผู้นำชุมชนและเป็นหัวหน้าคณะกรรมการประชาชนระดับหมู่บ้าน เขาเป็นผู้นำที่ดีและอยากจะพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญก้าวหน้า
เขารู้ว่าหมู่บ้านนี้ต้องการแพทย์เพื่อช่วยรักษาชาวบ้านที่เริ่มสูงวัย และเขายังต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในหมู่บ้าน ถ้ามีคลินิก ก็หมายความว่าผู้ป่วยจากที่อื่นจะมารักษาที่นี่ และชาวบ้านที่นี่ก็สามารถค้าขายอาหารและสินค้าอื่นๆ ได้มากขึ้นด้วย
เขายังเห็นตัวอย่าง จากการให้บริการที่พักรักษาตัวของคู่สามีภรรยาหยวนซุนและเหยาหลิง พวกเขาเช่าบ้านของชาวบ้านเพื่อรับการรักษาจากจิงซิงอี้ และยังจ้างชาวบ้านมาช่วยทำความสะอาดและทำอาหารรายวันให้ด้วย ทำให้พวกเขามีรายได้พิเศษเพิ่ม
ด้วยเหตุนี้ หวังฮวยจึงขายตึกแถวให้จิงซิงอี้ในราคาที่ไม่แพงมากนัก และตึกนี้ยังปิดตายมานาน ถ้าขายได้ เงินของเขาก็จะไม่จม และหวังฮวยยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับจิงซิงอี้ได้อีกด้วย
เมื่อเจรจาเรื่องราคาได้แล้ว จิงซิงอี้จึงโทรศัพท์คุยกับจิงเซียว เพื่อแจ้งเรื่องซื้อตึกและคนไข้ที่เขารับรักษาในตอนนี้ จิงเซียวให้คำแนะนำบางส่วน เพราะเขารู้จักความสามารถของหลานชายคนนี้ดีอยู่แล้ว
จากนั้น จิงเซียวก็บอกว่า อีกสองอาทิตย์เขาจะเดินทางกลับมาที่หมู่บ้าน และจะมาช่วยเรื่องการวางระบบคลินิกให้
ในระหว่างนี้ ผู้ใหญ่บ้านหวังคุนยังช่วยแนะนำช่างฝีมือดีมาช่วยตกแต่งคลินิกให้เขาอีกด้วย
เมื่อคู่สามีภรรยา หยวนซุนและเหยาหลิงรู้ว่าจิงซิงอี้จะเปิดคลินิก พวกเขาก็ดีใจมาก ตอนนี้เวลาผ่านไปเกือบสองอาทิตย์ หยวนซุนอาการดีขึ้น เขาสามารถลุกขึ้นเดินได้แล้ว ถึงแม้แขนขวาจะยังชาอยู่บ้างบางครั้ง แต่เขาก็สามารถกลับไปทำงานได้แล้ว
ในระหว่างที่จิงซิงอี้ประเมินอาการครั้งสุดท้าย ก่อนจะอนุญาตให้พวกเขาเดินทางกลับบ้านได้นั้น หยวนซุนก็ถามจิงซิงอี้ว่า
“ผมได้ยินมาว่า หมอจะเปิดคลินิกที่นี่หรือครับ”
จิงซิงอี้ยิ้มและตอบว่า “ใช่ครับ”
หยวนซุนและเหยาหลิงมองตากัน และหยวนซุนจึงพูดต่อว่า
“ผมมีเพื่อนสนิทขายอุปกรณ์การแพทย์ ถ้าคุณหมอสนใจ ผมจะแนะนำให้ รับรองว่าสินค้าคุณภาพดี บริการหลังการขายก็ดี ผมจะให้เขาลดราคาให้คุณหมอเป็นพิเศษนะครับ”
จิงซิงอี้สนใจและขอให้หยวนซุนช่วยติดต่อให้ เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลก่อนตัดสินใจ
หลังจากที่ตรวจอาการแล้ว เขาปรับตำรับยาและให้ใบสั่งยา ไป พร้อมกับแนะนำวิธีการกดจุด ท่าบริหาร และอาหารต่างๆ ที่จะช่วยยืดหยุ่นกล้ามเนื้อและเพิ่มการไหลเวียนของชี่และกระแสเลือด
จิงซิงอี้นัดให้เขามาพบอีกหนึ่งเดือนต่อมา จากนั้นจึงอนุญาตให้พวกเขาเดินทางกลับเซี่ยงไฮ้ได้เลย
นับตั้งแต่จิงซิงอี้เปิดคลินิกมาได้ 3 เดือนกว่า เขาทำอะไรมามากมาย ทั้งตั้งโต๊ะรักษาโรคฟรีข้างนอกที่หมู่บ้านข้างๆ ไปบริการชุมชนร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ช่วยตำรวจไขคดีฆาตกรรมที่เกิดจากการใช้ยาสมุนไพรจีน และยังมีวิดีโอคลิปตอนที่เขารักษาคนบาดเจ็บจากแก๊สระเบิดที่แพร่หลายออกไป สิ่งเหล่านี้ทำให้คนรู้จักเขามากขึ้นเขายังมีคนไข้ที่เคยรักษาที่โรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้ เดินทางมารักษาต่อที่คลินิกกับเขาหลายคน ถึงแม้จะต้องเดินทางมาจากที่อื่นก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อเขาสามารถรักษาคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยาก ให้ตั้งครรภ์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ทำให้คู่สามีภรรยาหลายคนที่รู้ข่าว มีความหวังและเดินทางมาหาเขามากขึ้น จิงซิงอี้รู้สึกว่า เขากลายเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาภาะวมีบุตรยากไปอีกหนึ่งด้าน ไม่เพียงแต่คนไข้ของเขาจะเพิ่มจำนวนขึ้น เขายังช่วยให้ธุรกิจในหมู่บ้านเจริญก้าวหน้าขึ้นตามด้วยหลังจากที่มีคนไข้เพิ่มมากขึ้น ชาวหมู่บ้านบางคนเริ่มเปิดร้านอาหารเล็กๆ และร้านขายของเพื่อรองรับคนที่เดินทางมารอรักษา เพราะคนไข้บางคนไม่สามารถกลับบ้านได้ทันในวันเ
วันหนึ่งชุนเฉิงนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว แต่เขาก็หยุดอ่านและเหม่อมองออกไปไกลๆ จิงเซียวซึ่งเดินเข้ามาหยิบหนังสือสังเกตเห็น เขาจึงเรียกชื่อชุนเฉิง แล้วถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ปกติแล้วชุนเฉิงรักและเคารพจิงเซียวมาก เขาจะพูดทุกอย่างกับจิงเซียวตรงๆ แต่ครั้งนี้ เขานิ่งไปและถอนหายใจยาว เขารู้สึกละอายใจที่จะบอกว่า ด้วยวัยเกือบ 40 ปีนี้ เขารู้สึกว่างเปล่า แต่ดูเหมือนจิงเซียวจะเข้าใจ ชายชราเดินเข้ามานั่งตรงข้ามเขา และพูดว่า“เจ้ากำลังรู้สึกสับสนอะไรอยู่หรือเปล่า” ชุนเฉิงยิ้มเศร้าๆ เขาตอบว่า “ผมนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อไปดี สิ่งที่กำลังตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว แต่มันก็กลายมาเป็นกิจวัตรประจำวัน ข้อดีคือ เราก็ทำได้ดี ไม่ต้องเหนื่อย แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อและไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร การรักษาคนไข้ผมยังชอบอยู่ครับ แต่มันก็แค่นั้น บางทีผมก็คิดว่า จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปจนตายเลยหรือ ผมรู้สึกสิ้นหวังยังไงไม่รู้ครับ” จิงเซ
“หลานสาวของภรรยาพี่เอง ตอนนี้เขาเป็นดาราวัยรุ่นมาแรงเลย เธอน่าจะจำเขาได้นะ อี้อวิ๋นซีไงล่ะ” จิงซิงอี้ทบทวนความจำ สมัยที่เรียนอยู่ในเมือง บางครั้งเขาจะไปพักที่บ้านของลั่วเยี่ยน เขาจำได้ว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุห่างจากเขา 4-5 ปี ชอบมาที่บ้านของลั่วเยี่ยน และคอยวิ่งตามจิงซิงอี้เพื่อให้เขาเล่นด้วย ภรรยาของลั่วเยี่ยนมีพี่สาวหนึ่งคน และอี้อวิ๋นซีเป็นลูกสาวคนเดียวของเธอ และยังสนิทกับภรรยาของลั่วเยี่ยนมากเมื่อจิงซิงอี้เรียนในระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย เขาเรียนหนักมาก จึงไม่ค่อยได้ไปอยู่บ้านลั่วเยี่ยน ประกอบกับที่อี้อวิ๋นซีเริ่มโตแล้ว เธอจึงไม่ค่อยมาเที่ยวเล่นแบบตอนเด็กอีกต่อไป จิงซิงอี้พอจะจำเธอได้ เขาจึงถามต่อว่า “เขาจะยอมใช้ครีมให้ผมหรือครับ พวกดาราชอบใช้ของแบรนด์เนมมากกว่านี่” ลั่วเยี่ยนทำหน้ามีเลศนัย เขาพูดยิ้มๆว่า “นายมันจะไปไม่รู้อะไร เสี่ยวซีคอยต
และก็เป็นไปตามที่จิงซิงอี้คาด อีกไม่กี่วันต่อมา ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนได้เข้าไปคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล พวกเขาตกลงกันว่าจะให้จิงซิงอี้ทำงานไปจนจบเดือนนี้ และไม่ขอต่อสัญญา โดยอ้างว่าสถานะเศรษฐกิจไม่ดี ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจำเป็นจะต้องแจ้งให้เม่งฮ่าวซึ่งเป็นอาจารย์ของจิงซิงอี้รู้ก่อน แต่ไม่สามารถบอกสาเหตุที่แท้จริงได้ เพราะโรงพยาบาลยังเกรงใจเขาอยู่ ผู้อำนวยการจะคุยกับจิงซิงอี้ และจะขอโทษเม่งฮ่าวด้วยที่ไม่สามารถจ้างจิงซิงอี้ต่อได้เม่งฮ่าวรู้จากจิงซิงอี้อยู่ก่อนแล้ว เขาไม่พอใจทางโรงพยาบาลมาก ถึงแม้ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจะมาคุยกับเขา แต่ก็เหมือนไม่ไว้หน้าเขา ถึงแม้ว่าจะใช้ข้ออ้างอื่นก็ตาม สำหรับเม่งฮ่าวแล้ว เขาไม่ได้สนใจการทำงานพิเศษในโรงพยาบาลนี้เท่าไหร่ เพราะเขามีชื่อเสียงและความสามารถในระดับประเทศและต่างประเทศอยู่แล้วเขามาทำงานให้ที่นี่ เพราะรุ่นพี่ที่นับถือขอร้องให้มาช่วยเหลือ ตั้งแต่มีการก่อตั้งแผนกแพทย์แผนจีนใหม่ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี รุ่นพี่ที่เขานับถือก็เกษียณไปแล้ว เขายังทำงานให้เพราะเห็นว่า โรงพยาบาลยังปฏิบัติต่อเขาดี แต่เมื่อเกิดเหตุการ
จิงซิงอี้นิ่งไปสักพัก เขามองหน้าเจี่ยเหริน เขาเห็นการทำงานของเด็กหนุ่มและนิสัยใจคอที่ดีของเขา เขาเสียดายโอกาสที่เด็กหนุ่มคนนี้ที่น่าจะไปได้ดีกว่านี้ เขาจึงพูดขึ้นว่า“นายเก็บเงินให้ดีนะ จะได้ไปเรียนต่อ ฉันรู้สึกเสียดายความสามารถของนาย ฉันจะแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์การขายให้ นายจะได้เก็บเอาไว้เรียนต่อ”เจี่ยเหรินรีบปฏิเสธทันที แต่จิงซิงอี้ยืนยันว่า“ทำงานก็ต้องได้เงิน และที่สำคัญ การให้โอกาสคน คือการทำบุญที่ดีอีกอย่างด้วย ฉันก็ได้รับโอกาสจากคนอื่นเหมือนกัน ฉันจึงมาอยู่จุดนี้ได้ หลังจากเรียนจบแล้ว นายจะไปทำงานที่อื่นฉันก็ไม่ว่าอะไร ทุกคนมีสิทธิ์เลือกทางเดินของตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะนายก็ได้ใช้แรงกายแรงใจช่วยงานฉันมาด้วยดีเสมอ แล้วฉันก็ให้เงินเดือนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน นั่นละคือการทำงาน ไม่ต้องมาคิดเรื่องบุญคุณอะไร” หลังจากวันนั้น ทั้งจิงซิงอี้และเจี่ยเหรินต่างก็หัวหมุนกับการแพ็คสินค้าและส่งของไปให้ลูกค้า พวกเขาดีใจมากที่มีคนสั่งซื้อสินค้าจนหมด 200 ชุด เขาต้องประกาศว่าสินค้าหมดแล้วและกำลัง
ไลฟ์ในวันนั้นเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวของจิงซิงอี้ และพูดถึงคลินิก ที่ตั้ง และความเป็นมาของคลินิก รวมไปถึงตัวเขาเองว่าจบมาจากที่ใด และเชี่ยวชาญด้านใด ส่วนข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เขาไม่พูดถึง ถึงแม้จะมีคนดูถามเข้ามากมายทั้งอายุ และเขามีแฟนหรือยัง และเสียงชื่นชมที่ว่าเขาหล่อแค่ไหนเมื่อให้ข้อมูลจบ จิงซิงอี้ดูจะผ่อนคลายขึ้น เขาจึงเริ่มพูดว่า“วันนี้ผมจะมาเล่าถึงการดูแลผิวของตัวเองให้สวยงาม ไม่มีริ้วรอย ปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวของเราเสีย ก็คือ แสงแดด มลภาวะ ความเครียด การไม่ดูแลผิว โรคภัยบางอย่าง การทำร้ายผิวด้วยการสูบบุหรี่ การใช้สารเคมีบางอย่าง และอาหารการกิน”เขาอธิบายพร้อมกับแชร์ภาพของผิวหนังที่เสียจากสาเหตุดังกล่าวด้วย การอธิบายของเขาเป็นไปตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ทำให้คนดูแปลกใจ เพราะเขาเปิดตัวมาด้วยการบอกว่าตนเองเป็นแพทย์จีน แต่เขากลับมีความรู้แบบตะวันตก และใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการอธิบาย ทำให้คนที่ต้องการจะเข้ามาก่อกวนและไม่เชื่อต้องหยุดฟังชั่วคราว รวมไปถึงคนฟังที่ตื่นเต้นกับหน้าตาของเขาก็หยุดฟังด้วยความสนใจจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายเฉพาะผิวที่เป็น