ด้วยดวงตาที่เย็นชา ไบ๋ผิงมองไปที่ไบ๋เหวินเทียน แต่แล้วภาพบางอย่างก็ผุดขึ้นในความคิดของนางความทรงจำที่ไม่ใช่ของนางจริงๆ
เสียงเด็กชายคนหนึ่งร้องไห้ดังอยู่ในหู เงาร่างเล็กๆ ในเสื้อผ้าขาดถูกโยนลงไปในโคลน เด็กๆ กลุ่มหนึ่งล้อมรอบและหัวเราะเยาะเย้ย “แม่ของเจ้าคือหญิงชั่วไร้ยางอาย เจ้าคิดว่าเจ้าคือเผ่าจิ้งจอกขาวหรือ?” “คนอย่างเจ้าไม่น่าจะเป็นคนในตระกูลข้า” ไบ๋เหวินเทียนในวัยเด็กกำมือแน่น ดวงตาของเขาฉายแววโกรธแค้นและเจ็บปวด แต่แทนที่จะขอความช่วยเหลือ เขาลุกขึ้นยืนขบกรามแน่นและยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ฉากเปลี่ยนไปที่ห้องรับรองของตระกูล ผู้นำของหัวหน้าเผ่า ในชีวิตจริง ไป๋ผิงก็เป็นเช่นนี้ ไป๋ผิงยังคงยืนนิ่ง สายตาของเธอจดจ้องไปที่ร่างของไป๋เหวินเทียนที่ค่อยๆ หายลับไปในความมืด ความทรงจำไหลเข้ามาในจิตใจของเธอและดวงตาของเธอแวบวับ มันไม่ใช่แค่ความทรงจำ แต่เป็นบาดแผลที่เธอหรืออาจจะเป็นอีกคนหนึ่งในร่างนี้ได้ทำให้เกิดขึ้น! ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมไป๋เหวินเทียนถึงเกลียดเธอมากขนาดนั้น “ถ้าข้าเป็นพี่ชาย ฉันก็คงเกลียดตัวเองเหมือนกัน…” ไป๋ผิงบีบมือแน่น เธอจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์เกิดขึ้นซ้ำอีก นางจะชดใช้ แม้ว่าจะไม่มีทางที่เขาจะให้อภัยนางก็ตาม! วันถัดมา ไป๋ผิงมาถึงสนามฝึกการต่อสู้ของตระกูล เธอรู้ว่าไป๋เหวินเทียนฝึกดาบที่นั่นทุกเช้า ไป๋เหวินเทียนจ้องมองเธอเย็นชา “เจ้ามาทำอะไร?” “มาท้าทายเจ้าค่ะ” ไป๋ผิงตอบพร้อมสูดหายใจลึก ไบ๋เหวินเทียนยกคิ้วขึ้น "อะไรของเจ้า " ไป๋ผิงยิ้มบางๆ “เพื่อจะพิสูจน์ว่ามันไม่ใช่ ‘นาง’ ในอดีต แต่เป็น ‘นาง’ ที่อยู่ในวันนี้” ไบ๋เหวินเทียนมองนางครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “น่าสนใจ... ให้ข้าดูซิว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปจริงๆ ไหม!” ในสนามฝึก ดาบของทั้งสองกระทบกันเสียงดังสนั่น แต่ว่าไป๋ผิงไม่ได้ใช้ท่าทางเดิมๆ ที่เคยใช้กับเขา นางไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเขาเหมือนครั้งก่อน แต่แค่... สู้เคียงข้างเขา ไป๋เหวินเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ความรู้สึกแปลกๆ ผุดขึ้นในใจของเขา ไป๋ผิงในตอนนี้ไม่ใช่ไป๋ผิงในความทรงจำของเขาเลย... ( ฉากในอดีต ) อี้หลานคุกเข่าต่อหน้านางสนมชั้นสูง ไป๋เหวินเทียนแม่ของเขาคุกเข่า เสียงเย็นๆ ดังขึ้นและทำให้นางสั่นสะท้าน “บุตรชายของเจ้าทำตัวไม่เหมาะสมที่จะเปรียบเทียบกับผู้สืบทอดหลัก อย่าลืมสิ่งนี้!” แต่ไป๋ผิงลืมตาขึ้นแล้วปิดลง รีบกระพริบตาและจิตใจของนางกลับสู่ช่วงเวลานั้น ภาพเหล่านั้นทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่านางเคยเป็นส่วนหนึ่งของมัน ไป๋เหวินเทียนมองนางและยิ้มเย็นชา “เป็นอะไรไป? เห็นอดีตของข้าหรือ?” ไป๋ผิงแข็งทื่อไปทันที... ความทรงจำเหล่านั้นเป็นของพี่ชายต่างมารดาของนาง แล้วทำไมนางถึงเห็นมันได้? หรือว่าเป็นพลังบางอย่างของนางในฐานะจิ้งจอกที่เกิดมาพร้อมกับองค์หญิงสูงศักดิ์ในในเผาจิ้งจอก แต่สิ่งหนึ่งที่นางแน่ใจคือ... ความเกลียดชังของไป๋เหวินเทียนที่มีต่อนางไม่ได้เป็นแค่ความอิจฉา แต่เป็นเพราะเขามีประวัติที่ขมขื่น! ไป๋ผิงสูดหายใจลึกแล้วก้าวไปข้างหน้า นางมั่นใจว่าจะต้องเข้าใกล้ไป๋เหวินเทียนให้ได้ นางไม่รู้ว่าจะแนะนำตัวเองอย่างไร แต่สิ่งเดียวที่นางรู้คือนางไม่สามารถนั่งเฉยๆ ให้อดีตยังคงตามหลอกหลอนทั้งคู่ได้ ก่อนที่นางจะเข้าใกล้ไป๋เหวินเทียน ร่างสูงและสง่างามนั้น มีเสียงฝีเท้าอ่อนแอแต่ทรงพลังมาจากด้านข้าง ไป๋เฉิน เขามาที่นี่ได้ยังไง? นางหมุนตัวอย่างรวดเร็ว สบตากับเขา ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขาฝ่าฝืนความคิดของนาง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เสียงของเขาต่ำและเยือกเย็น แต่มีท่าทางไม่พอใจแฝงอยู่เล็กน้อย ไป๋ผิงเม้มปาก นางไม่อยากให้เขาเข้ามายุ่ง แต่สายตาของไป๋เฉินทำให้นางไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ “ข้า... มีเรื่องต้องทำ” นางพูดสั้นๆ ก่อนจะพยายามเดินหลบเขาไป แต่ไป๋เฉินยื่นมือออกมาเพื่อหยุดนาง นิ้วของเขาสัมผัสแขนเสื้อของนางเบาๆ ราวกับเตือนนาง “มีเรื่องต้องทำ?” เขาทวนคำพูดของนาฃ “เจ้าจะทำเรื่องอะไรกับไป๋เหวินเทียน?” ไป๋ผิงลังเลและมีความแปลกใจในดวงตาของนางที่นางปกปิดไว้รวดเร็ว “เจ้า... รู้?” รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋เฉิน มันดูเหมือนเขากำลังจะยิ้มแต่ก็หยุดลงทันที “มีอะไรที่ข้าไม่รู้บ้างล่ะ?” ไป๋ผิงคิดในใจว่า ความรู้สึกนี้มันแปลกเกินไป แต่ตอนนี้นางไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ นางต้องปรับความเข้าใจกับไป๋เหวินเทียน! "ข้าไม่อยากคุยกับเจ้าเรื่องนี้” นางพูดตรงๆ และพยายามที่จะดึงแขนออกจากการยึดของเขา แต่ไป๋เฉินไม่ยอมให้นางไปง่ายๆ ดวงตาคมของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดบางอย่างที่ทำให้นางหยุดนิ่ง “ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าจะได้รับการอภัย ข้าต้องการให้เจ้ารู้ว่า บางครั้ง... อาจจะสายเกินไปแล้ว”ไป๋ผิงและไป๋เฉินเริ่มเดินทางไปยังจุดหมายเดียวกัน: หุบเขาตำนานที่ซ่อนหัวใจแห่งเผ่าจิ้งจอก สมบัติลึกลับที่เชื่อกันว่าสูญหายไปเมื่อหลายพันปีก่อน...ผู้ใดที่ค้นพบและควบคุมหัวใจแห่งเผ่าจิ้งจอกได้ จะได้รับพลังอันไร้ขีดจำกัดจากจิ้งจอกพันปี ซึ่งสามารถต้านทานอันตรายใดๆ ได้ แม้แต่มือที่อันตรายของมนุษย์ล่าจิ้งจอกบนหลังจิ้งจอกขาวตัวใหญ่ที่ได้กลายเป็นพาหนะพิเศษของนาง ไป๋ผิงนั่งอยู่ ขณะที่ไป๋เฉินเดินเคียงข้างนาง และคอยตรวจสอบรอบด้านอย่างระมัดระวัง“เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่านี่คือลู่ทางที่ถูกต้อง?” ไป๋เฉินถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาคมจับจ้องไปที่เส้นทางข้างหน้า“หัวใจของเผ่าจิ้งจอก... มันกำลังเรียกข้ามาในใจข้า” ไป๋ผิงตอบด้วยความมั่นใจ แต่ดวงตาของนางดูเหมือนกำลังครุ่นคิดฉึก!เสียงลูกศรพุ่งผ่านหูของไป๋เฉินดังขึ้นอย่างกะทันหัน ก่อนที่จิ้งจอกขาวจะคำรามอย่างดุดัน และอากาศก็ลอยมากับกลิ่นเลือดจางๆ“กับดัก” ไป๋เฉินขบกรามแน่น ก่อนจะพุ่งตัวขึ้นไปยังต้นไม้เพื่อโจมตีศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ศัตรูมีจำนวนไม่น้อย แต่ทุกคนสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าและถืออาวุธแปลกๆ ที่ไม่ใช่เวทมนตร์หรืออาคม แต่กลับมีพลังที่น่าประหลาดใจ“มนุษย์ล่า
เมื่อไป๋ผิงและพี่ชายต่างแม่กลับมาที่ห้องพัก พี่ชายของเธอซึ่งบาดเจ็บอย่างหนักจากการต่อสู้กับนักล่าจิ้งจอก เริ่มพูดถึงเรื่องราวที่เขาไม่เคยบอกใครมาก่อน แม้ว่าดวงตาของเขาจะยังคงเปล่งประกาย แต่มันกลับดูหม่นหมองราวกับปีกของมังกรในความมืด"ไป๋ผิง.." พี่ชายของนางตอบกลับด้วยเสียงเบา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยแผลเป็นและร่องรอยแห่งความทุกข์ยาก "คนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้... คือ นักล่าจิ้งจอกที่เราเพิ่งต่อสู้เมื่อครู่"คำพูดของเขาทำให้ไป๋ผิงตกใจ หัวใจของนางเต้นรัวเมื่อนางรับรู้ถึงพลังใหม่ที่จะเข้ามาในชีวิตของนางผ่านการต่อสู้และความทุกข์ยากเช่นที่ผ่านมา"นักล่าจิ้งจอก?" ไป๋ผิงกล่าวด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ "แต่ทำไมเขาถึงทำเช่นนี้?"พี่ชายของนางหายใจลึกและหลับตาลง เขาเล่าเรื่องราวที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างช้าๆ"มานานมากแล้ว... มีคนลึกลับพยายามทำลายเผ่าจิ้งจอกของเรา เขาคือคนที่มีพลังมืดและควบคุมจิตวิญญาณของสัตว์และมนุษย์บางชนิดให้ทำตามคำสั่ง บังคับพวกมันให้กระทำการทารุณต่อเผ่าของเรา... มันไม่ใช่แค่การล่าจิ้งจอก เขาต้องการทำลายเผ่าของเราทั้งหมดเพื่อยึดครองพลังของเราและใช้มันในการครองโลก..."ไป๋ผิ
ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมือง ภายในเวลาไม่กี่วัน เรื่องราวในป่าก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาไปทั่ว บอกกันปากต่อปากว่า พี่ชายต่างมารดาของไป๋ผิง ถูกไป๋ผิงกับไป๋ผิงสังหาร ทุกคนต่างพากันเห็นใจแม้แต่ในเผ่าจิ้งจอกเอง ข่าวการตายของพี่ชายต่างสายเลือดก็ยังเป็นที่พูดถึงกันเบา ๆ แต่ไม่มีใครรู้ความจริงว่า เขายังมีชีวิตอยู่ และถูกซ่อนไว้อย่างลับ ๆ ณ ที่แห่งหนึ่งไป๋ผิงยืนอยู่ข้างเตียงไม้ในห้องใต้ดินมืดมิดและเงียบงัน ร่างของพี่ชายต่างมารดานอนแน่นิ่งอยู่บนนั้น ใบหน้ายังคงซีดเซียวราวคนตายจากบาดแผลสาหัส แต่ร่างกายเริ่มตอบสนองต่อการรักษา ลมหายใจเริ่มสม่ำเสมอขึ้นช้า ๆ“พี่... พี่ยังไม่ตาย…” น้ำเสียงของไป๋ผิงสั่นเครือและขาดห้วง ข่าวลือต่าง ๆ ก้องอยู่ในหัว นางเต็มไปด้วยความกลัวและความเศร้าพี่ชายต่างมารดาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาแดงช้ำยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเสียใจ เขายิ้มอ่อน ๆ ให้นาง “ข้า... ไม่คิดเลยว่าจะมีใครเป็นห่วงข้าขนาดนี้…” เขาพูดเบา ๆ ราวเสียงกระซิบไป๋ผิงทรุดลงคุกเข่าข้างเตียง จับมือเขาไว้อย่างแผ่วเบา “อย่าพูดแบบนั้น... ข้ายังตัดสินใจไม่ได้... ข้ายังไม่อยากเสียพี่ไป” เสียงของนางเจือด้วยความเจ็บปวดแล
ทันใดนั้น มืออุ่นๆ หนึ่งข้างยื่นออกมาและจับข้อมือของนาง เมื่อนางหันกลับไป ก็พบกับดวงตาคมกริบของไป๋จื้อเหวิน ที่แวบหนึ่งมีแสงแปลกๆ ส่องประกายออกมา "เจ้า..." ไป๋ผิงยังไม่ทันพูดจบก็รู้สึกถึงแรงดึงที่เบาๆ ร่างของเธอถูกดึงไปข้างหน้า และทันใดนั้นก็ได้รับจูบอันร้อนแรงและเร่งด่วนบนริมฝีปาก ซึ่งทำให้นางประหลาดใจ ดวงตาของไป๋ผิงเบิกกว้าง หัวใจเต้นระรัวเหมือนกลองรบ นางพยายามจะถอยหนี แต่ก็รู้สึกถึงมือเหล็กที่ยึดรอบเอวของเธอแน่นหนา จูบนี้... ไม่ใช่จูบที่เร่งรีบ แต่กลับลึกซึ้งและยืนยันเหมือนเขาต้องการกลืนกินนางทั้งหมด หมอกเย็นจากน้ำตกพัดมาเปียกผมของพวกเขาและทำให้ผิวหนังเย็นลง เหมือนกับว่าพวกเขากำลังอยู่ในความฝัน แม้แค่การกระทำสองอย่างนี้ ความอ่อนโยนและความหลงใหลของไป๋เฉินก็ชัดเจน เขาพูดติดขัดเล็กน้อยก่อนจะกระซิบข้างริมฝีปากของนาง"อย่าหนีจากข้าอีก... ไป๋ผิง" เสียงลึกของเขาก้องอยู่ในใจของนาง รู้สึกเหมือนร่างกายของนางไม่มีน้ำหนักอะไรเลย ภาพของความใกล้ชิดที่สวยงามและเจ็บปวด มือที่พยายามผลักเขาออกกลายเป็นการจับเสื้อผ้าของเขาแน่นขึ้น ไป๋เฉินจ้องมองนาง แล้วก้มลงไปเพื่อจูบอีกครั้ง ครั้งนี้... มันลึ
ไป๋เฉินและไป๋ผิงเดินเล่นในสวนดอกไม้ที่เบ่งบานเต็มที่ นางไม่ได้ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าตนกำลังยิ้มโดยไม่มีเหตุผล สิ่งแวดล้อมรอบข้างสงบเงียบมีเพียงเสียงลมโชยเบา ๆ กับเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ร่วมขับเคลื่อนการเดินทางของทั้งสองแต่แล้ว"อ๊ะ!"ไป๋ผิงสะดุดรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน นางเซล้มไปข้างหน้า ในเสี้ยววินาทีก่อนจะร่วงถึงพื้น ร่างสูงข้างกายนางคว้าข้อมือไว้ทันควันร่างของนางถูกดึงเข้ามาแนบอกแข็งแรงของไป๋เฉิน ใบหน้าของนางเกือบจะซุกแนบอกเขาเต็ม ๆ ดวงตาตกตะลึงของนางเงยขึ้นสบกับสายตาคมกริบที่จ้องตอบมาอย่างตรงจุดใกล้เกินไปแล้ว!นางผงะถอย สีหน้าแดงซ่าน หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก นางกระพริบตาถี่ ๆ พยายามตั้งสติ แต่ทำได้ยากเมื่อรอยยิ้มเอียง ๆ ของไป๋เฉินอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก"ระวังเท้าด้วย" เขากล่าวเสียงต่ำไป๋ผิงเม้มปากหันกลับไป แต่ไม่ทันแล้วแก้มทั้งสองข้างของนางแดงระเรื่อไปหมด!ไป๋เฉินหัวเราะเบา ๆ "หน้าแดงหรือ?""...ข้าไม่ได้หน้าแดงนะ!" นางโพล่งออกมาอย่างรวดเร็ว พยายามยืดตัวให้ตรงแต่ก็สายไปแล้วล่ะเขาโน้มตัวเข้าใกล้ กระซิบข้างหูด้วยเสียงพร่าแผ่ว แฝงแววหยอกล้อ "จริงหรือ"ไป๋ผิงสะดุ้ง ปัดมือเขาออ
พวกเขาสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความใกล้ชิดและความรัก ไป๋ผิงไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นและความเชื่อมโยงเช่นนี้มาก่อน ท่วงท่าของพวกเขาเล่าเรื่องราวของความเชื่อใจ ความรัก และพลังร่วมกัน “ค่ำคืนนี้ ข้าอยากเก็บช่วงเวลานี้ไว้ในความทรงจำของชีวิตตลอดไป” ไป๋ผิงคิดพลางยิ้มให้ไป๋จวี้อี้ คืนนั้น ทุกคนในเผ่าจิ้งจอกต่างเต้นรำด้วยความสุข ทุกจังหวะ ทุกการเคลื่อนไหว สื่อถึงความเข้มแข็งของสายสัมพันธ์ ความเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้ เมื่อพิธีเลี้ยงสิ้นสุดลง ไป๋ผิงเดินกลับที่พักเพียงลำพัง ห่างไกลจากเสียงหัวเราะและดนตรีที่ค่อย ๆ เลือนหาย ภายใต้แสงโคมที่นุ่มนวล นางเดินเข้าสู่ห้องของตนอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าเบา ๆ บนพื้นไม้สะท้อนเป็นเสียงก้องจาง ๆ ไป๋ผิงเข้าสู่บ้าน แม้จะเงียบสงบแต่พลังและความสุขจากงานเฉลิมฉลองยังอุ่นอยู่ในอก ความเหนื่อยล้าเริ่มเข้ามาแทรก แต่ก็ไม่อาจเทียบกับความรู้สึกพิเศษที่กำลังพลุ่งพล่านในใจ นางทิ้งตัวลงบนหมอน ปล่อยใจให้ล่องลอยผ่านภาพงานเลี้ยง การเต้นรำกับไป๋เฉิน และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลานั้น ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดถึงอดีต ไป๋เฉินก็เดินเข้ามาเงียบ ๆ เขายืนอยู