LOGINมื้อเย็นวันนั้น ไม่มีอะไรเด่นแซ่บไปกว่าลาบหมูฝีมือดารัณที่ทำแยกมาสองรส สำหรับคุณทิพย์และสำหรับทุกคน รสเค็มเผ็ดนัวตัดเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาวแป้นสดจากสวนหลังเรือน คละเคล้าผักหอมแล้วยังฟุ้งไปด้วยข้าวคั่วสมุนไพรที่ทำพิเศษเฉพาะวันนี้ ทำให้ทุกคำที่บดเคี้ยว สติของนรีหวนคืนมวลอารมณ์คิดถึงบ้าน คิดถึงยาย บาดลึกไปทุกทีการเก็บกลืนรส แม้จะทำตัวนิ่ง ดูสงบ แต่น้ำตากลับคลอรื้นออกมาอยู่ดี
“นรี… นรีคะ” เสียงคุณเจ้านายทักขึ้นเบาๆ พร้อมสายตาอุ่นๆ ที่ส่งมาจากอีกฝั่งโต๊ะอาหาร ก่อนเอ่ยถาม
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“แค่… คิดถึงบ้านค่ะ” นรีตอบสั้นๆ ตามตรง พร้อมรอยยิ้มบางๆ พลางเอื้อมหยิบกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตา
“ เพราะลาบหมูเนี่ยเหรอ” คุณทิพย์ถามขึ้น นรีพยักหน้ารับและตอบว่า
“ใช่ค่ะ รสชาติคล้ายที่บ้านมาก กินแล้วนึกถึงยาย”
“จริงสิ เธอมาจากต่างจังหวัด ตั้งแต่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้กินกับข้าวอีสานเลย” คุณทิพย์ว่า ทั้งมองมาที่นรีด้วยแววตาสะท้อนเอ็นดู
“กินแต่กับข้าวตามใบสั่งหมอธนา… กินตามป้า” คุณทิพย์หันไปพูดกับกานต์สิรี ก่อนบอกกับนรีว่า
“ที่จริงเธอไปกินข้าวนอกบ้านได้นะ หรือจะซื้ออะไรอย่างที่ชอบมากินที่บ้านด้วยก็ได้”
“ค่ะ” นรีรับคำสั้นอย่างว่าง่าย ขณะที่ในใจนึกรู้สาเหตุดีอยู่แล้วว่า ที่ผ่านมา หล่อนจำกัดตนเองเพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายเพียงเท่านั้น หล่อนทราบดีว่าที่บ้านแห่งนี้ ไม่มีข้อห้ามที่น่าอึดอัดด้านนี้เลย
หลังมื้ออาหารนั้นผ่านไป กานต์สิรีกับดารัณอาสาล้างจานชามทั้งหมดกันเองและให้นรีพาคุณทิพย์ขึ้นนอนตามปกติได้เลย ทว่า ค่ำคืนนี้ จิตใจนรีไม่อยู่กับละครหลังข่าวเลยสักนิด หล่อนคิดคำนึงอยู่หลายประเด็น เช่นว่า หลายวันมานี้ หล่อนหลงลืมตัวไปกับเสน่ห์อันรุนแรงของคุณเจ้านายถึงขั้นห่างหายจากอาการคิดถึงบ้านได้ชนิดปลิดทิ้ง เพียงเพราะได้สบตา ได้ใกล้ชิด ได้ทำอะไรต่ออะไรมากมายในคืนพายุสเลเตนั่น หรือความคนึงถึงคุณเจ้านายได้กลบทับอาการรำลึกอดีตของหล่อนมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว
แต่ใดใด สิ่งที่ชวนให้นรีครุ่นคิดวกวนอีกประเด็น แม้จะเสร็จกิจในการส่งคุณทิพย์เข้านอนจนลงมาอาบน้ำที่ห้องของตนแล้วก็ยังคงคิดต่อ คือความฉงนสงสัยในเรื่องอันไม่ควรสงสัย เช่นว่า กานต์สิรีมีความสัมพันธ์อย่างไรกับคุณเจ้านายกันแน่ ทั้งที่หล่อนก็ทราบมาแต่แรกจากกานต์สิรีว่า ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิท และกานต์สิรีคือคู่หมั้นของหมอธนา ทว่า ความไว้วางใจ ชนิดแสนรักแสนเอ็นดูที่กานต์สิรีได้รับจากคุณทิพย์ และการดูแลกันและกันระหว่างดารัณกับกานต์สิรี ที่นรีมีโอกาสได้เห็นกับตาทั้งในสวนเมื่อบ่ายแก่ ในครัวเมื่อเย็นย่ำ และบนโต๊ะอาหารยามค่ำ ก็เพียงพอให้หล่อนเกิดคิดพิเรนทร์ว่าทั้งสองอาจเป็นมากกว่าเพื่อนเมื่ออยู่กันลำพัง
ซึ่งพอคิดมาถึงจุดนี้ นรีก็ชักจะสับสนอยู่หลายสิ่ง เริ่มตั้งแต่ หล่อนควรไปนั่งหน้าห้องคุณเจ้านายในคืนนี้หรือไม่ เพราะจนเดี๋ยวนี้ กานต์สิรีก็ยังไม่กลับ ยังคงใช้เวลาอยู่กับดารัณในห้องส่วนตัวบนตึกฝั่งตะวันตก แต่ที่ชวนงงใจตนไปมากกว่านั้นคือ นรีไม่แน่ใจว่า หล่อนกำลังรู้สึกไม่พอใจในความสนิทสนมที่คล้ายจะเลยเถิดข้ามเส้นของคนทั้งสองนั่นหรือไม่ หรือหล่อนเพียงแค่ทำตัวไม่ถูกเพราะตั้งแต่อยู่ใต้ชายคาบ้านวงศ์ทิมทองมา ก็ยังไม่เคยมีวันไหนที่กานต์สิรีมาที่นี่ และอยู่ดึกดื่นราวกับจะค้างคืนเช่นนี้มาก่อน
ท้ายที่สุด เมื่อชำระร่างกายเสร็จสรรพ นรีก็ตัดสินใจขึ้นไปหน้าห้องคุณเจ้านายตามปกติ โดยถือเอาว่าเธอไม่ได้สั่งว่าอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ละย่างก้าวที่เหยียบย่างไปตามทางโถงทางเดินชั้นบน หล่อนหยุดยืนและเอื้อมมือดึงปิดบานหน้าต่างอย่างเชื่องช้ากว่าทุกคืน
… ความ รัก เอย… เจ้า ลอยลม มาหรือไร…
…มาดลจิต มาดลใจ เสน่หา…
เสียงเพลงทำนองคุ้นหูกับเนื้อร้องแสนคุ้นใจ แว่วมาจากห้องคุณเจ้านาย ลอยล่องกังวานโถงทางเดิน ดึงดูดให้นรีสืบเท้าเข้าใกล้ที่หมายเร็วขึ้น
…รัก นี้จริงจากใจหรือเปล่า หรือเย้า เราให้เฝ้าร่ำหา
…หรือแสร้งเพียงแต่แลตา ยั่วอุรา ให้หลง ลำพอง…
ครั้นถึงเก้าอี้ไม้สักตัวเดิม หล่อนกลับยื้อเวลาไม่ยอมทรุดตัวลงนั่งอย่างเคย หากแต่พยายามเงียบนิ่ง เงี่ยหูฟังเสียงใดก็ตามที่ดังแทรกเสียงเพลงจากในห้อง ที่ประตูไม้ลายโบตั๋นเปิดแง้มไว้เล็กน้อย ไม่ได้เปิดกว้างสุดบานพับอย่างเคยๆ
“ถ้าอยากทำก็ทำเลย” เสียงกานต์สิรีแว่วมา
“อืม…ก็ อยากทำนะ” เสียงดารัณพึมพำ
“พิรี้พิไร ใครจะเกินแก” เสียงกานต์สิรีแว่วต่อมา
“เออน่ะ มันต้องใช้เวลาไง” เสียงดารัณว่าพลางถอนหายใจหนักๆ
บทสนทนาของกานต์สิรีและดารัณไม่ชวนคิดลึก แต่นรีก็จับใจความไม่ได้ว่ากำลังพูดถึงอะไรกันอยุ่ ทว่านาทีนั้นเพลงในห้องเปลี่ยนแทร็กฉับพลัน เพลงสากลที่นรีไม่คุ้นหู ทำให้บรรยากาศทั่วอาณาบริเวณฝั่งตะวันตกเริ่มประหลาดไปจากทุกคืนสำหรับนรี
“กานต์ กลับเพลงเดิม”
“ฟังอย่างอื่นบ้าง”
“มันไม่ได้อารมณ์”
“ส่งต้นฉบับไปแล้ว พักบ้าง”
“กานต์…”
“เอาตัวเองออกจากงานบ้างค่ะรัณ”
“ไม่ค่ะ”
เสียงเพลงสากลดังอยู่ได้เพียงค่อนนาทีก็เงียบไป ภายในห้องไร้คำสนทนาใด จิตใจแสนอยากรู้ของนรีนำพาให้หล่อนโน้มตนเข้าหาบานประตูไม้ตรงหน้ามากเกินไปจนเกิดสัมผัสสร้างเสียงลั่นให้คนในห้องรับรู้ถึงการมาของหล่อน แม้นรีจะรีบก้าวถอยหลังไปที่เก้าอี้ไม้สักก็ไม่อาจกลบเกลื่อนการชะเง้อชะแง้ของหล่อนได้สำเร็จ
“เอ้า… นรี” กานต์สิรีเปิดบานประตูไม้ลายโบตั๋นออกมาพลางเอ่ยทัก ก่อนจะแทรกตัวออกจากห้องดารัณมาเพื่อเปิดบานประตูไม้ให้กว้างสุดบานพับ ระหว่างชวนนรีคุยต่อว่า “อยู่ที่นี่เป็นไงบ้างคะ”
“ดีค่ะคุณกานต์ คุณทิพย์ใจดีมาก” นรีตอบขณะช่วยกานต์สิรีเปิดประตูอีกบานให้เรียบร้อย
“ได้ยินแบบนี้ก็โล่งใจค่ะ” กานต์สิรียิ้มหลังตอบ แล้วหันกลับไปมองในห้องดารัณ แววตาฉายอาการครุ่นคิด
“รัณ…” กานต์สิรีเอ่ยพลางก้าวเท้ากลับเข้าไปในห้อง เดินไปหาดารัณที่โต๊ะเขียนงาน พูดคุยกันอยู่สองสามประโยคแล้วกานต์สิรีก็เดินกลับออกมาหานรีที่เพิ่งจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ไม้สัก เพื่อชวนหล่อนให้เดินตามเข้าห้องดารัณ พาหล่อนไปชั้นหนังสือด้านใน โดยให้หยุดยืนที่ชั้นหนังสือแถวนอกที่ใกล้ประตูห้องมากที่สุด และบอกกับหล่อนว่า “ยืมอ่านได้นะคะ”
“ได้… เหรอคะ” นรีถามออกมาด้วยอาการไม่เชื่อหูตนเอง
“ค่ะ คือ กานต์จำได้ว่าเจอนรีที่ห้องสมุดของโรงพยาบาลหลายครั้งเลยค่ะ เดาว่าน่าจะชอบอ่านหนังสือ ชั้นนี้รัณอนุญาตให้มาเลือกไปอ่านได้นะคะ ตะกี้ถามให้แล้ว” กานต์สิรีอธิบายเช่นนั้น
“ยืมได้ จริงๆ เหรอคะ” แม้จะรู้สึกเกรงใจและหลุดถามย้ำออกไปอย่างนั้น แต่นรีก็ซ่อนรอยยิ้มความดีใจไว้ไม่อยู่เลยสักนิด ตาเป็นประกายน่าเอ็นดูจนกานต์สิรียังเผลอยิ้มตาม
“ได้สิคะ” เสียงดารัณแว่วมาจากทางโต๊ะเขียนงาน ดึงให้กานต์สิรีและนรีต่างละสายตาจากสิ่งที่น่าสนใจตรงหน้า ไปจดจ้องที่เธอ ซึ่งขยับลุกจากเก้าอี้ตรงโต๊ะเขียนงาน และกำลังเดินเข้ามาหาทั้งสองคน ขณะแจ้งกฎให้นรีทราบว่า
“แต่ว่า รบกวนหยิบทีละเล่ม อ่านจบแล้วค่อยมาเลือกใหม่หลังคืนเล่มเก่านะคะ… บางเล่มในห้องนี้หายากหรือหาไม่ได้แล้วก็มี ถ้าอ่านด้วยกัน ก็อยากให้ช่วยกันดูแลรักษาค่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณ ที่อนุญาตนะคะ” นรีพูดพลางก้มศีรษะเล็กน้อยอย่างนอบน้อม ขณะที่กานต์สิรีอาศัยจังหวะนี้ค่อยๆ ถอยห่างออกไปทางลำโพงคลาสสิคด้วยท่าทีย่องเบานิดๆ ปล่อยให้นรียืนอยู่ตรงนั้นระหว่างที่ดารัณไล่สายตาไปตามสันหนังสือที่เรียงรายเต็มชั้นวาง ก่อนไปหยุดที่สันหนังสือเล่มหนึ่งและละสายตามามองนรี พลางเอ่ย
“เลือกรึยังคะ ว่าจะอ่านเล่มไหน”
“ยังค่ะ… แต่ก็ น่าอ่านทั้งนั้นเลยค่ะ” นรีตอบเช่นนั้น พลางเงยหน้ามองสำรวจหนังสือบนชั้นวางตรงหน้า
“ถ้ายังไม่รู้ว่าจะอ่านอะไร แนะนำเล่มนี้” ดารัณว่าแล้วเอื้อมหยิบหนังสือจากชั้นวางแถวอื่นส่งให้นรี
“กลิ่นรัญจวนในครัวใจ” นรีอ่านคำบนปกหนังสือที่ดูเหมือนจะเป็นนวนิยายขนาดสองสามร้อยหน้า ปกภาพวาดสำรับอาหารชาววัง ระบุนามผู้ประพันธ์ว่า คุณข้าหลวงนิรนาม
“ฉากเรื่องอาจจะโบราณสักหน่อย แต่ภาษาดีใช้ได้นะคะ” ดารัณบอก โดยทิ้งสายตามาที่นรี ซึ่งมีท่าทีอิ่มอกอิ่มใจเมื่อได้สัมผัสหนังสือจนไม่รู้ตัวว่า กำลังตกอยู่ในสายตาของคุณเจ้านายอีกครั้งแล้ว
“ไว้อ่านจบจะรีบคืนที่ชั้นนะคะ” นรีว่า ทั้งยิ้มสดใสให้คุณเจ้านายเป็นครั้งแรก
“คืนให้เราที่โต๊ะค่ะ ถ้าอ่านจบ” คุณเจ้านายว่าอย่างนั้น ก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะเขียนงานได้ทันท่วงที ทำให้กานต์สิรีเปิดเพลงเปลี่ยนบรรยากาศตามใจตนไม่สำเร็จ
“ถ้าจะเปิดเพลงตามใจแก ก็กลับไปเปิดบ้านแก”
เสียงคุณเจ้านายแว่วมาจางๆ เป็นความนั้น ทำให้แทบทั้งชั่วโมงเศษหลังจากนั้น บทเพลงเดิมบรรเลงวนไปมา ขณะนรีเปิดพลิกหน้ากระดาษเล่ม กลิ่นรัญจวนในครัวใจ นำพาจิตใจเข้าสู่คำประพันธ์ ท่ามกลางคำขับขาน
…สงสาร ใจ ฉันบ้าง วาน อย่างสร้าง รอยช้ำ ซ้ำเป็นรอยซ้อน…
การถูกจู่โจมด้วยสถานการณ์ที่ นรีโดนจับได้ว่า ตกหลุมรักคุณเจ้านาย พาให้หล่อนหลงลืมแทบทุกสิ่งรอบกาย ลืมแม้กระทั่งความสงสัยมากมายซึ่งบังเกิดมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ใต้ชายคาเรือนนี้ จิตใจวนเวียนอยู่แต่กับการเรียบเรียงคำพูด ว่าควรเจรจาอย่างไรกับคุณเจ้านายในโอกาสต่อไป หล่อนควรถามว่าอะไรบ้างเพื่อความชัดเจนในความสัมพันธ์ และเพื่อให้ทราบแนวทางในการอยู่ร่วมกันหลังจากนี้ หล่อนลืมสังเกตไปเลยด้วยซ้ำว่า ณ ขณะนี้ คุณเจ้านายของหล่อนลับกายหายไปจากห้องโดยไม่ได้ผ่านออกทางประตูไม้ลายโบตั๋น หล่อนไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่า เธอหายเงียบไปพักหนึ่งแล้วนรียืนนิ่งเอนตัวพิงขอบโต๊ะเขียนงานอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ทีเดียว กว่าจะได้ยินเสียงฝีเท้า ตามด้วยเสียงบานพับประตูขยับไหว หล่อนหันมองตามทิศต้นเสียงทันที ครานี้ค่อนข้างชัดเจน ว่า เสียงเหล่านั้นดังมาจากมุมหนึ่งของห้อง ตรงข้างหน้าต่างฝั่งหลังเรือน นรีเพ่งมองไปในทิศนั้นอย่างจดจ่อ ทว่ายังไม่กล้าสืบเท้าก้าวไปสำรวจสิ่งใด แต่การปรากฎตัวในสายตาหล่อนอีกหนของคุณเจ้านาย แน่นอนแล้วว่า เธอเดินมาจากมุมห้องฝั่งนั้นจริงๆ“ว่าไงคะ ตั้งสติได้ถึงไหนแล้ว” คุณเจ้านายเอ่ยถามเมื่อเดินกลับเข้ามาใกล
วันถัดมา นรีได้ติดตามคุณทิพย์ไปโรงพยาบาลเพื่อพบหมอธนา โดยมีกานต์สิรีขับรถมารับถึงหน้าเรือนตั้งแต่ก่อนแปดโมงเช้า หล่อนได้เข้าไปยืนรอคุณทิพย์ในห้องหมอธนา จึงรับรู้อาการโรคที่รุมเร้าคุณทิพย์อยู่ แม้หมอธนาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาตรงๆ ไม่ได้แจกแจงความเป็นไปให้หล่อนฟัง แต่การซักถามระหว่างหมอกับคนไข้ก็ปรากฎเค้าลางข้อมูลหลายประการที่นรีพอจะคาดเดาได้ ว่าคุณทิพย์อาจเป็นทั้งเบาหวานและความดันสูง ตลอดจนโรคหัวใจบางประเภทและมีอาการทางจิตใจบางชนิด ขณะที่ภายนอกคุณทิพย์ดูปกติดี ในระดับที่ดูจะแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันด้วยซ้ำเมื่อตรวจเสร็จหมอธนาเดินออกมาส่งทุกคนที่โถงทางเดิน พลางอธิบายเรื่องอาหารและการพักผ่อนที่เหมาะสมสำหรับคุณทิพย์ให้กานต์สิรีกับนรีรับทราบไว้ เพื่อให้ช่วยกันปรับพฤติกรรมของคุณทิพย์ให้รับกับอาการภายในร่างกายที่เริ่มเสื่อมถอยลง ก่อนจะขอตัวกลับไปตรวจคนไข้ ตอนนั้นเองที่กานต์สิรี หันมาบอกกับนรีว่า คุณทิพย์ต้องเข้ารับการบำบัดกับแพทย์อีกท่านเป็นการส่วนตัว ซึ่งอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง ให้นรีกลับบ้านไปก่อน เพื่อจัดการเตรียมอาหารเที่ยงและมื้อค่ำให้กับคุณเจ้านายที่กำลังปั่นต้นฉบับอย่างแข็งขันแทบจะทั้งว
หลายวันผันผ่านเรื่อยไป ต่อจากเล่ม ‘ควันรักปักใจ’ หนังสือทุกเล่มที่คุณเจ้านายเลือกให้นรี ก็ดูเหมือนจะยิ่งความยาวสั้นลง ราวกับว่าเธอต้องการให้หล่อนกลับเข้าไปคืนหนังสือถึงโต๊ะในเร็ววันยิ่งขึ้น เพราะนรีมักจะอ่านทุกเล่มนั้น จบภายในสองวัน และได้อ่านงานประพันธ์ของคุณข้าหลวงนิรนามจนครบทุกปกอย่างรวดเร็วหนำซ้ำ จากกลางดึกคืนนั้นที่นรีได้สัมผัสผิวเนื้อคุณเจ้านาย การนวดคลึงกายเพื่อผ่อนคลายก็กลายมาเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ประจำของหล่อน ซึ่งเธอมักร้องขอต่อหล่อนแทบทุกค่ำคืน บ้างก็ด้วยท่าทีเมื่อยขบ บ้างก็ด้วยสายตาเว้าวอน หลังการทุ่มเขียนบางสิ่งลงหน้ากระดาษอยางยาวนาน ไม่ก็หลังจากนั่งกดแป้นพิมพ์อักษรนับชั่วโมง การณ์จึงกลับกลายเป็นว่า แทบไม่มีคืนใดเลยที่นรีจะไม่ได้ก้าวผ่านบานประตูลายโบตั๋นคู่นั้นคืนนี้ก็เช่นกัน หล่อนก้าวล่วงเข้าอาณาเขตห้องส่วนตัวของคุณเจ้านายเมื่อตอนเที่ยงคืนเศษ และลงมือบีบนวดกดคลึงทั้งบ่าไหล่ของเธอมาได้เกือบสิบนาที หล่อนอดไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งสายตาไปจับความตัวอักษรมากมายบนโต๊ะเขียนงานตรงหน้า หล่อนลอบมองมาหลายหน แต่ไม่มีครั้งไหนที่เธอจะพลาด เปิดเนื้อความบนแผ่นกระดาษให้เผยต่อสายตาหล่อน ดังตอนนี้
นรีปลีกตัวออกจากห้องคุณเจ้านายมาได้ราวๆ เที่ยงคืน หล่อนกลับออกมานั่งประจำที่หน้าห้องนั้น บนเก้าอี้ไม้สักตัวเดิม และเริ่มพลิกหน้าบทประพันธ์ รินคำเข้าสมาธิ‘ฤดูแล้วฤดูเล่าผ่านไป ความเงียบระหว่างพวกนางกลับอัดแน่นด้วยพันธะที่มิอาจเรียบเรียงเป็นถ้อยคำ ลมหายใจแผ่วเบาและนิ้วที่เผลอแตะปลายกันบนขวดน้ำอบแค่ชั่วครู่ ก็มากพอจะทำให้หัวใจเต้นเกินควบคุม’หล่อนลอบมองคุณเจ้านายสลับกับมองเนื้อความบนหน้ากระดาษหนังสือในมือจนถึงตีสองเศษๆ คุณเจ้านายก็หรี่แสงในห้อง เป็นสัญญาณว่าเธอกำลังจะเข้านอน นรีจึงปิดคั่นหนังสือด้วยเส้นริบบิ้นผ้า แล้วลุกไปปิดบานประตูลายโบตั๋นเช่นทุกคืน ก่อนจะกอดเล่มหนังสือ เดินฝ่าความมืดกลับไปที่ฝั่งตะวันออก และเมื่อกลับถึงห้องนอนของตน หล่อนก็ได้มองเล่มนิยาย ‘ควันรักปักใจ’ อย่างเหม่อลอย ด้วยจิตใจที่ยังวุ่นวนอยู่กับคำสองคำนั้นกำลังดังก้องในความคิดหล่อนจนตกภวังค์เหม่อ‘...เราชอบ…’‘งั้นเหรอ’สมาธิในการอ่านหนังสือของหล่อนถูกสั่นคลอนพอสมควรทีเดียว ทั้งที่คราวนี้เป็นเพียงนวนิยายความยาวร้อยกว่าหน้า ก็ดูเหมือนว่าหล่อนจะอ่านวนไปมา ดูท่าจะต้องใช้เวลานานกว่าปกติเพื่อที่จะอ่านให้จบ ‘ร้อยกว่าหน้
“แปลว่ารักได้ ไม่ติดเหรอคะ” คุณเจ้านายเอ่ยถาม แน่นอนว่าเธอได้รับเพียงแววตาเกือบจะงุนงงของนรีตอบกลับไป เธอจึงได้ขยายความถามนั้น“หมายถึง นรีเอง ก็รักผู้หญิงได้ ใช่มั้ยคะ”“...”นรีกระพริบตาปริบๆ ทั้งเงียบไปครู่หนึ่ง ทำเอาคนรอฟังคำ นิ่งเงียบตามกันไปด้วย แต่เธอยังคงวางสายตาจับไว้ที่หล่อน ไม่ละไปโดยง่าย กระทั่งได้คำตอบ“คิด ว่ารักได้นะคะ” นรีตอบเสียงแผ่ว“ท่าทางไม่แน่ใจ” คุณเจ้านายกล่าวเช่นนั้น แล้วผินมองไปทางอื่น ในท่าทีใช้ความคิด เป็นจังหวะให้นรีได้รับอิสระเล็กน้อยจากการรอดพ้นสายตาเธอ แต่ยังไม่พ้นไปจากสนทนา“ที่ผ่านมา ยังไม่เคยตกหลุมรักผู้หญิงเลยสักคน… เหรอคะ” คุณเจ้านายปรายตากลับมามองนรีในท้ายประโยค พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่นรีมองทันเพียงชั่วครู่ก็รู้สึกใจเต้น พาลให้หล่อนนิ่งจนลืมตอบความ พยายามเลี่ยงหลบสายตาเธอสุดฤทธิ์ ขณะที่คุณเจ้านายวางมือลงค้ำยันกับโต๊ะเขียนงาน และโน้มตัวเข้าใกล้นรีมากขึ้น พลางกระซิบสรุป“เงียบแบบนี้ เราจะเหมาว่าเธอเคยตกหลุมรักใครสักคน ที่เป็นผู้หญิงนะคะ”นรีหันกลับไปมองคุณเจ้านายในระยะประชิดมากกว่าที่เคย หล่อนนึกเรียบเรียงคำโต้ตอบที่ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า จะเอ่ยปฏิเสธห
คืนนั้น คุณเจ้านายไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนงานเมื่อหล่อนไปถึงหน้าห้อง พอตัดสินใจไปชะเง้อมองที่ใกล้ๆ บานประตู สอดส่องสายตาจนทั่วก็ยังไม่เห็นว่าเธออยู่ตรงไหนในห้อง นรีถอยจากประตูลายโบตั๋นมาเกาะขอบหน้าต่างโถงทางเดินที่มักเปิดไว้เสมอเพียงบานเดียวเพื่อรับลมในทุกคืน หล่อนคาดว่า คุณเจ้านายอาจลงไปเก็บดอกไม้กลางคืนเช่นเดียวกับตอนที่ลงไปเก็บดอกสเลเตก็เป็นได้ ทว่า เพ่งมองสวนดอกไม้สักเท่าไหร่ก็ไร้วี่แววร่างเงาเธอ“ดูอะไรอยู่เหรอ” เสียงคุณเจ้านายดังมาจากด้านหลัง พาหล่อนสะดุ้งใจหาย แต่ก็รีบเก็บอาการนั้นให้สงบลงโดยเร็วก่อนตอบกลับเธอไปว่า“เปล่าค่ะ” พลางเดินกลับไปที่เก้าอี้ไม้สน คุณเจ้านายพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะเขียนงาน เธอหยุดยืนอยู่ข้างเก้าอี้ รวบรวมเอกสารสองสามชุดให้เป็นกองเดียวกัน จัดเก็บเข้าแฟ้ม นำแฟ้มไปสอดไว้บนชั้นวางข้างโต๊ะฝั่งมุมห้อง ครั้นพอเดินย้อนกลับมาที่เก้าอี้อีกหน และเห็นว่านรียืนละล้าละลังอยู่หน้าห้อง







