เมื่อไป๋เจวี๋ยออกจากห้องไป ความเงียบก็เข้าปกคลุมพื้นที่อีกครั้ง ใบหน้าของเขายังคงเคร่งเครียดจากการเผชิญหน้ากับไป๋เสวี่ย แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ท่าทีเย็นชาของเขาก็ทำให้ชัดเจนว่าเขาไม่พอใจเธอ
เธอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะลุกออกจากเตียง ความคิดที่วุ่นวายในหัวค่อย ๆ สงบลง แต่เพราะยังปรับตัวกับร่างของไป๋เสวี่ยได้ยาก เธอจึงคิดว่าอย่างน้อยที่สุด เธอควรเริ่มทำความคุ้นเคยกับบ้านที่เธอต้องอยู่ต่อจากนี้ เมื่อออกจากห้องนอน เธอได้พบกับอาณาเขตอันเงียบสงบของเผ่าจิ้งจอกขาว ลมค่ำคืนพัดเย็นเฉียบ แต่หลังจากเผชิญความร้อนอบอ้าวมาหลายสัปดาห์ ความหนาวเย็นนี้กลับให้ความรู้สึกสดชื่น ต้นไม้สีเงินในสวนเปล่งประกายราวกับต้องแสงจันทร์ สายลมซีดจางจากขุนเขาไกลโพ้นพัดผ่านเป็นระยะ ๆ เธอเดินทอดน่องไปตามทางเดินหินที่เรียงรายไปด้วยพืชพรรณแปลกตา ดอกไม้เขตร้อนส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ปนความลุ่มลึก "ที่นี่... คือที่ไหนกันแน่?" เมื่อเดินลึกเข้าไปในสวน เสียงกระซิบแผ่วเบาก้องขึ้นในหัวของเธอ ความรู้สึกประหลาดแล่นวาบขึ้นมา ทุกสิ่งที่เธอเคยรู้ในชาติก่อนดูราวกับเป็นเพียงเงาจาง ๆ ที่เลือนหายไปนานแล้ว แต่ละก้าวที่เธอเดินไปในสถานที่อันไม่คุ้นเคยแห่งนี้ ความรู้สึกลี้ลับก็ยิ่งก่อตัวขึ้นในร่างของเธอ ในขณะนั้นเอง เสียงของหญิงสาวดังขึ้นจากด้านหลัง "คุณหญิง จะเสด็จไปที่ใดเพคะ?" เป็นเสียงของสาวใช้ที่ถูกมอบหมายให้รับใช้ไป๋เสวี่ย เธอหันไปตามเสียง ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เธอยกคิ้วขึ้น มองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินต่อไป "ข้าเพียงต้องการออกมารับลม... สัมผัสธรรมชาติในแบบที่มันเป็น" เสียงฝีเท้าของเธอกระทบกับพื้นดินแห้งแล้ง และสะท้อนแผ่วเบาบนแผ่นหิน น้ำเสียงของเธอคงเส้นคงวา อากาศยามค่ำคืนที่สดชื่นช่วยให้เธอรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ความสงบเงียบแผ่ซ่านไปรอบตัว มีเพียงเสียงกระซิบของเหล่าสัตว์กลางคืนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด ราวกับเป็นท่วงทำนองแห่งราตรีที่พัดพาเธอออกจากห้วงความคิดอีกครั้ง ไม่นานนัก ไป๋เสวี่ยก็มาถึงจุดสูงสุดที่สามารถมองเห็นยอดเขาสูงตระหง่านไกลสุดลูกหูลูกตา สัมผัสจุมพิตจากแสงจันทร์ ความคิดของเธอเริ่มปั่นป่วน บางที... การใช้ชีวิตที่นี่อาจไม่เลวร้ายอย่างที่เธอคิดไว้แต่แรก ในความเงียบสงบของราตรี เธอสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวในความมืด เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเป็นจิ้งจอกขาวที่มีขนสีเงินเป็นประกาย ดวงตาของมันวาววับใต้แสงจันทร์ ห่างจากเธอเพียงไม่กี่ก้าว เธอหมุนตัวตามเสียงนั้น ดวงตาส่องประกายแห่งความสงสัย จิ้งจอกจ้องกลับมา สายตาคมกริบราวกับกำลังสังเกตเธออย่างลึกซึ้ง "เจ้าเป็น..." ก่อนที่เธอจะพูดจบ เสียงหนึ่งก็ดังก้องในจิตใจของเธอ เสียงนั้นอ่อนโยนและศักดิ์สิทธิ์ "เจ้า... คือผู้ถูกเลือก ก้าวไปข้างหน้าและจงจำเส้นทางของเจ้า" ดวงตาของไป๋เสวี่ยจับจ้องอยู่ที่จิ้งจอกตัวนั้น มันดูสง่างาม แต่มีกลิ่นอายของปริศนาที่เธอยังไขไม่ออก "ข้ามิได้เป็นเพียงสายลมที่พัดผ่าน ข้าคือพายุที่เจ้าจะต้องเผชิญ" เสียงนั้นสะท้อนก้องในจิตใจของเธอ แล้วในเสี้ยววินาที จิ้งจอกขาวก็หายไปในเงาของค่ำคืน จางหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง เธอแหงนหน้ามองฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ที่ถูกอาบด้วยแสงสีเงิน อากาศเย็นลงอย่างฉับพลัน และความเงียบงันก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง ทว่าภายในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยคำถามที่ยังไร้คำตอบ ขณะเดินต่อไปในอาณาเขตของเผ่าเว่ยเฟิง ไป๋เสวี่ยก็พบว่ามีบางสิ่งแปลกประหลาด เหล่าจิ้งจอกที่เธอพบเจอล้วนมีแววตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและรังเกียจ นั่นทำให้เธอเข้าใจว่าเจ้าของร่างเดิมต้องมีศัตรูมากมาย แต่สิ่งที่แย่กว่านั้นกลับซ่อนตัวอยู่ในเงามืด—เสียงกระซิบที่ทำให้เธอขนลุก "จิ้งจอกต้องสาปเช่นเจ้า... ไม่มีวันสมควรอยู่บนโลกนี้" เสียงนั้นเย็นเยียบดั่งเหล็กแหลมกรีดลงบนผิวหนัง เธอหมุนตัวไปอย่างรวดเร็วและจับภาพเงาหนึ่งที่แวบผ่านตรอกแคบ มีใครบางคนกำลังจับตาดูเธอจากม่านหมอกของป่าลึก ไป๋เสวี่ยไม่คิดจะเป็นเหยื่อง่าย ๆ เธอทำเป็นไม่สนใจ แต่จิตใจของอดีตแฮ็กเกอร์ในตัวเธอกำลังตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หากมีใครบางคนต้องการกำจัดเธอ เธอจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าเป็นใคร—และเพราะเหตุใด ทันใดนั้น เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากด้านหลัง "หากเจ้าคิดจะดื้อรั้น... ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน" ดวงตาสีทองของเธอเปล่งประกายแรงกล้าเมื่อเธอหันกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ใครกันที่กล้าหาญถึงเพียงนี้? บทที่ 6 ศัตรูที่ถูกเปิดเผย เสียงฝีเท้าดังก้องในความเงียบ นุ่มนวลราวสายลม ไป๋เสวี่ยหมุนตัวไป ดวงตาทองคำของเธอจับภาพชายร่างสูงผู้หนึ่งที่ก้าวออกจากม่านหมอก เสื้อคลุมสีดำปักลวดลายอสรพิษเงิน สายตาแข็งกร้าว รอยยิ้มเย็นชา "นานเหลือเกินแล้ว... น้องสาว" น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความขบขัน แต่ภายใต้นั้นกลับเป็นความโหดเหี้ยมไร้ที่สิ้นสุด หัวใจของไป๋เสวี่ยกระตุกแรง เธอรู้จักเสียงนี้ดี ไป๋เหวินเทียนพี่ชายต่างมารดาของเธอ "เจ้ามาทำอะไรที่นี่?" เธอถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไป๋เหวินเทียนหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย "ข้ามาดูว่า... จิ้งจอกต้องสาปเช่นเจ้าจะอยู่รอดได้นานแค่ไหน" ไป๋เสวี่ยจ้องเขาอย่างระแวดระวัง แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับความทรงจำทั้งหมดของร่างเดิม แต่เพียงแค่สบตากับไป๋เหวินเทียน เธอก็รู้เพียงพอแล้วเขาไม่เคยมีความอบอุ่นให้เธอแม้แต่น้อย "เจ้าต้องการอะไรกันแน่?" เธอถามอย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มยิ้มเย็นและก้าวเข้ามาใกล้...ไป๋ผิงและไป๋เฉินเริ่มเดินทางไปยังจุดหมายเดียวกัน: หุบเขาตำนานที่ซ่อนหัวใจแห่งเผ่าจิ้งจอก สมบัติลึกลับที่เชื่อกันว่าสูญหายไปเมื่อหลายพันปีก่อน...ผู้ใดที่ค้นพบและควบคุมหัวใจแห่งเผ่าจิ้งจอกได้ จะได้รับพลังอันไร้ขีดจำกัดจากจิ้งจอกพันปี ซึ่งสามารถต้านทานอันตรายใดๆ ได้ แม้แต่มือที่อันตรายของมนุษย์ล่าจิ้งจอกบนหลังจิ้งจอกขาวตัวใหญ่ที่ได้กลายเป็นพาหนะพิเศษของนาง ไป๋ผิงนั่งอยู่ ขณะที่ไป๋เฉินเดินเคียงข้างนาง และคอยตรวจสอบรอบด้านอย่างระมัดระวัง“เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่านี่คือลู่ทางที่ถูกต้อง?” ไป๋เฉินถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาคมจับจ้องไปที่เส้นทางข้างหน้า“หัวใจของเผ่าจิ้งจอก... มันกำลังเรียกข้ามาในใจข้า” ไป๋ผิงตอบด้วยความมั่นใจ แต่ดวงตาของนางดูเหมือนกำลังครุ่นคิดฉึก!เสียงลูกศรพุ่งผ่านหูของไป๋เฉินดังขึ้นอย่างกะทันหัน ก่อนที่จิ้งจอกขาวจะคำรามอย่างดุดัน และอากาศก็ลอยมากับกลิ่นเลือดจางๆ“กับดัก” ไป๋เฉินขบกรามแน่น ก่อนจะพุ่งตัวขึ้นไปยังต้นไม้เพื่อโจมตีศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ศัตรูมีจำนวนไม่น้อย แต่ทุกคนสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าและถืออาวุธแปลกๆ ที่ไม่ใช่เวทมนตร์หรืออาคม แต่กลับมีพลังที่น่าประหลาดใจ“มนุษย์ล่า
เมื่อไป๋ผิงและพี่ชายต่างแม่กลับมาที่ห้องพัก พี่ชายของเธอซึ่งบาดเจ็บอย่างหนักจากการต่อสู้กับนักล่าจิ้งจอก เริ่มพูดถึงเรื่องราวที่เขาไม่เคยบอกใครมาก่อน แม้ว่าดวงตาของเขาจะยังคงเปล่งประกาย แต่มันกลับดูหม่นหมองราวกับปีกของมังกรในความมืด"ไป๋ผิง.." พี่ชายของนางตอบกลับด้วยเสียงเบา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยแผลเป็นและร่องรอยแห่งความทุกข์ยาก "คนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้... คือ นักล่าจิ้งจอกที่เราเพิ่งต่อสู้เมื่อครู่"คำพูดของเขาทำให้ไป๋ผิงตกใจ หัวใจของนางเต้นรัวเมื่อนางรับรู้ถึงพลังใหม่ที่จะเข้ามาในชีวิตของนางผ่านการต่อสู้และความทุกข์ยากเช่นที่ผ่านมา"นักล่าจิ้งจอก?" ไป๋ผิงกล่าวด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ "แต่ทำไมเขาถึงทำเช่นนี้?"พี่ชายของนางหายใจลึกและหลับตาลง เขาเล่าเรื่องราวที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างช้าๆ"มานานมากแล้ว... มีคนลึกลับพยายามทำลายเผ่าจิ้งจอกของเรา เขาคือคนที่มีพลังมืดและควบคุมจิตวิญญาณของสัตว์และมนุษย์บางชนิดให้ทำตามคำสั่ง บังคับพวกมันให้กระทำการทารุณต่อเผ่าของเรา... มันไม่ใช่แค่การล่าจิ้งจอก เขาต้องการทำลายเผ่าของเราทั้งหมดเพื่อยึดครองพลังของเราและใช้มันในการครองโลก..."ไป๋ผิ
ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมือง ภายในเวลาไม่กี่วัน เรื่องราวในป่าก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาไปทั่ว บอกกันปากต่อปากว่า พี่ชายต่างมารดาของไป๋ผิง ถูกไป๋ผิงกับไป๋ผิงสังหาร ทุกคนต่างพากันเห็นใจแม้แต่ในเผ่าจิ้งจอกเอง ข่าวการตายของพี่ชายต่างสายเลือดก็ยังเป็นที่พูดถึงกันเบา ๆ แต่ไม่มีใครรู้ความจริงว่า เขายังมีชีวิตอยู่ และถูกซ่อนไว้อย่างลับ ๆ ณ ที่แห่งหนึ่งไป๋ผิงยืนอยู่ข้างเตียงไม้ในห้องใต้ดินมืดมิดและเงียบงัน ร่างของพี่ชายต่างมารดานอนแน่นิ่งอยู่บนนั้น ใบหน้ายังคงซีดเซียวราวคนตายจากบาดแผลสาหัส แต่ร่างกายเริ่มตอบสนองต่อการรักษา ลมหายใจเริ่มสม่ำเสมอขึ้นช้า ๆ“พี่... พี่ยังไม่ตาย…” น้ำเสียงของไป๋ผิงสั่นเครือและขาดห้วง ข่าวลือต่าง ๆ ก้องอยู่ในหัว นางเต็มไปด้วยความกลัวและความเศร้าพี่ชายต่างมารดาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาแดงช้ำยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเสียใจ เขายิ้มอ่อน ๆ ให้นาง “ข้า... ไม่คิดเลยว่าจะมีใครเป็นห่วงข้าขนาดนี้…” เขาพูดเบา ๆ ราวเสียงกระซิบไป๋ผิงทรุดลงคุกเข่าข้างเตียง จับมือเขาไว้อย่างแผ่วเบา “อย่าพูดแบบนั้น... ข้ายังตัดสินใจไม่ได้... ข้ายังไม่อยากเสียพี่ไป” เสียงของนางเจือด้วยความเจ็บปวดแล
ทันใดนั้น มืออุ่นๆ หนึ่งข้างยื่นออกมาและจับข้อมือของนาง เมื่อนางหันกลับไป ก็พบกับดวงตาคมกริบของไป๋จื้อเหวิน ที่แวบหนึ่งมีแสงแปลกๆ ส่องประกายออกมา "เจ้า..." ไป๋ผิงยังไม่ทันพูดจบก็รู้สึกถึงแรงดึงที่เบาๆ ร่างของเธอถูกดึงไปข้างหน้า และทันใดนั้นก็ได้รับจูบอันร้อนแรงและเร่งด่วนบนริมฝีปาก ซึ่งทำให้นางประหลาดใจ ดวงตาของไป๋ผิงเบิกกว้าง หัวใจเต้นระรัวเหมือนกลองรบ นางพยายามจะถอยหนี แต่ก็รู้สึกถึงมือเหล็กที่ยึดรอบเอวของเธอแน่นหนา จูบนี้... ไม่ใช่จูบที่เร่งรีบ แต่กลับลึกซึ้งและยืนยันเหมือนเขาต้องการกลืนกินนางทั้งหมด หมอกเย็นจากน้ำตกพัดมาเปียกผมของพวกเขาและทำให้ผิวหนังเย็นลง เหมือนกับว่าพวกเขากำลังอยู่ในความฝัน แม้แค่การกระทำสองอย่างนี้ ความอ่อนโยนและความหลงใหลของไป๋เฉินก็ชัดเจน เขาพูดติดขัดเล็กน้อยก่อนจะกระซิบข้างริมฝีปากของนาง"อย่าหนีจากข้าอีก... ไป๋ผิง" เสียงลึกของเขาก้องอยู่ในใจของนาง รู้สึกเหมือนร่างกายของนางไม่มีน้ำหนักอะไรเลย ภาพของความใกล้ชิดที่สวยงามและเจ็บปวด มือที่พยายามผลักเขาออกกลายเป็นการจับเสื้อผ้าของเขาแน่นขึ้น ไป๋เฉินจ้องมองนาง แล้วก้มลงไปเพื่อจูบอีกครั้ง ครั้งนี้... มันลึ
ไป๋เฉินและไป๋ผิงเดินเล่นในสวนดอกไม้ที่เบ่งบานเต็มที่ นางไม่ได้ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าตนกำลังยิ้มโดยไม่มีเหตุผล สิ่งแวดล้อมรอบข้างสงบเงียบมีเพียงเสียงลมโชยเบา ๆ กับเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ร่วมขับเคลื่อนการเดินทางของทั้งสองแต่แล้ว"อ๊ะ!"ไป๋ผิงสะดุดรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน นางเซล้มไปข้างหน้า ในเสี้ยววินาทีก่อนจะร่วงถึงพื้น ร่างสูงข้างกายนางคว้าข้อมือไว้ทันควันร่างของนางถูกดึงเข้ามาแนบอกแข็งแรงของไป๋เฉิน ใบหน้าของนางเกือบจะซุกแนบอกเขาเต็ม ๆ ดวงตาตกตะลึงของนางเงยขึ้นสบกับสายตาคมกริบที่จ้องตอบมาอย่างตรงจุดใกล้เกินไปแล้ว!นางผงะถอย สีหน้าแดงซ่าน หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก นางกระพริบตาถี่ ๆ พยายามตั้งสติ แต่ทำได้ยากเมื่อรอยยิ้มเอียง ๆ ของไป๋เฉินอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก"ระวังเท้าด้วย" เขากล่าวเสียงต่ำไป๋ผิงเม้มปากหันกลับไป แต่ไม่ทันแล้วแก้มทั้งสองข้างของนางแดงระเรื่อไปหมด!ไป๋เฉินหัวเราะเบา ๆ "หน้าแดงหรือ?""...ข้าไม่ได้หน้าแดงนะ!" นางโพล่งออกมาอย่างรวดเร็ว พยายามยืดตัวให้ตรงแต่ก็สายไปแล้วล่ะเขาโน้มตัวเข้าใกล้ กระซิบข้างหูด้วยเสียงพร่าแผ่ว แฝงแววหยอกล้อ "จริงหรือ"ไป๋ผิงสะดุ้ง ปัดมือเขาออ
พวกเขาสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความใกล้ชิดและความรัก ไป๋ผิงไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นและความเชื่อมโยงเช่นนี้มาก่อน ท่วงท่าของพวกเขาเล่าเรื่องราวของความเชื่อใจ ความรัก และพลังร่วมกัน “ค่ำคืนนี้ ข้าอยากเก็บช่วงเวลานี้ไว้ในความทรงจำของชีวิตตลอดไป” ไป๋ผิงคิดพลางยิ้มให้ไป๋จวี้อี้ คืนนั้น ทุกคนในเผ่าจิ้งจอกต่างเต้นรำด้วยความสุข ทุกจังหวะ ทุกการเคลื่อนไหว สื่อถึงความเข้มแข็งของสายสัมพันธ์ ความเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้ เมื่อพิธีเลี้ยงสิ้นสุดลง ไป๋ผิงเดินกลับที่พักเพียงลำพัง ห่างไกลจากเสียงหัวเราะและดนตรีที่ค่อย ๆ เลือนหาย ภายใต้แสงโคมที่นุ่มนวล นางเดินเข้าสู่ห้องของตนอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าเบา ๆ บนพื้นไม้สะท้อนเป็นเสียงก้องจาง ๆ ไป๋ผิงเข้าสู่บ้าน แม้จะเงียบสงบแต่พลังและความสุขจากงานเฉลิมฉลองยังอุ่นอยู่ในอก ความเหนื่อยล้าเริ่มเข้ามาแทรก แต่ก็ไม่อาจเทียบกับความรู้สึกพิเศษที่กำลังพลุ่งพล่านในใจ นางทิ้งตัวลงบนหมอน ปล่อยใจให้ล่องลอยผ่านภาพงานเลี้ยง การเต้นรำกับไป๋เฉิน และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลานั้น ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดถึงอดีต ไป๋เฉินก็เดินเข้ามาเงียบ ๆ เขายืนอยู