Share

บทที่ 8

นางโม่ไม่ขี้เหนียวพอ ๆ กับวันที่ฟางซินครบเดือนอีกทั้งวันนี้ยังมีลูกอมถั่วแจกให้กับคนที่มาร่วมอวยพรหลานสาวอีกต่างหาก

“แม่ครับ จะให้เป่าเป้ยมีชื่อว่าอะไรดี” ซานไห่ถามมารดาโดยมีเจ้าของหัวข้อสนทนามองใบหน้าของย่าอย่างใคร่รู้เช่นเดียวกัน

“ฟางซิน กู้ฟางซิน หลานของฉันเปรียบเหมือนนางฟ้าตัวน้อย อีกทั้งแกไม่ได้กลิ่นหอมจากลูกของแกหรือ แม่ก็เลยตั้งชื่อนี้เพราะหรือไม่ เป่าเป้ยหลานล่ะชอบหรือเปล่า” นางโม่ตอบลูกชายคนเล็กพลางก้มหน้าลงไปถามความเห็นของคนในอ้อมแขน

ฟางซินตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ฮ่า ๆ ถูกใจใช่ไหมล่ะ ขอแค่หลานของย่าชอบก็พอ” นางโม่เองก็มีความสุขเช่นกันที่หลานสาวของตนมีความสุข

“แม่ว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับและดูเหมือนว่าเป่าเป้ยจะชอบชื่อนี้เสียด้วยเพียงแต่ผมไม่คิดว่าแม่จะตั้งชื่อออกมาได้ดีขนาดนี้” ซานไห่พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจเนื่องจากมารดานั้นรู้ตัวอักษรน้อยมาก

“เอาไว้ให้แขกกลับไปกันให้หมดก่อน แม่จะเล่าให้ฟังว่าชื่อของเป่าเป้ยมาจากไหน”

หลังมื้ออาหารเย็น ซึ่งในตอนนี้มีเพียงครอบครัวของ ซานไห่เพียงเท่านั้น นางโม่จึงได้เล่าเรื่องชื่อของหลานสาวตัวน้อยผู้กำลังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่กับพี่ชายทั้งสอง

“ก่อนฟ้าจะสว่างแม่ได้ฝันถึงหญิงสาวคนหนึ่ง เธอคนนั้นมีรูปร่างสวยงามอีกทั้งรอบกายยังเปล่งประกายสีทอง แม่จำได้ว่าตัวเองรู้สึกอบอุ่นยามเมื่อเห็นแสงสีทองนั้น

เธอบอกกับแม่ว่าให้ตั้งชื่อเป่าเป้ยว่าฟางซิน และให้เลี้ยงดูสั่งสอนเด็กคนนี้ให้ดี แม่ยังไม่ทันได้ถามอะไรเพิ่มก็สะดุ้งตื่น” นางโม่เล่าความฝันของตนออกมาอย่างละเอียด

“แม่ หรือว่าเธอคนนั้นจะเป็นเทพธิดา” คำถามของลี่จิน ได้เรียกความสนใจจากทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งลูก ๆ

“ภรรยาเรื่องนี้เราจะต้องเก็บเอาไว้เพียงในบ้านนะครับ ห้ามพูดให้ใครฟังเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจมีคนหัวเราะเยาะและมองเราเป็นตัวประหลาดเพราะตอนนี้ได้เข้าสู่สังคมใหม่แล้ว” ซานไห่กล่าวเตือนภรรยาอย่างเอ็นดูท่าทางคล้ายเด็กขี้ตกใจของหล่อน

“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” ลี่จินก้มหน้าตอบรับเสียงเบา

“หลานทั้งสองคนก็ฟังคำพูดของพ่อเอาไว้ด้วยนะ เรื่องของเป่าเป้ยห้ามพูดออกไปอย่างเด็ดขาด” นางโม่หันใบหน้ามาทางหลานชายทังคู่พลางพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“พวกเราเข้าใจครับ”

เช้าวันใหม่อากาศในช่วงนี้ค่อนข้างร้อนอบอ้าวแม้ว่าจะยังเช้าอยู่เด็ก ๆ ต่างเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าที่บางขึ้น

แต่ละคนต่างดีใจเมื่อได้สวมชุดใหม่ที่แม่กับย่าได้ลงมือตัดให้ ซึ่งผ้าที่ได้ก็เป็นผ้าที่ได้มาจากเป่าเป้ยแทบทั้งหมด แต่นางโม่ได้ปิดบังความจริงกับบ้านรองเอาไว้

ในตอนที่ได้ผ้าตัดเสื้อจากแม่สามีหยูเซียนรู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมากเพราะผ้าที่แม่สามีให้มานั้นจัดว่าเป็นผ้าเนื้อดี

จำได้ว่านางโม่บอกลูกสะใภ้ว่าหากหล่อนเกรงใจก็ช่วยตัดชุดให้เป่าเป้ยให้มากหน่อยดังนั้นหลังจากอากาศเย็นสิ้นสุดเป่าเป้ยตัวกลมจึงได้รับเสื้อผ้าหลายชุดทีเดียว

“พอแล้วนะ เอาไว้ให้เป่าเป้ยตัวโตมากกว่านี้ค่อยตัดใหม่” แม้ปากนางโม่จะกล่าวตำหนิแต่ทว่าใบหน้านั้นกลับแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม

“ฉันรู้แล้วค่ะ เด็กทารกโตเร็วตอนนี้เป่าเป้ยของเราก็ได้สามเดือนแล้วดูสิใบหน้าน้อย ๆ ในตอนนั้นตอนนี้กลับเต็มอิ่มคล้ายซาลาเปาไม่มีผิด” หยูเซียนพูดในขณะก้มหน้าลงหอมแก้มนุ่มนิ่มของหลานสาว

ฟางซินหัวเราะชอบใจด้วยความจั๊กจี้ แขนขาของเจ้าตัวเริ่มขยับได้มากขึ้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่ธัญหารกำลังแตกหน่ออีกทั้งอากาศยังร้อน

ดังนั้นงานในแปลงนาส่วนใหญ่มักจะเป็นหน้าที่ของผู้ชายเพราะเป็นงานใช้แรงเป็นหลักอย่างหาบน้ำมารดในแปลงข้าวและข้าวโพด

ส่วนงานของผู้หญิงกับเด็กเริ่มโตขึ้นมาวัยเดียวกับต้าโถว ก็คือไปตัดหญ้ามาเลี้ยงหมู เลี้ยงวัว เก็บมูลของมันเพื่อนำมาทำเป็นปุ๋ย

เวลาผ่านไปเพียงพริบตาเป่าเป้ยตัวน้อยก็เข้าสู่วัยหกเดือน ในตอนนี้ฟางซินรู้สึกคันเหงือกเป็นอย่างมากเนื่องจากเธอคิดว่าฟันกำลังจะขึ้นอีกทั้งยังรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวอีกด้วย

ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนี้เจ้าตัวก็หาได้โยเย เนื่องจากเข้าใจสถานการณ์ของคนในครอบครัวที่ต้องตื่นแต่เช้าออกไปทำงานแม้ว่าพ่อจะทำงานในโรงงาน แต่เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวจึงทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ

ช่วงเย็นในวันหนึ่งซานไห่กลับมาด้วยสภาพไม่ค่อยดีนัก “อาไห่งานหนักมากเลยหรือลูก” นางโม่ถามบุตรชายคนเล็กอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเหงื่อเปียกชุ่มเสื้อของเจ้าตัว

“อากาศร้อนมากเลยครับแม่ ผมขับรถไปด้วยต้องยกลังใส่น้ำมันพืชส่งตามร้านด้วยก็เลยแย่” ซานไห่พูดไปพลางโบกมือเข้าหาตัวหวังคลายความร้อน

“จะว่าไปช่วงนี้แม่ว่าฝนน้อยมากเลยนะ ปกติจะต้องตกลงมามากกว่านี้แล้วแต่นี่ยังไม่ตกเลย” ใบหน้าของผู้พูดแหงนมองท้องฟ้าพลางกล่าวออกมา

โดยมีเจ้าตัวน้อยที่บัดนี้พลิกคว่ำได้เงี่ยหูฟังการสนทนาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“นั่นสิครับ หากเป็นเช่นนี้จะมีน้ำให้ใช้หรือครับ ลี่จินยังบ่นเลยว่าน้ำในแม่น้ำก็เริ่มเหลือน้อยลงผิดจากทุกที”

ฟางซินตัวน้อยใจกระตุกวูบ (หากเกิดภัยแล้งคงจะแย่ แน่ ๆ ฉันยังไม่โตเลยจะช่วยได้ยังไง)

ตกดึกภายในคืนเดียวกันเสียงฟ้าร้องก็ดังติด ๆ กันอยู่หลายครั้งจนกระทั่งฟางซินต้องสะดุ้งตื่นเนื่องจากเสียงของมันและเพียงชั่วครู่ก็ตามมาด้วยเสียงของเม็ดฝนกระทบกับหลังคา

“แม่ครับ หลังคาบ้านเราจะรั่วไหม” ซานไห่ถามขึ้นอย่างกังวลแม้ว่าเขากับพี่รองเพิ่งจะซ่อมหลังคาไปเมื่อไม่นานก็ตาม

“ไม่หรอก หากว่าไม่มีลมพัดแรงหลังคาก็ยังคงแข็งแรงนั่นแหละ ฝนตกก็ดีแล้วข้าวกับข้าวโพดในแปลงจะได้ไม่ตายไม่อย่างนั้นพวกเราคงได้กินดินแทะรากไม้กันแน่” เสียงของนางโม่ดังแข่งกับสายฝน

“นั่นสิครับ ถ้าอย่างนั้นผมเข้าไปนอนก่อนดีกว่า อากาศกำลังเย็นสบายร้อนมาหลายคืนแล้วคืนนี้จะได้นอนหลับสนิทบ้าง”

“ไปเถอะ แกยังต้องไปทำงาน” โม่โฉวโบกมือไล่บุตรชายก่อนที่นางจะเดินสำรวจบ้านให้แน่ใจแล้วจึงได้เข้าห้องนอนของตนบ้างเช่นกัน

เช้าวันต่อมาหยาดน้ำฝนยังคงมีค้างตามกิ่งไม้ให้ได้เห็น แม้พื้นดินจะเฉอะแฉะจากน้ำบนฟ้ากระนั้นรอยยิ้มกลับมีเต็มใบหน้าของทุกคน เพราะการที่ฝนตกลงมานั้นย่อมเป็นเรื่องดี

วันนี้เนื่องจากฝนตกลูกสะใภ้ทั้งสองของนางโม่จึงไม่ต้องไปทำงานเนื่องจากช่วงนี้ไม่มีหน้าที่อะไรให้ทำมากนัก

“แม่คะ พวกเราขึ้นเขาไปเก็บผัก หาเห็ดกันดีไหม” ลี่จิน กล่าวชวนแม่สามีหลังจากนางให้นมเป่าเป้ยจนลูกกินอิ่มแล้ว

“ก็ดีเหมือนกัน แม่ว่าเราคงต้องเข้าป่าลึกหน่อยเพราะรอบนอกคงจะมีคนคิดเหมือนเราเป็นแน่”

“ผม/ผมไปด้วยครับ” สองฝาแฝดมังกรคู่พูดพร้อมกัน

“ไปสิ แต่พวกหลานห้ามเดินไปไหนกันเองตามลำพังโดยเด็ดขาดนะ” นางโม่ไม่วายกล่าวกำชับ

ไม่เพียงแต่บ้านกู้สามเท่านั้นที่คิดเช่นนี้เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดต้าโถว เอ่อเป่า ซานเหมาบ้านรองกับมารดาก็ตั้งใจจะขึ้นภูเขาเหมือนกัน ดังนั้นคนทั้งสองบ้านจึงได้เปิดประตูออกมาเจอกันเข้าพอดีอย่างบังเอิญ

“แม่/พี่สะใภ้รอง” สองสาวพูดออกมาพร้อมกัน

“อาเซียนก็จะไปบนภูเขาเหมือนกันอย่างนั้นหรือ” นางโม่ ถามลูกสะใภ้คนที่สองด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นตะกร้าหวายบนหลังของเธอและของหลานชายทั้งสามคน

“ใช่ค่ะ แม่ไปด้วยไหมคะ”

“ไปสิ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันนี่แหละ เข้าไปลึกหน่อยหากเก็บได้เยอะก็นำมาตากแห้งเก็บไว้กินช่วงฤดูหนาว”

“ดีเลยค่ะ”

ส่วนเด็กชายห้าพี่น้องก็เดินเรียงแถวหน้ากระดานเดินตามย่ากับแม่อยู่ด้านหลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานต้อย ๆ

ฟางซินเองก็มีความสุขเช่นเดียวกับคนภายในครอบครัว การเดินเท้าขึ้นเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมากเนื่องจากดินค่อนข้างลื่น ดังนั้นพวกนางจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก

“พวกลูกเดินกันดี ๆ นะ” ลี่จินบอกกับทั้งลูกและหลานเมื่อเห็นเด็กชายเกาะตามต้นไม้ก้าวเท้าเดินอย่างทุลักทุเล

“ครับ”

“อ้าว นางโม่หล่อนก็พาลูกสะใภ้กับหลาน ๆ มาหาผักเก็บเห็ดด้วยอย่างนั้นหรือฉันนึกว่าจะอยู่บ้านนั่งกินนอนกินเสียอีก” คำพูดเสียดสีดังขึ้นจากหญิงวัยเดียวกับโม่โฉว

นางโม่หาได้สนใจคู่ปรับเก่าของตน เธอจึงได้ทำเป็นหูทวนลมชมนกชมไม้พูดเสียงสองกับหลานสาว

“ฉันพูดกับหล่อนอยู่ไม่ได้ยินหรือ” สะใภ้บ้านอู๋ไม่พูดเปล่านางยังคิดต้องการจะเดินเข้าไปหมายจับบ่าของโม่โฉวด้วย

แต่ทว่า.....

“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องได้ดังขึ้น พร้อมกับร่างของฟู่เหยาได้ถลาไปด้านหน้าและดูเหมือนความโชคร้ายของนางจะยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เมื่อเท้าเจ้ากรรมได้สะดุดก้อนหินทำให้หน้าของหล่อนทิ่มลงไปยังดินเละ แทบเท้าของนางโม่ทันที

“อุ๊ยตาย! อาเหยาหล่อนไม่ต้องคำนับฉันก็ได้นะ ฉันไม่กล้ารับหรอก พวกเราไปกันเถอะ” น้ำเสียงของนางโม่ร้องขึ้นเสียงดัง ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเสแสร้ง (ชิ สมน้ำหน้าคิดจะทำร้ายฉันตัวเองกลับเจ็บตัวแทน)

“โชคดีนะที่หล่อนสะดุดลงไปก่อน หากจับแม่ได้เป่าเป้ยอาจจะเจ็บตัวไปกับแม่เป็นแน่ อย่างนี้เขาเรียกฟ้ามีตา” นางโม่ พูดกับคนในครอบครัวหลังจากเดินออกมาจากกลุ่มคนจนกระทั่งไกลพอสมควร

“นั่นสิคะ ฉันละไม่เข้าใจป้าเหยาเลยว่าทำไมหล่อนถึงไม่ชอบแม่” หยูเซียนพูดขึ้นอย่างเห็นพ้องกับแม่สามีก่อนที่จะถามขึ้นอีกครั้งอย่างสงสัย

“เฮ้อ! เรื่องนี้มันก็นานมาแล้วนั่นแหละ ย้อนกลับไปตอนสาว ๆ หล่อนมีใจให้กับพ่อของลูกชายแม่ทั้งสามคน แต่พ่อของเด็ก ๆ ไม่ได้มีใจให้หล่อน แม่ก็เพิ่งรู้หลังจากแต่งเข้ามาไม่นานทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะเวลาหล่อนเจอแม่ก็ชอบพูดจากระทบกระเทียบ จนกระทั่งถึงตอนนี้ต่างคนต่างมีลูกหลานแล้วหล่อนก็ยังผูกใจเจ็บ” นางโม่เล่าเรื่องของตนออกมาโดยเดินนำหน้าคนในครอบครัวไปด้วย

คนบ้านกู้เดินไปไกลจากคนอื่นพอสมควร หยูเซียนก็ได้ถามขึ้นมาอีก “แม่คะ เราจะไปเก็บที่ไหนกันดีตลอดทางที่ผ่านมามีคนมากมายเหลือเกินป่านนี้จะยังเหลือของดีให้เราเก็บหรือคะ” คำถามของสะใภ้รองไม่ใช่ไร้เหตุผลเนื่องจากตลอดทางพวกเขาเดินสวนกับกลุ่มคนมากมาย

“ตามแม่มาเถอะ เชื่อแม่สิเราไม่มีทางกลับบ้านมือเปล่าหรอกใช่ไหมหลานรัก” นางโม่พูดขึ้นอย่างมั่นใจ ฟางซินในวัยหกเดือนซึ่งอยู่ด้านหน้าของคนเป็นย่าจึงได้ส่งเสียงหัวเราะตอบอื้อ ๆ อ้า ๆ ออกมา

“เป่าเป้ยอารมณ์ดีน่าดู ท่าจะชอบอากาศวันนี้นะคะ” ลี่ จินยิ้มในขณะมองใบหน้าของลูกสาวที่หันข้างมาทางตน

“นั่นสิ นั่นยังไงล่ะโชคดีของเรามาแล้ว” สองตาของนางโม่ไม่ได้ละไปจากทางในขณะเดินและนางก็ชี้นิ้วไปยังขอนไม้ด้านหน้า

“แม่คะ พวกเราโชคดีจริงด้วย” หยูเซียนพูดอย่างตื่นเต้นพลางสาวเท้าเดินเข้าไปยังสิ่งที่เห็นเช่นเดียวกับลี่จิน

“พวกหลานอยู่กันแถวนี้นะ หากเจอเห็ดอะไรให้มาถามย่าก่อนแล้วค่อยเก็บกันเล่า เพราะบางอย่างมันมีพิษ” นางโม่ไม่วายกล่าวเตือนหลานชายทั้งห้าคน

เด็กทั้งห้าก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี อีกทั้งยังสำรวจรอบด้าน อย่างระมัดระวังและพยายามกวาดตามองจนทั่วว่าพวกเขาจะสามารถหาสิ่งกินได้อื่นหรือไม่เช่นเดียวกับเจ้าเด็กจ้ำม่ำฟางซิน

เพราะในตอนนี้เจ้าตัวได้หลับตาลงเพื่อใช้พลังจิตสำรวจไปรอบ ๆ สถานที่บริเวณนี้อย่างตั้งใจ

(โอ๊ะ! มีไก่ป่าด้วย อย่างนี้จะปล่อยไปได้ยังไง เด็ก ๆ จ๋ามาเป็นอาหารให้ฟางซินคนนี้เถอะ) เจ้าตัวคิด

“พี่ต้าโถว ได้ยินเสียงอะไรไหมครับ ผมว่าฟังดูคล้ายเสียงไก่เลย” ซีซวนพยายามเงี่ยหูฟังก่อนถามลูกพี่ลูกน้องคนโต

“พวกนายลองเงียบเสียงดูสิ” ต้าโถวพูดขึ้นก่อนที่ตนจะพยายามฟังเสียงที่เริ่มดังเข้ามาใกล้อย่างตั้งใจ

“ไม่ผิดแน่ มันอยู่ใกล้ ๆ เรานี่แหละ เจ้ารองน้องได้เอาหนังสติ๊กมาหรือเปล่า” หลังได้ยินคำถามของคนเป็นพี่ เอ้อเป่าจึงได้นำสิ่งที่ตัวเองทำขึ้นมาจากง่ามไม้ชูขึ้นสูง

“ดีมาก พวกเราเดินแยกกันไปสองทางนะ จากนั้นก็ ค่อย ๆ โอบล้อมมันให้อยู่ตรงกลางเมื่อได้โอกาสก็จับเลย” ต้าโถว ออกคำสั่ง

“อืม” น้องชายสี่คนพยักหน้าตอบรับเสียงเบาเนื่องจากกลัวไก่ป่าจะได้ยินและพากันบินหนี

โดยที่พวกเขาไม่มีใครรู้เลยว่าไก่ป่ามันมากันทั้งฝูงจากการเรียกของฟางซิน “พะ..พี่ใหญ่ ผมยิงไม่ได้หรอกมันมากันทั้งฝูงแบบนี้อ่ะ” เอ้อเป่าพูดเสียงสั่นเมื่อเห็นไก่ป่าตัวใหญ่สี่ ตัวเล็กอีกห้า

“พี่เอ้อเป่าผมว่าไก่ป่ามันดูแปลก ๆ นะพี่ไม่เห็นหรือว่ามันดูไม่กลัวพวกเราเลย อีกทั้งยังเดินเข้ามาใกล้อีก” คำพูดของ ซีห่าวได้เรียกความสนใจให้กับพี่ชายทั้งสี่

“จริงด้วย ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รีบจับมันเถอะ เสี่ยวเหมา เสี่ยวห่าว น้องสองคนรีบไปหาเถาวัลย์มา แม้มันจะไม่หนีแต่ก็ควรมัดขาเอาไว้ก่อน” ต้าโถวพูดขึ้นอีกครั้งโดยที่สองตายังคงจับจ้องไปยังไก่ทั้งเก้า

เสียงร้องของไก่ป่าได้เรียกความสนใจให้กับผู้ใหญ่ภายในบ้านทั้งสามคน “ต้าโถวพาน้องไปไหน” คำถามของแม่สามีได้ทำให้สะใภ้ทั้งสองหันไปสนใจลูกของตัวเอง

“คงไม่ใช่” ลี่จินยังพูดไม่ทันจบเด็กชายทั้งห้าคนก็เดินออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้างพร้อมกับไก่ป่าทั้งใหญ่เล็ก

โม่โฉวไม่คิดว่าตนจะโชคดีมากมายถึงขนาดนี้ จึงได้ก้มหน้ามองไปยังใบหน้าอ้วนกลมของหลานสาวตัวเล็กที่บัดนี้ยังคงหลับตาพริ้ม

(หรือเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับเป่าเป้ยกัน แต่จะเป็นไปได้หรือฉันเดินขึ้นภูเขาลูกนี้จนส้นรองเท้าสึกไปหลายคู่ก็ยังไม่สามารถจับไก่ป่าได้เลย แต่ตอนนี้หลานชายของฉันกลับจับมันได้อย่างไม่ต้องออกแรงเป่าฝุ่นเลยด้วยซ้ำ) นางโม่คิดด้วยความไม่เข้าใจ

ส่วนฟางซินผู้เป็นสาเหตุของเรื่อง ในตอนนี้เจ้าตัวกำลังรู้สึกตื่นเต้นกับพลังของตนเนื่องจากหลังวันเกิดมาเธอก็สามารถใช้พลังที่มีสำรวจป่าแห่งนี้ได้กว้างขึ้น
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   บทที่ 257

    “แต่ผมก็ยังมองว่าลูกยังเด็กอยู่ดีนะครับ นี่ลูกโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” คำแก้ตัวของคู่ชีวิตทำให้ฟางซินส่งยิ้มคล้ายอ่อนอกอ่อนใจ วันคืนเปลี่ยนผัน จนกระทั่งคนทั้งคู่ผมเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน แม้จะเป็นอย่างนี้ทว่าร่างกายของมู่เฉินกลับยังคงแข็งแรงแม้ว่าเขาจะมีอายุมากกว่าภรรยารักถึงสิบปีเต็ม

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   บทที่ 256

    หน้าสมุดบันทึกเล่มหนึ่งภายในนั้นได้มีตัวอักษรงดงามเรียบเรียงเอาไว้อย่างงดงามเป็นระเบียบ ลมจากทางหน้าต่างหอบใหญ่ได้พลิกหน้ากระดาษหลายหน้านั้นขึ้น จนทำให้หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้กำลังสาละวนอยู่กับการนำสิ่งของมากมายออกจากกล่องต้องรีบลุกขึ้นมาหยิบสมุดเล่มดังกล่าว “เฮ้อ! ดีนะที่ไม่เส

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   บทที่ 255

    ฟางซินนั่งลงเอาศีรษะของตนซบลงบนตักของหญิงชราอย่างเศร้าสร้อยแม้ว่าเธอในตอนนี้จะไร้ซึ่งพลังแห่งจิตวิญญาณแต่เธอรู้ดีว่าหญิงชราจะสื่อถึงอะไร ปีก่อน ๆ อาจารย์ปู่ใหญ่กับเจิ้งลู่ก็ทยอยล้มหายจากไปกันทีละคนตามสังขารมาบัดนี้ย่าผู้ชราก็ยังมาพูดแบบนี้อีกแม้ว่าหล่อนจะทราบดีว่าเรื่องเช่นนี้ย่อมต้องเกิ

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   บทที่ 254

    สวัสดีครับ ผมคือกู้ซินเซิงหรือคนในครอบครัวมักจะเรียกว่าเสี่ยวเซิง ผมหาใช่ลูกหลานตระกูลกู้อย่างแท้จริงไม่แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลยในเรื่องของความรักและความกตัญญูที่ผมมีต่อคนในครอบครัวนี้ ทั้งนี้เป็นเพราะนับตั้งแต่วันที่พี่สาวคนดีของผมได้ช่วยให้รอดจากความตายตั้งแต่ครั้งยังเป็น

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   บทที่ 253

    “หล่อนท้องได้สิบสัปดาห์แล้วมากกว่าเป่าเป้ยเล็กน้อยไปฝากท้องพร้อมกันเถอะ” ใบหน้าของคนภายในห้องโถงต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากเป่าเป้ยตั้งครรภ์มู่เฉินคอยดูแลภรรยาของตนเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับบรรดาพี่ชายของหญิงสาว เพราะหลังจากฟางซินตั้งครรภ์จู่หว่านเองก็กำลังตั้งครรภ์กับเมิ่งกวา

  • ฉันเกิดใหม่เป็นหลานสาวชาวนายุค60   บทที่ 252

    “พ่อบุญธรรมรีบเลยครับ ผมช่วยอุ้มดีไหม” เจียอินแทบจะทำตามที่พูดเมื่อเห็นว่าพ่อผู้ชรายังนั่งคล้ายไม่ทุกข์ร้อนอยู่ที่เดิม “เฮ้อ! แกนี่นะโตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวไม่มีสติอีก ดูเจ้าตัวเขายังไม่ร้อนใจขนาดแกเลย หล่อนต้องเดินเข้ามาหาฉันสิ แกลืมแล้วเหรอว่าฉันอายุเท่าไหร่แล้ว” เหตุที่อู๋เหยียนไม่รู้

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status