Share

3

Author: Clear Clouds
last update Last Updated: 2025-08-29 20:30:06

หมู่บ้านเจียวจูแห่งนี้ ตั้งอยู่นอกเมืองหางโจว ด้านหน้าของหมู่บ้านเป็นถนนเส้นเล็กตัดผ่านเข้าไปยังถนนใหญ่เพื่อไปในเมือง ด้านหลังติดกับภูเขา

ชาวบ้านทำสวนผักผลไม้และทำนาบางพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเก็บเอาไว้กินเอง และขายบางส่วน

คนหนุ่มสาวเกือบทั้งหมดออกไปทำงานในเมือง หลายคนย้ายครอบครัวไปอยู่ในเมืองใหญ่ถาวรเพื่อทำงาน และให้ลูกหลานได้เรียนในโรงเรียนที่ดีกว่า และจะกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงวันหยุดยาว

ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จึงเป็นผู้สูงอายุกับเด็ก พวกเขาทำการเกษตรเท่าที่จะมีแรง และมีหนุ่มสาวไม่กี่คนที่ยังอาศัยอยู่ที่นี่และยังคงทำการเกษตรต่อไป เช่น เสี่ยวหลง เด็กหนุ่มที่พาคู่สามีภรรยาไปรักษากับจิงซิงอี้ 

นอกจากนี้ ถนนที่นี่ยังมีสภาพไม่ดี เป็นหลุมบ่อและเป็นโคลนในช่วงฤดูฝน ทำให้ไม่สามารถเดินทางและส่งพืชผักไปค้าขายในตลาดขนาดใหญ่ได้สะดวก เศรษฐกิจของคนในหมู่บ้านจึงไม่ดีนัก ลูกหลานจึงย้ายไปทำงานในเมืองใหญ่เป็นหลัก ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ของประเทศ

เช้าวันหนึ่ง ในระหว่างกลุ่มลุงป้ากำลังจับกลุ่มคุยกันเพื่อฆ่าเวลาอยู่นั้น พวกเขาก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าตาสวยงาม ปั่นจักรยานกลางเก่ากลางใหม่ตรงมายังลานที่พวกเขานั่งอยู่ 

เสี่ยวหลงที่กำลังกินอาหารเช้าและสนทนาอยู่กับแก๊งลุงป้า เห็นเขาเป็นคนแรก จึงรีบลุกขึ้นโบกมือเรียกให้เขาแวะมาทางนี้ด้วยความตื่นเต้น 

จิงซิงอี้ขี่จักรยานมาจอดตรงหน้ากลุ่ม เขายิ้มและก้มหัวนิดๆให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ เมื่อเสี่ยวหลงถามว่า เขามาทำอะไร  ชายหนุ่มจึงถามว่า

“เสี่ยวหลง รู้มั้ยว่าที่หมู่บ้านนี้มีตึกแถวตรงไหนจะขายหรือให้เช่าบ้างมั้ย ถ้าเป็นแถวตลาดหน้าหมู่บ้านได้ก็จะยิ่งดี”

พวกเขามองหน้ากันและทำท่าคิด ป้าหวังรีบถามขึ้นมาว่า “หมอจะเอาไปทำอะไรจ๊ะ ทำคลินิกรักษาคนหรือเปล่า”

จิงซิงอี้พยักหน้าและตอบรับว่าใช่ พวกเขาจึงหันมามองหน้ากันด้วยความดีใจ และรีบช่วยแนะนำพร้อมอาสาจะพาเขาไปดูด้วย เพราะพวกเขาก็ว่างกันอยู่แล้ว การมีอะไรทำแบบนี้จึงเป็นความบันเทิงของพวกเขาแบบหนึ่ง

จิงซิงอี้จูงจักรยานและเดินไปพร้อมกับกลุ่มลุงๆป้าๆ เพื่อไปยังหน้าหมู่บ้าน ในขณะที่เสี่ยวหลงขอตัวไปทำสวนต่อ

ที่หน้าหมู่บ้านมีตลาดขายของเฉพาะช่วงเช้าและช่วงบ่าย และมีตึกแถวสร้างเอาไว้สองสามตึก หลายห้องยังว่างอยู่

ในระหว่างที่เดินไปด้วยกันนั้น เขาก็ตอบคำถามไปด้วยอย่างใจเย็น จิงซิงอี้เล่าเกี่ยวกับตัวเองว่า เขาเป็นหลานของจิงเซียว

ก่อนหน้านี้เคยอาศัยและเรียนอยู่ในเมือง ช่วงปิดเทอมจะออกเดินทางไปหาประสบการณ์ และช่วยรักษาคนป่วยพร้อมกับคุณตาของเขา ทำให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับแพทย์แผนจีนมาตั้งแต่เด็ก

เมื่อคุณตาอายุมากขึ้นก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ และเขาก็แวะมาเยี่ยมบางครั้ง เพราะต้องเรียนหนัก จึงมาได้ไม่บ่อย และมาได้ไม่กี่วันก็ต้องกลับ จึงทำให้ไม่มีโอกาสได้พบกับใคร

ตอนนี้เขาเพิ่งเรียนจบด้านการแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีนพร้อมกัน จากมหาวิทยาลัยแพทย์อันดับหนึ่งในปักกิ่ง แต่เขาสนใจแพทย์แผนจีนมากกว่า และคิดว่าจะกลับมาเปิดคลินิกที่นี่ เพื่อสืบทอดวิชาจากหมอจิงเซียวด้วย

เมื่อถูกถามว่า ทำไมถึงไม่ไปเปิดคลินิกในเมืองใหญ่ ที่สามารถทำเงินได้มากกว่า จิงซิงอี้ยิ้มนิดๆ และตอบว่า “ผมชอบความสงบ”

ถึงแม้ว่าเขาจะมีบุคลิกที่นิ่งกว่าเด็กหนุ่มทั่วไป แต่กลุ่มลุงป้าของหมู่บ้านเจียวจู ก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนในตัวเขา เช่นเดียวกับหมอใหญ่จิงเซียว

หลังจากใช้เวลาเดินดู และสอบถามราคาจากเจ้าของตึกอยู่สองสามคน จิงซิงอี้ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าตึกแถวสองชั้นแห่งหนึ่ง ซึ่งมีห้องว่างอยู่สองสามห้อง แต่เขาสนใจห้องที่อยู่ซ้ายสุด

เขาคิดว่าตึกนี้เหมาะจะทำคลินิก ห้องที่อยู่ในแถวเดียวกันมีทั้งร้านขายของชำและร้านขายซาลาเปาและบะหมี่ มีลูกค้าอยู่ประปราย ที่เป็นคนในหมู่บ้านและคนนอกหมู่บ้าน

เจ้าของห้องที่จิงซิงอี้สนใจ เป็นลูกชายของผู้ใหญ่บ้านหวังคุน ซึ่งเป็นสามีของป้าหวังที่พาจิงซิงอี้มาดูตึกนั่นเอง

ตอนนี้ลูกชายของพวกเขา คือ หวังฮวย เป็นเจ้าหน้าที่รัฐดูแลด้านสาธารณสุขในระดับตำบล เขาจึงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากห้องแถวนี้

จิงซิงอี้ตัดสินใจจะซื้อห้องนี้ โดยผู้ใหญ่บ้านหวังคุนจะช่วยคุยกับลูกชายให้   หวังคุนเป็นผู้นำชุมชนและเป็นหัวหน้าคณะกรรมการประชาชนระดับหมู่บ้าน เขาเป็นผู้นำที่ดีและอยากจะพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญก้าวหน้า

เขารู้ว่าหมู่บ้านนี้ต้องการแพทย์เพื่อช่วยรักษาชาวบ้านที่เริ่มสูงวัย และเขายังต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในหมู่บ้าน ถ้ามีคลินิก ก็หมายความว่าผู้ป่วยจากที่อื่นจะมารักษาที่นี่ และชาวบ้านที่นี่ก็สามารถค้าขายอาหารและสินค้าอื่นๆ ได้มากขึ้นด้วย

เขายังเห็นตัวอย่าง จากการให้บริการที่พักรักษาตัวของคู่สามีภรรยาหยวนซุนและเหยาหลิง พวกเขาเช่าบ้านของชาวบ้านเพื่อรับการรักษาจากจิงซิงอี้ และยังจ้างชาวบ้านมาช่วยทำความสะอาดและทำอาหารรายวันให้ด้วย  ทำให้พวกเขามีรายได้พิเศษเพิ่ม

ด้วยเหตุนี้ หวังฮวยจึงขายตึกแถวให้จิงซิงอี้ในราคาที่ไม่แพงมากนัก และตึกนี้ยังปิดตายมานาน ถ้าขายได้ เงินของเขาก็จะไม่จม และหวังฮวยยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับจิงซิงอี้ได้อีกด้วย

เมื่อเจรจาเรื่องราคาได้แล้ว จิงซิงอี้จึงโทรศัพท์คุยกับจิงเซียว เพื่อแจ้งเรื่องซื้อตึกและคนไข้ที่เขารับรักษาในตอนนี้ จิงเซียวให้คำแนะนำบางส่วน เพราะเขารู้จักความสามารถของหลานชายคนนี้ดีอยู่แล้ว

จากนั้น จิงเซียวก็บอกว่า อีกสองอาทิตย์เขาจะเดินทางกลับมาที่หมู่บ้าน และจะมาช่วยเรื่องการวางระบบคลินิกให้

ในระหว่างนี้ ผู้ใหญ่บ้านหวังคุนยังช่วยแนะนำช่างฝีมือดีมาช่วยตกแต่งคลินิกให้เขาอีกด้วย

เมื่อคู่สามีภรรยา หยวนซุนและเหยาหลิงรู้ว่าจิงซิงอี้จะเปิดคลินิก พวกเขาก็ดีใจมาก ตอนนี้เวลาผ่านไปเกือบสองอาทิตย์ หยวนซุนอาการดีขึ้น เขาสามารถลุกขึ้นเดินได้แล้ว ถึงแม้แขนขวาจะยังชาอยู่บ้างบางครั้ง แต่เขาก็สามารถกลับไปทำงานได้แล้ว

ในระหว่างที่จิงซิงอี้ประเมินอาการครั้งสุดท้าย ก่อนจะอนุญาตให้พวกเขาเดินทางกลับบ้านได้นั้น  หยวนซุนก็ถามจิงซิงอี้ว่า

“ผมได้ยินมาว่า หมอจะเปิดคลินิกที่นี่หรือครับ”

จิงซิงอี้ยิ้มและตอบว่า “ใช่ครับ”

หยวนซุนและเหยาหลิงมองตากัน และหยวนซุนจึงพูดต่อว่า

“ผมมีเพื่อนสนิทขายอุปกรณ์การแพทย์ ถ้าคุณหมอสนใจ ผมจะแนะนำให้ รับรองว่าสินค้าคุณภาพดี บริการหลังการขายก็ดี ผมจะให้เขาลดราคาให้คุณหมอเป็นพิเศษนะครับ”

จิงซิงอี้สนใจและขอให้หยวนซุนช่วยติดต่อให้ เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลก่อนตัดสินใจ

หลังจากที่ตรวจอาการแล้ว เขาปรับตำรับยาและให้ใบสั่งยา ไป พร้อมกับแนะนำวิธีการกดจุด ท่าบริหาร และอาหารต่างๆ ที่จะช่วยยืดหยุ่นกล้ามเนื้อและเพิ่มการไหลเวียนของชี่และกระแสเลือด

จิงซิงอี้นัดให้เขามาพบอีกหนึ่งเดือนต่อมา จากนั้นจึงอนุญาตให้พวกเขาเดินทางกลับเซี่ยงไฮ้ได้เลย

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   101

    ลั่วเป่ยตกใจมาก เขารีบบอกจิงซิงอี้ว่า เขาจะไปดูลูกชายก่อน จิงซิงอี้พูดขึ้นมาว่า จะขอไปดูอาการด้วย ชายหนุ่มพยักหน้าและรีบเดินขึ้นรถลากไปด้วยกันระหว่างทางกลับบ้าน ลั่วเป่ยสอบถามอาการของลูกชาย จากหญิงรับใช้ซึ่งเป็นคนสนิทของภรรยา นางเล่าด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า“วันนี้คุณชายน้อยไม่อยากกินข้าวเลยเจ้าค่ะ บอกว่าเหนื่อยมาก จากนั้นฮูหยินก็บอกให้คุณชายพักผ่อน แล้วก็ตามท่านหมอชิวมารักษา แต่พอรักษาได้สักพัก อาการของคุณชายน้อยก็แย่ลงอีก”“แย่ยังไง รีบบอกมา!” ลั่วเป่ยเร่งให้นางตอบ“คุณชายน้อยบอกว่าเจ็บหน้าอกมาก แล้วก็ปวดเนื้อตัวเจ้าค่ะ!”จิงซิงอี้ที่ฟังอาการก็นิ่วหน้าด้วยความสงสัย เขาถามสาวใช้ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า หมอรักษาคุณชายอย่างไรบ้าง”สาวใช้ตอบแบบไม่แน่ใจว่า “ฝังเข็มแล้วก็ให้ดื่มยาเจ้าเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ดีขึ้น”ลั่วเป่ยพยายามควบคุมความกลัว เมื่อไปถึงหน้าบ้าน พวกเขารีบลงจากรถ และเดินไปที่ห้องนอนของคุณชายน้อยที่อยู่ตึกด้านซ้ายมือ หน้าห้องมีคนรับใช้ทั้งยืนรอและเดินเข้าอ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   100

    เขาจุ่มเข็มลงในน้ำร้อนเพื่อทำความสะอาด และอธิบายให้ทุกคนในห้องฟังว่า “ข้าจะเริ่มต้นฝังเข็มเพื่อปิดกั้นการไหลเวียนของสารพิษในร่างกาย”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเหรินเหมินบริเวณท้องน้อย เพื่อช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดและชี่ในร่างกายส่วนล่าง จากนั้นจุดชี่ไห่ ที่อยู่ใต้หัวเข่า เพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด“ข้าจะกักสารพิษเอาไว้ที่จุดเดียวเพื่อไม่ให้แพร่กระจาย จนกว่าเราจะขับมันออกไปได้ และช่วยให้อาการทรงตัวไม่แย่ไปกว่านี้”จิงซิงอี้หันไปหาหมอที่ยืนข้าง “ข้าขอให้ท่านช่วยจับตัวเขาพลิกให้หน่อยขอรับ”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเฟิ่งฉือ เพื่อช่วยลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการปวดเขาใช้เวลาในการฝังเข็มอยู่นานกว่า 20 นาที ทุกคนเห็นว่า คนไข้เริ่มหายใจลึกและยาวขึ้น อาการสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดลดน้อยลง และสีหน้าที่หมองคล้ำของเขาเริ่มดีขึ้นจิงซิงอี้หยุดฝังเข็ม หันไปบอกหลิวป๋อว่า “ข้าจะสั่งยาสมุนไพรให้ มีโสมจีน ตังเซียม เห็ดหลินจือ ชะเอมเทศ ตัง และเกา

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   99

    ลั่วเป่ยถอนหายใจ “ลูกชายของพี่อายุ 11 ปี ไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เกิด เวลาทำอะไรที่ต้องออกแรง จะเหนื่อยง่าย หายใจหอบ ซีดเซียว เวลาอากาศเปลี่ยนก็ป่วย เวลาป่วยที ก็ใช้เวลานานกว่าจะฟื้นได้ ยิ่งช่วงสองสามปีนี้อาการยิ่งหนักมากขึ้นไปอีก”ในระหว่างนั้น เด็กเสิร์ฟก็นำอาหารมาวางบนโต๊ะ ทั้งสองคนลงมือกินและคุยกันต่อ “พี่หาหมอมารักษาหลายคนก็ไม่ดีขึ้น ได้แค่ทรงๆ จนช่วงนี้ยิ่งแย่มากขึ้น มันน่าเจ็บใจไหม ที่พี่ขายสมุนไพร แต่ก็ไม่มีสมุนไพรไหนช่วยลูกได้เลย!”จิงซิงอี้ถามด้วยความสนใจว่า “ใครเป็นคนแนะนำให้ใช้โสมในการรักษาหรือ”“เป็นหมอที่เพื่อนของพี่แนะนำมา เขาเชี่ยวชาญโรคเด็ก และบอกว่าหยวนชี่พร่อง ซึ่งมักเกิดกับเด็ก เขาจึงสั่งยาและอาหารเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะโสมที่ให้เอามาตุ๋นไก่ทำเป็นยา จะต้องเป็นโสมที่มีคุณภาพสูงจริงๆ”เมื่อจิงซิงอี้ถามต่อว่า “หลังจากรักษากับหมอคนนี้แล้ว อาการดีขึ้นไหม”ชายหนุ่มตอบว่า “ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังออกแรงหนักมากไม่ได้ จนเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา อากาศเปลี่ยนแปลงม

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   98

    เฉินอี้เซิงเฉลยอาการป่วยของคนไข้ชายว่า มีอะไรบ้างและควรจะรักษาอย่างไร เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า“คนไข้รักษาอาการมานานแล้ว ช่วงนี้มีอาการหนักขึ้น เพราะอากาศหนาวมีส่วนอย่างมาก แต่สิ่งที่จิงซิงอี้วิเคราะห์น่าสนใจมากเช่นกัน โดยเฉพาะกรรมพันธุ์และความเครียด ที่ทำให้อาการเป็นมากขึ้น การซักถามอย่างใส่ใจถึงชีวิตประจำวัน จึงเป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้เราเห็นสาเหตุของโรคด้วย ที่สำคัญ การรักษาในองค์รวม ที่ต้องดูแลทั้งร่างกายและจิตใจไปด้วย จึงจะช่วยให้โรคแบบนี้ดีขึ้นได้ในภาพรวมได้”หลังจากจบบทเรียนในวันนั้น เฉินอี้เซิงปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านได้ จิงซิงอี้เก็บของ และเดินออกมานอกห้องพร้อมกับลั่วเป่ยและจี่หลิว คนที่ไม่พอใจเขาก็เริ่มเงียบไปบางคนเข้ามาทักทายและบอกว่า ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นหมอเด็กอัจริยะ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของชายที่มีปัญหากับเขา หรือเค่อหลุน ที่เดินผ่านจิงซิงอี้และพูดว่า “ก็แค่เดาจนถูกนั่นละ!”ทั้งลั่วเป่ยและจี่หลิวขมวดคิ้ว ลั่วเป่ยจึงพูดออกมาว่า “คนอะไร หาเรื่องแม้กระทั่งกับเด็กไม่กี่ขวบ!”จิงซิงอี้มองตามเค่อห

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   97

    ในวันจันทร์แรกของการไปเรียน จิงซิงอี้ตื่นแต่เช้า เขาสะพายเป้หนังสีน้ำตาลที่มีข้าวของจำเป็นใส่หลัง เป้นี้เขาออกแบบเป็นพิเศษให้มีช่องเก็บของ ใส่ขวดน้ำที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ขนม ผ้าเช็ดหน้า อุปกรณ์การแพทย์ขนาดเล็ก เขาแวะกินอาหารเช้าง่ายๆ ข้างทาง จากนั้นเดินไปที่บ้านของเฉินอี้เซิง ถึงอากาศจะเย็นในช่วงเช้า เพราะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็เหงื่อตกเพราะต้องเดินมาเองเมื่อมาถึงทางเข้าบ้าน เขาพบชายหลากหลายวัยเดินเข้าประตูไปอย่างคุ้นเคย จิงซิงอี้เดินตามเข้าไปเงียบๆ บางคนหันมามองเขาด้วยความสงสัย จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 28-29 ปี เรียกให้เขาหยุดและถามว่า “เจ้าหนู! หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร หลงทางกับพ่อหรือเปล่า”กลุ่มคนที่น่าจะเป็นลูกศิษย์ของเฉินอี้เซิงพากันหันมามอง จิงซิงอี้หยุดเดิน หันไปตอบนิ่งๆว่า “ข้าไม่ได้พลัดหลงกับใคร ข้าเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของอาจารย์เฉินอี้เซิง”ทุกคนที่ได้ยินต่างขมวดคิ้ว พวกเขามองจิงซิงอี้ด้วยความสงสัย บางคนไม่เชื่อ และถามเขาด้วยความไม่พอใจว่า“เป็นเรื่องจริงหรือ!”“เจ้าอย่ามาเป็นเด็กเลี้

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   96

    เมื่อรู้ว่าจิงซิงอี้ผ่านการทดสอบ โม่หยวนหลิงและซัววีเว่ย จึงช่วยกันหาที่พักให้เด็กชาย แต่ก็ยังอดเป็นห่วงจิงซิงอี้ไม่ได้“เจ้าอยู่คนเดียวได้จริงหรือ พี่รู้ว่าเจ้าเก่ง ทำอะไรก็ได้ แต่ที่นี่เมืองหลวง ไม่มีใครมาช่วยเหลือเจ้า พี่เป็นห่วงมากนะ!” โม่หยวนหลิงพูดด้วยความกังวลใจจิงซิงอี้ต้องปลอบใจว่า “พี่หลิง ข้าอยู่ตัวคนเดียวได้จริงๆ แต่ตอนนี้ต้องหาที่พักก่อน” ทั้งสองคนเสนอให้เขาไปพักอยู่บ้านเฉินอี้เซิง อย่างน้อยยังมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยเด็กชายหัวเราะ การไปอยู่แบบนั้น ต้องทำงานแลกที่พักและอาหาร เขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องทุ่มเทและลำบากถึงขนาดนั้น เขามีความรู้อยู่แล้ว แค่ต้องการความรู้ด้านพิษอื่นๆ ที่จะช่วยเหลือจิงเซียวได้นอกจากนี้ เขาไม่อยากระมัดระวังตัวตลอดเวลา เขาจึงเลือกอยู่คนเดียว เพื่อให้มีเวลาศึกษาหาความรู้ โดยไม่ต้องปิดบังตัวตนเมื่อเห็นโม่หยวนหลิงและซัววีเว่ยยังไม่คลายกังวล เขาจึงตัดสินใจพูดตรงๆ ว่า“พี่หลิง พี่เว่ย ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงข้ามาก แต่ข้าขอพูดตรงๆก็แล้วกัน ข้ามีความรู้ทางการแพทย์อยู่แล้ว อาจ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status