จ้าวจิ้งเทียนหันไปมองหญิงสาวผู้ยื่นข้อเสนอให้กับเขา
หึ! หนึ่งพันตำลึงงั้นรึ เขาที่เห็นเงินมากมายจนนับไม่ถ้วนไม่ได้สนใจกับข้อเสนอของนางสักเท่าใดนัก จึงหันหลังเดินออกมา แต่ทว่าหญิงสาวผู้นั้นช่างดื้อดึงนัก นางตามเขามาอย่างไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะมาหยุดตรงหน้าเขา
จ้าวจิ้งเทียนพิจารณามองใบหน้าของหญิงสาว ใบหน้าเรียวขาวอมชมพูเหมือนดอกเหมยแรกแย้ม ดวงตากลมโตเหมือนไข่หงส์ ผิวเนียนละเอียดราวกับหิมะ ทำให้เขาจิตใจหวั่นไหวไม่น้อย
เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับสตรีนางใดมาก่อน จ้าวจิ้งเทียนจึงหยุดและชำเลืองมองหลิวลี่เซียนเล็กน้อย
"ว่าอย่างไร ข้าซื้อต่อหนึ่งพันตำลึงขายรึไม่ ทำไมต้องเดินหนีข้าด้วย"
แววตาที่แฝงด้วยความดื้อรั้นและเอาเรื่องของหลิวลี่เซียน ทำให้จ้าวจิ้งเทียนเผลอยกยิ้มที่มุมปาก
"ไม่ขาย ข้าจำเป็นต้องใช้มัน"
จ้าวจิ้งเทียนตอบเสียงเรียบ ที่เขาออกมานอกวังวันนี้เพราะองครักษ์มารายงานเขาว่าไข่มุกสุยโหวมีขายที่หอเป่าชิง มันเป็นไข่มุกหายากยิ่งนัก และสรรพคุณของมันสามารถรักษารอยแผลเป็นบนใบหน้าเขาได้อีกด้วย
หลิวลี่เซียนมองจ้าวจิ้งเทียนด้วยแววตาครุ่นคิดเล็กน้อย อีตาคนนี้จะเอาไข่มุกสุยโหวไปทำไมกันนะ หรือว่าเอาไปให้ภรรยาของเขา
จ้าวจิ้งเทียนเดินหนีหลิวลี่เซียน แต่นางยังคงไม่ละความพยายามยังคงเดินตามเขาไม่หยุด จนกระทั่งเดินออกมาไกลจากตลาดมากแล้ว
นางแยกตัวออกมาจากไป๋หลางอย่างลืมตัว ก่อนจะพบว่าชายผู้นั้นได้เดินไปแล้ว
หลิวลี่เซียนเหมือนได้สติ นางหยุดเดินก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย น่าเสียดายนัก!
ในระหว่างที่หลิวลี่เซียนกำลังจะหมุนตัวกลับสายตาของนางก็มองไปรอบๆ ให้ตายสิ! เดินมาทางไหนล่ะเนี่ย แล้วจะกลับทางใดกันเล่า!!! หลิวลี่เซียนยกมือขึ้นกุมหน้าผากตนอย่างคิดไม่ตก
"เจ้าต้องการไข่มุกสุยโหวไปทำไม?"
หลิวลี่เซียนตกใจจนต้องรีบหันกลับไปมอง ก็พบกับชายคนเดิมที่นางตามตื๊อขอซื้อไข่มุกสุยโหวต่อจากเขา อะไรกัน! เมื่อกี้เห็นเดินหายไปไกลแล้วแท้ๆ
"ข้าชอบ ข้าอยากได้ ตกลงท่านจะขายให้ข้าใช่หรือไม่?"
หลิวลี่เซียนแบมือไปตรงหน้าจ้าวจิ้งเทียน เขาชักกล่องไข่มุกกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำให้หญิงสาวตรงหน้าคิ้วขมวดด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
จ้าวจิ้งเทียนมองหน้าหลิวลี่เซียนอย่างพิจารณา ในใต้หล้านี้มีไม่กี่คนที่รู้จักไข่มุกสุยโหวนี่ เพราะถ้าไม่พิจารณาดีๆ ก็จะมองมันเป็นเพียงแค่ไข่มุกไร้ค่าเม็ดหนึ่งเท่านั้น นอกจากว่าคนผู้นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่เชื่อว่านางจะแค่ชอบมันเท่านั้น!
"ท่านจะโก่งราคากันหรือไง ข้าให้ได้แค่หนึ่งพันตำลึงเท่านั้น หากท่านไม่เชื่อว่าข้ามีตำลึงให้จ่าย งั้นข้ามัดจำไว้ก่อนห้าร้อยตำลึง อีกห้าร้อยตำลึงข้าจะกลับไปเอาที่จวนแล้วให้คนส่งไปให้ท่าน ว่าแต่ท่านเป็นบุตรชายจวนใดหรือ?" หลิวลี่เซียนพยายามต่อราคากับจ้าวจิ้งเทียน ยังไงซะท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าของร่างเดิมก็มีทรัพย์สินมากมาย นางขอมาใช้สักนิดหน่อยจะเป็นไรไป
"เจ้าเป็นบุตรสาวตระกูลใด?"
"ตระกูลหลิว พ่อข้าเป็นท่านเสนาบดี"
จ้าวจิ้งเทียนพยักหน้าเล็กน้อย บุตรสาวฝาแฝดของท่านเสนาบดีหลิวเทียนเฉิงนี่เอง ที่เขารู้ว่าเสนาบดีหลิวมีบุตรสาวฝาแฝดเพราะเสด็จพ่อเคยกล่าวว่า เสียดายที่เสด็จแม่หมายมั่นเจินเซียงไว้ให้เขาแล้ว มิฉะนั้นคงจะทาบทามสู่ขอบุตรสาวฝาแฝดของเสนาบดีหลิวคนใดคนหนึ่งให้แก่เขา
หญิงงามตรงหน้า เจ้าอยากเป็นชายารองของข้าหรือไม่?
จ้าวจิ้งเทียนสะบัดศีรษะไปมาไล่ความคิดพิลึกในหัวของเขาออกไป
ฟิ้ว! พรึ่บ!
จ้าวจิ้งเทียนรีบดึงตัวของหลิวลี่เซียนเข้ามาแนบกับตัวเขา นางมีสีหน้าตกใจพร้อมกับหันซ้ายหันขวาหาต้นต่อของธนูดอกนั้น
เจ็บใจนัก!!! วันนี้เขาไม่ได้ให้องครักษ์ลับตามมาด้วย แม้แต่ทหารรักษาพระองค์ก็ยังไม่มี ใครกันมันกล้าติดตามมาเล่นงานเขา
"นะ นั่นมันใช่ธนูรึเปล่า!!!"
"ตามข้ามาถ้ายังไม่อยากตาย"
หลิวลี่เซียนวิ่งตามจ้าวจิ้งเทียนที่จับมือนางวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เสียงธนูยังคงไล่ตามมาไม่หยุด นางรีบหันไปมองจ้าวจิ้งเทียนแล้วต้องเบิกตากว้าง แขนขวาของเขาที่จับมือนางไว้มีบาดแผลที่เกิดจากของมีคม ถ้าให้นางเดาน่าจะเป็นธนูนั้น
"หลบไปตรงนั้น ห้ามออกมาจนกว่าข้าจะสั่ง!"
จ้าวจิ้งเทียนผลักหลิวลี่เซียนให้ไปหลบที่หลังกิ่งไม้ใหญ่ ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปจัดการกับมือธนูทีละคน
ทำไมเขาเท่จังนะ ไม่สิ!!! ใช่เวลาไหม
ไม่นานหลังจากที่ต่อสู้อยู่สักพัก มือธนูที่ตามมาก็ล้มลงตายอย่างไม่เหลือซาก จ้าวจิ้งเทียนเดินมาหาหลิวลี่เซียนที่มองมาที่เขาด้วยสายตาตกตะลึง แต่มันก็แค่แวบเดียวเท่านั้น
"ท่านบาดเจ็บ!!!"
"ข้าไม่เป็นอะไร ประเดี๋ยวข้าจะเดินกลับไปส่งเจ้าตรงมุมตลาดนั้น เจ้าก็กลับจวนไปเถิด ที่ตรงนี้ไม่ปลอดภัยเท่าใดนัก"
"ให้ข้าใส่ยาทำแผลให้ท่านก่อนเถิด"
"ข้าไม่เป็นอะไร"
หลิวลี่เซียนไม่ฟังเสียงของจ้าวจิ้งเทียนแม้แต่น้อย นางดึงมือเขาให้มานั่งใต้ต้นไม้ จ้าวจิ้งเทียนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ตั้งแต่เล็กจนโตมาในวัยสิบแปดปีเขาไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวหญิงสาว แต่นี่มันอะไรกัน หญิงสาวจากจวนตระกูลใหญ่ทำไมถึงมือไวนัก
หลิวลี่เซียนเหมือนจะรู้ความคิดของจ้าวจิ้งเทียน นางเบ้ปากน้อยๆ ก่อนจะมองค้อนเขา
"ข้ามิได้เสน่หาท่านหรอกนะ อย่ามาทำหน้าแบบนั้น ข้าแค่อยากตอบแทนที่ท่านช่วยดึงข้าให้พ้นจากธนูดอกนั้นก็เท่านั้นเอง"
จ้าวจิ้งเทียนมีสีหน้าเรียบเฉย เขานั่งมองหลิวลี่เซียนที่กำลังขยำใบอะไรสักอย่างอย่างใจจดใจจ่อ
"เจ้าทำอะไร?"
"ขยำใบบัวบกไง โชคดีนะข้าแวะซื้อมันมาตอนเดินตลาดนั่น มันมีสรรพคุณสมานแผลแก้อักเสบด้วยนะ มานี่เอาแขนท่านมา"
จ้าวจิ้งเทียนยื่นแขนให้นางอย่างว่าง่าย พลางมองดูหญิงสาวตรงหน้าทำแผลให้เขาอย่างตั้งอกตั้งใจ
เขาคิดผิดที่ไหนกัน บุตรสาวตระกูลหลิวนางนี้ไม่ธรรมดา?
ในขณะที่กำลังทำแผลผ้าคลุมหน้าของจ้าวจิ้งเทียนที่คลุมไว้ก็หลุดออกมา ทำให้หลิวลี่เซียนที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาตกตะลึงไม่น้อย
แก้มข้างขวาของเขาเป็นรอยแผลเป็นยาวสีดำนูนใหญ่ จ้าวจิ้งเทียนเหมือนจะรู้ตัวเขารีบดึงผ้ามาคลุม แต่ถูกหลิวลี่เซียนคว้ามือไว้ เขาหันไปมองนางด้วยแววตาเย็นชา
"เจ้าคิดจะทำอะไร"
"ดูแผลบนหน้าท่านไง"
หลิวลี่เซียนมองเขาด้วยสายตาปกติ ไม่มีแววตาหวาดกลัวหรือรังเกียจแม้แต่น้อย
"ท่านไปทำสิ่งใดมา หน้าถึงเป็นรอยแผลเช่นนี้"
"อย่ายุ่งเรื่องของข้า กลับไปซะ"
หลิวลี่เซียนจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิด อะไรกัน น่าเสียดายใบหน้าหล่อเหลานี้นัก ถ้าได้ครีมของนางไปใช้นะ ไม่เกินสองอาทิตย์รับรองหล่อใสเหมือนเดิม รอยแผลไม่ลึกเท่าไร แต่ค่อนข้างยาวดำเกิดจากการรักษาผิดวิธี
"ข้ารักษาใบหน้าท่านได้นะ"
จ้าวจิ้งเทียนหันมามองนางด้วยแววตามีความหวัง ก่อนจะเก็บสายตาคืนกลับ
"เจ้าน่ะเหรอ?"
"นี่ๆๆๆ อย่ามามองข้าด้วยสายตาแบบนี้เชียวนะ เอางี้ ข้าจะบอกสูตรท่านไป ท่านก็เอาไปลองทำดู แต่มีข้อแม้นะ?"
"เจ้าต้องการอะไร?"
หลิวลี่เซียนยิ้มจนตาหยีพลางกวาดสายตามองไปที่กล่องไข่มุกนั่น
"ได้ ถ้าเจ้ารักษาข้าได้ ข้ายินดีให้เจ้าทุกอย่าง แต่ถ้าเจ้าทำไม่ได้เหมือนที่เจ้าว่า หึ!"
จ้าวจิ้งเทียนมองหลิวลี่เซียนด้วยใบหน้าเย็นเหยียบ จนนางรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
"ไม่ยาก ท่านเห็นใบบัวบกนี่ไหม ท่านใช้มันวันละกำคั้นแต่น้ำเอามาทารอยแผลนี้ของท่านทุกวันเช้าเย็น ส่วนไข่มุกสุยโหวท่านใช้แค่หนึ่งเม็ดบดให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งสองช้อน เอามาทาแผลท่านก่อนนอน เท่านี้ไม่ยาก ท่านจำได้รึไม่?"
จ้าวจิ้งเทียนพยักหน้าเล็กน้อย
"เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสมุนไพรนั่นกับไข่มุกสุยโหวสามารถรักษารอยแผลบนหน้านี้ได้?"
"ข้าเคยเรียนมา"
หลิวลี่เซียนพูดพลางยิ้มตาหยี ก่อนจะมองไปที่กล่องไข่มุกสุยโหวด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
นางต่างจากหญิงสาวทั่วไปนัก นางไม่กลัวใบหน้าอัปลักษณ์นี้ของเขา
"เจ้าชื่ออะไร?"
หลิวลี่เซียนหันไปมองจ้าวจิ้งเทียนที่เอ่ยถามชื่อของนาง
"ชิงชิง ท่านล่ะ?"
"ข้าชื่อจิ้นหมิง"
หลังจากครบกำหนดที่เจินเซียงกลับมาจากวัดต้าฝู นางได้เดินทางกลับจวนเจ้ากรมกลาโหมเพื่อเตรียมตัวอภิเษกกับจ้าวจิ้งเทียน หนึ่งเดือนต่อมาเมื่อเข้าสู่สายลมแห่งฤดูหนาว ขบวนเจ้าสาวจากตระกูลเจินเจ้ากรมกลาโหมพร้อมสินสอดที่ยาวนับพันลี้ก็ได้เคลื่อนขบวนเข้าสู่วังหลวงหลิวลี่เซียนได้เข้าวังหลวงไปพร้อมกับจวิ้นอ๋องและพระชายาในฐานะพระญาติ ส่วนหลิวลี่ซือไปในฐานะว่าที่คู่หมั้นของจ้าวเฟยหรงองค์ชายรองพิธีอภิเษกสมรสเป็นไปด้วยความราบรื่น จนกระทั่งส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอ หลิวลี่เซียนนำของขวัญเป็นปิ่นปักผมทองและเวชสำอางที่นางทำขึ้นเองมอบให้แก่เจินเซียงที่ตอนนี้ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อเฟย' ตำแหน่งองค์หญิงพระชายา พระชายาเอกในองค์รัชทายาท ด้านจ้าวจิ้งเทียนเมื่อเข้าพิธีอภิเษกแล้วเขาก็ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อ' องค์รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างชอบธรรม"ยินดีด้วยเพคะหวงไท่จื่อเฟย ขอให้พระองค์ทรงเกษมสำราญเพคะ""ขอบใจเจ้ายิ่งนักลี่เซียน"หวงไท่จื่อเฟยจากตระกูลเจินยิ้มจนตาหยี นางมีความสุขยิ่งนัก นางตั้งใจว่านับตั้งแต่วันนี้นางจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุขหลังจากดื่มสุรามงคลและได้ฤกษ์เข้าหอแล้ว เหล่าพระญ
หลังจากที่ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ เสนาบดีหลิวที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะเป็นจวิ้นอ๋องก็ได้ย้ายครอบครัวตระกูลหลิวของตนมาพำนักที่จวนอ๋องพระราชทาน ซึ่งเป็นจวนอ๋องที่ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยตั้งใจสร้างเอาไว้เผื่อพระนัดดาทั้งหลายในอนาคตพระชายาจวิ้นอ๋องหลิวลี่หยางยังไม่ค่อยคุ้นชินกับที่อยู่ใหม่มากนัก นางค่อนข้างคิดถึงบ้านเก่าไม่น้อย บางวันจึงกลับไปพักผ่อนที่จวนตระกูลหลิวและรับสั่งให้บ่าวไพร่ดูแลจวนให้ดีจวิ้นอ๋องค่อนข้างปลื้มใจกับบุตรสาวของเขาไม่น้อย เขาได้สอบถามเรื่องราวแต่แรกเริ่มว่าเป็นมาเช่นไร หลิวลี่เซียนสามารถรักษาพระพักตร์องค์รัชทายาทได้อย่างไร หลิวลี่เซียนเองก็เต็มใจเล่าให้ผู้เป็นบิดามารดาฟัง และนางยังได้รู้อีกด้วยว่า แท้จริงแล้วจวนตระกูลหลิวของบิดาเป็นพระญาติใกล้ชิดกับฮ่องเต้มิน่าเล่าทั้งฮ่องเต้และจ้าวฮวงโหวต่างมีใบหน้าเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของนาง ที่แท้ก็เป็นบรรพบุรุษของนางนี่เองหลิวลี่ซือลอบเบ้ปากเล็กน้อย นางขี้เกียจจะฟังเรื่องราวพวกนี้ อีกอย่างตอนนี้ตระกูลนางก็ไม่ใช่ขุนนางธรรมดาทั่วไปอีกแล้ว เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่จะได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาอีกขั้นไม่นานนักข่าวเรื่องอ
หลิวลี่เซียนมองฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยด้วยแววตาที่ตกใจไม่น้อย แต่เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นสายตานี้ของนางก็หายไป เหลือเพียงความเคารพที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์หนึ่งเท่านั้นภพปัจจุบันเขาอาจจะเป็นพ่อของนาง แต่ในภพนี้เขาเป็นฮ่องเต้ที่สูงส่ง นางต้องให้ความเคารพเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยมองหลิวลี่เซียนด้วยแววตาล้ำลึกครั้งหนึ่งบุตรสาวของเสนาบดีหลิวนางทำไมช่างดูคุ้นตา เหมือนกับว่าเขาเคยพบเจอนางที่ใดมาก่อน"ไปเชิญเสนาบดีหลิวเทียนเฉิงมาพบข้าที่ตำหนัก"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยเอ่ยพลางสะบัดชายเสื้อมังกรให้ขันทีไปตามเสนาบดีหลิว ก่อนจะหันมามองหลิวลี่เซียนเสนาบดีหลิวรั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง ดูแลเรื่องการจัดเก็บภาษีรายได้ของแผ่นดิน เบิกจ่ายงบประมาณของราชสำนัก เป็นขุนนางตงฉินผู้ซื่อสัตย์น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเสนาบดีหลิวผู้นี้เป็นพระญาติฝั่งมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟย เขาเป็นบุตรชายคนโตของน้องสาวไทเฮาองค์ปัจจุบัน นั่นก็คือมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยนั่นเองไทเฮาตระกูลหลิวพระองค์นี้ทรงอภิเษกกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน และได้รับการสถาปนาให้ขึ้นเป็นจ้าวฮวงโหว ก่อนจะมีพระประสูติการพระโอรสนามว่าจ้าวชิงเฟยแล
หลังจากที่จับตัวหนิงซานกับหวาเยียนเข้าคุกหลวงเรียบร้อยแล้ว จ้าวจิ้งเทียนได้ส่งคนไปแจ้งเรื่องราวต่อจ้าวฮวงโหว นางรู้สึกเหมือนดั่งมรสุมใหญ่ได้ลอยหายไปในพริบตา พลันยกยิ้มมุมปาก มเหสีรองเหมย เจ้าไม่มีทางมีชัยชนะเหนือข้าได้หรอกฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยที่กำลังว่าราชการในท้องพระโรงเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น กำลังเดินทางกลับตำหนักมังกร พลันสายตาของเขาได้หันไปพบกับจ้าวจิ้งเทียน พระราชโอรสองค์โตของเขาที่มายืนรออยู่ที่หน้าตำหนัก"ถวายบังคมเสด็จพ่อ"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยหันไปมองด้านหลังของจ้าวจิ้งเทียน จึงพบเข้ากับเจินเซียงและหญิงสาวอีกหนึ่งคน ดูจากการแต่งกายแล้วคงจะเป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนางเป็นแน่ หลิวลี่เซียนที่ก้มหน้าตลอดเวลาไม่ได้เงยหน้าไปมอง แต่ก็รับรู้ได้ว่าฮ่องเต้กำลังมองมาที่นางอยู่"เจ้ามีเรื่องอันใดถึงมาพบข้าที่นี่?""ลูกมีเรื่องกราบทูลเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ"จ้าวชิงเฟยพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเข้ามาในตำหนัก ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยทรงให้เหล่านางกำนัลขันทีออกไปให้หมดเหลือเพียงราชเลขาคนสนิทเพียงคนเดียว ตอนนี้ภายในตำหนักจึงเหลือคนไม่มาก จ้าวจิ้งเทียนเงยหน้าขึ้นมองเสด็จพ่อของเขาเล็กน้อย"ลูกขอให้เสด็จพ่อทรงเชิญเสด็จแ
"ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไปจิ้นหมิง"หลิวลี่เซียนหันไปเอ่ยถามจ้าวจิ้งเทียน ก่อนจะโยนองุ่นที่นางแอบหยิบมาจากหอโคมแดงตอนที่เดินออกมาจากประตูโยนขึ้นและอ้าปากงับมาเคี้ยวอย่างอารมณ์ดี จ้าวจิ้งเทียนมองหลิวลี่เซียนด้วยสายตาที่เอ็นดูนางไม่น้อย เด็กน้อยผู้นี้ของเขาช่างดูสดใสนัก เขาที่ใช้ชีวิตมาจนอายุสิบแปดปีไม่เคยพบเจอหญิงในใต้หล้าใดที่น่ารักน่าชังเท่านาง"พรุ่งนี้ข้าคงต้องให้เจ้าไปพบเจินเซียงที่จวนเจ้ากรมกลาโหม เจ้าต้องพานางออกมาให้ได้ ข้าต้องการให้เจินเซียงได้พบกับหวาเยียน หลังจากนั้นข้าจะให้นางไปสารภาพผิดกับเสด็จพ่อ แล้วข้าจะเป็นผู้ทวงคืนความยุติธรรมให้น้องสาวของข้าด้วยตนเอง"หลิวลี่เซียนพยักหน้าเล็กน้อย พ่อหนุ่มคนนี้ช่างรอบคอบจริงๆ"เจ้าพักผ่อนเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่ไปกับข้าในวันนี้""เป็นพระกรุณาเพคะองค์รัชทายาท"หลิวลี่เซียนโค้งกายคารวะ ก่อนจะปิดประตูหน้าต่างใส่หน้าจ้าวจิ้งเทียน เขายกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยพลางคิด นี่นางเคารพเขาจริงๆ งั้นหรือ?จวนเจ้ากรมกลาโหมหลังจากที่แต่งกายเรียบร้อย หลิวลี่เซียนก็ออกจากจวนแต่เช้าเพื่อไปที่จวนเจ้ากรมกลาโหม"ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งเจ้าก่อนว่าข้าจะมา""ไม่เป็นไร รีบ
รุ่งเช้าหลิวลี่เซียนไปที่เรือนของฮูหยินลี่หยางเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่เรือนของมารดา ฮูหยินลี่หยางเอ่ยปากชมว่าหม่าล่าที่นางนำมาให้กินนั้นแปลกตาและอร่อยยิ่ง ส่วนหลิวลี่ซือที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยนั้นลอบบิดเบ้มุมปากตนด้วยความริษยาตั้งแต่ที่พี่สาวนางตกน้ำครานั้นก็ดูเปลี่ยนไป เมื่อก่อนนางช่างอ่อนแอและขี้โรคนัก โดนลมเพียงนิดก็ไม่สบายต้องนอนรักษาตัวอยู่ในจวนเป็นนานแรมเดือน แต่ตอนนี้นางดูแข็งแรงไม่เจ็บป่วยไข้เหมือนแต่ก่อน ซ้ำยังดูงดงามสดใสยิ่งน่าถลกหนังหน้านางให้มันพังพินาศไปเสียหลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว หลิวลี่ซือก็เดินออกมาจากเรือนฮูหยินลี่หยาง ก่อนจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าออกนอกจวนไปที่หอเป่าชิงเพื่อหาซื้อเครื่องประดับหลิวลี่ซือเป็นคนรักสวยรักงามยิ่ง นางชอบสะสมเครื่องประดับอัญมณีที่งดงามหลากหลายเมื่อเลือกเครื่องประดับได้ตามที่ต้องการแล้ว หลิวลี่ซือเตรียมให้อวี้จู้สาวรับใช้คนสนิทจ่ายค่าเครื่องประดับของนาง แต่ทว่ามีมือปริศนาข้างหนึ่งยื่นมาก่อน"แม่นาง ค่าเครื่องประดับนี้นายของข้าจะเป็นคนจ่ายให้ท่านเอง"หลิวลี่ซือหันไปมองก่อนจะพบกับบุรุษผู้หนึ่ง เขาแต่งกายคล้ายองครักษ์ในวังหลวง"นายของเจ
จ้าวจิ้งเทียนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ชายารองงั้นหรือ หญิงสาวเช่นชิงชิงไม่ใช่คนที่จะพาเข้าวังหลวงมาเป็นภรรยาได้ง่ายดายเช่นนั้น"เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกเชื่อว่าด้วยนิสัยของนางไม่มีทางยอมรับตำแหน่งที่ท่านแม่ทรงมอบให้แน่นอน ตั้งแต่ที่ลูกรู้จักนางมา นางเป็นหญิงสาวที่รักอิสระยิ่งพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าจึงถูกตาต้องใจนาง?"จ้าวจิ้งเทียนหมดคำจะพูด เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีต่อหลิวลี่เซียน เขากลัวว่านางจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกันกับเขา จ้าวฮวงโหวย่อมต้องอ่านความคิดของจ้าวจิ้งเทียนออก นางยิ้มออกมาเล็กน้อยคล้ายไม่ได้ติดใจอันใดมากนัก"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แม่เป็นคนไม่ชอบบังคับใจใคร เรื่องที่เจ้ารักษาใบหน้าจนหายดีแล้วนั้น ต้องกราบทูลต่อเสด็จพ่อเจ้าเสีย""พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ ความลับที่เขาตั้งใจจะไม่ยอมเปิดเผยก็จำต้องยอมเสียแล้วหลังจากที่กลับจากวังหลวงหลิวลี่เซียนก็เข้าไปพูดคุยเล่นกับเสนาบดีหลิวและฮูหยินลี่หยางเกี่ยวกับเรื่องที่เข้าวังหลวงวันนี้เพียงเล็กน้อย หลิวลี่ซือก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน นางพยายามที่จะถามหลิวลี่เซียนว่าเข้าวังหลวงไปด้วยเหตุใด
ตำหนักจ้าวฮวงโหวจ้าวจิ้งเทียนคิดไตร่ตรองเรื่องของเจินเซียงมาสักพักก่อนจะเข้าไปขอพบกับจ้าวฮวงโหวเสด็จแม่ของเขา"ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ""ลุกขึ้นเถิด มานั่งข้างแม่เร็วเข้า จิ้นหมิง"จ้าวจิ้งเทียนลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างพระวรกายของจ้าวฮวงโหว เขามองพระพักตร์ของเสด็จแม่ตนเองอย่างลำบากใจเรื่องนี้หนักหนาเกินกว่าเขาจะแก้ไขเองจริงๆ"ว่าอย่างไรจิ้นหมิง""ที่ลูกมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่วันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญสองเรื่องอยากกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ""ไหนเจ้าว่ามาสิ"จ้าวจิ้งเทียนหันไปมองเหล่านางกำนัลเป็นเชิงให้ออกไปให้หมด ก่อนจะยกมือขึ้นไปปลดผ้าคลุมใบหน้าของเขาออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้างดงามราวกับเทพเซียนของเขา รอยแผลบนใบหน้าจางหายไปจนหมดสิ้นแทบไม่ทิ้งร่องรอยใดเหลือไว้ ราวกับว่าไม่เคยมีบาดแผลน่ารังเกียจนั่นอยู่บนใบหน้าของเขามาก่อน"จิ้นหมิง!!! ลูกแม่ นี่เจ้า หมอเทวดารักษาเจ้าจนหายดีแล้วหรือ สวรรค์ช่างเมตตายิ่งนัก!!!"จ้าวฮวงโหวยื่นมือมาจับที่ใบหน้าของจ้าวจิ้งเทียนอย่างดีใจปนตกใจ น้ำตาของนางเอ่อคลออย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จ้าวจิ้งเทียนกุมมือของพระมารดาเอาไว้ด้วยความรักใคร่ ก่อนจะยิ้มให้จ้าวฮวงโห
ตำหนักพระมเหสีรองเหมย"ถวายพระพรพระมเหสีรองเพคะ"เหมยฮวาชิงย่อกายทำความเคารพมเหสีรองเหมยท่านอาของนาง พระมเหสีรองเหมยพระองค์นี้เข้าวังมาได้ห้าปีแล้ว แต่ยังไม่มีพระโอรสและพระธิดาแม้สักพระองค์เดียว เพราะสุขภาพของนางค่อนข้างไม่สู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เพราะราชสำนักยังต้องพึ่งพากำลังทางทหารของจวนโหวตระกูลเหมย มเหสีรองเหมยแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยน ไม่มีปากมีเสียงกับใคร แต่ลึกๆ ภายในใจของนางซ่อนความโหดเหี้ยมเอาไว้ไม่น้อยนางริษยาจ้าวฮวงโหวกับพระสนมเอกยิ่งนัก ทั้งที่พวกนางไม่ใช่คนโปรดของฮ่องเต้สักเท่าใด แต่วาสนากลับทำให้พวกนางมีพระโอรส แล้วนางเล่า นางเป็นที่โปรดปราน แต่สวรรค์กลั่นแกล้งนางถึงเพียงนี้เพราะเหตุใดกัน"รีบลุกขึ้นเถิดหลาน เจ้าไม่ต้องมากพิธีการ""ขอบพระทัยเพคะพระมเหสีรอง"พระมเหสีรองเหมยโบกมือเป็นการไล่บ่าวรับใช้นางกำนัลออกไปจากตำหนักให้หมด เหลือเพียงแม่นมคนสนิทของนางกับเหมยฮวาชิงและชิงฮุ่ย"ท่านอารู้ข่าวของตระกูลเจินรึยังเพคะ"เหมยฮวาชิงเป็นคนเริ่มบทสนทนาเรื่องของเจินเซียงกับพระมเหสีรองเหมยก่อน พระมเหสีรองเหมยยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย พลางหัวเราะออกมาอย่างอารมณ